สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกว่าแตกต่างในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษของบ้านเรากับที่นี่อย่างเห็นได้ชัดเจนก้อคือ เรื่องการอ่านหนังสือนอกเวลา...ในวิชาภาษาอังกฤษ
จำได้ตอนนั้นอยู่เตรียม ม.ศ. 4-5 พวกเราก้อต้องอ่านหนังสือนอกเวลา...ยุ่นจำเรื่องไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร..แต่รู้ว่ายุ่นอ่านแบบเพื่อสอบจริงๆ...ครูไม่ได้พูดอะไร...ก้อบอกมีหนังสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอ่านมา...ตอนนั้น ก้อไปหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน..อ่านจบหนึ่งรอบเพื่อให้รู้เค้าโครงก่อน...จากนั้นค่อยลงมืออ่านภาคภาษาอังกฤษแบบจริงจัง...แล้วเวลาสอบก้อคล้ายๆกับถามตอบ multiple choice นะ..ก้อรู้สึกทำได้ คะแนนดีด้วยมั้ง....แต่ก้อดูสิ..ภาษาอังกฤษยุ่นก้อยังใช้การไม่ค่อยได้..55555
แต่มาเรียนที่นี่...ถ้าเป็น Eng 11 กับ 12 เค้าบังคับว่าต้องอ่านแน่นอน โดยทางโรงเรียนกำหนดเรื่องมาเลย...แต่ communication เนี่ย..ยุ่นว่าขึ้นกับครูนะ..เพราะก่อนนั้นเคยลง communication 11 ครู Ruth ไม่ได้ให้อ่าน แต่เรียนกับทอมสองครั้งแล้ว..เค้าชอบให้อ่าน..ตอน Eng 11 อ่านเรื่อง " Lord of the Flies" มาครั้งนี้ communication 11 ทอมเลือกให้หนึ่งเรื่อง คือ " The Crucible" และเราต้องหาเองอีกเรื่อง ซึ่งยุ่นไปหาในห้องสมุดได้เรื่อง " The Walk" มา...
ชอบวิธีการสอนของทอมเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา..เค้าจะให้ความสำคัญและมีวิธีการไกด์นำเราให้อ่านอย่างไร...และเค้าชอบให้อ่านในห้อง และคุยกันแสดงความคิดเห็นกัน...เค้าจะชี้ให้เรามองในประเด็นต่างๆ...ซึ่งน่าสนใจ..และทำให้เราคิด วิเคราะห์ เข้าใจตัวละครมากขึ้น... สนุกและอยากติดตามเรื่องที่เราอ่าน...
และสุดท้าย...พออ่านจบเนี่ย...เค้าไม่ได้สอบแบบบ้านเรา..แต่เค้าสอบแบบเราแบบต้องออกความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับหนังสือที่เราอ่าน...โดยการวิเคราะห์ซึ่งเค้าจะแนะว่าควรมีสามประเด็น..แล้วก้อพยายามเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอให้ได้ ประมาณนั้น...
เรื่องที่ทอมเลือกมาแต่ละเรื่อง พูดจริงๆว่าเด็ดขาดมากเลย..อย่างเรื่อง Lord of the Flies เนี่ย...เป็นหลักสูตรของ BC ยีนก้อต้องอ่านเล่มนี้เหมือนกัน...เป็นเรื่องแบบเด็กอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่ไม่ตายและไปติดอยู่ในเกาะด้วยกัน....เด็กๆจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเลย..ไม่มีพ่อแม่..กฎหมาย..ไม่มีกฎระเบียบ...ซึ่งคนเขียนเรื่องได้สะท้อนให้เห็นความดีและความเลวที่อยู่ในตัวมนุษย์ผ่านตัวละครเด็กเหล่านี้.....เวลาอ่านไปเนี่ย...ก้อต้องคิดตามไปด้วย..เพราะทอมเค้าจะมีคำถามที่ไม่เหมือนเวลาเราเรียนตอนเด็กๆ...มาถาม..เช่น..ตัวละครตัวนี้พูดแบบนี้...พวกคุณคิดว่าอย่างไร..ทำไม...
หรือทำไมคนนี้ทำแบบนี้ เพราะอะไร....คิดอย่างไร...แล้วเราก้อ discuss กัน
พูดจริงๆนะ ยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ถูกฝึกคิดแบบนี้...แต่ช่วงหลังก้อเริ่มสนุก..เพราะพอเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตอนหลังเราก้อเพลิดเพลิน....ซึ่งเค้าต้องการให้เราได้อรรถรสแบบนี้ และถ่ายทอดความรู้สึกความคิดเห็นของเราออกมาเป็นตัวหนังสือ...ซึ่งเด็กที่นี่เค้าเรียนแบบนี้ตั้งแต่เกรดห้า...และต้องเขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่า...ทำไมฝรั่งเค้าถึงคิดได้เก่งกว่าพวกเรา...สำหรับเค้า...ทุกความคิดเห็นไม่มีถูกหรือผิด....ทุกคนแสดงออกได้ โดยเอาเหตุผลมา support และนี่ก้อคงเป็นเหตุที่ทำให้เค้าเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น...และวิเคราะห์เก่งกว่าพวกเอเชีย...
สำหรับ Communication 11 นี้ทอมเลือก The Crucible.... ตอนแรกไม่ชอบเลย..เค้าให้อ่านพร้อมกันในห้อง มันแบบเป็นบทละครอ่ะ..ภาษาก้อใช้แบบยากเหมือนกัน...บางอันก้อแบบภาษาโบราณอ่านก้อไม่เข้าใจ....แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีสี่ตอน...พอถึงตอนสามเนี่ย...ยุ่นชอบมากๆๆๆๆเลย..สนุกมาก...มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาช่วง คศ 1692 เรียกว่าเป็นยุคล่าแม่มด.. " Witch hunt"
สังคมสมัยนั้นก้อเชื่อถือเรื่องศาสนามาก..เชื่อถือในพระเจ้ามาก เพราะฉะนั้นใครที่ทำผิดศีลธรรม ก้อเหมือนเป็น devil หรือ witchcraft และรัฐซึ่งก้อคือพระจ้านั่นเอง จะมาทำหน้าที่ล่าแม่มด...ซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่ไม่ดีในสังคมหรือคนที่เล็งที่จะเอาเปรียบคนอื่น...ใช้ไอ้เรื่องแม่มดเนี่ยมาใส่ร้ายคนอื่นที่เป็นศัตรูกับตัวเอง...ซึ่งเค้าเรียกว่า scapegoat - ใส่ร้ายป้ายสี...ว่าเป็นแม่มด...และคนบริสุทธิ์ก้อถูกแขวนคอมากมาย....กับระบบการตัดสิน...หรือการดำเนินการของรัฐที่ไม่ยุติธรรม..ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกขึ้นต่อต้าน และเกิดการปฎิรูปการปกครองมาเป็นแบบทุกวันนี้...
ตัวละครที่ Miller เขียนก้อเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ...ในหมู่บ้านเล็กๆใน Salem...Massachuletts ซึ่งพระเอก...ก้อถูกกล่าวหาว่าเป็น witchcraft และในตอนท้ายของเรื่อง...เค้าก้อเลือกที่จะยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศของเค้า...มากกว่าที่จะเป็นคนขี้ขลาด...สารภาพว่าเค้าเป็นพวกแม่มด...และหักหลังเพื่อนๆที่ยอมตาย......เพราะคนที่ถูกแขวนคอนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์...
เรื่องนี้ Arthur Miller เค้าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการเสียดสี ลัทธิการล่าคอมมิวนิสต์ของ Senator Joseph McCarthy's วุฒิสมาชิกของอเมริกา...ซึ่งช่วงนั้นอเมริกาก้อเป็นยุคที่รัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่กันแบบหวาดระแวงว่าวันดีคืนนี้ ประชาชนคนบริสุทธิ์ก้ออาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์...และถูกฆ่าตายได้...
แบบเรียนแล้วหนุกมากเลย...พอเรียนจบครูก้อไปหาหนังมาให้ดูอีก..พอดูเข้าไป ยุ่นก้อเลยยิ่ง in เลย...รู้สึกชอบเรื่องนี้มาก...และรู้สึกมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทุกยุคทุกสมัย..แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ .....และเกิดในทุกๆประเทศรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย....
และอีกเรื่องยุ่นก้อต้องอ่านและสรุปของยุ่นเอง...สำหรับ The Crucible วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก้อจะสอบ writing โดยมีคำถามมาให้เราแสดงความคิดเห็นเป็นหนึ่ง essay ส่วน..The Walk ที่เราเลือกเอง.....เราก้อต้องเขียนออกมาเป็นความคิดเห็นของเราว่าทำไมเราชอบเรื่องนี้ หรือเราได้อะไรจากเรื่องนี้อีกหนึ่ง essay แต่อันนี้เราต้องทำ presentation เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นรู้สึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย....
ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไมฝรั่งถึงชอบอ่านหนังสือ..เพราะเค้าปูกันมาแต่เด็ก...และดูหนังสือที่เค้าเลือกมาให้อ่านสิ...อ่านแล้วมันต้องคิดนะ...อย่างเรื่อง The Crucible เนี่ย ยุ่นรู้สึกว่าเพื่อนๆทั้งชั้นชอบกันทุกคน...แค่นี้ยุ่นก้อว่าครูก้อทำหน้าที่ของเค้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...การเลือกหนังสือมาให้เด็กอ่าน...การสอน...แนะนำ..และชี้ประเด็นให้เด็กติดตามเรื่องนั้นๆ...สิ่งเหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการเป็นครูเช่นกัน.....
ยุ่นจำไม่ได้ว่ายุ่นได้อ่านหนังสือนอกเวลาเป็นภาษาไทยมั้ย...เพราะยุ่นอาจไม่ไ้ด้ประทับใจอะไรมาก เลยจำไม่ได้...แต่ยุ่นว่าแม้กระทั่งหนังสือนอกเวลาในวิชาภาษาไทย...เราก้อควรฝึกให้เด็กไทยอ่านตั้งแต่เด็ก...ควรมีหนังสือหลากหลายอรรถรส หลายแบบ ให้เด็กได้อ่าน ได้คิด ได้เปิดโลกของเค้า...และเราควรฝึกการอ่านแบบเน้นการวิเคราะห์...ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สอบๆ...อย่างเดียว...ยุ่นว่า...ถ้าเราทำได้นะ....บ้านเราน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ...และเป็นกำลังสมองที่สำคัญของชาติในอนาคต......โอมเพี้ยง...
เห่่่่่้่็น ด้วยอย่างยิ่ง สมัยที่พี่เด็กๆ ชอบอ่านหนังสือมาก อ่านหสากหลายประ่เภท. ่แต่เด็กสมัยนี้. เป็นยุคคอมฯ มักใช้เวลาว่างเล่นเกมส์มากกว่าการอ่าน จากผลการสำรวจพบว่า เด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออกถึง30%. แล้วที่อ่านออกก็จับใจความไม่ได้ อย่าพูดถึงเรื่องคิดวิเคราะห์เลย มีไม่ถึง15%. แล้วเด๊กที่เข้ามาตรฐานการอ่านจับใจความ และคิดวิเคราะห์ ก็เป็นเด็กนักเรียนสาธิตซะส่วนใหญ่ พี่ก็เลยมานึกถึงการสอนของรร.สาธิตจุฬาๆทีลูกพี่เรียน เขาจะให้เด็กอ่านหนังสือนอกเวลาทั้งที่ครูกำหนดและที่เลือกเอง แล้วให้เขียนวิเคราะห์ และพูดหน้าห้อง เหมือนที่ยุ่นเล่า. เพียงแต่ว่ามีแค่เทอมละครั้งเท่านั้น น่าจะมากกว่านี้นะ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กสาธิตชอบเถียง โดยเฉพาะกับแม่. มีเหตุผลเป็นของตัวเองตั้งแต่เล็ก. อยากให้เด็กไทยมีคุณภาพ คงจะต้องพัฒนาที่ครูก่อน
ReplyDeleteพี่เหน่ง
No one ever really paid the price of a book, only the price of printing it.
ReplyDelete