Monday, April 18, 2011

Driver license in Canada


เมื่อสองเดือนก่อน ฮ่งได้มีโอกาสไปสอบใบขับขี่ที่นี่...ซึ่งกว่าจะได้ driver license ของที่นี่มา..ขอบอก..โครต...รต...ยากยิ่งนัก...

เริ่มต้นเราต้องสอบผ่าน..knowledge test ก่อน..เค้าก้อมีหนังสือมาให้อ่าน..ก้ออ่านไป..หนึ่งเล่ม..ฮ่งก้ออ่านประมาณอาทิตย์กว่าๆนะ..เค้าก้อมีกะในใจว่าเมื่อไหร่จบ เมื่อไหร่พร้อมไปสอบ...คือเราต้องจำกฎเกณฑ์ต่างๆของที่นี่...ซึ่งจริงๆมันก้อคือสากลแหละ....และเราก้อต้องจำเป็นภาษาอังกฤษ...อันนี้แหละที่ยากนิดส์นึง...นอกจากนี้..การขับรถของบ้านเรา กับที่นี่มันมีความแตกต่างหลายอย่าง..ของเรา..พอเราขับได้..กฎเกณฑ์ของเรามันก้อไม่ได้เข้มอะไรมาก ชิมิ ??? แต่ที่นี่...คนละเรื่องเลยอ่ะ...กฎก้อคือกฎ...

สอบ knowledge test หรือข้อเขียน..มีห้าสิบข้อ..ถ้าทำผ่าน 80% ก้อคือสี่สิบข้อถูกหมด..เครื่องจะหยุดอัตโนมัติ..และผ่าน..ไม่ต้องทำครบห้าสิบข้อก้อได้ในบางคน...และหลังจากนั้น...คุณก้อจะต้องสอบ road test... ซึ่งผ่านยากมาก...จากสถิติล่าสุดที่รู้มา...ตอนพี่อ้อมสอบ road test ครั้งที่สาม...ถาม examiner เค้าบอกสถิติสูงสุดสอบ 29 ครั้งถึงผ่าน...พี่อ้อม..โล่งใจ..บอกพี่ยังห่างไกล ได้อีกตั้ง 26 ครั้ง....ทำให้มีกำลังใจในการสอบ...55555

ฮ่ง..ก้อต้องไปเรียนขับรถก่อน..ถึงแม้ว่าเราจะเคยขับที่บ้านเราก้อจริง..แต่สิ่งที่แตกต่างก้อคือพวงมาลัย North America เค้าพวงมาลัยซ้าย บ้านเราแบบอังกฤษ พวงมาลัยขวา..ขอบอก..ขนาดเป็นคนนั่งนะ..ยุ่นยังงงตลอดเลย..แล้วยุ่นเป็นคนมีปัญหาเรื่องซ้ายกับขวาด้วย... นอกจากนี้การสอบก้อแตกต่างกันมาก...อย่างของเรา..ไม่รู้ตอนนี้เป็นไง..แต่จำได้ว่าแต่ก่อน..ยุ่นก้อขับในบริเวณสนามสอบที่เค้ากำหนด แบบเราคันเดียวเดี่ยวๆ...แล้วก้อหัดจอดรถ..เข้าซอง อันนี้รู้สึกเป็นอะไรที่ยากสุดของยุ่น..

แต่ที่นี่..ไม่ใช่เลย.. examiner จะนั่งรถกับเราเลย..และฮ่งบอกเค้าจะไม่พูดอะไร มือถือกระดาษประเมินผล..แล้วจดอย่างเดียว..คิดดูก้อแล้วกัน กำลังขับรถแต่มีคนเพ่งมองเราตลอดเลยอ่ะ...เพ่งมองแบบจับผิดด้วย...55555

ฮ่งสอบ road test ครั้งแรกไม่ผ่าน...แต่ครั้งที่สองผ่าน..ซึ่งต้องถือว่าเก่งพอควร...เพราะอย่างที่บอกหลายคนสอบมากกว่าสามรอบ...และพวกพี่ๆเพื่อนๆที่ผ่านกันหมดบอกว่ามันขึ้นกับดวงด้วย..

ขึ้นกับว่า examiner จะพาเราไปถนนเส้นไหน...5555 ขับสดๆกันเลย..เจอสถานการณ์สดๆ แก้สดๆ..แล้วแต่ดวงวันนั้น ขณะที่เราขับเราจะเจออะไร...และเราก้อต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด เช่น สมมติเราเข้าเขตโรงเรียน..เราต้องสังเกตุป้าย มันจะมีป้ายบอก 30km/hr ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้ฮ่งตกในครั้งแรก... เค้าพาฮ่งไปที่ที่ฮ่งไม่รู้จัก ไม่เคยไป..แล้วพอผ่านเขตโรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น (playground)..ฮ่งก้อไม่รู้..มองไม่เห็น..เพราะต้นไม้มันก้อดันบังป้ายด้วย...ที่นี่เวลาเข้าเขตสองเขตนี้ ความเร็วรถต้องเหลือ 30km/hr นั่นหมายว่า ต้องไม่เกิน 30 km/hr...และอันนี้คือกฎที่สำคัญมาก..

เพิ่มเติม..เพราะเจ้าตัวนั่งข้างๆ..ถ้าขับใน residential area ต้องไม่เกิน 40 km/hr, ใน city ต้องไม่เกิน 50 km/hr, ขับ High way ไม่เกิน 70 km/hr.

อีกอย่าง..สมมติเรากำลังจะเลี้ยวรถตรงทางแยกที่มีไฟแดงไฟเขียว..หากคนกำลังข้ามถนนเนี่ย...เราไปไม่ได้นะ..ต้องรอให้เค้าข้ามไปจนไปอีกฝั่งของถนน.. เราถึงออกรถได้...ที่นี่คนเดินถนนเค้าใช้สิทธิ์เค้าเต็มที่...หลายครั้งที่ยุ่นเห็นคนเดินถนนชี้หน้าและตะโกนด่าคนขับรถที่ทำผิดกฎและล่วงเกินสิทธิ์เค้า..เค้าไม่ยอมเลยอ่ะ..คือเราก้อต้องมีคนแบบนี้ในสังคมเพื่อควบคุมกันเองเหมือนกันนะ ยุ่นว่า...และยังไม่ทันข้ามเดือนเลย..เมื่อวาน..ฮ่งขับรถไปซื้อของกับยุ่น..กำลังคิดเส้นทางว่าจะขับไปทางไหน..ตอนติดไฟแดงที่สี่แยก ดันจอดทับเส้นขาว...ไอ้ฝรั่ง คนเดินข้ามถนน มันจ้องหน้าฮ่งตลอดวลาที่เดินข้ามถนนเลยอ่ะ..มันเหมือนกับบอกว่า.."นี่..ตอนนี้เอ็งกำลังล้ำเส้นข้านะ..คราวหน้าอย่าทำนะ!!!" ฮ่งก้อยกมือขอโทษนะ..แต่หน้ามันยังเอาเรื่องอยู่เลย..สิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราระวังมากขึ้นในครั้งต่อไป..แบบจะมามั่วๆสั่วๆไม่ได้

หรือ..อย่างทางแยกเนี่ย..ไฟเหลืองแปลว่าเตรียมหยุด..ไม่ใช่เตรียมฝ่า..ถ้าฝ่าไป..ก้อตก..แน่นอน

หรือ...เวลาถึงทางแยกใช่มะ..ถ้าเห็นป้าย stop มันหมายว่าต้องหยุดจริงๆ..( fully stop = ไม่มีการเคลื่อนของรถเลย) หลังเส้นขาวด้วย..แล้วก้อนับ 1..2..3 แล้วค่อยโผล่หน้าออกไปดูว่า..สี่แยกเนี่ยมีรถมามั้ย..และถ้าจะเลี้ยว..หรือเปลี่ยนเลนส์ต้องทำ shoulder check (ต้องหันหัวไปมองกระจกหลังที่คนข้างหลังนั่ง...ไม่ใช่มองกระจกหูช้างเท่านั้น) ถ้าไม่ทำ..ก้อตก...

และที่นี่..เวลาตรงสี่แยกใช่มะ..ถ้ามี stop คือเราต้องให้ทางเอกไปก่อน..จากนั้นเราค่อยไป..แต่ถ้าไม่มี stop เราต้องแค่ชลอ...หยุดไม่ได้นะ..ฮ่งบอก ถ้าเหยียบเบรค..หยุด..ตกเลย..ต้องชลอและค่อยๆดู..และถ้าเราเป็นฝั่งไม่มี stop sign เราต้องไป..แต่ถ้าเราเลี้ยวเราก้อให้อีกฝั่งตรงข้ามที่ไม่มี stop เหมือนเราไปก่อน...มันเป็นอะไรที่เค้ารู้ว่าใครได้สิทธ์ก่อน..

ปัญหามันจะอยู่ตรงสี่แยกเนี่ยแหละ...เพราะของบ้านเรา ใครไวใครได้ แต่ที่นี่ถ้าเป็น 3 ways stop ก้อคือใครมาก่อนก้อไปก่อน..แต่ถ้าเกิดมาพร้อมกันทั้งสามคัน..เค้าก้อจะใช้กฎ Yield of Right...ให้คันขวาของเราไปก่อน..เชื่อมะ..ฮ่งบอก..ตอนนี้ฮ่งยัง..งงเลยว่า..ตอนขับอ่ะ..ใครมาก่อนกันแน่เนี่ย..5555 ไม่ต้องถามยุ่นเลยนะ..ว่างงแค่ไหน..ซุปเปอร์งงเลยอ่ะ..


หรือบางทีขับไปบน high way และป้ายบอก 80 km/hr ก้อคือต้องตามนั้น มากกว่าไม่ได้แน่..แต่ที่แปลกคือน้อยกว่าก้อไม่ได้....ทำเอาพวกเราก้องง..งง..มากเลย..เค้าบอกว่าถ้าภายใต้ good condition คือถนนว่าง ไม่มีรถ..แล้วยังทะลึ่งขับ 50 km/hr ตกนะค้า.....ขอบอก เหตุผลคือคุณอ่านป้ายแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์....แต่ในชีวิตจริง..เวลาขับ..ฮ่งบอก..ห้ามขับเกินที่กำหนด..แต่ขับต่ำกว่าได้..แต่คนเราอย่างว่าเนอะ..เวลาเห็นถนนโล่ง เราก้อใส่เลย..อันนี้ต้องระวังนะค้า..ถ้าเกิน speed limit ...ตำรวจจะตามมาในไม่ช้า...

หรือขับๆอยู่ได้ยินเสียง ambulance คือมีรถฉุกเฉินมาแน่ๆ..รถบนถนนทุกคันที่ได้ยินเสียงต้องหยุดหมด..ถ้าเราอยู่กลางถนนให้พยายามชิดข้างทางจอด..เพื่อให้ ambulance เลือกว่าเค้าจะไปทางไหน...ทีแรกฮ่งกับยุ่นไม่รู้กฎข้อนี้เลย..และไม่เคยสังเกตุ..พอฮ่งต้องไปสอบ..ทำให้รู้..และสังเกตุบนถนนเวลานั่งรถเมล์...เออ..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย..แล้วที่นี่รถ Ambulance มันวิ่งเยอะมากเลย..อาทิตย์หนึ่งบางทีออกไปข้างนอกนะ..เจอสามสี่วันเลยอ่ะ..

นอกจากนั้น เวลาจอดรถอีก..ถ้าจอดแบบหัวรถกำลังขึ้นเขา...ล้อรถต้องหันออกนอกถนน..แต่ถ้าจอดหัวรถกำลังลงเขา..ล้อรถต้องหันเข้า footpath...ที่ Vancouver มันเป็นเมืองแบบมีเนินเขาเยอะไง..ที่มันเดี๋ยวก้อสูงบ้างต่ำบ้าง...เพราะฉะนั้น..เป็นอะไรที่ทุกคนต้องรู้ และต้องทำ..ฮ่งบอกอันนี้เค้าให้ฮ่งทำอันแรกเลย...เพื่อนบางคนบอก..ขับๆไป มันให้จอดรถ..เค้าก้อลืมเรื่องนี้...แบบมันให้จอดตอนเป็นขาขึ้นของเขา...แต่เค้าไม่ได้นึกถึง ก้อจอดแบบล้อตรงอย่างสวยงาม..ปรากฎตกค่ะ..

และก้อมีอีกที่ยุ่นกลัวมากเลยก้อคือ..เวลาถึงทางแยกไฟแดงไฟเขียว..ถ้าเราเป็นคันแรกหรือคันที่สองที่ต้องเลี้ยวเนี่ย..ถ้าสี่แยกนั้นไม่มีไฟเขียวเลี้ยว..มันมีจังหวะนึงใช่มะ..เราต้องไปรอกลางถนน..เพื่อรอเลี้ยว....เสียวไส้มากเลยอ่ะ..ไม่เคยทำตอนอยู่ไทยเลย..และชีวิตนี้ก้อไม่รู้ว่าเค้ามีการทำแบบนี้..เพราะตอนอยู่ไทยขืนทำแบบนั้น..อาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้....แต่ที่นี่มันคือเราต้องทำ..มันเป็นกติกา...เราต้องไปรอกลางถนน...คือเรียกว่าเค้าไว้ใจในฝีมือการขับรถของคนที่นี่มาก..ว่าไม่มีมั่วแบบบ้านเรา...แต่ยุ่นก้อยังรู้สึกไม่ไว้ใจเค้าอยู่ดี...เพราะเราเรียนรู้มาแบบนี้...แต่ที่นี่เค้าขับรถกันไม่เร็ว...ช้าๆ ค่อยๆไป ไม่เร่งรีบ..

เท่าที่ฟังเนี่ย..มันจึงไม่หมูในการผ่านแน่นอน..และ..ถ้ายิ่งเราผิดกฎที่เป็นกฎหลักสำคัญ กฎเดียวก้อไม่ผ่าน..แต่ถ้าพวกเล็กๆน้อยๆ..เค้าอาจพอทำเนา...อันนี้ฮ่งบอกนะ..ครั้งที่สอง..ฮ่งก้อผ่านฉลุย..ครั้งแรก examiner เป็นเอเชีย...ครั้งสองเป็นฝรั่ง....ท่าทางฮ่งน่าจะถูกกับฝรั่งนะ...

อันนี้แค่ขับรถส่วนบุคคลนะ..หมายถึงว่าเราขับรถส่วนตัวนะ..แต่ถ้าใครที่ขับพวกรถเมล์..การสอบจะยากกว่านี้ขึ้นไปอีก ไม่ใช่แบบนี้..มันมีระดับความยากมากขึ้น ขึ้นกับความรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่ไปกับเราหรือที่เราต้องเกี่ยวข้อง....ยิ่่งถ้าต้องขับรถ truck อันนี้ก้อยากเหมือนกัน..มันสลับกับของเราเลย....และไม่ใช่อยู่ดีก้อไปสอบได้นะ..คุณต้องไปเรียน..กับ instructor ที่ก้อต้องผ่านการสอบ ต้องมีใบรับรอง certificate...ยุ่นก้อเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเค้าจึงเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างต้อง professional.... เค้าถึงบอกไง..เรียนรู้ได้ไม่มีวันสิ้นสุด..

ฟังแล้วทำให้ยุ่นไม่อยากไปสอบเลย..เพราะก่อนสอบก้อต้องไปเรียนก้อหลายตังส์นะ..ครั้งนึงเรียนสองชั่วโมง 60-80 เหรียญ เรียนกี่ครั้งก้อคูณไป..วันสอบ..เราก้อต้องเช่ารถ..instructor อีก..ค่าเช่าอีก 100-120 เหรียญ...ยังมีค่าสอบ 50 เหรียญ ถ้าสอบได้ก้อเสียเพิ่มอีก 31 เหรียญค่า fee...แต่ถ้าสอบตก..ก้อ ค่าเช่ารถบวก 50เหรียญ ก้อเกือบ 200 เหรียญ..หายไปอีกแล้ว... ค่าโน้นค่านี่..เฮ้อ..เงินทั้งน้าน..ประเทศนี้...

อันนี้ก้อเล่าผ่านความรู้สึกฮ่ง..แต่คิดว่าอีกไม่นาน ยุ่นก้อคงต้องไปสอบเหมือนกัน..และจะมา confirm ความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง..ว่า..."ใช่เลย!!!! โครต...รต...ยากเลย..."

Wednesday, April 6, 2011

My Presentation 2

และแล้ว..วันที่นักเรียนต้อง presentation หนังสือที่ตัวเองเลือกอ่านก้อมาถึง..

ทอมเค้ามีเอาหนังสือมาให้เลือกหลายเรื่องอยู่..มีแนวรัก...สืบสวน..ผจญภัย..ชีวิต แล้วก้อตลกฮาฮา..แล้วแต่ใครจะเลือกเล่มไหน..แต่ปัญหาคือไอ้เล่มที่ยุ่นอยากได้ เราต้องรอคิวเพราะมีการยืมยาว..ซึ่งไม่รู้เมื่อไร..จึงต้องตัดสินใจเอาเล่มที่มีในห้องสมุดตอนนั้น ซึ่งก้อคือ Treasure Island...

หลังจากที่ยุ่นได้ใช้ความพยายามในการอ่านประมาณเกือบ 100 หน้า..ให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวที่เราชอบเลย..อ่านแล้วเบื่อมากๆ..เพราะมันเป็นแนวผจญภัย...ยุ่นว่าเด็กผู้ชายน่าจะชอบมากกว่า..และอีกอย่างภาษาที่เค้าใช้ ก้อจะเป็นแสลงของพวกโจรสลัด..เข้าใจยากมากๆ...เลย delete ทำการหาเอง..โดยไปยืนอ่านที่ shelf ในห้องสมุด..ยืนหาจนเจอเล่มที่เราอ่านไปสักสิบกว่าหน้าแล้วมันน่าสนใจ..ก้อเลยเลือก The Walk ของ Richard Paul Evans....

การ presentation ทอมมีตารางให้ present วันละ 5 คน ก้ออยู่ประมาณ 6 วัน..ก้อค่อยๆฟังกันไป..และสำหรับการมาบอกเล่าหนังสือที่เราอ่าน ( ไม่ใช่ภาษาของเรา) และมาบอกเล่าเป็นภาษาที่ไม่ใช่ของเราอีก..มันก้อไม่ง่ายนัก มีนักเรียนหลายคนถามว่าจะ presentation อย่างไรที่จะให้คนอื่นเค้ารู้เรื่องที่เราอ่านในเวลาไม่เกินสิบนาที พร้อมใส่ความคิดเห็น..ของเราว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบเรื่องนี้..จะทำได้ไง..( ลืมบอกไปนักเรียนในห้องส่วนใหญ่เป็นประชาชนชาวจีน..มีไทยหนึ่ง สเปนหนึ่ง ตะวันออกกลางหนึ่ง อินเดียหนึ่ง ) และแ่ต่ละชาติก้ออย่างที่บอกมันมีสำเนียงของตัวเองในการพูดภาษาอังกฤษ...ซึ่งหากเราไม่ใช่ฝรั่ง..เราจะฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก..

ทอมก้อไม่ได้สาธิตให้ดู..แต่ก้อพูดคร่าวๆว่าเป็นแนวนี้...สรุป ทุกคนไปงมหาทางกันเอง..

วันแรก..สี่คนแรก..เรียกว่าเป็นผู้เสียสละมาก..เพราะไม่มีทิศทาง..และก้อพูดกันไปคนละ 15-20 นาที...คนฟังก้อฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง..แต่ยุ่นรู้เลยว่ามันยากในการที่เราจะ present ออกมาจริงๆ..

ทอมเค้าก้อแนะว่าเหมือนเราเขียน essay บอกความรู้สึกว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบหนังสือเรื่องนี้ เค้าให้ทุกคนทำ book review จากนั้นก้อเอาไอ้ book review เนี่ย..มาเรียบเรียงเป็น essay

ยุ่นก้อเลยลองดู..วันที่ยุ่น present เป็นวันที่สี่...และจริงๆยุ่นได้เป็นคิวสุดท้าย.. ปรากฎคิว 1 2 3 มาสาย ยุ่นเลยกลายเป็นคนที่สอง..คนแรกเป็นผู้ชายจีนอายุมากแล้วเหมือนกัน....หนังสือที่เค้าเลือกเป็นแนวสืบสวน..ฟังไม่เข้าใจเลย..เค้าพูดประมาณ 25 นาที ถูกทอมเตือนเรื่องเวลาเกินสองรอบ...

จากนั้นก้อเป็นยุ่น...ก้อประมาณนี้นะ..ใช้เวลาประมาณหกนาทีกว่าๆ...คิดว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป..

Good afternoon. My name is Suwannee.
Today I’m going to tell you about the novel I read “The Walk”

When we face with miserable moment, it’s not easy to accept the pain and pass through it. In Richard Paul Evans “The Walk” is a story about a simple man that could be any man we meet on the street. Unexpectedly, one day his life is collapsed in a very short time. What he has lost and finally what he has found. We truly don’t know about him until this book is opened, “The Walk.”

The story sets in 2005. Alan Chistoffersen a Seattle advertising executive whose life is perfect: he’s happily married to his childhood sweetheart, McKale, also he’s very successful in his career. He and his friend, Kyle, own an advertising company when Alan is only 28 years old. Within less than six weeks, his life changes from fulfillment to nothing. His wife has a serious accident- throw from a horse and she’s paralyzed. He spends three weeks at her side and leaves his business in Kyle’s hand. When he comes back to his company, he finds out that Kyle has betrayed him. Kyle takes all his clients and employees with him and opens another new company. Moreover, his car is repossessed, his house is foreclosed and his wife’s medical bill is more than a quarter million dollars that makes him panic. The worse thing follows, a few days later his wife has a urinary infection that has spread to her blood stream. She dies soon and Alan is left alone with his misery. He’s tempted by his darkest thoughts and decides to end his problems with a bottle of pills. At that moment, a voice stops him. “Life is not yours to take.” In spite of hopeless, he leaves everything behind him and decides to take a walk from Seattle to Spokane. The people he meets along his way and the lessons they share with him make him find himself, change his thoughts and finally save his life.

Another character that I was impressed in this story is Ally- a young waitress Alan meets on his journey. She works in a roadside diner and has very tough life herself. However, she is concerned other’s people’s feeling, she's friendly, generous, and she is an optimistic and a strong woman who looks for the good in life. She gives Alan the food of thought, “The thing is, the only real sign of life is growth. And growth requires pain. So to choose life is accept pain. Some people go to such lengths to avoid pain that they give up on life. They bury their heart, or they drug or drink themselves numb until they don't feel anything anymore. The irony is, in the end their escape becomes more painful than what they're avoiding."

Also she encourages Alan in not giving up living, “You know, [McKale] is not really gone. She’s still a part of you. What part of you is your choice. She can be a spring of gratitude and joy, or she can be a fountain of bitterness and pain. It’s entirely up to you.” To me, this is a very powerful part in this book that I admire.


I do like “The Walk” because it is a simple and contemporary novel that we can easily understand the characters and situations. Also, at the beginning of each chapter, there are two or three lines of Alan’s diary that is like a hook which makes me eager to know what will happen next. For example:
- The reason we start things is rarely the reason we continue them. OR
- Often the simplest of decisions carry the direst of consequences

Moreover, the meaning behind this story gives me some good thinking that we are all on walk. We don’t know what lies ahead of us. However, there are people we’ve yet to meet who are waiting for our path to intersect with theirs, so they can complete their own journeys and we can complete ours. Also, we should look for beauty in everyone we meet, and we will find the good parts inside them. Furthermore, in one’s life, we have chances to meet both happiness and sadness. However, when we face with miserable moment, although it’s painful, we learn from it and we grow up. It’s our choice how to look through the problem. We can be victims of the circumstance or master of our own fate. We can apply this inspiration to our real life. The walk is a wonderful book I highly recommend everyone to read and I give the walk 8 marks.

Thank you for your attention!!!

เมื่อเทียบกับลุงคนแรก ของยุ่นแบบสั้นกระชับ จนทุกคนน่าจะงง...พอเดินลงมา..ผู้หญิงสเปนที่นั่งหน้าสุดเค้าก้อยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ยุ่น...และตอนช่วงพัก..เค้าก้อหันหลังมาชมยุ่นเสียงดังเลย...( เค้านั่งหน้าห้องสุด ยุ่นนั่งหลังห้องสุด ) " Your presentation is very good!" ยุ่นก้อยิ้มกว้าง ดีใจนะ..ก้อขอบคุณเค้า..เพื่อนคนจีนที่นั่งข้างยุ่นก้อชมเรา..แหม..เรารู้สึกตัวมันจะลอยๆไงไม่รุ้..แต่ก้อรู้สึกดีนะ..

อาจเพราะเวลา present ยุ่นจะพูดช้าและชัดเจน..คิดว่าทำให้คนฟังฟังรู้เรื่อง อีกอย่างเรื่องที่เราเลือกก้อแบบไม่สลับซับซ้อน..และเราใช้ศัพท์ง่ายๆ..ให้พวกเค้าฟังเข้าใจ...จริงๆเรื่องที่ยุ่นเลือกเนี่ย..ไม่ใช่เรื่องที่ทอมแนะนำ..เป็นเรื่องธรรมดามาก..ของเพื่อนๆ..เป็นแนวสืบสวนเอย...แนวผจญภัยเอย...คิดดูสิ ศัพท์แสงมันก้อคงยาก...เรื่องก้อเข้าใจยาก... ส่วนของยุ่น..คนฟังคงฟังรู้เรื่องมากกว่า...ถือว่าโชคดีไป...เพราะฉะนั้น การเลือกเรื่องง่ายๆ....ไม่ซับซ้อน..ก้อมีชัยไปกว่าครึ่ง...55555

และนี่ก้อเป็นการสอบอันสุดท้ายของ Communication 11 ...