เมื่อวานวันอังคารที่ 22 มีนาคม 2011 ยุ่นได้เจอเรื่องราวตื่นเต้นเป็นครั้งที่สองในชีวิต...ตื่นเต้นแบบแนวอาชญากรรม...
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอ..ตอนนั้นทำงานเป็น detail ยา จำไม่ได้ว่าอยู่เชริงหรือดีทแฮล์ม...ตอนนั้น ขณะที่กำลังติดไฟแดงอยู่..รอขึ้นทางด่วน...ตรงหน้าช่องสาม ถนนเพชรบุรีตัดใหม่...ยุ่นอยู่ช่องขวาสุด...ตอนนั้นรถที่สวนมาอีกด้านคือ bus lane ว่าง...เราก้อฟังเพลงเพลินๆอยู่..มองไปด้านหน้า..ช่วงนั้นก้อน่าจะประมาณทุ่มนะ...เห็นมอเตอร์ไซด์คันนึง..ขับมามีคนนั่งซ้อนท้าย..แล้วเค้าก้อจอดตรงด้านข้างรถคันหน้ายุ่น...คือหน้ายุ่นเลยอ่ะ..ยกปืนขึ้นมา แล้วยิงคนขับรถข้างหน้า...
ปั๊ง...ปั๊ง..ปั๊ง..
ตอนนั้นจำได้ว่าตกใจมากเลย...งง...ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเค้าแสดงหนัง..แต่เห็นมีเลือด แล้วมอเตอร์ไซด์ก้อหายไปอย่างรวดเร็ว..ยุ่นรีบเบี่ยงออก แล้วขึ้นทางด่วนกลับบ้าน...ขาเนี่ย..สั่นตลอดเลย...คือเห็นต่อหน้าต่อตาสดๆเลย..
รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า...เชือดไก่ให้ลิงดู..คนตายเป็นหนี้บ่อนการพนันประมาณนั้น...ทุกวันนี้ นึกขึ้นมาทีไร..ให้เสียวสยองไงไม่รู้..
เมื่อวาน..ก้อเป็นอีกวันที่เจอเหตุการณ์แนวนี้อีกครั้งนึง...แต่ยังไม่หวาดเสียวเท่า..
ช่วงหลังห่งกับยุ่นก้อไม่ค่อยเดินห้างกันเ่ท่าไร โดยเฉพาะที ่Oakridge Mall แถวบ้าน เรายิ่งไม่ค่อยเดิน เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร..บวกกับของค่อนข้างแพง...แต่เมื่อวานก้อไม่รุ้ยังไง...อยู่ดีๆสองคนก้อออกไปเดินเล่น..
ห่งกินกาแฟที่ศูนย์อาหารเสร็จ เราก้อเดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ..ตอนนั้นก้อประมาณสี่โมงกว่านะ...ก้อผ่านร้าน Gap ร้านเครื่องสำอางค์..แล้วก้อร้านเพชร ชื่อ Montecristo เสร็จยุ่นก้อเห็นผู้ชายคนนึงมองเข้าไปในร้านพร้อมกับพูดอะไรไม่รุ้..เราก้อมองตามตาเค้า..ก้อเห็น security หญิงนอนบนพื้น นิ้วกำลังนวดขมับพร้อมหลับตา...ยุ่นก้อสงสัยทำไมเค้าลงไปนอน เค้าเป็นอะไรมั้ย...มองเข้าไปในร้านก้อเห็นฝรั่งอีกคนนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆ...ก้อคิดว่ารึว่าเค้ารอรถพยาบาลมา..
เสร็จ..เราก้อผ่านอีกส่วนนึงของร้าน Montecrito คือร้านนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน..มีประตูทางเข้าหันหน้าชนกันอยู่ด้านใน...ประตูไม่ได้้ออกมาด้านหน้า..คือเวลาเดินเข้า เราเข้าด้านข้าง...ยุ่นก้อเห็นอีกร้าน ผู้หญิงที่นั่งตรงโต๊ะ เค้ากำลังเก็บของ..พร้อมล๊อคกุญแจ..ปากก้อขมุบขมิบบอกเราว่าอะไรไม่รู้...อ่านปากไม่เข้าใจ...เค้าก้อทำหน้าเลิ่กลั่กนะ...
ยุ่นก้ับห่งก้อกำลังตีความว่ามันเกิดอะไรขึ้น..เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที..ก้อมีผู้ชายสองคนออกจากร้าน..แต่งตัวดีเลย ดูดีมีชาติตระกูล..อายุในราวยี่สิบกว่านะ...สองคนก้อแบบรีบเดินมากๆเลย..ยุ่นเห้นคนขวาหน้าแบบแขกๆใส่เสื้อลายสก๊อต...อีกคนไม่ทันสังเกตุ แต่ห่งสังเกตุอีกคนเค้าบอกมีถุงกระดาษสีขาวและมือปืนด้วย..
พอเสร็จ..ผู้หญงในร้านพร้อม security หญิงที่ลงไปนอนนะ..วิ่งออกมา..และตะโกนดังลั่นว่า Robber Robber!!! ไอ้สองคนน้นก้อวิ่ง ผู้หญิงพวกนั้นก้อวิ่งตาม..ยุ่นก้ออยากตามนะ..แต่ห่งไม่ให้ไป..สักพัก..ยุ่นบอกห่งขอไปดูหน่อยนะ..และเราก้อเดินไปดูกัน..
ปรากฎตรงประตูทางออกของห้าง..มีตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งทับและคร่อมผู้ชายคนนึง..และตำรวจอีกคนยืนเอาขาเหยียบปืนอยู่..และยุ่นก้อเห็นผู้ชายฝรั่ง...นั่งอยู่ข้างๆร้องไห้ใหญ่เลย หน้าตาแดงก่ำ..แต่เรารู้สึกว่าเราไม่เห็นคนนี้เดินออกจากร้านนะ..คือรู้สึกสองคนที่เดินออกมามันไม่ใช่ฝรั่งอ่ะ..
เสร็จ..ก้อสังเกตุ เลยรู้ว่าฝรั่งไม่ใช่เป็นโจร คือน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย..อาจเดินเข้ามาช่วยสกัดหรือไงเนี่ย เลยโดนปืนทุบหลังหัว..และโจรอีกคนที่ใส่เสื้อลายสก๊อตหนีไปได้เพราะมีรถ Chevrolet Astro van สีเขียวมาจอดรออยู่..สรุปจับได้คนเดียว..
งานนี้นอกจากมีสองไทยมุง..ยังมีจีนมุง แขกมุงแล้วก้อฝรั่งมุงด้วย..แป๊บเดียวตำรวจมาตรึม..บอกให้ผู้ชุมนุมการมุงสลายตัว..ทำเอา multinational มุง ต้องถอยร่นลงมาอีกหน่อย..แต่ก้อยังคงการมุงอย่างหนาแน่น..เพราะมนุษย์เรา..อย่างว่าต่อมอยากรู้อยากเห็นมันทำงานของมันเสมอ...55555
และที่รู้ๆ...ร้านนี้ถูกปล้นเป็นครั้งที่สองในรอบหกเดือน...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..ไม่ได้มีร้านเดียวนะ..ร้านเพชรนะ..ใน mall นี้มีสามร้านใหญ่ๆเลยอ่ะ...เพียงแต่ร้านนี้อาจไม่ได้อยู่ใกล้กับอีกสองร้านซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกันเลย...ก้อไม่เข้าใจทำไมโจรมันชอบร้านนี้...แต่โชคดีที่ไม่โจรไม่ใช้ปืนยิงผู้คนในห้างหรือจับคนในห้างเป็นตัวประกัน...
และก้อโชคดีอีกอย่าง..เพราะหากยุ่นมีความอยากรู้มากเกินเหตุ..ยุ่นอาจยืนอยู่หน้าร้านนานเกิน..ซึ่งหากโจรเดินออกมา..เราอาจไม่ปลอดภัยได้..แต่ห่งบอกระยะที่เรายืนตอนนั้นกับที่โจรออกมามันก้อไม่เกินสิบเมตร..ก้อเรียกว่า..ได้อยู่ในเหตุกาณ์ที่เรียกว่าแนวอาชญากรรมถึงสองครั้ง..แบบจังๆ...เฮ้อ...โชคดี ที่ไม่เจอลูกหลง...
Wednesday, March 23, 2011
Monday, March 7, 2011
To Preserve and Exercise Power
ยุ่นอยากบอกว่า...เวลาที่เราเรียนอะไรแล้วเราชอบ..มันจะมีแรงผลักดันให้เราสร้างผลงานของเราเอง...อย่าง writing นี้ เป็นอะไรที่ยุ่นเขียนจากความรู้สึกชอบในการอ่านหนังสือเล่มนี้ เรามีความเห็นในมุมมองของเรา....และเราก้อทำการค้นคว้าเตรียมตัวในการสอบของเราเอง...ซึ่งใช้เวลาไม่น้อย ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นในวันอาทิตย์..แต่สี่ชั่วโมงที่ค้นคว้านั้น...มีความสุขนะ...และมีพลังในการทำงานโดยไม่เหนื่อยเลย...ยุ่นว่านี่แหละคือการเรียนหนังสือที่ถูกต้อง...คิดว่าหากทอมได้อ่านแล้ว เค้าน่าจะรู้ว่าเรา in กับ The Crucible แค่ไหน...เพื่อนๆลองสัมผัสดูนะ...
และนี่ก้อคือ Writing ที่ทอมให้สอบ ยุ่นเลือกคำถามที่ว่า :
Write an essay explaining three reasons why you either liked or disliked this play?
และนี่ก้อคือคำตอบของยุ่น:
The fact that people are tragic victims of a testing of government’s authority is true in any society and at any time in human history. “The Crucible” is a mirror that Arthur Miller uses to reflect the anticommunist hysteria inspired by Senator Joseph McCarthy’s “witch-hunts” in the United States in 1953. I like this classic play; Miller shows us three different relationships in the society: a relationship between husband and wife in their family, a relationship between townspeople and neighbors in their village, and a relationship between the government and people in their country.
The bond linking John and Elizabeth Proctor is John's faith in his wife's virtue. John has a hidden sin that he has had an affair with Abigail when she was a servant in his house. John feels guilty about it. However, when Elizabeth wants him to have a public confession, he hesitates to reveal it because of his reputation. Finally, he exposes his relationship with Abigail in the court, and he knows that it’s too late to stop Abigail and the girls from their lies, so he is arrested and accused of being a witch. Although he has a chance to save his life, he chooses to die and feels he has finally purged his guilt for his failure to stop the trials when he had a chance. As his wife says, “‘He have his goodness now. God forbid I take it from him!’” John needs Elizabeth's love and forgiveness. The love and faith that he gives to his wife makes him a principled man and eventually makes his decision to be an honest father of his sons.
Taking others’ benefits and being honest to their neighbors are two contrasting connections of the townspeople in Salem. They accept and become active in the hysterical climate, so everyone lives in fear and under pressure. This also gives a chance to some greedy, cunning and power-hungry people like Abigail, Parris and Putnum who use the religious conviction to scapegoat and take revenge their enemies for their own benefits. On the other hand, many innocent poeple are very brave to die for the truth and they don’t accuse others. John Proctor is the tragic hero who is offered the opportunity to make a public confession, but he refuses to give the false confession that would dishonor his friends. He’s a person of great integrity and chooses to protect his name rather than live with a lie for the rest of his life. Luckily, there are many principled people like Proctor who sacrifice their lives that lead to the revolution in many countries in the world.
It's a very strict alliance between the court and townspeople in "The Crucible" which is set in a theocratic society. Everything and everyone belongs to either God or the Devil. The court that conducts the witch trials belongs to God and uses their power to judge people in the way they want, without any hard evidence to prove the guilt. People like Danforth and Hathorne, who have the highest authority in the society, use the state power to pressure, force and scapegoat the innocent people such as John Proctor or Giles Corey who go against the court and become enemies of the court. Finally, they are accused of being witches and are executed. This is the way that many governments in many countries want their people to live in terror so the governments can have a political control of their people.
"The Crucible" is a tragic and allergorical play which gives posterity one of the most dreadful lessons in human history. Although this is a real event that happened more than three hundred years ago, it still happens many times over in human history such as the McCarthyism in the United States or anticommunist mania in many countries in the world. Sometimes the government's policies, unjust trials, and some sly people in the society can make all the society chaotic; everyone lives in horror and suspicion, and innocents' lives are destroyed. Then it is discovered that the government only wants to preserve and exercise their power to people. This kind of event still happens but in different situations as long as humans are humans.
และคะแนนก้อถูกส่งกลับมาแล้ว...ทอมรู้สึกประทับใจในการเขียน writing เรื่องนี้ของนักเรียนมาก....ในส่วนของยุ่น ทอมเขียนสั้นๆว่า " Excellent Writing , Suwannee! " ให้คะแนน 18/20 ยุ่นรู้สึกดีใจจัง..ครั้งก่อนที่เรียน Eng 11...ทอมให้ 14 / 20 แปลว่าเราก้อมีพัฒนาการนะเนี่ย !!!
และนี่ก้อคือ Writing ที่ทอมให้สอบ ยุ่นเลือกคำถามที่ว่า :
Write an essay explaining three reasons why you either liked or disliked this play?
และนี่ก้อคือคำตอบของยุ่น:
The fact that people are tragic victims of a testing of government’s authority is true in any society and at any time in human history. “The Crucible” is a mirror that Arthur Miller uses to reflect the anticommunist hysteria inspired by Senator Joseph McCarthy’s “witch-hunts” in the United States in 1953. I like this classic play; Miller shows us three different relationships in the society: a relationship between husband and wife in their family, a relationship between townspeople and neighbors in their village, and a relationship between the government and people in their country.
The bond linking John and Elizabeth Proctor is John's faith in his wife's virtue. John has a hidden sin that he has had an affair with Abigail when she was a servant in his house. John feels guilty about it. However, when Elizabeth wants him to have a public confession, he hesitates to reveal it because of his reputation. Finally, he exposes his relationship with Abigail in the court, and he knows that it’s too late to stop Abigail and the girls from their lies, so he is arrested and accused of being a witch. Although he has a chance to save his life, he chooses to die and feels he has finally purged his guilt for his failure to stop the trials when he had a chance. As his wife says, “‘He have his goodness now. God forbid I take it from him!’” John needs Elizabeth's love and forgiveness. The love and faith that he gives to his wife makes him a principled man and eventually makes his decision to be an honest father of his sons.
Taking others’ benefits and being honest to their neighbors are two contrasting connections of the townspeople in Salem. They accept and become active in the hysterical climate, so everyone lives in fear and under pressure. This also gives a chance to some greedy, cunning and power-hungry people like Abigail, Parris and Putnum who use the religious conviction to scapegoat and take revenge their enemies for their own benefits. On the other hand, many innocent poeple are very brave to die for the truth and they don’t accuse others. John Proctor is the tragic hero who is offered the opportunity to make a public confession, but he refuses to give the false confession that would dishonor his friends. He’s a person of great integrity and chooses to protect his name rather than live with a lie for the rest of his life. Luckily, there are many principled people like Proctor who sacrifice their lives that lead to the revolution in many countries in the world.
It's a very strict alliance between the court and townspeople in "The Crucible" which is set in a theocratic society. Everything and everyone belongs to either God or the Devil. The court that conducts the witch trials belongs to God and uses their power to judge people in the way they want, without any hard evidence to prove the guilt. People like Danforth and Hathorne, who have the highest authority in the society, use the state power to pressure, force and scapegoat the innocent people such as John Proctor or Giles Corey who go against the court and become enemies of the court. Finally, they are accused of being witches and are executed. This is the way that many governments in many countries want their people to live in terror so the governments can have a political control of their people.
"The Crucible" is a tragic and allergorical play which gives posterity one of the most dreadful lessons in human history. Although this is a real event that happened more than three hundred years ago, it still happens many times over in human history such as the McCarthyism in the United States or anticommunist mania in many countries in the world. Sometimes the government's policies, unjust trials, and some sly people in the society can make all the society chaotic; everyone lives in horror and suspicion, and innocents' lives are destroyed. Then it is discovered that the government only wants to preserve and exercise their power to people. This kind of event still happens but in different situations as long as humans are humans.
และคะแนนก้อถูกส่งกลับมาแล้ว...ทอมรู้สึกประทับใจในการเขียน writing เรื่องนี้ของนักเรียนมาก....ในส่วนของยุ่น ทอมเขียนสั้นๆว่า " Excellent Writing , Suwannee! " ให้คะแนน 18/20 ยุ่นรู้สึกดีใจจัง..ครั้งก่อนที่เรียน Eng 11...ทอมให้ 14 / 20 แปลว่าเราก้อมีพัฒนาการนะเนี่ย !!!
Friday, March 4, 2011
ทำไมฝรั่งเค้าชอบให้อ่านหนังสือ (นอกเวลา)????
สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกว่าแตกต่างในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษของบ้านเรากับที่นี่อย่างเห็นได้ชัดเจนก้อคือ เรื่องการอ่านหนังสือนอกเวลา...ในวิชาภาษาอังกฤษ
จำได้ตอนนั้นอยู่เตรียม ม.ศ. 4-5 พวกเราก้อต้องอ่านหนังสือนอกเวลา...ยุ่นจำเรื่องไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร..แต่รู้ว่ายุ่นอ่านแบบเพื่อสอบจริงๆ...ครูไม่ได้พูดอะไร...ก้อบอกมีหนังสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอ่านมา...ตอนนั้น ก้อไปหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน..อ่านจบหนึ่งรอบเพื่อให้รู้เค้าโครงก่อน...จากนั้นค่อยลงมืออ่านภาคภาษาอังกฤษแบบจริงจัง...แล้วเวลาสอบก้อคล้ายๆกับถามตอบ multiple choice นะ..ก้อรู้สึกทำได้ คะแนนดีด้วยมั้ง....แต่ก้อดูสิ..ภาษาอังกฤษยุ่นก้อยังใช้การไม่ค่อยได้..55555
แต่มาเรียนที่นี่...ถ้าเป็น Eng 11 กับ 12 เค้าบังคับว่าต้องอ่านแน่นอน โดยทางโรงเรียนกำหนดเรื่องมาเลย...แต่ communication เนี่ย..ยุ่นว่าขึ้นกับครูนะ..เพราะก่อนนั้นเคยลง communication 11 ครู Ruth ไม่ได้ให้อ่าน แต่เรียนกับทอมสองครั้งแล้ว..เค้าชอบให้อ่าน..ตอน Eng 11 อ่านเรื่อง " Lord of the Flies" มาครั้งนี้ communication 11 ทอมเลือกให้หนึ่งเรื่อง คือ " The Crucible" และเราต้องหาเองอีกเรื่อง ซึ่งยุ่นไปหาในห้องสมุดได้เรื่อง " The Walk" มา...
ชอบวิธีการสอนของทอมเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา..เค้าจะให้ความสำคัญและมีวิธีการไกด์นำเราให้อ่านอย่างไร...และเค้าชอบให้อ่านในห้อง และคุยกันแสดงความคิดเห็นกัน...เค้าจะชี้ให้เรามองในประเด็นต่างๆ...ซึ่งน่าสนใจ..และทำให้เราคิด วิเคราะห์ เข้าใจตัวละครมากขึ้น... สนุกและอยากติดตามเรื่องที่เราอ่าน...
และสุดท้าย...พออ่านจบเนี่ย...เค้าไม่ได้สอบแบบบ้านเรา..แต่เค้าสอบแบบเราแบบต้องออกความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับหนังสือที่เราอ่าน...โดยการวิเคราะห์ซึ่งเค้าจะแนะว่าควรมีสามประเด็น..แล้วก้อพยายามเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอให้ได้ ประมาณนั้น...
เรื่องที่ทอมเลือกมาแต่ละเรื่อง พูดจริงๆว่าเด็ดขาดมากเลย..อย่างเรื่อง Lord of the Flies เนี่ย...เป็นหลักสูตรของ BC ยีนก้อต้องอ่านเล่มนี้เหมือนกัน...เป็นเรื่องแบบเด็กอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่ไม่ตายและไปติดอยู่ในเกาะด้วยกัน....เด็กๆจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเลย..ไม่มีพ่อแม่..กฎหมาย..ไม่มีกฎระเบียบ...ซึ่งคนเขียนเรื่องได้สะท้อนให้เห็นความดีและความเลวที่อยู่ในตัวมนุษย์ผ่านตัวละครเด็กเหล่านี้.....เวลาอ่านไปเนี่ย...ก้อต้องคิดตามไปด้วย..เพราะทอมเค้าจะมีคำถามที่ไม่เหมือนเวลาเราเรียนตอนเด็กๆ...มาถาม..เช่น..ตัวละครตัวนี้พูดแบบนี้...พวกคุณคิดว่าอย่างไร..ทำไม...
หรือทำไมคนนี้ทำแบบนี้ เพราะอะไร....คิดอย่างไร...แล้วเราก้อ discuss กัน
พูดจริงๆนะ ยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ถูกฝึกคิดแบบนี้...แต่ช่วงหลังก้อเริ่มสนุก..เพราะพอเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตอนหลังเราก้อเพลิดเพลิน....ซึ่งเค้าต้องการให้เราได้อรรถรสแบบนี้ และถ่ายทอดความรู้สึกความคิดเห็นของเราออกมาเป็นตัวหนังสือ...ซึ่งเด็กที่นี่เค้าเรียนแบบนี้ตั้งแต่เกรดห้า...และต้องเขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่า...ทำไมฝรั่งเค้าถึงคิดได้เก่งกว่าพวกเรา...สำหรับเค้า...ทุกความคิดเห็นไม่มีถูกหรือผิด....ทุกคนแสดงออกได้ โดยเอาเหตุผลมา support และนี่ก้อคงเป็นเหตุที่ทำให้เค้าเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น...และวิเคราะห์เก่งกว่าพวกเอเชีย...
สำหรับ Communication 11 นี้ทอมเลือก The Crucible.... ตอนแรกไม่ชอบเลย..เค้าให้อ่านพร้อมกันในห้อง มันแบบเป็นบทละครอ่ะ..ภาษาก้อใช้แบบยากเหมือนกัน...บางอันก้อแบบภาษาโบราณอ่านก้อไม่เข้าใจ....แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีสี่ตอน...พอถึงตอนสามเนี่ย...ยุ่นชอบมากๆๆๆๆเลย..สนุกมาก...มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาช่วง คศ 1692 เรียกว่าเป็นยุคล่าแม่มด.. " Witch hunt"
สังคมสมัยนั้นก้อเชื่อถือเรื่องศาสนามาก..เชื่อถือในพระเจ้ามาก เพราะฉะนั้นใครที่ทำผิดศีลธรรม ก้อเหมือนเป็น devil หรือ witchcraft และรัฐซึ่งก้อคือพระจ้านั่นเอง จะมาทำหน้าที่ล่าแม่มด...ซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่ไม่ดีในสังคมหรือคนที่เล็งที่จะเอาเปรียบคนอื่น...ใช้ไอ้เรื่องแม่มดเนี่ยมาใส่ร้ายคนอื่นที่เป็นศัตรูกับตัวเอง...ซึ่งเค้าเรียกว่า scapegoat - ใส่ร้ายป้ายสี...ว่าเป็นแม่มด...และคนบริสุทธิ์ก้อถูกแขวนคอมากมาย....กับระบบการตัดสิน...หรือการดำเนินการของรัฐที่ไม่ยุติธรรม..ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกขึ้นต่อต้าน และเกิดการปฎิรูปการปกครองมาเป็นแบบทุกวันนี้...
ตัวละครที่ Miller เขียนก้อเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ...ในหมู่บ้านเล็กๆใน Salem...Massachuletts ซึ่งพระเอก...ก้อถูกกล่าวหาว่าเป็น witchcraft และในตอนท้ายของเรื่อง...เค้าก้อเลือกที่จะยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศของเค้า...มากกว่าที่จะเป็นคนขี้ขลาด...สารภาพว่าเค้าเป็นพวกแม่มด...และหักหลังเพื่อนๆที่ยอมตาย......เพราะคนที่ถูกแขวนคอนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์...
เรื่องนี้ Arthur Miller เค้าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการเสียดสี ลัทธิการล่าคอมมิวนิสต์ของ Senator Joseph McCarthy's วุฒิสมาชิกของอเมริกา...ซึ่งช่วงนั้นอเมริกาก้อเป็นยุคที่รัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่กันแบบหวาดระแวงว่าวันดีคืนนี้ ประชาชนคนบริสุทธิ์ก้ออาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์...และถูกฆ่าตายได้...
แบบเรียนแล้วหนุกมากเลย...พอเรียนจบครูก้อไปหาหนังมาให้ดูอีก..พอดูเข้าไป ยุ่นก้อเลยยิ่ง in เลย...รู้สึกชอบเรื่องนี้มาก...และรู้สึกมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทุกยุคทุกสมัย..แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ .....และเกิดในทุกๆประเทศรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย....
และอีกเรื่องยุ่นก้อต้องอ่านและสรุปของยุ่นเอง...สำหรับ The Crucible วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก้อจะสอบ writing โดยมีคำถามมาให้เราแสดงความคิดเห็นเป็นหนึ่ง essay ส่วน..The Walk ที่เราเลือกเอง.....เราก้อต้องเขียนออกมาเป็นความคิดเห็นของเราว่าทำไมเราชอบเรื่องนี้ หรือเราได้อะไรจากเรื่องนี้อีกหนึ่ง essay แต่อันนี้เราต้องทำ presentation เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นรู้สึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย....
ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไมฝรั่งถึงชอบอ่านหนังสือ..เพราะเค้าปูกันมาแต่เด็ก...และดูหนังสือที่เค้าเลือกมาให้อ่านสิ...อ่านแล้วมันต้องคิดนะ...อย่างเรื่อง The Crucible เนี่ย ยุ่นรู้สึกว่าเพื่อนๆทั้งชั้นชอบกันทุกคน...แค่นี้ยุ่นก้อว่าครูก้อทำหน้าที่ของเค้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...การเลือกหนังสือมาให้เด็กอ่าน...การสอน...แนะนำ..และชี้ประเด็นให้เด็กติดตามเรื่องนั้นๆ...สิ่งเหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการเป็นครูเช่นกัน.....
ยุ่นจำไม่ได้ว่ายุ่นได้อ่านหนังสือนอกเวลาเป็นภาษาไทยมั้ย...เพราะยุ่นอาจไม่ไ้ด้ประทับใจอะไรมาก เลยจำไม่ได้...แต่ยุ่นว่าแม้กระทั่งหนังสือนอกเวลาในวิชาภาษาไทย...เราก้อควรฝึกให้เด็กไทยอ่านตั้งแต่เด็ก...ควรมีหนังสือหลากหลายอรรถรส หลายแบบ ให้เด็กได้อ่าน ได้คิด ได้เปิดโลกของเค้า...และเราควรฝึกการอ่านแบบเน้นการวิเคราะห์...ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สอบๆ...อย่างเดียว...ยุ่นว่า...ถ้าเราทำได้นะ....บ้านเราน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ...และเป็นกำลังสมองที่สำคัญของชาติในอนาคต......โอมเพี้ยง...
จำได้ตอนนั้นอยู่เตรียม ม.ศ. 4-5 พวกเราก้อต้องอ่านหนังสือนอกเวลา...ยุ่นจำเรื่องไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร..แต่รู้ว่ายุ่นอ่านแบบเพื่อสอบจริงๆ...ครูไม่ได้พูดอะไร...ก้อบอกมีหนังสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอ่านมา...ตอนนั้น ก้อไปหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน..อ่านจบหนึ่งรอบเพื่อให้รู้เค้าโครงก่อน...จากนั้นค่อยลงมืออ่านภาคภาษาอังกฤษแบบจริงจัง...แล้วเวลาสอบก้อคล้ายๆกับถามตอบ multiple choice นะ..ก้อรู้สึกทำได้ คะแนนดีด้วยมั้ง....แต่ก้อดูสิ..ภาษาอังกฤษยุ่นก้อยังใช้การไม่ค่อยได้..55555
แต่มาเรียนที่นี่...ถ้าเป็น Eng 11 กับ 12 เค้าบังคับว่าต้องอ่านแน่นอน โดยทางโรงเรียนกำหนดเรื่องมาเลย...แต่ communication เนี่ย..ยุ่นว่าขึ้นกับครูนะ..เพราะก่อนนั้นเคยลง communication 11 ครู Ruth ไม่ได้ให้อ่าน แต่เรียนกับทอมสองครั้งแล้ว..เค้าชอบให้อ่าน..ตอน Eng 11 อ่านเรื่อง " Lord of the Flies" มาครั้งนี้ communication 11 ทอมเลือกให้หนึ่งเรื่อง คือ " The Crucible" และเราต้องหาเองอีกเรื่อง ซึ่งยุ่นไปหาในห้องสมุดได้เรื่อง " The Walk" มา...
ชอบวิธีการสอนของทอมเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา..เค้าจะให้ความสำคัญและมีวิธีการไกด์นำเราให้อ่านอย่างไร...และเค้าชอบให้อ่านในห้อง และคุยกันแสดงความคิดเห็นกัน...เค้าจะชี้ให้เรามองในประเด็นต่างๆ...ซึ่งน่าสนใจ..และทำให้เราคิด วิเคราะห์ เข้าใจตัวละครมากขึ้น... สนุกและอยากติดตามเรื่องที่เราอ่าน...
และสุดท้าย...พออ่านจบเนี่ย...เค้าไม่ได้สอบแบบบ้านเรา..แต่เค้าสอบแบบเราแบบต้องออกความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับหนังสือที่เราอ่าน...โดยการวิเคราะห์ซึ่งเค้าจะแนะว่าควรมีสามประเด็น..แล้วก้อพยายามเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอให้ได้ ประมาณนั้น...
เรื่องที่ทอมเลือกมาแต่ละเรื่อง พูดจริงๆว่าเด็ดขาดมากเลย..อย่างเรื่อง Lord of the Flies เนี่ย...เป็นหลักสูตรของ BC ยีนก้อต้องอ่านเล่มนี้เหมือนกัน...เป็นเรื่องแบบเด็กอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่ไม่ตายและไปติดอยู่ในเกาะด้วยกัน....เด็กๆจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเลย..ไม่มีพ่อแม่..กฎหมาย..ไม่มีกฎระเบียบ...ซึ่งคนเขียนเรื่องได้สะท้อนให้เห็นความดีและความเลวที่อยู่ในตัวมนุษย์ผ่านตัวละครเด็กเหล่านี้.....เวลาอ่านไปเนี่ย...ก้อต้องคิดตามไปด้วย..เพราะทอมเค้าจะมีคำถามที่ไม่เหมือนเวลาเราเรียนตอนเด็กๆ...มาถาม..เช่น..ตัวละครตัวนี้พูดแบบนี้...พวกคุณคิดว่าอย่างไร..ทำไม...
หรือทำไมคนนี้ทำแบบนี้ เพราะอะไร....คิดอย่างไร...แล้วเราก้อ discuss กัน
พูดจริงๆนะ ยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ถูกฝึกคิดแบบนี้...แต่ช่วงหลังก้อเริ่มสนุก..เพราะพอเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตอนหลังเราก้อเพลิดเพลิน....ซึ่งเค้าต้องการให้เราได้อรรถรสแบบนี้ และถ่ายทอดความรู้สึกความคิดเห็นของเราออกมาเป็นตัวหนังสือ...ซึ่งเด็กที่นี่เค้าเรียนแบบนี้ตั้งแต่เกรดห้า...และต้องเขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่า...ทำไมฝรั่งเค้าถึงคิดได้เก่งกว่าพวกเรา...สำหรับเค้า...ทุกความคิดเห็นไม่มีถูกหรือผิด....ทุกคนแสดงออกได้ โดยเอาเหตุผลมา support และนี่ก้อคงเป็นเหตุที่ทำให้เค้าเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น...และวิเคราะห์เก่งกว่าพวกเอเชีย...
สำหรับ Communication 11 นี้ทอมเลือก The Crucible.... ตอนแรกไม่ชอบเลย..เค้าให้อ่านพร้อมกันในห้อง มันแบบเป็นบทละครอ่ะ..ภาษาก้อใช้แบบยากเหมือนกัน...บางอันก้อแบบภาษาโบราณอ่านก้อไม่เข้าใจ....แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีสี่ตอน...พอถึงตอนสามเนี่ย...ยุ่นชอบมากๆๆๆๆเลย..สนุกมาก...มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาช่วง คศ 1692 เรียกว่าเป็นยุคล่าแม่มด.. " Witch hunt"
สังคมสมัยนั้นก้อเชื่อถือเรื่องศาสนามาก..เชื่อถือในพระเจ้ามาก เพราะฉะนั้นใครที่ทำผิดศีลธรรม ก้อเหมือนเป็น devil หรือ witchcraft และรัฐซึ่งก้อคือพระจ้านั่นเอง จะมาทำหน้าที่ล่าแม่มด...ซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่ไม่ดีในสังคมหรือคนที่เล็งที่จะเอาเปรียบคนอื่น...ใช้ไอ้เรื่องแม่มดเนี่ยมาใส่ร้ายคนอื่นที่เป็นศัตรูกับตัวเอง...ซึ่งเค้าเรียกว่า scapegoat - ใส่ร้ายป้ายสี...ว่าเป็นแม่มด...และคนบริสุทธิ์ก้อถูกแขวนคอมากมาย....กับระบบการตัดสิน...หรือการดำเนินการของรัฐที่ไม่ยุติธรรม..ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกขึ้นต่อต้าน และเกิดการปฎิรูปการปกครองมาเป็นแบบทุกวันนี้...
ตัวละครที่ Miller เขียนก้อเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ...ในหมู่บ้านเล็กๆใน Salem...Massachuletts ซึ่งพระเอก...ก้อถูกกล่าวหาว่าเป็น witchcraft และในตอนท้ายของเรื่อง...เค้าก้อเลือกที่จะยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศของเค้า...มากกว่าที่จะเป็นคนขี้ขลาด...สารภาพว่าเค้าเป็นพวกแม่มด...และหักหลังเพื่อนๆที่ยอมตาย......เพราะคนที่ถูกแขวนคอนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์...
เรื่องนี้ Arthur Miller เค้าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการเสียดสี ลัทธิการล่าคอมมิวนิสต์ของ Senator Joseph McCarthy's วุฒิสมาชิกของอเมริกา...ซึ่งช่วงนั้นอเมริกาก้อเป็นยุคที่รัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่กันแบบหวาดระแวงว่าวันดีคืนนี้ ประชาชนคนบริสุทธิ์ก้ออาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์...และถูกฆ่าตายได้...
แบบเรียนแล้วหนุกมากเลย...พอเรียนจบครูก้อไปหาหนังมาให้ดูอีก..พอดูเข้าไป ยุ่นก้อเลยยิ่ง in เลย...รู้สึกชอบเรื่องนี้มาก...และรู้สึกมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทุกยุคทุกสมัย..แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ .....และเกิดในทุกๆประเทศรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย....
และอีกเรื่องยุ่นก้อต้องอ่านและสรุปของยุ่นเอง...สำหรับ The Crucible วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก้อจะสอบ writing โดยมีคำถามมาให้เราแสดงความคิดเห็นเป็นหนึ่ง essay ส่วน..The Walk ที่เราเลือกเอง.....เราก้อต้องเขียนออกมาเป็นความคิดเห็นของเราว่าทำไมเราชอบเรื่องนี้ หรือเราได้อะไรจากเรื่องนี้อีกหนึ่ง essay แต่อันนี้เราต้องทำ presentation เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นรู้สึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย....
ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไมฝรั่งถึงชอบอ่านหนังสือ..เพราะเค้าปูกันมาแต่เด็ก...และดูหนังสือที่เค้าเลือกมาให้อ่านสิ...อ่านแล้วมันต้องคิดนะ...อย่างเรื่อง The Crucible เนี่ย ยุ่นรู้สึกว่าเพื่อนๆทั้งชั้นชอบกันทุกคน...แค่นี้ยุ่นก้อว่าครูก้อทำหน้าที่ของเค้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...การเลือกหนังสือมาให้เด็กอ่าน...การสอน...แนะนำ..และชี้ประเด็นให้เด็กติดตามเรื่องนั้นๆ...สิ่งเหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการเป็นครูเช่นกัน.....
ยุ่นจำไม่ได้ว่ายุ่นได้อ่านหนังสือนอกเวลาเป็นภาษาไทยมั้ย...เพราะยุ่นอาจไม่ไ้ด้ประทับใจอะไรมาก เลยจำไม่ได้...แต่ยุ่นว่าแม้กระทั่งหนังสือนอกเวลาในวิชาภาษาไทย...เราก้อควรฝึกให้เด็กไทยอ่านตั้งแต่เด็ก...ควรมีหนังสือหลากหลายอรรถรส หลายแบบ ให้เด็กได้อ่าน ได้คิด ได้เปิดโลกของเค้า...และเราควรฝึกการอ่านแบบเน้นการวิเคราะห์...ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สอบๆ...อย่างเดียว...ยุ่นว่า...ถ้าเราทำได้นะ....บ้านเราน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ...และเป็นกำลังสมองที่สำคัญของชาติในอนาคต......โอมเพี้ยง...
Subscribe to:
Posts (Atom)