Monday, February 24, 2014

The Apple Doesn't Fall Far From The Tree

The Apple Doesn't Fall Far From The Tree เป็น proverb ของฝรั่ง แต่มีต้นกำเนิดมาจากแถบเอเชีย ซึ่งเทียบเป็นภาษิตไทย ก้อคือ "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนั่นเอง..."

จากหัวข้อเรื่องที่ตั้งเนี่ย  ก้อคงพอจะรู้คร่าวๆว่าเรื่องราวที่ครูยุ่นจะถ่ายทอดในวันนี้คงต้องเกี่ยวกับลูกชายครูยุ่นอย่างแน่นอน...^^

จำได้ว่าตอนน้องยีนอยู่ที่เมืองไทย ช่วงประถม 4 หรือ 5 เนี่ยแหละไม่แน่ใจ มีวันหนึ่ง ครูเลขที่โรงเรียน อ.ครณ์ศรี (น่าจะสะกดไม่ผิด)  เชิญยุ่นไปคุย และเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันก่อน ตอนสอนเลขอยู่ ยีนยกมือขึ้นแย้งว่าครูสอนผิดในห้องเรียนท่ามกลางนักเรียนทั้งห้อง  หลังชั่วโมงนั้น อาจารย์เลยเรียกยีนมาคุย และเตือนว่า ไม่ควรทำแบบนี้  เพราะมันเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติครูผู้สอน  ควรมาบอกครูหลังเลิกเรียนเป็นการส่วนตัว  แต่พอดีเป็นอาจารย์ครณ์ศรี อาจารย์เลยไม่ถือสา  แต่หากเป็นอาจารย์ท่านอื่น  เค้าจะไม่พอใจที่น้องยีนทำแบบนี้

ในเวลานั้น  ยุ่นเองไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรดี  ทั้งที่ตัวเราเองรู้สึกว่าลูกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ครูก้อเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง  สอนผิดสอนถูกได้  แต่เนื่องจากสังคมไทย มีวัฒนธรรมเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ เชื่อฟัง โต้แย้งไม่ได้   แม้รู้ว่าผู้ใหญ่ผิด ก้อต้องเงียบเข้าไว้...แต่ในมุมมองของยุ่น...ยุคสมัยเปลี่ยนไป ครูเองก้อต้องมีการปรับตัว  ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ที่ไม่หยุดนิ่ง  และที่สำคัญหากครูทำผิด ครูก้อรับผิดได้  ทำเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน  ยุ่นว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ..  จำได้ว่าวันนั้น.ยุ่นถามครูครณ์ศรีนะว่าน้องยีนพูดจาไม่สุภาพหรือเปล่า  เค้าบอกไม่ เค้าพูดธรรมดา แต่มันดูไม่ดี ที่เด็กจะพูดแบบนี้กับครูในห้องเรียนขณะที่สอนเด็กคนอื่นด้วย...

เราก้อรับฟัง และพอกลับมาบ้าน เราก้อสอนลูกเราว่า การที่ลูกทำเช่นนั้นสำหรับแม่  แม่คิดว่าไม่ผิด เพียงแต่ในสังคมไทย เราอาจต้องเลี่ยงทำอีกแบบหนึ่ง ที่รักษาหน้าของผู้ใหญ่ไว้  สอนไปทั้งๆที่ใจเราไม่ได้ยอมรับกับสิ่งนั้นเลย แต่เราก้อไม่อยากให้ลูกเราต้องมีปัญหาในสังคมที่เค้าต้องอยู่...


และเหตุการณ์ทำนองนี้ได้เกิดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว...

ยีนได้ลงเรียนวิชา Accounting 1 , 2 มาสองเทอมหละ และได้ A ในวิชานี้ทั้ง 2 ตัว เทอมนี้เค้าต้องลงตัวที่ยากขึ้นคือ Managerial Accounting Overview ห่งก้อบอกตัวนี้เนี่ยสำคัญและดีมากๆเลยนะ ขอให้ลูกตั้งใจเรียน  ยีนก้อแบบคาดหวังว่าเค้าจะได้เรียนรู้อะไรจากวิชานี้พอสมควร

ปรากฎครูที่สอนวิชานี้  เป็นคนแอฟริกาใต้  เวลาฟัง...ยีนบอกจะฟังค่อนข้างยาก แต่ไม่เป็นไร  ยีนพยายามได้ แต่ปัญหาคือครูคนนี้ไม่สอน พอเข้าไปในห้องก้อจะพูดถึงการให้คะแนนว่าเค้ามีวิธีการให้อย่างไร บลา บลา บลา  ไม่เข้าเนื้อหาวิชาสักที  และบอกให้นักเรียน ไปศึกษาจาก web site หนึ่ง และทุกครั้งที่ไป class อาทิตย์ละ 2 ครั้งๆละ 2 ชั่วโมง ครูไม่เคยสอนอะไรเลย  ยีนเค้าก้อแบบ upset มาก เพราะเค้ารู้สึกว่าแบบนี้ครูเอาเปรียบนักเรียน  ค่าเล่าเรียนที่เราจ่ายนั้นค่อนข้างแพง ค่าหนังสือก้อแพงมาก  คือพูดง่ายๆเรียนในระดับมหาลัยค่าใช้จ่ายสูงขนาดนี้  แต่ครูไม่ได้สอนอะไรแม้แต่น้อย   ยีนก้อหงุดหงิดหัวใจ   แต่ก้อพยายามอ่านหนังสือเอง  และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ที่มีครูแบบนี้ในมหาลัย  นักเรียนไม่ได้อะไรจากเค้าแม้แต่ไอเดียอะไรเลย  ไม่มีเลย  ทำให้ยีนเซ็งและเสียความรู้สึกกับวิชานี้มาก  แต่ก้ออดทน จนสอบ mid term เพิ่งผ่านไป

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  ครูก้อมามุกเดิม  พูดแต่เรื่องคะแนนที่เค้าจะให้ในแต่ละช่วง เรื่องเดิมๆ  ไม่สอน ไปกี่ครั้งพี่แกก้อไม่สอน ซ้ำร้ายวันนั้นยังแจกใบประเมินผลการสอน และให้เด็กนักเรียนกรอกใบประเมินผล  ยีนบอก วันนั้นสุดทนหละแม่  ยีนไม่รู้ว่าอะไรมาสิง  ยีนยกมือและลุกขึ้นพูดไปตรงๆว่า  ทำไมคุณพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมๆทุกๆชั่วโมง และไม่มีความคิดที่จะสอนอะไรเลย  course นี้พวกเราเสียเงินมาเรียน ไม่ใช่ราคาถูกๆ  ทั้งค่าเรียน ทั้งค่าหนังสือ แต่เราไม่ได้วิชาความรู้จากคุณเลยแม้แต่น้อย  สิ่งที่เราได้คือเราได้จาก web site ที่คุณบอกให้เราเข้าไปดู  และเราก้ออ่านทำความเข้าใจจากหนังสือเอง  แต่คุณไม่คิดจะสอนอะไรบ้างเลยหรือ และนี่ยังจะมาให้พวกเราประเมินผลการสอนอีก  คิดยังไงถึงกล้าให้นักเรียนประเมินผลการสอนทั้งๆที่ไม่ได้ทำการสอน...ยีนบอกยีนพูดไปประมาณนี้อ่ะแม่  แบบว่ามันพูดไหลเลยนะ  ภาษาอังกฤษวันนั้นอ่ะ แบบพูดสดเลย  ยีนก้องง..งง ตัวเองนะว่าพูดได้ไง..

และขนาดที่พูดเนี่ย เพื่อนๆในห้องทุกคนเงียบกริบหมดเลย โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ยกมือปิดหน้ากัน ประมาณว่า ตายแน่ ตายแน่ ทำไมกล้าพูด...แต่ยีนก้อตัดสินใจทำไปแล้ว...

ยุ่นก้อถามแล้วครูไม่โกรธเหรอ..ยีนบอก เค้าก้อเงียบไปเลย และก้อคงโกรธมาก เพราะชั่วโมงต่อจากนั้น ยีนเดินเข้าห้องเรียนกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง พอเพื่อนเข้าไปปั๊บ ครูมันปิดประตูใส่หน้ายีน  แบบแสดงว่าไม่พอใจยีนอย่างชัดเจน  แต่ยีนไม่แคร์ ก้อเข้าไปนั่งเรียนปกติ

และชั่วโมงนี้ เค้าก้อแจกข้อสอบที่เด็กทำคืนให้ดู เพียง 2 นาที ไม่เคยมีครูคนไหนให้ดูในเวลาสั้นขนาดนี้  เสร็จมีข้อหนึ่งคำตอบในเฉลยมี 2 ข้อคือ A กับ C แต่ครูเค้าบอกเค้าให้ตอบ A แต่เด็กในห้อง 90 % ตอบ C  เพราะเด็กรู้สึก C make sense กว่า  แต่ครูบอกต้องเป็น A และให้เด็กที่ตอบไม่ตรงผิด  Tony นักเรียนคนหนึ่งเค้าไม่เข้าใจ  ก้อยกมือถามและอยากให้ครูอธิบายว่าทำไม C จึงใช้ไม่ได้  ครูพูดเสียงดังว่า ไอกำลังสอน ทำไมยูถึง interrupt class..Tony ก้อบอกว่าเค้าอยากรู้คำตอบว่าทำไมตอบ C ไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจจริงๆ ครูก้อโมโหและบอกว่านี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หากยังไม่เลิกก่อกวน  จะเรียก security เข้ามา Tony แบบงงเลย  นักเรียนไม่เข้าใจในบทเรียน ถามครู แต่ครูมันจะเรียก security... Tonyไม่รู้จะทำไง เค้าก้อเลยเดินออกจากห้อง  ยีนก้อลุกขึ้นบอกว่า อย่าออกไป เพราะเราไม่ผิด ออกทำไม  แต่ Tony เค้าเดินออกไป  เค้าไม่อยากจะอยู่ในห้อง ไม่อยากมีเรื่อง...

วันนั้นพอเลิกเรียน  ยีนและเพื่อนๆในห้องอีก 6-7 คน รวมตัวกันและคุยกันว่าเราควรทำอย่างไร ก้อไปปรึกษาครูบางคน ครูบอกไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ให้ไปหา Student Union ของทาง Langara พวกเราก้อไปกัน  และเค้าให้เราเขียนเรื่องร้องเรียน   เราก้อเขียนเรื่องกัน  และมีเพื่อนๆในห้องอีกประมาณ 25 คนร่วมลงชื่อด้วย ( class นี้มีประมาณ 30 คน )    มีประมาณ 5 คนที่บอกไม่ขอยุ่งด้วย              วางตัวเป็นกลาง...และเค้าก้อถามว่าจะให้ใครเป็นคนยื่นเรื่อง  ยีนเลยบอกใส่ชื่อยีนก้อแล้วกัน  ไหนไหนก้อไหนไหนแล้ว....

เมือ่ยีนเล่าถึงตอนนี้  ยุ่นก้อแซวเค้าว่า แล้วลูกบอกแม่ว่า หากแม่กลับไทย ให้ทำตัว low profile ไม่ต้องออกความคิดเห็นทางการเมือง  เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ห้ามไปชุมนุมอะไรทุกอย่าง เพราะยีนห่วงเรื่องความปลอดภัยของแม่ แต่นี่ ลูกก้อเป็นแกนนำเหมือนกันนะเนี่ย...5555

ยีนบอก..ก้อใช่ แต่แม่เข้าใจใช่มั้ย  มันไม่ยุติธรรมอ่ะ และยีนก้อรู้สึกมันทนไม่ได้ ...ครูมันทำเกินไปอ่ะ แม่....เราก้อเลยบอก..ก้อนั่นแหละ เข้าใจแม่ใช่มะ ว่าทำไมแม่ถึงต้องมีการแสดงจุดยืนของแม่เช่นกัน..

และหลังจากนี้  ก้อน่าจะเป็นภายในอาทิตย์นี้ ทาง Student Union เค้าจะติดต่อมาทางยีน  และก้อคงต้องมีการดำเนินเรื่องราวกันต่อไป  ซึ่งเราก้อยังไม่รู้นะว่าผลจะเป็นอย่างไร

แต่วันนี้ลูกทำเรื่องนี้ ในสังคมแคนาดา ห่งและยุ่นเราสองคนพูดได้เต็มปากและเต็มหัวใจว่าลูกทำถูกต้อง  หากเราคิดว่ามันมีความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับตัวเรา หรือสังคมที่เราอยู่  เรามีสิทธิที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรมนั้นๆ  แต่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ตามกฎกติกามารยาทในสังคม  เราจะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา   และหากเรานิ่งเฉย  ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบไม่ถูกต้อง  ไม่เป็นธรรมก้อเหมือนเรากำลังปล่อยให้คนที่ไม่ดี...คนที่หาช่องว่างในสังคมเอาเปรียบผู้อื่นสามารถลอยนวลในสังคม  ซึ่งคนเหล่านี้แม้ว่าเค้าจะเป็นครู อาจารย์ หรือเป็นผู้ใหญ่ในสังคม  เค้าก้อควรเคารพกติกา รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบและทำตัวให้เหมาะสมในตำแหน่งหน้าที่การงานเช่นกัน  

และนี่ก้อคงจะพูดได้ว่า.. การทนและรับไม่ได้กับความไม่ถูกต้อง  ความไม่ยุติธรรม มันมีการส่งผ่านทางสายเลือดอย่างแน่นอน :)


ผลจากการยื่นเรื่องไปยัง Student Union  เมื่อวาน จันทร์ที่ 10 มีนาคม 2014 Deanของทาง Langara ส่ง e-mail ให้นักศึกษาในห้องยีนทุกคน แจ้งว่าครู Accounting คนนั้นได้ถูกไล่ออกไปแล้ว และทางมหาลัยได้รับครูคนใหม่เข้ามาแทนแล้ว...

ทีแรกยีนเองคิดว่า ทาง Union คงไม่ทำอะไร เพราะตอนคุยกับยีนเค้าไม่ได้พูดอะไร ยีนยังคิดว่าหากเราอยากผ่าน course นี้ ยีนอาจต้องไปคุยกับครู account อีกครั้ง ประมาณขอโทษ  ทั้งที่ไม่อยาก แต่ก้อไม่อยากตกเหมือนกัน ค่าเรียนที่นี่แต่ละ course แพงมาก  แต่เหตุการณ์มาเป็นแบบนี้ ยีนเองก้อรู้สึกดีที่มหาลัย take action ในเรื่องนี้

ทางมหาลัยมีการสอบสวนโดยคุยกับเด็กนักเรียนในห้อง สืบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และมีการดำเนินการอย่างที่เห็น  

สุดท้ายนี้  ยุ่นขอชมทางมหาลัยว่ามีความรับผิดชอบ  มีระบบตรวจสอบจริงจัง  ไม่ปล่อยปละละเลย....ทำเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักศึกษา  อย่างน้อย..เราก้อยังพอหาความยุติธรรมได้บ้างในโลกใบนี้...

Tuesday, February 11, 2014

Tour SFU 2

จากนั้น..Boat ก้อพาพวกเราไปเยี่ยมชม Cafeteria ของมหาลัย...ใหม่บอกว่า “Tim Horton ในSFU กับ UBC ..คิวจะยาวมาก  มีการ line up ทั้งวัน..ตลอดเวลา..หากอยากกินกาแฟสักถ้วย...ต้องทำใจและร้องเพลงรออย่างน้อย 20นาที จึงได้กินกาแฟหนึ่งถ้วย”  ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า อ้าว ในเมื่อมีนักศึกษาใช้บริการมากมายขนาดนี้ทำไมไม่ขยายสาขาหละ...คำตอบที่ Boat ให้คือเพราะ Tim Horton ไม่มีนโยบาย Fair Trade Coffee  (ความหมายของ Fair Trade Certified products have helped build economic independence and empowerment for certified farmer cooperatives and their members, bringing them economic stability and a higher standard of living. Beyond being paid a fair price for their produce, the Fair Trade Certified premiums help farmers build necessary social infrastructure) จึงไม่ได้รับการอนุญาตให้ขยายสาขา ไม่ว่าจะขายดีสักแค่ไหนก้อตาม   เพราะทางมหาลัยมีนโยบายสนับสนุนสินค้าที่มี Fair Trade Certified   เช่น การอนุญาตให้ขยายสาขามากขึ้นในมหาลัย...ซึ่งก้อคือการช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกกาแฟในการเพิ่มรายได้โดยตรง  และทำให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้จากการขายสินค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง


และนี่ก้อคือการแลกเปลี่ยนความรู้กัน ไม่จำเป็นว่าผู้ใหญ่จะต้องรู้เรื่องดีไปหมดทุกเรื่อง โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย    แค่...เรื่องการเปิดร้านกาแฟในมหาลัยร้านนึง  ทำให้โลกทัศน์ของเราสองคนกว้างขึ้น  แม้ว่าเราจะมาอยู่แวนคูเวอร์เกือบ 5  ปีกว่าแล้ว แต่เราก้อไม่เคยรู้จักโครงการทำนองนี้เลย...  นอกจากนี้เรารู้สึกว่ามหาลัยในแคนาดามีบทบาทในการช่วยเหลือสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม... มหาลัยเป็นตัวอย่างที่ดีในการปลูกฝังแนวความคิดในการให้   การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  การนึกถึงและให้ความสำคัญแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคม  เข้าไปในตัวนักศึกษาทางอ้อม  เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยแหละ  ซึ่งตรงนี้ทำให้เราสองคนชื่นชมและเข้าใจสังคมแคนาดามากขึ้นมาก



จากนั้นเด็กๆก้อพาทัวร์ไป   เดินดูห้องต่างๆเท่าที่เราจะสามรถดูได้  เช่น Cafeteria มี microwave มากมายหลายเครื่อง  ให้บริการนักศึกษาในการ wave lunchbox ที่นำมาจากบ้าน  และจุดสุดท้ายที่ครูยุ่นประทับใจมากๆก้อคือ Boat พาไปยืนตรงบริเวณคล้ายๆเป็นรอยต่อระหว่างตึก  ตรงนี้ทางมหาลัยจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็น Student Union Building  ซึ่งนักศึกษาทุกคนจะสามารถใช้บริการได้  เอาเป็นว่าเราอ่านจากสิ่งที่ Boat พูดเลยนะค่ะ

ทางมหาลัย มีการทำ surveyed the current students, and ask for their feedback, and vote on whether the building should be build or not.ในการสอบถามมีการเสนอเรื่องว่าต้องมีการเก็บเงินเพื่อช่วยในการสร้างตึกนี้ด้วย   Especially because the provincial government does not give funding to build Student Union Building, the school will have to find their own funding to build it.

Whether the current students would want to pay money for it to be build or not, the rate would increase every year so that the students who actually get to use them pay more money than the current students who would have actually graduated by the time the building is finish. I think most of the students think that whatever we have today is because students in previous years also have made some sacrifices so that we have the stuff we have today.


นี่คือจิตสำนึกที่เค้าได้ปลูกฝังให้กับเด็กๆ จนมันกลายเป็นสิ่งที่พวกเด็กๆ absorb เข้าไปอยู่ในตัวเค้าโดยไม่ รู้ตัว  เด็กส่วนมากคิดว่าตึกนี้ควรจะสร้างและยินดีที่จะจ่ายเงิน  ยกตัวอย่างเค้าจะเริ่มเก็บปีนี้เป็นปีแรก นักศึกษาทุกคนต้องจ่าย 20 เหรียญต่อปีเท่ากันหมด  (อันนี้เป็นตัวเลขสมมตินะค่ะ ) ปีต่อไปก้ออาจเป็น 25 เหรียญ..30..35..อะไรก้อว่าไป เพราะเด็กรุ่นใหม่จะมีโอกาสในการได้ใช้ Building นี้มากกว่าเด็กรุ่นปัจจุบัน  ซึ่งเค้าอาจจบก่อน ไม่มีโอกาสได้ใช้ตึกหลังนี้เพราะยังสร้างไม่สร็จ  แต่เค้าก้อยินดีที่จะให้ตรงนี้กับ community ในมหาลัยเพราะนักศึกษารุ่นก่อนหน้าเค้า ก้อได้มีการเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อทำให้พวกเค้าได้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เค้าได้ใช้ในวันนี้  และการเก็บเงินที่มากขึ้นในแต่ละปี   เพราะเด็กรุ่นต่อไปมีโอกาสในการที่จะได้ใช้ตึก  จึงเก็บเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น 


ยุ่นว่านะ การที่เราสอนเด็กว่าให้รู้จักเสียสละ ให้แบ่งปัน ให้รู้จักความเป็นประชาธิปไตย  ความยุติธรรมในสังคม บลา บลา บลา...สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมด้วย  และการสร้างระบบที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคม  ระบบจะพัฒนาไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปและอยู่กับเราอย่างถาวรคงทนมากกว่า....



วันนี้ทัวร์ SFU มีความหมาย มีคุณค่าและให้ข้อคิดกับครูยุ่นและน้าชาญชัยอย่างมาก  ต้องขอขอบคุณแนน  ใหม่และ Boat   ที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ที่แตกต่าง และน่ารักๆแบบนี้ให้กับครุยุ่นและคุณพ่อชาญชัย  บอกได้คำเดียวสั้นๆว่า สุดยอด!!!

Tour SFU 1

ต้อนรับปี 2014  ปีมะเมีย...ด้วยการไปเที่ยว SFU โดย 3 ไกด์วัยรุ่นกิตติมศักดิ์ 
·                ***น้องแนน เรียน Accounting ที่ Douglas College
·               ***หนูใหม่..เรียน Engineer ที่ UBC และ
·                ***  Boat..เรียน  Biomedical Physiology ที่ SFU

สามวัยรุ่นพาคุณพ่อชาญชัยและครูยุ่นทัวร์  SFU…ด้วยความสนุกสนาน เฮฮา  กระชากวัยเราสองคนลงไปเกือบ 20 ปี   แทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างวัยเลย....ยังไงขอเป็นวัยรุ่นกะเค้าสักวัน 555


เราเริ่มเดินทางกันจริงจังเวลา 12:30น.  หลัง breakfast  ที่ Thai Café   พวกเราขับรถกันไปเรื่อยๆบน Hastings Street   วันนี้อากาศกำลังเย็นสบาย...พอเจอป้าย SFU ….ก้อเลี้ยวซ้าย...  เข้าถนนที่ SFU ตั้งใจให้คงความขรุขระ ไม่มีการซ่อมแซม.. เพื่อตั้งใจปลุกนักศึกษาที่หลับมาในรถBus ให้ตื่นได้แล้ว .....Wake up! Wake up! ใกล้ถึงที่หมายแล้ว...


จากนั้นเด็กๆก้อพาไปที่จอดรถ  ปกติคนใช้บริการที่จอดรถ จะต้องเสียเงินค่าจอดรถเป็นรายชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิด Boat บอกชั่วโมงละ 3 เหรียญ.. แต่วันนี้พวกเรามาพร้อมความโชคดีในวันปีใหม่...Free Parking..  หลังจอดรถพวกเราทั้งห้าคนก้อ Walk around SFU….ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุด  บรรยากาศจึงไม่คึกคัก...ไม่ได้เห็นภาพชีวิตนักศึกษามากมาย  พลุกพล่าน...อย่างไรก้อตาม...ทุกจุดที่เด็กๆพาเที่ยวและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ    ทำให้บรรยากาศในวันนี้ครื้นเครง...ไม่เงียบเหงา  และสิ่งที่เราสองคนได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้จากเด็กๆนั้น  เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ครูยุ่นอยากบันทึกไว้ในหน้านี้  ไม่อยากให้เลือนหายไปพร้อมกับวันเวลา  เพราะหน่วยความจำในสมองของครูยุ่นนับวันจะเสื่อมคุณภาพลงไปเรื่อยๆ :)


SFU  ซึ่งก้อคล้ายๆกะ UBC และ Waterloo ที่ครูยุ่นได้เคยไปมา...เป็นมหาลัยที่แยกออกมา ตั้งอยู่บน Burnaby Mountain ..และเมื่อได้เข้าไปสัมผัส  มันเหมือนเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง  ที่เราน่าจะนิยามได้ว่าเมืองมหาลัย


จุดแรกที่ไกด์นำไปคือลานกว้างที่ใช้จัดงานรับปริญญา ( ตามที่เห็นในรูป)  Boat บอกว่าด้านข้างของลาน  จะมี ร้านค้าต่างๆ  ร้านที่เห็นคือ Pub ที่อยู่ในมหาลัย ซึ่งจะเปิดทุกเย็นวันศุกร์    เพื่อให้นักศึกษามาใช้บริการได้...ใหม่บอกใน UBC ก้อมี Pub  แบบนี้เหมือนกัน   การอนุญาตให้มี pub ในเมืองมหาลัยที่แยกโดดออกมาแบบนี้   การให้พื้นที่กับนักศึกษาสามารถปลดปล่อย ระบายความเครียด  โดยไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  หรือผิดปกติ   จุดนี้ครูยุ่นรู้สึกว่าคนที่คิดและอนุญาตให้มี Pub ในมหาลัยเนี่ยเป็นคนที่ open minded และเข้าใจธรรมชาติของนักศึกษาไม่น้อยเลย