เมื่อสองอาทิตย์ก่อน มิสติงบอกยุ่นว่า สุวรรณีเดี๋ยวเดือนกรกฏาคมนี้ ฉันจะขึ้นค่าเล่าเรียนคุมองนะ ขึ้น 10 เหรียญเธอว่ามากมั้ย...อึม ยุ่นก้อคิดในใจประมาณ 10% ก้อไม่มากไม่น้อย ยุ่นก้อยิ้มๆบอก..ก้อกลายเป็นเดือนละ 100 เหรียญ..อึม ก้อน่าจะโอเคนะ..แต่ว่าศูนย์อื่นขึ้นมั้ย??
ที่นี่ค่าเล่าเรียนคุมอง คนที่กำหนดคือ instructor ไม่ใช่บริษัทคุมอง พวก instructor ในเขตนั้นๆจะประชุมและตกลงค่าเล่าเรียนร่วมกัน...เมื่อตกลงตัวเลขไหนก้อเป็นอันเหมือนกันในโซนนั้นๆ...และการขึ้นค่าเล่าเรียนครั้งนี้ มิสติงบอกว่าก้อขึ้นเหมือนกันหมด...
มิสติงเค้าก้อถามความคิดเห็นยุ่นนะว่าขึ้นมากไปไหม ขึ้นแล้วมีผลต่อผู้ปกครองมั้ย...ไอ้เราก้อไม่รู้จะตอบอย่างไร...เพราะเราก้อไม่ใช่ผู้ปกครอง..แต่สำหรับบางครอบครัวที่ลูกเรียนหลายคนสองวิชา ก้อน่าจะมีโวย..แต่ก้อน่าจะยอมรับในที่สุด พวกที่รับไม่ได้ก้อคงจะลาออก ตามธรรมชาติของคนรับไม่ได้..
นอกจากนี้..เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา...มิสติงแกก้อแบบพูดเสียงดังมากๆเลย..ตอนช่วงใกล้ปิดศูนย์ แล้วมีนักเรียนเพิ่งมาเรียน แกประกาศดังลั่นเลยว่า ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป..นักเรียนที่เรียนที่ศูนย์เกินเจ็ดโมง เป็นเวลาสามครั้ง..นักเรียนจะถูกปรับคนละ 20 เหรียญ...เพราะมิสติงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับครูผู้ช่วย และอีกอย่างมิสเตอร์ติงก้อรอมิสติงกลับบ้านกินข้าวด้วย... 5555+
แต่..ยุ่นมองหน้าผู้ปกครองที่มาสาย..ก้อแบบจ๋อยเลย...บางคนก้อหน้าเสีย..แต่ก้อถูกของมิสติงเค้า...เพราะเด็กที่มาสายก้อมาแบบนี้ตลอด แบบศูนย์จะปิดอีก 15 นาทีค่อยมา มันก้อเกินไปจริงๆ...แต่ก้อมีบางส่วนที่มานานแล้ว อยู่ในศูนย์มากกว่าชั่วโมง แต่ทำงานไม่ได้ และไม่มีคนguide ไม่กล้าถาม ก้อแบบนั่งอยู่ตรงนั้น แก้อยู่ตรงนั้น ก้อมีไม่น้อย.. ซึ่งอันนี้แหละน่าจะเป็นปัญหาของมิสติงกับผู้ปกครอง...
เฮ้อ..ที่นี่เนี่ย..เค้ามีอะไรเค้าก้อพูดกันตรงๆเลย ชัดเจนมาก...ไม่มีเกรงใจ...ก้อดีเหมือนกัน..จะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน..
Monday, April 26, 2010
Friday, April 23, 2010
Gene in Concert
ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ยีนก้อมาบอกพ่อกับแม่ว่ายีนจะมี concert ที่โรงเรียนวันพฤหัสนี้นะ พ่อกับแม่ก้อแบบอยากดูมาก ยีนก้อบอก..จะดูจริงเหรอ?? อ้าว..ไงเนี่ย อยากให้พ่อกับแม่ไปดูมั้ยเนี่ย...ยีนบอก ไม่ค่อย..แบบจะทำอะไรเดี๋ยวมันไม่เต็มที่ เราสองคนพ่อแม่ก้อเลยบอกว่า ไม่เป็นไร ตอนไปเราไม่รู้จักกัน ไม่ต้องบอกเพื่อนๆก้อได้นะ ว่าเราเป็นพ่อแม่ลูกกัน....อยากทำอะไรทำให้เต็มที่เลย....5555+
ทีแรกก้อจะไม่ไปดูกันแล้ว พอดียุ่นเจอพี่ต้อย พี่ต้อยบอกเดี๋ยววันพฤหัสนี้พี่ต้อยกับ Earth จะมารับยุ่นกับฮ่งที่บ้านแล้วไปดู concert ยีนกัน...ยุ่นก้อเลยรับปากว่าจะไปดู..ฮ่งซึ่งทีแรกต้องทำงานวันพฤหัส เกรงว่ากลับมาจะไม่ทัน เพราะ concert มีตอนทุ่มนึง ก้อบังเอิญมีเพื่อนโทรมาขอแลกเวลาเป็นวันศุกร์ เลยว่างพฤหัสไปทำศุกร์แทน ฮ่งก้อแบบดีใจมากเลยที่จะได้ไปดู concert ของลูกชาย...เรียกว่าดีใจจนออกนอกหน้าเลย...^_^
เมื่อวานก้อคือวันที่มี concert พฤหัสที่ 22 เมษา 2010 ยุ่นก้อไปทำคุมองเหมือนเดิม ปกติก้อถึงบ้านเกือบสองทุ่ม เมื่อวานขอมิสติงเลิกหกโมง กลับมากินข้าวกินปลา แล้วพี่ต้อยกับ Earth ก้อมารับเราประมาณทุ่ม ถึงโรงเรียนทุ่มห้านาที
เข้าไปในงาน ลูกชายเราก้อเป็นคนขายตั๋วเอง งานนี้เป็นงานที่เด็กนักเรียนจัดขึ้นกันเอง เพื่อหาเงินเข้าชมรมอะไรประมาณนี้ ตั๋วก้อใบละห้าเหรียญ เค้าก้อให้ไอ้พวกนักดนตรีที่จะเล่นเนี่ยไปช่วยกันขาย ปรากฏว่าคนอื่นขายกันไม่ค่อยได้ ได้ใบสองใบ แต่ยีนขายได้สามสิบกว่าใบ โดยใช้กลยุทธหลอกล่อเพื่อนให้ซื้อตั๋วทุกวิถีทาง มีแบบยีนจ่ายให้ก่อน แล้วค่อยมาผ่อนคืนวันละเหรียญก้อได้...อันนี้ก้อดีนะลูก...สำหรับการทำธุรกิจ...แต่ตอนนี้เป็นนักเรียนไม่ควรทำ...แล้วจ่ายให้เค้าก่อนนะ ตัวเองมีเงินเหลือใช้มั้ยเนี่ย..
งาน concert ก้อแบบเด็กนักเรียนจัด...แต่ก้อเป็นอะไรที่น่ารักดี...ทุกอย่างเรียบร้อย ลงตัว...ทุกคนที่จะแสดงก้อจะต้องเอาเครื่องดนตรีของตัวเองมาจากบ้าน ถ้าพ่อแม่มีรถก้อมาทางรถ อย่างยีนเค้าก้อต้องขนกีตาร์ไฟฟ้ากับ effect ของเค้าแบกเดินจากบ้านมาโรงเรียนเอง...ก้อดีนะ..ยีนก้อจัดการด้วยตัวเอง พ่อกับแม่ไม่ต้องวุ่นวายเลย....เด็กๆจะ organized กันเอง จัดแบ่งหน้าที่กันทำงาน ผลงานที่ออกมาก้อต้องถือว่าไม่เลว เพราะงานนี้...ไม่มีครูเกี่ยวข้อง....เป็นฝีมือเด็กๆล้วนๆ
ดนตรีที่เล่นกันก้อมีมากมายหลายหลาก ทั้งแนวร๊อก แร๊พ คลาสสิค แจส ป๊อบ...แต่ลูกชายเราก้อคือ rock เป็นแนวที่เค้าชอบมากๆ ยีนเล่นทั้งหมดสามเพลง ตอนที่เค้าออกมาเล่น เพื่อนๆก้อเรียกชื่อเค้าดังมาก...ยีน ยีน...สิรปารย์....แล้วก้อกรีดร้องกันใหญ่ พอเล่นจบก้อขออีก one more......แล้วก้อเรียกชื่อ ยีน ยีน ยีนก้อพูดออกไมค์ว่า I love you !!! พวกเพื่อนๆก้อกรีด... ไอ้เราก้องงว่าทำไมดังจัง.. ลูกเราทำไม popular จัง ...ปรากฏ ตอนหลังเลยเข้าใจ เพราะบัตรที่ขายได้ส่วนใหญ่ก้อคือเพื่อนยีนที่มาเชียร์ คือพูดง่ายๆ หน้าม้ามาเยอะ ก้อพวกเพื่อนๆที่ซื้อบัตรทั้งน้าน.... 555+
แต่คนที่มาดูก้อเยอะนะ..ก้อมีเกือบร้อยนะ.มีพ่อแม่ของนักดนตรีก้อเยอะ.....และที่นี่เค้าจะดีมากเลย เค้าให้เกียรติคนเล่นมากๆเลย...เค้าจะไม่มีการหนีกลับบ้านก่อน..แบบงานเริ่มทุ่ม เลิกสามทุ่มครึ่ง ทุกคนอยู่กันครบ ไม่มีการเดินทยอยกลับบ้าน แบบพ่อแม่ที่ดูลูกตัวเองเล่นเสร้จแล้วก้อกลับ ไม่ใช่ เค้าก้อจะนั่งดูกันจนจบรายการเลย...ยุ่นว่าเป็นอะไรที่ดีมาก... Earth บอกคนที่นี่เค้าจะดูกันจนจบครับ เค้าจะไม่กลับก่อนครับ..มันเป็นมารยาทของที่นี่ครับ..
และที่ชอบอีกอันก้อคือ คนสุดท้ายนักร้องชื่อ Ji Ji เค้าจะร้องเพลงโดยเปิดดนตรี แล้วร้อง ปรากฏดนตรีที่อัดมา หลังๆเสียงเงียบไป แต่ JiJi เค้าก้อร้องต่อ แต่ไม่จบ คนดูจะไม่โห่ร้องนะ เค้าจะยืนขึ้นและปรบมือให้กำลังใจ JiJi กัน แล้วเค้าก้อลุกยืนและปรบมือกันทั้งหมดเลย...เป็นอะไรที่ทำให้นักร้องไม่ขัดเขิน และรู้สึกดี มีกำลังใจ ( อันนี้คิดเองนะ เพราะถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกยังไง) อันนี้ยุ่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆของประเทศทางตะวันตก...เค้าจะฝึกให้ทุกคนให้เกียรติคนอื่น...และทำกันจนเป็นวัฒนธรรม แม้กระทั่งในโรงเรียนซึ่งเป็นสังคมเล็กๆก้อเช่นกัน...
และนี่ก้อได้เก็บภาพบรรยากาศที่ยีนเล่นในงานมา ก้อถ่ายได้ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะนั่งไกลและค่อนข้างมืด แต่ก้อพอใช้ได้ หลังจากดู concert ครั้งนี้ของยีน ก้อคงต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก...ตั้งแต่ลูกเล่นกีตาร์มา..เกือบสามปี...(คือยีนเล่นคอนเสิรท์หลายครั้งมากเลย ทั้งที่โยธิน และที่ Eric Hamber แต่พ่อกับแม่ก้อไม่มีโอกาสได้ไปดูสักที...) ป้าต้อยบอก ยีนเนี่ย เค้ามาดเหมือนนักดนตรีเลยเนอะ...แล้วก้อ popular ด้วย...
แม่เองก้อรู้สึกว่ายีนเนี่ย..เหมือนเป็นนักดนตรีจริงๆ..ขณะที่ยีนเล่นรู้เลยว่าลูกมีความสุขมากๆ...และยีนเล่นมันจากหัวใจ...ก้อต้องขอบอกว่า ยีนเล่นได้ดีมากๆ....พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกนะครับ...Awesome !!!!
Thursday, April 22, 2010
คุมองภาษาอังกฤษของแคนาดา
ช่วงหลังเวลาทำงานที่คุมอง ยุ่นเองต้องดูแลนักเรียนจูเนียร์มากขึ้น ปัญหาทางด้านคณิตศาสตร์ไม่ค่อยมีเท่าไร แต่จะมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่อง phonics เพราะที่นี่ phonics จะไม่เหมือนคุมองที่เมืองไทยเรียนกัน....
ก้อเลยขอมิสติงว่ายุ่นอยากขอแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษมาทำและขอ CD มาฟัง เล่นเอาแกทำหน้างง..งง..เพราะที่ศูนย์ไม่มีผู้ช่วยขอแบบฝึกหัดไปทำ ทั้งที่แกก้อบอกให้เอาไปทำ ยุ่นก้อเข้าใจนะ เพราะส่วนใหญ่ผู้ช่วยก้อไม่ค่อยอยากทำแบบฝึกหัดเท่าไร แต่..ยุ่นรู้สึกอึดอัดเวลาต้องดูแลนักเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง...หรือรู้กันคนละเรื่องกับนักเรียน...
พอเอาแบบฝึกหัดคุมองอังกฤษมาศึกษา ก้อเริ่มตั้งแต่ 7A เลย...7A กับ 6A เหมือนบ้านเรา คือให้เด็กหัดพูดเป็นคำคำก่อน แล้วก้อประโยคง่ายๆ
Phonics เริ่มที่ 5A ...แบบตอนนี้ก้อจำคุมองอังกฤษที่บ้านเราไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกที่นี่เค้าเน้นเรื่องนี้มาก และ CD ก้อพูดช้ามากและชัดมาก..5A เริ่มด้วยพยัญชนะตัวแรกคือ b ก้อออกเสียงเหมือนคุมองบ้านเรานะ...แต่
หน้า a
bed b
bus b
ball b
หน้า b
b ball
bus
bed
หน้า a เค้าจะอ่าน bed แล้วตามด้วยเสียง b
" bus " b
" ball " b
หน้า b จะอ่านเสียง b ก่อนอ่านทั้งคำ และเด็กจะเขียนไปอ่านไป...
แบบ cd พูดช้ามั่กๆ เหมาะกับเด็กเล็กจริงๆ...รู้สึกดีมากๆ...แต่ก้อมีหลายเสียงที่ออกไม่เหมือนเรา เช่น m n l r
หลังจากสอนพยัญชนะเสร็จก้อตบท้ายด้วยสระเสียงสั้น... a e i o u ออกเสียงเหมือนของเราเลย...
จากนั้นก้อรวมเสียง เช่น bat cat เค้าจะให้เด็กอ่านทั้งคำก่อน จากนั้นสอนการผันเสียง b a t ขณะเขียนต้องพูดไปด้วย c a t ...
ยุ่นว่าใช่เลย...ช้าและชัดเจนดีมาก...
พอจบเรื่อง phonics อึม ก้อประมาณ 170 แผ่น พอเข้า 171 ก้อเป็นประโยค แต่ง่ายๆ และในประโยคเน้น phonics ที่เรียนมา เช่น I hop hop hop.... หน้า b ก้อ... to the tip top top...แล้วก้อให้เด็ก check in the box ....172a: I dig dig dig.. 172 b:.says the big fat pig...173a: I bob bob bob...173b: for the apple and the cob..
พอขึ้น 4A ก้อเป็นแบบพยัญชนะต้นสองตัว...เช่น blue blanket blast....เค้าก้อสอนออกเสียง bl ก่อน จากนั้นก่อนอ่านทุกคำจะนำด้วยเสียงนี้ก่อน หน้า b จะเอาคำเหล่านี้มาเขียนเป็นประโยค เช่น I blast off. The blanket is blue. แต่จะเว้นว่างให้เด็กเขียน bl เอง...แบบฝึกหัดก้อจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คั่นด้วย reading ง่ายๆ เป็นประโยคที่มีเสียงพ้องกัน ให้เด็กหัดอ่าน...อะไรประมาณนี้
จากการวิเคราะห์เทียบกับของบ้านเรา ยุ่นชอบแบบนี้มากกว่านะ..เพราะขนาดเค้าเป็นเจ้าของภาษา เค้ายังสอน phonics ช้ามาก...และค่อนข้างชัดเจนในการสอนทุกตัว...น่าจะทำให้เด็กมีปัญหาเรื่อง spelling น้อยลง หากสอนถูกวิธีนะ...แต่พอดีที่ศูนย์นี้ ไม่มีการซื้อ cd เลย...ก้อไม่เข้าใจว่าเด็กเอเชียที่มาเรียนนะ ไม่ใช่เด็กฝรั่ง...จะออกเสียงกันอย่างไร เพราะดูท่าทางครูอังกฤษก้อไม่ได้เน้นมาก...แต่เด็กก้อคงอ่านได้เองในที่สุด เพราะเค้าเรียนที่โรงเรียน และพูดในชีวิตประจำวัน เพียงแต่อยากให้เค้าสะกดกันถุกต้องเท่านั้น...แต่ละที่ก้อมีปัญหาที่แตกต่างกันไป...
ยุ่นก้อคงได้แต่สังเกตุการณ์ แก้ปัญหารายวันไป...เก็บประสบการณ์ต่างๆ... เพื่อนำมาปรับใช้กับนักเรียนไทยในอนาคต...ถ้ามีโอกาส..
ก้อเลยขอมิสติงว่ายุ่นอยากขอแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษมาทำและขอ CD มาฟัง เล่นเอาแกทำหน้างง..งง..เพราะที่ศูนย์ไม่มีผู้ช่วยขอแบบฝึกหัดไปทำ ทั้งที่แกก้อบอกให้เอาไปทำ ยุ่นก้อเข้าใจนะ เพราะส่วนใหญ่ผู้ช่วยก้อไม่ค่อยอยากทำแบบฝึกหัดเท่าไร แต่..ยุ่นรู้สึกอึดอัดเวลาต้องดูแลนักเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง...หรือรู้กันคนละเรื่องกับนักเรียน...
พอเอาแบบฝึกหัดคุมองอังกฤษมาศึกษา ก้อเริ่มตั้งแต่ 7A เลย...7A กับ 6A เหมือนบ้านเรา คือให้เด็กหัดพูดเป็นคำคำก่อน แล้วก้อประโยคง่ายๆ
Phonics เริ่มที่ 5A ...แบบตอนนี้ก้อจำคุมองอังกฤษที่บ้านเราไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกที่นี่เค้าเน้นเรื่องนี้มาก และ CD ก้อพูดช้ามากและชัดมาก..5A เริ่มด้วยพยัญชนะตัวแรกคือ b ก้อออกเสียงเหมือนคุมองบ้านเรานะ...แต่
หน้า a
bed b
bus b
ball b
หน้า b
b ball
bus
bed
หน้า a เค้าจะอ่าน bed แล้วตามด้วยเสียง b
" bus " b
" ball " b
หน้า b จะอ่านเสียง b ก่อนอ่านทั้งคำ และเด็กจะเขียนไปอ่านไป...
แบบ cd พูดช้ามั่กๆ เหมาะกับเด็กเล็กจริงๆ...รู้สึกดีมากๆ...แต่ก้อมีหลายเสียงที่ออกไม่เหมือนเรา เช่น m n l r
หลังจากสอนพยัญชนะเสร็จก้อตบท้ายด้วยสระเสียงสั้น... a e i o u ออกเสียงเหมือนของเราเลย...
จากนั้นก้อรวมเสียง เช่น bat cat เค้าจะให้เด็กอ่านทั้งคำก่อน จากนั้นสอนการผันเสียง b a t ขณะเขียนต้องพูดไปด้วย c a t ...
ยุ่นว่าใช่เลย...ช้าและชัดเจนดีมาก...
พอจบเรื่อง phonics อึม ก้อประมาณ 170 แผ่น พอเข้า 171 ก้อเป็นประโยค แต่ง่ายๆ และในประโยคเน้น phonics ที่เรียนมา เช่น I hop hop hop.... หน้า b ก้อ... to the tip top top...แล้วก้อให้เด็ก check in the box ....172a: I dig dig dig.. 172 b:.says the big fat pig...173a: I bob bob bob...173b: for the apple and the cob..
พอขึ้น 4A ก้อเป็นแบบพยัญชนะต้นสองตัว...เช่น blue blanket blast....เค้าก้อสอนออกเสียง bl ก่อน จากนั้นก่อนอ่านทุกคำจะนำด้วยเสียงนี้ก่อน หน้า b จะเอาคำเหล่านี้มาเขียนเป็นประโยค เช่น I blast off. The blanket is blue. แต่จะเว้นว่างให้เด็กเขียน bl เอง...แบบฝึกหัดก้อจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คั่นด้วย reading ง่ายๆ เป็นประโยคที่มีเสียงพ้องกัน ให้เด็กหัดอ่าน...อะไรประมาณนี้
จากการวิเคราะห์เทียบกับของบ้านเรา ยุ่นชอบแบบนี้มากกว่านะ..เพราะขนาดเค้าเป็นเจ้าของภาษา เค้ายังสอน phonics ช้ามาก...และค่อนข้างชัดเจนในการสอนทุกตัว...น่าจะทำให้เด็กมีปัญหาเรื่อง spelling น้อยลง หากสอนถูกวิธีนะ...แต่พอดีที่ศูนย์นี้ ไม่มีการซื้อ cd เลย...ก้อไม่เข้าใจว่าเด็กเอเชียที่มาเรียนนะ ไม่ใช่เด็กฝรั่ง...จะออกเสียงกันอย่างไร เพราะดูท่าทางครูอังกฤษก้อไม่ได้เน้นมาก...แต่เด็กก้อคงอ่านได้เองในที่สุด เพราะเค้าเรียนที่โรงเรียน และพูดในชีวิตประจำวัน เพียงแต่อยากให้เค้าสะกดกันถุกต้องเท่านั้น...แต่ละที่ก้อมีปัญหาที่แตกต่างกันไป...
ยุ่นก้อคงได้แต่สังเกตุการณ์ แก้ปัญหารายวันไป...เก็บประสบการณ์ต่างๆ... เพื่อนำมาปรับใช้กับนักเรียนไทยในอนาคต...ถ้ามีโอกาส..
Tuesday, April 13, 2010
Thursday, April 8, 2010
...นี่ก้อคือ...ที่ยุ่นพูด แล้วเพื่อนรัสเซีย..เค้าว่าซึ้ง !!
ก้อเรียกว่า ยุ่นต้องแต่ง essay ก่อนที่จะ presentation นั่นเอง ก้อมีบ้างที่ต้องใส่ไข่ลงไปบ้าง ..นิดหน่อย...
Good afternoon. My name is Suwannee.
The topic I'm going to speak to you today is about HAPPINESS.
I have called this presentation : “My Ecstatic Moments”
My topic, HAPPINESS , is important for the three happiest moments in my life : getting in the University, becoming a warm family and having a wonderful time of teaching students.
The first one is in the moment of seeing the exam result whether I could get into the university or not. I still remembered that exciting night, a crowd of about 5,000 students gathered together on a big football field of the university and held candles or torches in their hands. Trying to shine the light over hundreds of papers that were fixed on the boards, I moved my finger to the list of countless students’ names and searched for my name S..U..W..A...N...N..E...E... "SUWANNEE." Finally, I saw it …I almost forgot to breathe and that was the happiest time in my life. I did it. I could pass the important exam through my hard working for over two years. I called my parents for telling them about the good news; however, I was so excited that I couldn’t speak out. I felt like something stuck in my throat and a few drops of tears flowed from my eyes.
The second happiest moment is when my 17-year-old son went into the monkhood and became a novice. ( A novice is a monk who is under 20 years old) This happened when my son was in his early teenager…that time he was around 12-13 years old, something like that...I felt that his behavior changed a lot. The way of his speaking changed from ordinary to bold style… sometimes was aggressive. He liked to talk to his girlfriend rather than talking with his parents. An obedient boy became a stubborn one. Moreover, our house that was filled with love and much laughing changed to the house that was filled with anger and fighting between son and mom every day. Unbelievable, after he had to stay in a countryside temple for studying Buddha’s teachings for one month , he changed again in a very very good way. He was calm down, , more obedient, more rational and more patient. And this was another happiest moment in my life that brought me warm, peaceful and happy family again.
The third one is in the moment of being a math teacher. After I graduated in Pharmaceutical science from the University of Thailand, I started my career as a sales-representative. I didn’t earn much money, so I wasn’t happy. I thought perhaps the more money I got, the more happiness I would find. A few years later, I was promoted to a higher position, and the payment was liberal. However, I was still unhappy and I didn’t enjoy doing my job. I didn’t know the reason until I had a chance to run my own business that was similar to a math center. I was the manager, accountant and teacher in my own school. Although it was a tough job, and I earned less money than my previous job, I was delighted while I was running the school. Especially, my most enjoyable time was teaching students. I learn many experiences from students, I realize that the best job is not always high income but it should be beneficial to other people and I have a good chance to find out who I am and what I really want.
In conclusion, the moment of fulfilling my ambition, returning to an untroubled family and having a good experience to be a teacher are the happiest moments in my life. When I think about these ecstatic moments, I always beam with delight. And I am still looking forward to having another happiest moments for the rest of my life.
Thank you for your attention !!!!
ก้อคิดนะ วันนี้ที่แวนคูเวอร์ ยุ่นก้อโชคดีนะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ กับเจ้าของภาษา ได้เรียนแบบลึกซึ้งและถูกมากเลย...หากวันนึงในอนาคต มีโอกาสได้กลับไปไทย ก้อยังคิดนะว่าจะนำสิ่งดีๆเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้กับเด็กไทยให้ได้...และนี่ก้อเป็นอีก...ฝันหนึ่งที่น่าจะทำให้ยุ่นมีความสุขมากๆอีกฝันหนึ่ง...
Maybe this will be another happiest moment in my life !!!!
Good afternoon. My name is Suwannee.
The topic I'm going to speak to you today is about HAPPINESS.
I have called this presentation : “My Ecstatic Moments”
My topic, HAPPINESS , is important for the three happiest moments in my life : getting in the University, becoming a warm family and having a wonderful time of teaching students.
The first one is in the moment of seeing the exam result whether I could get into the university or not. I still remembered that exciting night, a crowd of about 5,000 students gathered together on a big football field of the university and held candles or torches in their hands. Trying to shine the light over hundreds of papers that were fixed on the boards, I moved my finger to the list of countless students’ names and searched for my name S..U..W..A...N...N..E...E... "SUWANNEE." Finally, I saw it …I almost forgot to breathe and that was the happiest time in my life. I did it. I could pass the important exam through my hard working for over two years. I called my parents for telling them about the good news; however, I was so excited that I couldn’t speak out. I felt like something stuck in my throat and a few drops of tears flowed from my eyes.
The second happiest moment is when my 17-year-old son went into the monkhood and became a novice. ( A novice is a monk who is under 20 years old) This happened when my son was in his early teenager…that time he was around 12-13 years old, something like that...I felt that his behavior changed a lot. The way of his speaking changed from ordinary to bold style… sometimes was aggressive. He liked to talk to his girlfriend rather than talking with his parents. An obedient boy became a stubborn one. Moreover, our house that was filled with love and much laughing changed to the house that was filled with anger and fighting between son and mom every day. Unbelievable, after he had to stay in a countryside temple for studying Buddha’s teachings for one month , he changed again in a very very good way. He was calm down, , more obedient, more rational and more patient. And this was another happiest moment in my life that brought me warm, peaceful and happy family again.
The third one is in the moment of being a math teacher. After I graduated in Pharmaceutical science from the University of Thailand, I started my career as a sales-representative. I didn’t earn much money, so I wasn’t happy. I thought perhaps the more money I got, the more happiness I would find. A few years later, I was promoted to a higher position, and the payment was liberal. However, I was still unhappy and I didn’t enjoy doing my job. I didn’t know the reason until I had a chance to run my own business that was similar to a math center. I was the manager, accountant and teacher in my own school. Although it was a tough job, and I earned less money than my previous job, I was delighted while I was running the school. Especially, my most enjoyable time was teaching students. I learn many experiences from students, I realize that the best job is not always high income but it should be beneficial to other people and I have a good chance to find out who I am and what I really want.
In conclusion, the moment of fulfilling my ambition, returning to an untroubled family and having a good experience to be a teacher are the happiest moments in my life. When I think about these ecstatic moments, I always beam with delight. And I am still looking forward to having another happiest moments for the rest of my life.
Thank you for your attention !!!!
ก้อคิดนะ วันนี้ที่แวนคูเวอร์ ยุ่นก้อโชคดีนะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ กับเจ้าของภาษา ได้เรียนแบบลึกซึ้งและถูกมากเลย...หากวันนึงในอนาคต มีโอกาสได้กลับไปไทย ก้อยังคิดนะว่าจะนำสิ่งดีๆเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้กับเด็กไทยให้ได้...และนี่ก้อเป็นอีก...ฝันหนึ่งที่น่าจะทำให้ยุ่นมีความสุขมากๆอีกฝันหนึ่ง...
Maybe this will be another happiest moment in my life !!!!
ภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆของเรา....???? ก้อดีนะ..
เมื่อวานก้อเป็นวันสุดท้ายของการเรียน Eng 11 ที่ South Hill เรียกว่า course นี้ได้เจอครูที่ดีมากๆคนนึงเลยแหละ...และนั่นก้อทำให้เราต้องเรียนค่อนข้างหนักพอควร...
เวลาของการเรียนหนึ่งเทอมจะอยู่ประมาณสิบสัปดาห์ เรียกว่าโปรแกรมที่ Tom ครูอังกฤษคนนี้สอนนั้น แน่นเอียดจริงๆ แต่ก้ออยากไปเรียนกับเค้าทุกครั้ง เพราะเค้าเป็นคนที่สอนตลกมั่กๆๆ มุกฮาเยอะดี เรียนแล้วไม่เครียด แต่ว่าการบ้านเพียบ...55555
Tom จะมีเทคนิคในการสอนที่ดีมากๆ นอกจากนี้ ยังให้เทคนิคในการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น เค้าจะให้นักเรียนต้องทำ grammar exercises ทุกวัน วันละหนึ่ง unit เป็น grammar ง่ายๆ tense ต่างๆ การใช้ article การใช้ preposition โดยให้เฉลยมาเสร็จ แต่สิ่งสำคัญคือ เวลาทำการบ้านคุณต้องเขียนทั้งประโยค ไม่ใช่เขียนแต่คำตอบ...วิธีนี้ ยุ่นว่าสุดยอดมากๆเลย.. simple and easy way but it does work
เหตุผลคือเราได้ฝึกฝนเขียนเป็นประโยคทุกๆวัน วันนึงก้อมีสี่ถึงห้าสิบประโยค และเขียนแบบถูกหลัก เค้าก้อใช้หลักการคุมอง ทำง่ายๆแต่ทำทุกๆวัน...เรียกว่าเค้าสอนเราแบบ self learning เลยแหละ..หากใครอ่านแล้วจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ก้อได้นะค้า ไม่หวงห้าม เพียงแต่เราเลือกแบบฝึกหัดที่ดี ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อนมาก เขียนทุกวัน ขอบอก...ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ....
นี่ก้อยังเก็บแบบฝึกหัดเค้าไว้เลย...เพราะที่ Tom ให้นั้นดีมากๆ เป็นประโยคง่ายๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน...มีคำอธิบายเรื่อง grammar แบบง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจได้ดี ชอบมากๆเลย...ต้องบอกว่าเค้าเลือกเก่ง...
ก้อต้องถือว่ายุ่นโชคดีที่ได้เรียนกับ Tom เพราะ Vivian เพื่อนที่เรียนเลขเค้ามาชวนให้ไปเีรียนอังกฤษ แล้วเค้าบอกครูคนนี้สอนดีมากเพื่อนเค้าบอก...เราก้อเลยได้เรียน และปรากฏ Tom ปกติจะสอนที่ Main Street มีเพียง course นี้เท่านั้นที่เค้าทำ part time แล้วเค้าได้สอนที่นี่ หลังจากนี้เค้าต้องย้ายไปประจำที่ Main Street ต้องถือว่าเรา ฟลุ๊คมากที่ได้เรียนกับเค้า ยังคิดเลยว่าจะขอตามไปเรียนที่ Main ด้วยหลังจากนี้..ถ้ามีโอกาส..
นอกจากนี้ Tom ได้สอนการเขียน essay ด้วยเทคนิคที่ง่ายๆแต่มีรูปแบบที่ดี สั้น กระชับ ได้ใจความ มี map มี pattern ที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ง่าย...ไม่น่าเชื่อเลย..เพราะ course นี้ เรียกว่าแทบจะเขียน essay ทุกวันเลยก้อว่าได้
Essay ที่เรียนในเทอมนี้ก้อต่างจากที่เคยเรียนกับ Ruth และ Jennifer มันแบบยากขึ้นเยอะ นักเรียนต้องเรียนการเขียน essay จาก topic หรือคำถามที่เค้าจะให้มา เช่น..
-How to balance a low budget?
-Boys should not learn to cook , agree or disagree?
-What three people would you like to take to a desert island with you and why?
-What is a weekend?
-Everybody should speak a second language , agree or disagree?
หรือจากการอ่าน short story , poem และ novel เค้าก้อจะมีคำถามมา เราก้อต้องเขียน essay เพื่อตอบคำถามที่เค้าถามมา :
-Which chipmunk is best?
-Describe the character of Nancy Lee. Give evidence from the story that indicates the kind of person she is.
-What effect does the possible sale of the record have upon the Esposito family? What does the way he would spend the money reveal about each member of the family?
อะไรประมาณนี้แหละ..คิดดูหากเจอครูที่ไม่ดี รับรองทำไม่ได้แน่ๆ เพราะเกิดมาก้อไม่เคยเรียน ที่ไทยก้อไม่ได้เรียนการเขียนเรียงความแบบเป็นเรื่องเป็นราว เรียกว่าไม่เคยเรียนก้อว่าได้...ไ่ม่ต้องคิดถึงการเขียน writing ที่ไทย ยิ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ด้วยเหรอ...
แต่ของฝรั่ง เค้ามีเป็น pattern เป็นกฎเกณฑ์ เราต้อง organized ideas อย่างไร เขียนอย่างไร ดีมากๆเลย ตอนเรียนเนี่ย..คิดถึงเด็กไทยมากๆเลย อยากให้เด็กไทยมีโอกาสได้เรียนแบบนี้บ้าง คือเค้าสอนให้นักเรียนจัดระบบความคิดก่อนที่จะนำเสนอ และมีการ present อย่างไร ชอบนะ...รู้สึกดีมากเลย..
และเมื่อวานก้อเป็นวันสุดท้ายของการเรียน Tom ก้อมีช๊อตเด็ด แกก้อให้มีการ presentation โดยสอนหลักการในการ presentation ว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ easy piesy....ง่ายๆ...แล้วก้อให้ทุกคนให้คะแนนเพื่อนๆตอนที่ออกไป present หน้าห้องด้วย เพราะฉะนั้นพอเรากลับมาที่โต๊ะ ก้อจะมีคนนำกระดาษที่ให้คะแนนเรามาวางให้เรา...ตามจำนวนนักเรียนในห้องลบไปหนึ่ง...
ห้องเรียนที่เรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน มีรัสเซียหนึ่ง เปรูหนึ่ง แล้วก้อไทยหนึ่ง ก้อคือยุ่นนั่นเอง ที่เหลืออีก 18 คนเป็นคนจีนหมดเลย..คราวนี้ปัญหาคือเวลาพูดภาษาอังกฤษหรืออ่านเนี่ย มันก้อจะเป็นสำเนียงตามภาษาเดิมของเรา..ก้อสนุกสิ..เพราะส่วนใหญ่ยุ่นจะฟังเค้าไม่ออก...คือไงดี ไม่ใช่กระแดะนะ แต่ฟัง Tom หรือพวกฝรั่งพูดเนี่ยได้มากกว่าพวกคนจีนพูดอีก...ถ้ายิ่งเจอญี่ปุ่นนะ ยิ่งฟังไม่รู้เรื่องหนักเลย..
คราวนี้ Tom ก้อบอกเทคนิคการ present อย่าพูดเร็ว ให้พูดช้าๆ ชัดๆ ดังๆ ยุ่นก้อเกรงว่าเค้าจะฟังภาษาอังกฤษแบบไทยๆของเราไม่ออก ก้อใช้หลักการที่ Tom สอนแหละ..พูดช้า ชัด และดังเข้าไว้...
และพอกลับมาที่นั่ง เพื่อนรัสเซียที่นั่งกับเรา ก้อบอกเราว่า สุวรรณีที่เธอพูดนะ ฉันฟังออกหมดทั้ง 100%เลยนะ...ฉันเข้าใจที่เธอพูดมากกว่าพวกคนจีนพูด เธอพูดได้ซึ้งมากเลย...ฉันสัมผัสได้...ฉันให้คะแนนเธอเต็มห้าเลยนะ...
ไอ้เราก้อดีใจมากเลย ยิ้มแป้นเลย .....จริงเหรอ...แล้วก้อขอบคุณเค้า คือเพื่อนรัสเซียคนนี้ไม่สนิทเหมือน Iku เค้าเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก ไอ้เราก้อไม่ค่อยกล้าไปรบกวนอะไรเค้ามาก ก้อพูดกันเท่าที่จำเป็น พอเค้าชมเรา...เราก้อเลยรู้สึกดีใจจัง...
แล้วเราก้อดูคะแนนที่เพื่อนร่วมห้องเค้า grade ให้เรา ปรากฏว่า 14 คนให้คะแนนเราเต็ม มีคนนึงให้ 4.5 และอีก 4 คนให้คะแนนเรา 4 ก้อทำให้เรารู้สึกดีใจและภูมิใจ...ไม่น้อยเลย...
ก้อไม่ได้เข้าข้างพวกเราคนไทยหรอกนะ...เพียงแต่ว่าภาษาไทยเราเป็นภาษาที่เวลาพูดเนี่ย มันจะ monotone มากกว่าภาษาอื่น เสียงต่างๆเราไม่มาก เราไม่ค่อยมีบันไดเสียงเยอะ...หรือปล่าวไม่รู้ ทำให้เวลาเราฝึกพูดภาษาอังกฤษ มันจะฟังง่ายกว่าจีน กับญี่ปุ่น หรือเพราะเราคุ้นในสำเนียงไทยๆก้อไม่รู้ แต่จากการที่พูดกับเพื่อนๆหลายๆคน เค้าก้อเข้าใจที่เราพูด...เลยคิดว่าน่าจะพอใช้ได้...
และนี่ก้อเป็นอะไรที่รู้สึกภูมิใจนะ ยังไงเราคนไทยก้อไม่ได้น้อยหน้าพวกคนจีนที่มาเท่าไรนัก คือเค้ามากันเยอะไง...ไอ้ของเราเรียกว่านับคนได้..แต่เราก้อ...ไม่ได้ด้อยกว่าเค้าเลยนะ... ก้ออดภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้เหมือนกัน...
เวลาของการเรียนหนึ่งเทอมจะอยู่ประมาณสิบสัปดาห์ เรียกว่าโปรแกรมที่ Tom ครูอังกฤษคนนี้สอนนั้น แน่นเอียดจริงๆ แต่ก้ออยากไปเรียนกับเค้าทุกครั้ง เพราะเค้าเป็นคนที่สอนตลกมั่กๆๆ มุกฮาเยอะดี เรียนแล้วไม่เครียด แต่ว่าการบ้านเพียบ...55555
Tom จะมีเทคนิคในการสอนที่ดีมากๆ นอกจากนี้ ยังให้เทคนิคในการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น เค้าจะให้นักเรียนต้องทำ grammar exercises ทุกวัน วันละหนึ่ง unit เป็น grammar ง่ายๆ tense ต่างๆ การใช้ article การใช้ preposition โดยให้เฉลยมาเสร็จ แต่สิ่งสำคัญคือ เวลาทำการบ้านคุณต้องเขียนทั้งประโยค ไม่ใช่เขียนแต่คำตอบ...วิธีนี้ ยุ่นว่าสุดยอดมากๆเลย.. simple and easy way but it does work
เหตุผลคือเราได้ฝึกฝนเขียนเป็นประโยคทุกๆวัน วันนึงก้อมีสี่ถึงห้าสิบประโยค และเขียนแบบถูกหลัก เค้าก้อใช้หลักการคุมอง ทำง่ายๆแต่ทำทุกๆวัน...เรียกว่าเค้าสอนเราแบบ self learning เลยแหละ..หากใครอ่านแล้วจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ก้อได้นะค้า ไม่หวงห้าม เพียงแต่เราเลือกแบบฝึกหัดที่ดี ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อนมาก เขียนทุกวัน ขอบอก...ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ....
นี่ก้อยังเก็บแบบฝึกหัดเค้าไว้เลย...เพราะที่ Tom ให้นั้นดีมากๆ เป็นประโยคง่ายๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน...มีคำอธิบายเรื่อง grammar แบบง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจได้ดี ชอบมากๆเลย...ต้องบอกว่าเค้าเลือกเก่ง...
ก้อต้องถือว่ายุ่นโชคดีที่ได้เรียนกับ Tom เพราะ Vivian เพื่อนที่เรียนเลขเค้ามาชวนให้ไปเีรียนอังกฤษ แล้วเค้าบอกครูคนนี้สอนดีมากเพื่อนเค้าบอก...เราก้อเลยได้เรียน และปรากฏ Tom ปกติจะสอนที่ Main Street มีเพียง course นี้เท่านั้นที่เค้าทำ part time แล้วเค้าได้สอนที่นี่ หลังจากนี้เค้าต้องย้ายไปประจำที่ Main Street ต้องถือว่าเรา ฟลุ๊คมากที่ได้เรียนกับเค้า ยังคิดเลยว่าจะขอตามไปเรียนที่ Main ด้วยหลังจากนี้..ถ้ามีโอกาส..
นอกจากนี้ Tom ได้สอนการเขียน essay ด้วยเทคนิคที่ง่ายๆแต่มีรูปแบบที่ดี สั้น กระชับ ได้ใจความ มี map มี pattern ที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ง่าย...ไม่น่าเชื่อเลย..เพราะ course นี้ เรียกว่าแทบจะเขียน essay ทุกวันเลยก้อว่าได้
Essay ที่เรียนในเทอมนี้ก้อต่างจากที่เคยเรียนกับ Ruth และ Jennifer มันแบบยากขึ้นเยอะ นักเรียนต้องเรียนการเขียน essay จาก topic หรือคำถามที่เค้าจะให้มา เช่น..
-How to balance a low budget?
-Boys should not learn to cook , agree or disagree?
-What three people would you like to take to a desert island with you and why?
-What is a weekend?
-Everybody should speak a second language , agree or disagree?
หรือจากการอ่าน short story , poem และ novel เค้าก้อจะมีคำถามมา เราก้อต้องเขียน essay เพื่อตอบคำถามที่เค้าถามมา :
-Which chipmunk is best?
-Describe the character of Nancy Lee. Give evidence from the story that indicates the kind of person she is.
-What effect does the possible sale of the record have upon the Esposito family? What does the way he would spend the money reveal about each member of the family?
อะไรประมาณนี้แหละ..คิดดูหากเจอครูที่ไม่ดี รับรองทำไม่ได้แน่ๆ เพราะเกิดมาก้อไม่เคยเรียน ที่ไทยก้อไม่ได้เรียนการเขียนเรียงความแบบเป็นเรื่องเป็นราว เรียกว่าไม่เคยเรียนก้อว่าได้...ไ่ม่ต้องคิดถึงการเขียน writing ที่ไทย ยิ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ด้วยเหรอ...
แต่ของฝรั่ง เค้ามีเป็น pattern เป็นกฎเกณฑ์ เราต้อง organized ideas อย่างไร เขียนอย่างไร ดีมากๆเลย ตอนเรียนเนี่ย..คิดถึงเด็กไทยมากๆเลย อยากให้เด็กไทยมีโอกาสได้เรียนแบบนี้บ้าง คือเค้าสอนให้นักเรียนจัดระบบความคิดก่อนที่จะนำเสนอ และมีการ present อย่างไร ชอบนะ...รู้สึกดีมากเลย..
และเมื่อวานก้อเป็นวันสุดท้ายของการเรียน Tom ก้อมีช๊อตเด็ด แกก้อให้มีการ presentation โดยสอนหลักการในการ presentation ว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ easy piesy....ง่ายๆ...แล้วก้อให้ทุกคนให้คะแนนเพื่อนๆตอนที่ออกไป present หน้าห้องด้วย เพราะฉะนั้นพอเรากลับมาที่โต๊ะ ก้อจะมีคนนำกระดาษที่ให้คะแนนเรามาวางให้เรา...ตามจำนวนนักเรียนในห้องลบไปหนึ่ง...
ห้องเรียนที่เรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน มีรัสเซียหนึ่ง เปรูหนึ่ง แล้วก้อไทยหนึ่ง ก้อคือยุ่นนั่นเอง ที่เหลืออีก 18 คนเป็นคนจีนหมดเลย..คราวนี้ปัญหาคือเวลาพูดภาษาอังกฤษหรืออ่านเนี่ย มันก้อจะเป็นสำเนียงตามภาษาเดิมของเรา..ก้อสนุกสิ..เพราะส่วนใหญ่ยุ่นจะฟังเค้าไม่ออก...คือไงดี ไม่ใช่กระแดะนะ แต่ฟัง Tom หรือพวกฝรั่งพูดเนี่ยได้มากกว่าพวกคนจีนพูดอีก...ถ้ายิ่งเจอญี่ปุ่นนะ ยิ่งฟังไม่รู้เรื่องหนักเลย..
คราวนี้ Tom ก้อบอกเทคนิคการ present อย่าพูดเร็ว ให้พูดช้าๆ ชัดๆ ดังๆ ยุ่นก้อเกรงว่าเค้าจะฟังภาษาอังกฤษแบบไทยๆของเราไม่ออก ก้อใช้หลักการที่ Tom สอนแหละ..พูดช้า ชัด และดังเข้าไว้...
และพอกลับมาที่นั่ง เพื่อนรัสเซียที่นั่งกับเรา ก้อบอกเราว่า สุวรรณีที่เธอพูดนะ ฉันฟังออกหมดทั้ง 100%เลยนะ...ฉันเข้าใจที่เธอพูดมากกว่าพวกคนจีนพูด เธอพูดได้ซึ้งมากเลย...ฉันสัมผัสได้...ฉันให้คะแนนเธอเต็มห้าเลยนะ...
ไอ้เราก้อดีใจมากเลย ยิ้มแป้นเลย .....จริงเหรอ...แล้วก้อขอบคุณเค้า คือเพื่อนรัสเซียคนนี้ไม่สนิทเหมือน Iku เค้าเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก ไอ้เราก้อไม่ค่อยกล้าไปรบกวนอะไรเค้ามาก ก้อพูดกันเท่าที่จำเป็น พอเค้าชมเรา...เราก้อเลยรู้สึกดีใจจัง...
แล้วเราก้อดูคะแนนที่เพื่อนร่วมห้องเค้า grade ให้เรา ปรากฏว่า 14 คนให้คะแนนเราเต็ม มีคนนึงให้ 4.5 และอีก 4 คนให้คะแนนเรา 4 ก้อทำให้เรารู้สึกดีใจและภูมิใจ...ไม่น้อยเลย...
ก้อไม่ได้เข้าข้างพวกเราคนไทยหรอกนะ...เพียงแต่ว่าภาษาไทยเราเป็นภาษาที่เวลาพูดเนี่ย มันจะ monotone มากกว่าภาษาอื่น เสียงต่างๆเราไม่มาก เราไม่ค่อยมีบันไดเสียงเยอะ...หรือปล่าวไม่รู้ ทำให้เวลาเราฝึกพูดภาษาอังกฤษ มันจะฟังง่ายกว่าจีน กับญี่ปุ่น หรือเพราะเราคุ้นในสำเนียงไทยๆก้อไม่รู้ แต่จากการที่พูดกับเพื่อนๆหลายๆคน เค้าก้อเข้าใจที่เราพูด...เลยคิดว่าน่าจะพอใช้ได้...
และนี่ก้อเป็นอะไรที่รู้สึกภูมิใจนะ ยังไงเราคนไทยก้อไม่ได้น้อยหน้าพวกคนจีนที่มาเท่าไรนัก คือเค้ามากันเยอะไง...ไอ้ของเราเรียกว่านับคนได้..แต่เราก้อ...ไม่ได้ด้อยกว่าเค้าเลยนะ... ก้ออดภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้เหมือนกัน...
Subscribe to:
Posts (Atom)