เมื่อสองเดือนก่อน ฮ่งได้มีโอกาสไปสอบใบขับขี่ที่นี่...ซึ่งกว่าจะได้ driver license ของที่นี่มา..ขอบอก..โครต...รต...ยากยิ่งนัก...
เริ่มต้นเราต้องสอบผ่าน..knowledge test ก่อน..เค้าก้อมีหนังสือมาให้อ่าน..ก้ออ่านไป..หนึ่งเล่ม..ฮ่งก้ออ่านประมาณอาทิตย์กว่าๆนะ..เค้าก้อมีกะในใจว่าเมื่อไหร่จบ เมื่อไหร่พร้อมไปสอบ...คือเราต้องจำกฎเกณฑ์ต่างๆของที่นี่...ซึ่งจริงๆมันก้อคือสากลแหละ....และเราก้อต้องจำเป็นภาษาอังกฤษ...อันนี้แหละที่ยากนิดส์นึง...นอกจากนี้..การขับรถของบ้านเรา กับที่นี่มันมีความแตกต่างหลายอย่าง..ของเรา..พอเราขับได้..กฎเกณฑ์ของเรามันก้อไม่ได้เข้มอะไรมาก ชิมิ ??? แต่ที่นี่...คนละเรื่องเลยอ่ะ...กฎก้อคือกฎ...
สอบ knowledge test หรือข้อเขียน..มีห้าสิบข้อ..ถ้าทำผ่าน 80% ก้อคือสี่สิบข้อถูกหมด..เครื่องจะหยุดอัตโนมัติ..และผ่าน..ไม่ต้องทำครบห้าสิบข้อก้อได้ในบางคน...และหลังจากนั้น...คุณก้อจะต้องสอบ road test... ซึ่งผ่านยากมาก...จากสถิติล่าสุดที่รู้มา...ตอนพี่อ้อมสอบ road test ครั้งที่สาม...ถาม examiner เค้าบอกสถิติสูงสุดสอบ 29 ครั้งถึงผ่าน...พี่อ้อม..โล่งใจ..บอกพี่ยังห่างไกล ได้อีกตั้ง 26 ครั้ง....ทำให้มีกำลังใจในการสอบ...55555
ฮ่ง..ก้อต้องไปเรียนขับรถก่อน..ถึงแม้ว่าเราจะเคยขับที่บ้านเราก้อจริง..แต่สิ่งที่แตกต่างก้อคือพวงมาลัย North America เค้าพวงมาลัยซ้าย บ้านเราแบบอังกฤษ พวงมาลัยขวา..ขอบอก..ขนาดเป็นคนนั่งนะ..ยุ่นยังงงตลอดเลย..แล้วยุ่นเป็นคนมีปัญหาเรื่องซ้ายกับขวาด้วย... นอกจากนี้การสอบก้อแตกต่างกันมาก...อย่างของเรา..ไม่รู้ตอนนี้เป็นไง..แต่จำได้ว่าแต่ก่อน..ยุ่นก้อขับในบริเวณสนามสอบที่เค้ากำหนด แบบเราคันเดียวเดี่ยวๆ...แล้วก้อหัดจอดรถ..เข้าซอง อันนี้รู้สึกเป็นอะไรที่ยากสุดของยุ่น..
แต่ที่นี่..ไม่ใช่เลย.. examiner จะนั่งรถกับเราเลย..และฮ่งบอกเค้าจะไม่พูดอะไร มือถือกระดาษประเมินผล..แล้วจดอย่างเดียว..คิดดูก้อแล้วกัน กำลังขับรถแต่มีคนเพ่งมองเราตลอดเลยอ่ะ...เพ่งมองแบบจับผิดด้วย...55555
ฮ่งสอบ road test ครั้งแรกไม่ผ่าน...แต่ครั้งที่สองผ่าน..ซึ่งต้องถือว่าเก่งพอควร...เพราะอย่างที่บอกหลายคนสอบมากกว่าสามรอบ...และพวกพี่ๆเพื่อนๆที่ผ่านกันหมดบอกว่ามันขึ้นกับดวงด้วย..
ขึ้นกับว่า examiner จะพาเราไปถนนเส้นไหน...5555 ขับสดๆกันเลย..เจอสถานการณ์สดๆ แก้สดๆ..แล้วแต่ดวงวันนั้น ขณะที่เราขับเราจะเจออะไร...และเราก้อต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด เช่น สมมติเราเข้าเขตโรงเรียน..เราต้องสังเกตุป้าย มันจะมีป้ายบอก 30km/hr ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้ฮ่งตกในครั้งแรก... เค้าพาฮ่งไปที่ที่ฮ่งไม่รู้จัก ไม่เคยไป..แล้วพอผ่านเขตโรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น (playground)..ฮ่งก้อไม่รู้..มองไม่เห็น..เพราะต้นไม้มันก้อดันบังป้ายด้วย...ที่นี่เวลาเข้าเขตสองเขตนี้ ความเร็วรถต้องเหลือ 30km/hr นั่นหมายว่า ต้องไม่เกิน 30 km/hr...และอันนี้คือกฎที่สำคัญมาก..
เพิ่มเติม..เพราะเจ้าตัวนั่งข้างๆ..ถ้าขับใน residential area ต้องไม่เกิน 40 km/hr, ใน city ต้องไม่เกิน 50 km/hr, ขับ High way ไม่เกิน 70 km/hr.
อีกอย่าง..สมมติเรากำลังจะเลี้ยวรถตรงทางแยกที่มีไฟแดงไฟเขียว..หากคนกำลังข้ามถนนเนี่ย...เราไปไม่ได้นะ..ต้องรอให้เค้าข้ามไปจนไปอีกฝั่งของถนน.. เราถึงออกรถได้...ที่นี่คนเดินถนนเค้าใช้สิทธิ์เค้าเต็มที่...หลายครั้งที่ยุ่นเห็นคนเดินถนนชี้หน้าและตะโกนด่าคนขับรถที่ทำผิดกฎและล่วงเกินสิทธิ์เค้า..เค้าไม่ยอมเลยอ่ะ..คือเราก้อต้องมีคนแบบนี้ในสังคมเพื่อควบคุมกันเองเหมือนกันนะ ยุ่นว่า...และยังไม่ทันข้ามเดือนเลย..เมื่อวาน..ฮ่งขับรถไปซื้อของกับยุ่น..กำลังคิดเส้นทางว่าจะขับไปทางไหน..ตอนติดไฟแดงที่สี่แยก ดันจอดทับเส้นขาว...ไอ้ฝรั่ง คนเดินข้ามถนน มันจ้องหน้าฮ่งตลอดวลาที่เดินข้ามถนนเลยอ่ะ..มันเหมือนกับบอกว่า.."นี่..ตอนนี้เอ็งกำลังล้ำเส้นข้านะ..คราวหน้าอย่าทำนะ!!!" ฮ่งก้อยกมือขอโทษนะ..แต่หน้ามันยังเอาเรื่องอยู่เลย..สิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราระวังมากขึ้นในครั้งต่อไป..แบบจะมามั่วๆสั่วๆไม่ได้
หรือ..อย่างทางแยกเนี่ย..ไฟเหลืองแปลว่าเตรียมหยุด..ไม่ใช่เตรียมฝ่า..ถ้าฝ่าไป..ก้อตก..แน่นอน
หรือ...เวลาถึงทางแยกใช่มะ..ถ้าเห็นป้าย stop มันหมายว่าต้องหยุดจริงๆ..( fully stop = ไม่มีการเคลื่อนของรถเลย) หลังเส้นขาวด้วย..แล้วก้อนับ 1..2..3 แล้วค่อยโผล่หน้าออกไปดูว่า..สี่แยกเนี่ยมีรถมามั้ย..และถ้าจะเลี้ยว..หรือเปลี่ยนเลนส์ต้องทำ shoulder check (ต้องหันหัวไปมองกระจกหลังที่คนข้างหลังนั่ง...ไม่ใช่มองกระจกหูช้างเท่านั้น) ถ้าไม่ทำ..ก้อตก...
และที่นี่..เวลาตรงสี่แยกใช่มะ..ถ้ามี stop คือเราต้องให้ทางเอกไปก่อน..จากนั้นเราค่อยไป..แต่ถ้าไม่มี stop เราต้องแค่ชลอ...หยุดไม่ได้นะ..ฮ่งบอก ถ้าเหยียบเบรค..หยุด..ตกเลย..ต้องชลอและค่อยๆดู..และถ้าเราเป็นฝั่งไม่มี stop sign เราต้องไป..แต่ถ้าเราเลี้ยวเราก้อให้อีกฝั่งตรงข้ามที่ไม่มี stop เหมือนเราไปก่อน...มันเป็นอะไรที่เค้ารู้ว่าใครได้สิทธ์ก่อน..
ปัญหามันจะอยู่ตรงสี่แยกเนี่ยแหละ...เพราะของบ้านเรา ใครไวใครได้ แต่ที่นี่ถ้าเป็น 3 ways stop ก้อคือใครมาก่อนก้อไปก่อน..แต่ถ้าเกิดมาพร้อมกันทั้งสามคัน..เค้าก้อจะใช้กฎ Yield of Right...ให้คันขวาของเราไปก่อน..เชื่อมะ..ฮ่งบอก..ตอนนี้ฮ่งยัง..งงเลยว่า..ตอนขับอ่ะ..ใครมาก่อนกันแน่เนี่ย..5555 ไม่ต้องถามยุ่นเลยนะ..ว่างงแค่ไหน..ซุปเปอร์งงเลยอ่ะ..
หรือบางทีขับไปบน high way และป้ายบอก 80 km/hr ก้อคือต้องตามนั้น มากกว่าไม่ได้แน่..แต่ที่แปลกคือน้อยกว่าก้อไม่ได้....ทำเอาพวกเราก้องง..งง..มากเลย..เค้าบอกว่าถ้าภายใต้ good condition คือถนนว่าง ไม่มีรถ..แล้วยังทะลึ่งขับ 50 km/hr ตกนะค้า.....ขอบอก เหตุผลคือคุณอ่านป้ายแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์....แต่ในชีวิตจริง..เวลาขับ..ฮ่งบอก..ห้ามขับเกินที่กำหนด..แต่ขับต่ำกว่าได้..แต่คนเราอย่างว่าเนอะ..เวลาเห็นถนนโล่ง เราก้อใส่เลย..อันนี้ต้องระวังนะค้า..ถ้าเกิน speed limit ...ตำรวจจะตามมาในไม่ช้า...
หรือขับๆอยู่ได้ยินเสียง ambulance คือมีรถฉุกเฉินมาแน่ๆ..รถบนถนนทุกคันที่ได้ยินเสียงต้องหยุดหมด..ถ้าเราอยู่กลางถนนให้พยายามชิดข้างทางจอด..เพื่อให้ ambulance เลือกว่าเค้าจะไปทางไหน...ทีแรกฮ่งกับยุ่นไม่รู้กฎข้อนี้เลย..และไม่เคยสังเกตุ..พอฮ่งต้องไปสอบ..ทำให้รู้..และสังเกตุบนถนนเวลานั่งรถเมล์...เออ..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย..แล้วที่นี่รถ Ambulance มันวิ่งเยอะมากเลย..อาทิตย์หนึ่งบางทีออกไปข้างนอกนะ..เจอสามสี่วันเลยอ่ะ..
นอกจากนั้น เวลาจอดรถอีก..ถ้าจอดแบบหัวรถกำลังขึ้นเขา...ล้อรถต้องหันออกนอกถนน..แต่ถ้าจอดหัวรถกำลังลงเขา..ล้อรถต้องหันเข้า footpath...ที่ Vancouver มันเป็นเมืองแบบมีเนินเขาเยอะไง..ที่มันเดี๋ยวก้อสูงบ้างต่ำบ้าง...เพราะฉะนั้น..เป็นอะไรที่ทุกคนต้องรู้ และต้องทำ..ฮ่งบอกอันนี้เค้าให้ฮ่งทำอันแรกเลย...เพื่อนบางคนบอก..ขับๆไป มันให้จอดรถ..เค้าก้อลืมเรื่องนี้...แบบมันให้จอดตอนเป็นขาขึ้นของเขา...แต่เค้าไม่ได้นึกถึง ก้อจอดแบบล้อตรงอย่างสวยงาม..ปรากฎตกค่ะ..
และก้อมีอีกที่ยุ่นกลัวมากเลยก้อคือ..เวลาถึงทางแยกไฟแดงไฟเขียว..ถ้าเราเป็นคันแรกหรือคันที่สองที่ต้องเลี้ยวเนี่ย..ถ้าสี่แยกนั้นไม่มีไฟเขียวเลี้ยว..มันมีจังหวะนึงใช่มะ..เราต้องไปรอกลางถนน..เพื่อรอเลี้ยว....เสียวไส้มากเลยอ่ะ..ไม่เคยทำตอนอยู่ไทยเลย..และชีวิตนี้ก้อไม่รู้ว่าเค้ามีการทำแบบนี้..เพราะตอนอยู่ไทยขืนทำแบบนั้น..อาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้....แต่ที่นี่มันคือเราต้องทำ..มันเป็นกติกา...เราต้องไปรอกลางถนน...คือเรียกว่าเค้าไว้ใจในฝีมือการขับรถของคนที่นี่มาก..ว่าไม่มีมั่วแบบบ้านเรา...แต่ยุ่นก้อยังรู้สึกไม่ไว้ใจเค้าอยู่ดี...เพราะเราเรียนรู้มาแบบนี้...แต่ที่นี่เค้าขับรถกันไม่เร็ว...ช้าๆ ค่อยๆไป ไม่เร่งรีบ..
เท่าที่ฟังเนี่ย..มันจึงไม่หมูในการผ่านแน่นอน..และ..ถ้ายิ่งเราผิดกฎที่เป็นกฎหลักสำคัญ กฎเดียวก้อไม่ผ่าน..แต่ถ้าพวกเล็กๆน้อยๆ..เค้าอาจพอทำเนา...อันนี้ฮ่งบอกนะ..ครั้งที่สอง..ฮ่งก้อผ่านฉลุย..ครั้งแรก examiner เป็นเอเชีย...ครั้งสองเป็นฝรั่ง....ท่าทางฮ่งน่าจะถูกกับฝรั่งนะ...
อันนี้แค่ขับรถส่วนบุคคลนะ..หมายถึงว่าเราขับรถส่วนตัวนะ..แต่ถ้าใครที่ขับพวกรถเมล์..การสอบจะยากกว่านี้ขึ้นไปอีก ไม่ใช่แบบนี้..มันมีระดับความยากมากขึ้น ขึ้นกับความรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่ไปกับเราหรือที่เราต้องเกี่ยวข้อง....ยิ่่งถ้าต้องขับรถ truck อันนี้ก้อยากเหมือนกัน..มันสลับกับของเราเลย....และไม่ใช่อยู่ดีก้อไปสอบได้นะ..คุณต้องไปเรียน..กับ instructor ที่ก้อต้องผ่านการสอบ ต้องมีใบรับรอง certificate...ยุ่นก้อเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเค้าจึงเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างต้อง professional.... เค้าถึงบอกไง..เรียนรู้ได้ไม่มีวันสิ้นสุด..
ฟังแล้วทำให้ยุ่นไม่อยากไปสอบเลย..เพราะก่อนสอบก้อต้องไปเรียนก้อหลายตังส์นะ..ครั้งนึงเรียนสองชั่วโมง 60-80 เหรียญ เรียนกี่ครั้งก้อคูณไป..วันสอบ..เราก้อต้องเช่ารถ..instructor อีก..ค่าเช่าอีก 100-120 เหรียญ...ยังมีค่าสอบ 50 เหรียญ ถ้าสอบได้ก้อเสียเพิ่มอีก 31 เหรียญค่า fee...แต่ถ้าสอบตก..ก้อ ค่าเช่ารถบวก 50เหรียญ ก้อเกือบ 200 เหรียญ..หายไปอีกแล้ว... ค่าโน้นค่านี่..เฮ้อ..เงินทั้งน้าน..ประเทศนี้...
อันนี้ก้อเล่าผ่านความรู้สึกฮ่ง..แต่คิดว่าอีกไม่นาน ยุ่นก้อคงต้องไปสอบเหมือนกัน..และจะมา confirm ความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง..ว่า..."ใช่เลย!!!! โครต...รต...ยากเลย..."