Wednesday, May 26, 2010

การเรียนรู้ที่แท้จริงคืออะไร ???

"Learning is a treasure that will follow its owner everywhere." ~สุภาษิตของจีน ที่เป็นจริงทุกยุคทุกสมัย...และสำหรับสังคมตะวันตกแล้ว การเรียนรู้ไม่มีวันจบ ไม่ว่าคุณจะแก่แค่ไหนก้อเรียนได้..เป็นภาพที่เห็นจริงตอนยุ่นไปเรียนหนังสือ บางคนนะ หกสิบกว่ายังมาเรียนเลย..แบบเป็นตาหรือยายแล้วนะ...แบบมาเรียนของ high school นะ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอายุมากๆนะ..ขนาดยุ่นเนี่ย..ตอนนี้มาเรียน ยังรู้สึกเลยว่าประสิทธิภาพเรายังตกไปเยอะเลย...

หลังจากที่ยุ่นเรียนจบเภสัช จุฬาแล้ว ก้อแบบไม่คิดอยากเรียนหนังสืออีกเลย..ไม่รู้ว่าเพราะ
-เรียนหนักรึ? ก้อคงไม่ใช่เพราะไม่ค่อยเข้าห้องเรียน อ่านแต่ Xerox วันใกล้สอบจะเห็นยุ่น โส นุก..อยู่ตามเครื่อง Xerox หรือไม่ก้อวิ่งหาเปรม..เพื่อขอต้นฉบับ... มาคิดเนี่ย..วิธีการเรียนของเราก้อผิดเห็นๆ... เรียนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า...
-หรืออาจเรียนสาขาที่ตัวเราไม่ได้ชอบเท่าไร..จึงทำให้ไม่เกิดการอยากเรียนรู้เพิ่ม..
-หรืออาจด้วยไม่ได้เป็นคนชอบเรียนรู้ ใฝ่รู้ ก้อเลยไม่ค่อยหาความรู้เพิ่มเติม...เฮ้อ..ก้อยังไม่รู้เลยนะเนี่ย!...ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร......จนถึงทุกวันนี้ แต่ที่รู้ๆ...มันเป็นความสูญเสียทางด้านการศึกษาแน่ๆ....

และที่รู้แน่ๆอีกอันก้อคือตอนที่ศรีสันต์มาชวนให้ไปเรียนต่ออเมริกาตอนนั้น.. เรียนโทบริหารธุรกิจอะไรประมาณนี้...ยุ่นรู้แต่ว่า..ไม่อยากเรียนเลย..อยากทำงานมากกว่า อยากหาประสบการณ์ที่แตกต่างนะ..ไม่อยากท่องหนังสือแล้ว ไม่อยากสอบ...เบื่อมากๆเลย...พอกันทีชีวิตนักเรียน..นักศึกษา...

จนมาวันนี้ มาอยู่แคนาดา ต้องกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง..จริงๆก้อได้เรียนบ้างเหมือนกันตอนทำคุมอง..แต่เพียงแต่ของแคนาดาเนี่ย..เราเหมือนเด็กนักเรียนมากกว่าของคุมอง..อึม..ตัดเกรดชัดเจน คุมองไม่ผ่านไม่เป็นไร ไปสอบกันจนผ่าน น้องๆ staff ช่วยกันจน instructor ต้องผ่านให้ได้ แต่ที่นี่..ต้องทำให้ผ่านด้วยกำลังสมอง..กำลังความสามารถของเราเอง..คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ...

แต่วันนี้ที่กลับมาเรียน..ยุ่นรู้สึกว่าดีนะ..เพราะยุ่นเรียนแบบวิเคราะห์...ไม่ว่าจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษ เราจะไม่ได้เรียนแบบสมัยเด็กๆ เรียนเพื่อสอบ..แต่อันนี้ ยุ่นเรียนเพื่อรู้..คิดวิเคราะห์...เพื่อให้ได้ประโยชน์จริงๆ...และก้อรู้สึกสนุกกับการเรียนนะ..และชอบค้นคว้าเอง...อะไรที่อยากรู้พิ่ม ก้อหาใน net บ้าง หาตามห้องสมุดเองบ้าง...ก้อไม่รู้ว่าระบบการเรียนของที่นี่ที่เปลี่ยนเรา หรือว่าเราแก่แล้ว หรือว่าเราได้เรียนในสิ่งที่เราสนใจ..

แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบของการเรียนที่นี่ และก้อสังเกตุมาทุกครูอังกฤษนะ..คือการให้เกียรตินักเรียนในการแสดงความคิดเห็น..แบบเวลาเขียน writing แล้วส่งให้ครูตรวจแก้ไข..ไม่เคยมีครูคนไหนขีดฆ่างานของยุ่นเลย..เคยดูของเพื่อนก้อเหมือนกันนะ...แต่เค้าจะ comment ข้างๆ..ถ้าเค้าอ่านไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจ เค้าจะขีดเส้นใต้ หรือทำปีกกาในช่วงที่ไม่เข้าใจ แล้วใส่ question mark และส่วนใหญ่จะแก้ grammar เราที่ผิด แต่ไม่เปลี่ยนความคิดเห็นของเรา..คือคงของเก่าของเราไว้ตลอด...

ไม่รู้นะ..ชอบอะ..แบบเค้าเคารพในสิ่งที่เราออกความคิดเห็น..ไม่รู้คนอื่นคิดยังไง แต่ยุ่นคิดแบบนี้...ทั้งที่มันอาจจะแปลกๆ หรือแตกต่างจากเค้า..ไม่ว่าจะเป็นการเขียน หรือคำพูด..เช่น..เวลาเรียนในห้อง debate อะไรกัน..เค้าจะฟังทุกๆความคิดเห็น ทุกๆเหตุผล..ไม่ใช่ครูพูดอะไรก้อถูกหมด...นักเรียนไม่เห็นด้วยก้อต้องเออออห่อหมก...เพราะกลัวครูไม่ชอบ..กลัวครูว่าไม่เคารพบ้าง...มีผลต่อคะแนนบ้าง...

ครูที่นี่ชอบให้แสดงความคิดเห็นนะ..เพื่อให้เห็นมุมมองที่แตกต่างของแต่ละคน..คือถกกันด้วยเหตุผลนะ..ไม่้ได้ใช้อารมณ์...และครูของเค้าก้อให้เกียรตินักเรียนในการแสดงความคิดเห็น..ยุ่นลองถามยีน..ว่าของยีนเหมือนของแม่มั้ย..อาจเพราะพวกเราเป็นผู้ใหญ่ ยีนบอกก้อเหมือนกัน...ครูที่นี่เค้าชอบให้แสดงความคิดเห็นนะแม่...แล้วยังพยายามให้คิดเหตุผลมาโต้แย้งกันด้วย..สนุกดีแม่..ยีนชอบ...

และนี่ก้อคงเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่เค้าปลูกฝังกันมาตั้งแต่สังคมในโรงเรียน การให้เกียรติผู้อื่น รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันแม้นเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน...

ถ้าหากสังคมเล็กๆในโรงเรียนของสังคมไทย..ได้เริ่มมีสิ่งดีๆเหล่านี้เข้ามา...ก้อน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับลูกหลานของเราในวันข้างหน้านะ....อยากให้ครูไทยเปลี่ยนทัศนคติในการสอนเด็ก...และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน....ซึ่งมันเหมือนเป็นเรื่องเล็กมากในสังคมจนพวกเรามองข้าม...แต่มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการอยู่ร่วมกัน...อย่างสันติ...

Tuesday, May 25, 2010

มองต่างมุม...

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นที่บ้านเรา..ได้ปรากฏในข่าวของทางแคนาดา เรียกว่าเป็นข่าวแรกที่นำเสนอติดกันสองสามวันเลย..โดยภาพที่ออกมาค่อนข้างจะรุนแรง และมีการวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก..และตบท้ายด้วยไม่ควรไปเที่ยวประเทศไทยอย่างเด็ดขาดในช่วงนี้..โซนอันตราย ><

ฮ่งกับยุ่นเราสองคนก้อจะได้รับคำถามจากเพื่อนๆที่เรารู้จักที่นี่ ทั้งฝรั่ง..จีน..หรือชาว Canadian ว่าสมาชิกของครอบครัวเราปลอดภัยมั้ย...เมืองไทยน่ากลัวมากเลยตอนนี้...ซึ่งเราก้อตอบว่าทุกคนปลอดภัยดี..แต่ยุ่นเองก้อรู้สึกอึดอัดทุกครั้งเวลาที่ต้องตอบปัญหาเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นในขณะนี้..

จริงๆ..ส่วนตัวก้อไม่อยากจะเขียน พูด หรือแม้กระทั่งเวลาได้รับ forward mail ต่างๆทางการเมือง ยุ่นจะไม่ส่งต่อ..เชื่อมะ.. ยุ่นได้รับ forward mail ในเรื่องเสื้อแดงเลว โง่ ทักษิณชั่ว เลว..มากมาย จนกระทั่งอยากจะอาเจียนเลยแหละ...เมลที่ได้รับเนี่ย วันนึงมีเป็นสิบๆเมล์เลยแหละ...

แต่วันนี้..ยุ่นไม่ได้ส่ง forward mail นะ ไม่มีคนส่งให้ยุ่น เพียงแต่ข้อมูลต่างๆที่ยุ่นได้อ่านเจอ...บทวิเคราะห์ทางการเมืองจากมุมมองอื่นบ้าง...และคิดว่าประชาชนคนไทยน่าจะได้รับข้อมูลสองด้าน และใช้ปัญญาของเราในการพิจารณาเอง...ไม่ใช่รัฐบาลนำเสนอข้อมูลด้านเดียว ล้างสมองประชาชน..จนกระทั่งน้องสาวยังบอกเลยว่า ฟังรัฐบาลพูดไปนานๆก้อเริ่มเชื่อเหมือนกันนะว่ามันจริง..คือมันดูทุกวัน ทุกวัน พูดเหมือนกันทุกวัน ทุกวัน สงสัยเค้าใช้หลักคุมอง....ถ้าเราไม่..หยุด..คิด..พิจารณา ลำดับเหตุการณ์ต่างๆดีๆ.....อย่างว่านะ..คนชนะ..สามารถบันทึกประวัติศาสตร์ตามที่ตัวเองต้องการ..และอำนาจก้ออยู่ในมือของเค้า..

จำได้ว่าตอนที่ยุ่นยังอยู่เมืองไทยทำคุมอง ช่วงนั้นเป็นช่วงพันธมิตรประท้วง..เวลาไปทำงานที่ศูนย์เราเอง ลูกน้องยุ่น ครูรัตน์ ครูยุ้ยก้อเสื้อแดง...หทัยเสื้อเหลือง หทัยยังพูดติดตลกเลยว่า พี่ยุ่นคุณแม่หทัยเสื้อแดงค่ะ..เราสองคนแม่ลูกคุยเรื่องการเมืองกันไม่ได้เลยค่ะ...ยุ่นก้อยังแซวเลยว่า..แล้วนี่คุยกับพี่รัตน์กับพี่ยุ้ยได้มั้ยเนี่ย? เค้าทั้งสามคนก้อหัวเราะชอบใจ เค้าบอกคุยกันได้ค่ะ แค่เรื่องความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน..และพวกเค้าสามคนก้อรักกันมาก..เพราะทำงานด้วยกันมาเกือบเจ็ดปีแล้ว..

ยุ่นก้อถามรัตน์ว่าทำไมถึงชอบทักษิณ? รัตน์บอก..พี่ยุ่นเชื่อมะ..หมู่บ้านรัตน์..(รัตน์เป็นคนขอนแก่นนะ ถ้าจำไม่ผิด จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานแน่ๆ) ตั้งแต่รัตน์เป็นเด็กจนโตมา ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนสนใจชาวบ้านอย่างพวกเราเหมือนทักษิณ ตอนที่เค้าเป็นรัฐบาล เค้าเข้ามาช่วยพวกเราจริงๆ...ชาวบ้านอยู่ดีกินดีขึ้นจริงๆ...ยุ่นก้อถามยุ้ยว่าทำไมถึงชอบเค้า..ยุ้ยบอก..เหมือนพี่รัตน์เลยพี่ยุ่น ยุ้ยเป็นคนชลบุรี ทักษิณเค้าช่วยชาวบ้านจริงๆ..หรือแม้กระทั่ง messenger ของพี่ชายยุ่น ช่วงนั้นเค้าก้อเล่าให้พวกเราฟังว่า ถ้าไม่ได้สามสิบบาทรักษาทุกโรคของทักษิณ ผมคงตายไปแล้ว เพราะผมต้องผ่าตัด ต้องกินยา...ผมไม่มีเงิน...แต่สามสิบบาทเนี่ย..ต่ออายุผมได้..

อันนี้ที่เขียนไม่ใช่ต้องการเรียกร้องให้ทักษิณกลับมานะ..แต่อยากให้เรามองว่าชาวบ้านต่างจังหวัดหรือพวกคนจนนะ..ทำไมเค้าถึงชอบทักษิณ เพราะนโยบายของเค้าช่วยคนจน.. ยุ่นคิดว่าทักษิณคงมองว่าคนจนเป็นคนส่วนมากของประเทศไทย...หากคนกลุ่มนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประเทศชาติก้อน่าจะดีขึ้น..หรือด้วยไทยรักไทยต้องการให้พวกชาวบ้านนี้เป็นฐานเสียงในอนาคต....อาจเพราะเราไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่แก้ปัญหาให้คนจนอย่างจริงจัง..พอทักษิณทำสิ่งเหล่านี้ อาจดูเป็นเรื่องแปลก..และกลับกลายเป็นว่าพวกชาวบ้านเค้าโง่ ถูกทักษิณหลอกใช้..ถูกทักษิณเอาเงินซื้อ..ทั้งที่จริงๆทุกพรรคของบ้านเราก้อเป็นแบบนี้ ทุกรัฐบาลของไทยเราก้อโกงกิน...เพียงแต่คนไทยเป็นคนขี้ลืม..

ยุ่นเอง...ตอนอยู่เมืองไทย ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยสัมผัสความไม่มี..ก้อคงบอกได้ว่าเราโชคดีที่เกิดมาในฐานะครอบครัวปานกลาง..ก้อเรียกว่าเป็นชนชั้นกลางของสังคม แต่พอเรามาแคนาดา จากรายได้ของครอบครัวเรา เราก้อคือคนจนของที่นี่..

แต่ยุ่นมีความรู้สึกดีนะ..ไม่ได้ท้อแท้ ท้อถอย...หมดหนทาง.. บางคนอาจบอกก้อครอบครัวยุ่นไม่ได้จนจริงนิ...อึม..ถ้าเทียบกับคนส่วนมากของที่นี่ เงินที่เรามีทั้งหมด..เราก้อยังน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มคนค่อนข้างจนของที่นี่...

นโยบายหลายๆอย่างของรัฐบาลแคนาดาจะพยายามช่วยคนฐานะไม่ดี หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษก้อคือ low income โดยให้โอกาสทุกอย่าง ไม่ว่าความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ออกเงินค่าเช่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูลูก..ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันสังคม คือถ้าคุณมีรายได้น้อยเนี่ย..เรียกว่าทุกอย่างฟรีหมด..เค้าเอาเงินภาษีของคนที่มีฐานะปานกลางถึงสูงในสังคมมาช่วยคนที่มีรายได้ต่ำ...

นอกจากนี้ คุณอยากเรียนหนังสือใช่มะ..ดีเลย รัฐสนับสนุนเต็มที่ อยากเรียนอะไรบอก...ขอมา..ถ้ารัฐช่วยได้ทั้งเงินกู้ หรือทุนอะไร รัฐช่วยเต็มที่..นี่คือสิ่งดีๆที่ครอบครัวเราได้จากรัฐบาลแคนาดา..ในฐานะที่เราเป็นผู้มีรายได้ต่ำ...ซึ่งพวกคนไทย คนจีน หรือ new immigrant อีกหลายๆครอบครัวก้อได้รับโอกาสเช่นนี้...และเมื่อคุณยืนได้ด้วยตัวเอง...คุณก้อมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยคนอื่นๆที่เค้าต้องการความช่วยเหลือต่อไป..มันคือจิ๊กซอ...ต่อกันเป็นภาพใหญ่...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่าทำไม....ประเทศเหล่านี้จึงเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว..

สัดส่วนของคนส่วนใหญ่ในสังคมคือพวกชนชั้นกลาง..คนรวยกับคนจนนั้นสัดส่วนน้อยกว่ามาก...จึงทำให้ประเทศเค้าขับเคลื่อนไปได้..พร้อมกันทั้งประเทศ และช่องว่างระหว่างชนชั้นนั้น น้อยมาก..

หากเราถามตัวเราเอง..ตอนที่ยุ่นเป็นชนชั้นกลางในสังคมไทย ยุ่นก้อไม่ได้พอใจในสิ่งที่ยุ่นมี แบบเราเองก้อยังอยากมีรถดีๆขับ มีบ้านสวยๆอยู่ อยากให้ลูกเรามีการศึกษาดีๆ อยากเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง เที่ยวต่างจังหวัดเนี่ย ถ้าไปได้เดือนละครั้งเนี่ย เจ๋งเลย... แต่ทำไมพอชาวบ้านเค้าอยากบ้าง..เรากลับบอกว่าเค้าไม่พอเพียง..เรากลับบอกให้เค้าควรพอใจกับสิ่งที่เค้ามี...ลองกลับกันถ้าเราเป็นเค้า..เราจะคิดแบบนั้นมั้ย...และผิดมั้ยที่จะคิด..

การที่ยุ่นมาอยู่ที่แคนาดา ได้สัมผัสกับชีวิตที่อาจเรียกว่าไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ไทย แต่ที่นี่เค้าเรียกเราว่าคนจน..ยุ่นไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมๆที่ประมาท ฟุ่มเฟือยโดยไม่รู้ตัวได้..คือต้องใช้ชีวิตแบบมีสติ....เราก้อพอมีสตางค์นะ..แต่ถ้าเราไม่มีสติ..เราคงเป็นคนจนจริงๆเลยแหละ...ฉะนั้น..ความพอเพียงเนี่ย...มันเกิดโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพร่ำพูด..ไม่มีคนสอน..และยุ่นไม่คิดนะว่าคนต่างจังหวัดหรือพวกชาวบ้านเค้าจะใช้ชีวิตแบบไม่พอเพียง...หรือฟุ่มเฟือย...เพียงแต่ว่ามนุษย์เราก้อมีความอยากได้มากขึ้น อยากมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น..

และนี่ก้อเป็นอีกมุมมองของยุ่น ซึ่งอาจแตกต่างจากชนชั้นกลางมากมายในสังคมไทยตอนนี้...แต่ก้ออยากจะบันทึกไว้...สำหรับช่วงพฤษภาหฤโหดสมัยนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...2010 ....เพราะอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า..เมื่อความจริงทุกอย่างปรากฏ..ยุ่นเองจะได้ระลึกว่าณ จุดนี้ ยุ่นได้มอง..หรือวิเคราะห์สภาพสังคมไทยถูกหรือผิดพลาดไปอย่างไร..และเป็นอุทาหรณ์เตือนใจตัวเอง...และลูกหลานในอนาคต..

Monday, May 17, 2010

จากกัน..เพื่อพบกันใหม่.. (...พบกัน..แล้วก้อต้องจากกัน..)





Don't walk in front of me,
I may not follow.
Don't walk behind me,
I may not lead.
Walk beside me
and be my friend.

Friendship is like a violin;
the music may stop now and then,
but the strings will last forever.

เมื่อสองอาทิตย์ก่อน Iku เพื่อนชาวญี่ปุ่นโทรมาหายุ่น..เค้ากลับจากญี่ปุ่นแล้ว และจะมาพักที่แวนคูเวอร์อาทิตย์หนึ่งก่อนที่จะบินไปที่ Totonto....... Iku โทรมานัดยุ่นเพื่อเจอกันก่อนที่เค้าจะบินไปอยู่ Toronto...

เรานัดเจอกันวันจันทร์ที่ 10 ที่ร้าน Bubble Tea ตรง Victoria ตัดกับ 41 ปกติเวลานัดเจอกัน Iku ก้อจะมาที่บ้านยุ่นมากกว่า แต่เนื่องจากครั้งนี้ Iku ไม่มีรถจึงไม่สะดวก...เราจึงนัดกันที่ร้านอาหาร..และเราก้อได้นั่งคุยกันถึงสี่ชั่วโมง...

อึม..ไม่อยากเชื่อเลยว่า..ว่าเราจะมีโอกาสมาเป็นเพื่อนกัน..Iku ก้อเป็นญี่ปุ่น ยุ่นก้อไทยเนอะ..แต่เรามารู้จักกันที่ vancouver และเราสองคนก้อแบบสนิทกันและถูกคอกันมากเลย..คุยกันทุกครั้งไม่เคยต่ำกว่าสามชั่วโมง...

Iku เป็นหญิงเด็ดเดี่ยว เธอมาแคนาดาคนเดียวตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว...อยู่แวนคูเวอร์คนเดียวสิบปีได้ ก้อไม่ธรรมดาเนอะ..และเธอบอกชีวิตเธอก้อทรงๆ..ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...ตื่นเต้นเลยอยากลองเปลี่ยนเมืองดู..เผื่อมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิต...

ที่ Toronto .....Iku ไม่มีเพื่อนเลย..เริ่มต้นใหม่..เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างโตรอนโตกับแวนคูเวอร์คือ โตรอนโตเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่าน..เร็ว...ไม่หยุดนิ่ง...แบบเหมือน New York นะ แต่ Vancouver จะเล็กกว่าสามเท่า..ผู้คนสบายๆ..easy life...คนที่ไม่รู้จะรู้สึกแบบเหมือนเมืองของคนขี้เกียจ...ทุกอย่างจะช้า..ไม่รีบร้อน..ผู้คนยิ้มแย้ม..นี่คือความรู้สึกที่ยุ่นไปแล้วเรารู้สึก..ซึ่งก้อตรงกับหลายๆคนที่ไปโตรอนโต และเค้าเทียบกับแวนคูเวอร์....และโอกาสในการหางาน โตรอนโตจะสูงกว่า แต่การแข่งขันสูง..คุณต้องactive แต่ Vancouver หางานยากกว่ามาก..แต่จะ stable กว่า อันนี้คนที่เคยไปอยุ่ที่โน้น..เค้าเล่าให้ฟัง..

อีกอย่างที่แตกต่างมากระหว่างสองเมืองนี้คืออากาศ Toronto อากาศจะชัดเจน ร้อนจริง หนาวจริง และอากาศจะน่ากลัวเช่นบางทีอุณหภูมิติดลบ 35 แต่แดดงี้เปรี้ยงเลย...เวลาเกิดพายุฝน พายุหิมะจะรุนแรงมาก..บ้านเนี่ย หน้าต่างต้องเป็นแบบระบบสองชั้นนะ..เป็นกฏหมาย....ยุ่นว่าคงเพราะเมืองโตรอนโตแบบพื้นที่กว้างมาก..ต่างจากแวนคูเวอร์ เมืองจะเป็น slope เป็นเนิน นั่งรถเดินทางไปไหนเหมือนมีวิวอยู่รอบเมือง เมืองเล็กๆสบายๆ..อากาศไม่รุนแรง..คือที่ยุ่นว่าหนาวๆของยุ่นเนี่ย แต่แวนคูเวอร์คือเมืองที่ร้อนที่สุดในแคนาดาก้อว่าได้...

และงานนี้ Iku เปลี่ยนเมืองเนี่ย ถึงแม้จะอยู่ในแคนาดาก้อจริง แต่ก้อเหมือนเปลี่ยนประเทศนะ..ยุ่นว่า เพราะทุกอย่างมันแตกต่างกันมาก..รวมทั้งกฏเกณฑ์ต่างๆก้อไม่เหมือนกัน...ยุ่นหละ..นับถือ Iku จริงๆเลยในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเค้าเนี่ย..

เล่าให้ฮ่งฟัง ฮ่งบอกฝากบอก Iku ว่า

" You are very brave and have very strong spirit. Please accept my respect ! " และ Iku ก้อเป็นหญิงญี่ปุ่นที่เราดูข้างนอกเนี่ยจะอ่อนหวาน...อ่อนโยนนะ..แต่ข้างในของเค้าเนี่ย..เด็ดเดี่ยว..มุ่งมั่นมากๆ..เค้าคิดทำอะไร เค้าจะไม่เปลี่ยนง่ายๆ..และต้องทำให้ได้..

และวันนั้น ยุ่นกับ Iku จากกันโดยเค้าเดินมาส่งยุ่นขึ้นรถเมล์ เพราะเค้าพักอยู่แถวร้านอาหาร...เรากอดลากันครั้งสุดท้าย...ไม่รู้จะได้มีโอกาสเจอกันอีกมั้ย...พอยุ่นขึ้นรถเมล์ Iku ก้อยืนโบกมือตรงป้ายรถเมล์ตลอดเวลา...นานมากเลย...รถติดเธอก้อยังโบก..จนรถเคลื่อนเธอก้อยังโบก...จนกระทั่ง..ไม่เห็นยุ่นนั่นแหละ...จึงเดินจากไป...เค้าจะเป็นคนที่ care ความรู้สึกคนอื่นมากๆเลย...เฮ้อ...ทำไมเจอเพื่อนดีๆแล้วต้องจากกันก้อไม่รู้..เศร้า..

Tuesday, May 4, 2010

อยู่แวนคูเวอร์..อยากบวดชีมาก...


ตั้งแต่มาอยู่ที่แวนคูเวอร์..อาหารที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ ก้อทำได้ เช่นผัดไทงี้ ตอนอยู่ไทยไม่เคยคิดอยากจะผัดกินเลย..ส่วนใหญ่ก้อไปสั่งกินตามร้าน...หรืออย่างกล้วยบวดชีงี้ เกิดมาไม่เคยคิดจะทำเลย..เพราะไปเสรีมาร์เกต ร้านบัวขนมไทยอร่อยมาก ก้อซื้อมาถุงละ 20 บาท ก้อกินจนสะใจแล้ว..

แต่พอมาที่แคนาดา มันอยากมากเลย...ตอนไปโตรอนโต อยู่บ้านพี่ลี่กับพี่เอก..พี่เอกก้อบอกว่าเนี่ย ครูยุ่นลองทำกล้วยบวดชีดูนะ ใส่นมสดนะ แล้วก้อน้ำตาลเนี่ย อย่าใช้น้ำตาลทรายขาว ไม่อร่อย ไม่หอม...ครูยุ่นไปหาซื้อน้ำตาลสีออกน้ำตาลอน่างนี้นะ ฝรั่งเค้าใช้ทำพวกขนมอบนะ ใส่ลงไป..หอมมาก ใช่เลย...

อ้าว..พี่เอก..เราก้อยิ่งอยากอยู่ พูดแบบนี้ก้อยั่วน้ำลายมากเลย..แล้วพี่เอกก้อไม่ได้ทำให้กินด้วยนะ..แต่บอกสรรพคุณว่าอร่อยเด็ด..แล้วก้อให้ใช้กล้วยไข่แทน..

ยุ่นเอง..ไม่กินกล้วยหอม เพราะไม่ชอบกลิ่นกล้วยหอม แต่กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่กินได้..แต่ไม่เคยทำเลย ไอ้พวกขนมไทยเนี่ย กะทิกระป๋องก้อไม่ชอบ..เป็นคนมีเงื่อนไขมากมาย แต่อยากกินนะ พี่เอกบอกให้ซื้อกะทิกระป๋องยี่ห้ออร่อยดี แบบกะทิทำขนมด้วยนะ เราก้อบอกเหรอ..มีด้วยเหรอ พี่เอกบอกมันจะมีรูปรวมมิตรอยู่ข้างๆ ลองสังเกตุดู จะไม่เหมือนกะทิที่เอามาทำแกง อร่อยกว่า..คือมันสำหรับทำขนมเลยไง...

เอ้า ..เอาไงเอากัน พอกลับจากโตรอนโต ก้อพยายามรวบรวมทุกอย่างที่แกบอก ทั้งหาซื้อน้ำตาล ที่แวนคูเวอร์เค้าเรียก Golden Yellow Sugar กะทิที่แกบอก จริงด้วยมีรวมมิตรอยู่ข้างๆ ไม่เคยสังเกตูเลย เพราะไม่กินกะทิกระป๋องไง...เสร็จทีแรกกะจะเอากล้วยน้ำว้า ไม่ไหว หวีละ 15 เหรียญ ทำใจไม่ได้ 450 บาท ที่ไทย 15-20 บาท ก้อเลยตกลงใช้กล้วยไข่อย่างแกบอก ก้อตกหวีละ 3 เหรียญกว่า ก้อแพง แต่พอรับได้..พอจะทำใจไหว...

ที่พี่เอกพูดว่าอร่อยเนี่ย..ก้อไม่ได้บอกสูตรมาเลย..แม่เจ้า ทำไง..ก้อเปิดจาก internet แหละ กล้วยบวดชีสูตรเด็ด...ทำตามขั้นตอนที่เค้าว่า เพียงแต่เปลี่ยนโน้นเปลี่ยนนี่ นิดหน่อย..เช่นใช้นมสดแทนหางกะทิ เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแบบที่พี่เอกแนะ..อะไรประมาณนี้

เสร็จ..พอทำออกมา..ขอบอก..อร่อยอย่าบอกใคร สมใจที่อยากกิน อึม..น้ำตาลที่พี่เอกเค้าแนะนำ มันทำให้กะทิหอมมั่กๆเลย... น้องยีนที่ไม่เคยกินเลยนะกล้วยบวดชีตอนอยู่ไทย ติดใจ บอกแม่ทำอีกได้มั้ย อร่อยจัง...ยีนชอบมากเลย...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ความอยากไม่เคยปราณีใคร และในที่สุด..เราก้อทำได้ ดูจากรูป...ก้อน่าจะพอไหวนะเนี่ย...