Tuesday, November 4, 2014

Daylight Saving Time

ปี 2008 เป็นปีแรกของการใช้ชีวิต
ในVancouver ของครอบครัวครูยุ่น..
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2008
คุณสามีบอกว่าต้องตั้งเวลาใหม่
ถอยหลังไปหนึ่งชั่วโมง (back 1 hour)
วันนี้เป็น ended Daylight saving time





และแล้ว...ครูยุ่นก็เจออีกครั้ง
ในวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2009
แต่ครั้งนี้..ให้เลื่อนขึ้นมาหนึ่งชั่วโมง (forward 1 hour)
เป็นการเริ่มต้น Daylight Saving Time




งานนี้ครูยุ่นก็ต้องมีการตามล่าหาข้อมูลกันหน่อย
เพราะให้เกิดเครื่องหมายคำถามว่าทำไม???
ไม่เคยรู้เลยว่า..อย่างนี้ก็มีในโลก...

ประเทศทางแถบ North America…
แต่ละปี ช่วงชั่วโมงสั้นๆ ( wee hours )
หลังเที่ยงคืน...ประมาณตีสอง...
เช้าวันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคม
เวลา 60 นาทีจะหายไปจากนาฬิกา
นี่คือจุดเริ่มต้นของ Daylight Saving Time…
เป็นอย่างนี้ไปประมาณ 30 กว่าสัปดาห์
และเวลาที่หายไปนั้นจะกลับมาใหม่อีกครั้ง
ในวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ซึ่งเป็นการจบ Daylight Saving Time..


Daylight Saving Time เป็นการตั้งเวลาให้เร็วขึ้นจากเดิมหนึ่งชั่วโมง
ในช่วง Summer Time ของประเทศที่อยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตร
ซึ่ง Summer กลางวันจะยาวกว่ากลางคืนเมื่อเทียบกับ Winter
(Daylight hours are much longer in the summer than in the winter)


ประโยชน์ของการมี Daylight Saving Time คือ
ชั่วโมงที่ลดลงจะช่วยประหยัดพลังงาน
ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจต่างๆ
ซึ่งพลังงานที่ประหยัดได้เหล่านี้
สามารถนำมาใช้ในช่วงหน้าหนาว
ซึ่งแสงแดดน้อยมากในซีกโลกตะวันตก
นอกจากนี้ยังลดปัญหาอาชญากรรม
และปัญหาอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกด้วย



แต่สำหรับประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร
กลางวันกับกลางคืนจะมีช่วงเวลาที่ไม่แตกต่างกันตลอดทั้งปี
(Daylight hours and nighttime hours are nearly the same in length throughout the year)
และนี่คือสาเหตุว่าทำไมหลายๆเมือง
และหลายๆประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตร
จึงไม่มีการใช้ Daylight Saving Time
รวมทั้งหลายๆเมืองในอเมริกา
ก็ไม่ได้ใช้ Daylight Saving Timeเช่นกัน
เช่น Arizona, Hawaii, Puerto Rico,
 the U.S.Virgin Islands and American Samoa

ปัจจุบันมีประมาณ 70ประเทศทั่วโลก
ที่มีการใช้ Daylight Saving Time
ซึ่งแต่ละที่ก็มีตารางเวลา
Daylight Saving Time ที่แตกต่างกัน
ตามฤดูกาลของประเทศตนเอง...
เช่น ในยุโรป Daylight Saving Time
เริ่มวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม
จนถึงวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม
หรือประเทศทางแถบ Southern hemisphere
Daylight Saving Time จะเริ่มเดือนธันวาคม
ซึ่งเป็นช่วง Summer Time
และสิ้นสุดในเดือนมีนาคม
หรือประเทศคีร์กีซสถาน (Kyrgyzstan) และ Iceland
มีการใช้ Daylight Saving Time ตลอดทั้งปี
ในขณะที่ประเทศทางแถบเส้นศูนย์สูตร
ไม่มีการใช้ Daylight Saving Time เลย

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ก็เป็นวันสิ้นสุด Daylight Saving Time ของแคนาดา
ซึ่งคืนนั้น...พวกเราก็ได้นอนมากขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง


ต้องขอขอบคุณ Benjamin Franklin
 ผู้ริเริ่มและแนะนำความคิดนี้ในบทความปี 1784
การนำประโยชน์ของ Daylight
ในช่วง Summerมาใช้ประโยชน์  
และประหยัดพลังงานเพื่อใช้ในช่วงที่จำเป็น
โดยการปรับเปลี่ยนเวลาให้สัมพันธ์กับฤดูกาลในธรรมชาติ
คิดได้ไงเนี่ย....230 ปีทีแล้ว
นายแน่มาก   Franklin อัจฉริยะจริงๆ !!!




Thursday, October 16, 2014

San Francisco- Monterey Trip Day 2

วันนี้โปรแกรมแรกของพวกเราคือ
ต้องไปเอา CITYPASS ที่ไกด์ Peter ได้ซื้อ
ทาง on line ก่อนมา..ราคาเล่มละ 86 เหรียญ


CITYPASS มีอายุการใช้งาน 9 วัน
เป็น ticket ที่เราสามารถใช้นั่ง Muni & Cable car
และรถเมล์ในเมือง San Franciscoแบบ unlimited
นอกจากนี้ยังได้สิทธิเลือกเข้าชม
สถานที่ท่องเที่ยว 4 แห่งใน San Francisco
ซึ่งคงต้องติดตามว่าพวกเราเลือกไปที่ไหนกันบ้าง..


อากาศที่ San Francisco  เย็น  สบายๆ
คล้ายๆอากาศที่ Vancouver
บ้านพักที่อยู่อาศัยจะเป็น style แบบอังกฤษผสมสมัยใหม่
(San Francisco is known worldwide
 for its particularly eclectic mix of
Victorian and modern architecture.)




เช้านี้..หลังกินกาแฟและขนมปัง..
พวกเราทั้งสี่คนก็เดินเล่นเลาะเมืองไปเรื่อยๆ
จากโรงแรมที่พักไปยัง Fisherman Wharf
ผ่าน Farmer’s Market , ผ่าน Park
 โดยมีไกด์ Peter ผู้เชี่ยวชาญในการอ่านแผนที่
นำทางพาเดินไปยังเป้าหมาย
 “Pier 33” เพื่อไปรับ CIYTPASS












เนื่องจากเดินไปแวะไป..เกือบสองชั่วโมง
หลังจากได้ CITYPASS...พวกเราเลือกที่จะเข้าชม
Aquarium of the Bay ที่ Pier 39 เป็นจุดแรก
ซึ่งเป็น Public Aquariumที่ไม่ใหญ่มาก
แต่มีการดำเนินการและจัดการค่อนข้างดี
เราได้เห็นชีวิตของสัตว์ในท้องทะเลมากมาย
ที่อาศัยอยู่ใน San Francisco Bay
และบริเวณน่านน้ำใกล้ๆกัน






เนื่องจากขนมปังและกาแฟตอนเช้า
ได้ละลายไปพร้อมกับเวลาหลายชั่วโมง
ทำให้พวกเราสมาธิสั้น...รีบเดินชม
แต่ก็ไม่สามารถออกจาก Aquarium ได้โดยง่าย
เพราะ elevator จะพาเราไปดูในเรื่องถัดๆไปที่จัดไว้
ซึ่งใช้เวลาพอสมควรใน Aquarium



คุณบี้กับครูยุ่นเริ่มหน้ามืด  หิวจนลมออกหู....
พอออกจาก Aquarium..
เราสองคนก็เดินนำอย่างเร็วเพื่อหาร้าน Joe’s Crab Shack
ร้านปูสดสดที่ยุ้ยกะชัชบอก
สุดยอด..ยังไงต้องกินให้ได้..








และแล้ว...พวกเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
ร้าน Joe เป็นร้านใหญ่พอควร
พนักงานเสริฟน่ารัก มีความเป็นกันเอง
ราคาก็ไม่แพงมาก...
และที่สำคัญ..ปูสดสด อร่อยสุดๆ
เข้ากั๊น เข้ากัน กับน้ำจิ้มทะเลของราชาอีสาน
ไม่ผิดหวังเลยกับความตั้งใจมากิน..
เป็นมื้อที่ทุกคนประทับใจมากๆ  J


หลังท้องอิ่ม...พวกเราก็นั่ง cable car เข้า downtown










เดินเล่นชมเมืองใน downtown สักพักหนึ่ง


หิวอีกแล้ววววว......
มื้อเย็น..ก็นี่เลย King of Noodles
Thai Restaurant ชื่อดังใน San Francisco
ไม่ชิมไม่รู้.... ไม่ลองไม่ได้..
ทุกคนก็สั่งก๋วยเตี๋ยวกันคนละชามสองชาม
อร่อยสมคำร่ำลือเช่นกัน...
อิ่มหนำสำราญใจกันไปอีกมื้อหนึ่ง..







แต่....ช่วงตอนเช็คค่าอาหาร..
คุณบี้เหริญญิกของกลุ่มเรา
เล่นเอาทุกคนหัวใจเกือบวาย...
เพราะหาบัตรเครดิตไม่เจอ..
คุณบี้คิดว่าน่าจะลืมบัตรไว้ที่ร้าน Joe
จึงรีบโทรไปถามทางร้าน Joe
โชคดีที่ทางร้านได้เก็บบัตรเครดิตไว้ให้
หลังจากนั้น..พวกเรารีบนั่งรถกลับไป
ที่ Fisherman Wharf  เพื่อไปเอาบัตรเครดิต


งานนี้เราต้องขอชื่นชม
ในความซื่อสัตย์ของพนักงานเสริฟ
ที่นำบัตรที่ลูกค้าลืมไปให้ทางร้าน
สร้างความประทับใจให้เราถึงสองเด้ง


ฉะนั้น..หากครั้งหน้ามีโอกาส
มาเที่ยว San Francisco อีก..
ครูยุ่นและเพื่อนๆจะต้อง Eat at Joe

อุดหนุนร้านนี้อีกอย่างแน่นอน !!!