Monday, April 18, 2011

Driver license in Canada


เมื่อสองเดือนก่อน ฮ่งได้มีโอกาสไปสอบใบขับขี่ที่นี่...ซึ่งกว่าจะได้ driver license ของที่นี่มา..ขอบอก..โครต...รต...ยากยิ่งนัก...

เริ่มต้นเราต้องสอบผ่าน..knowledge test ก่อน..เค้าก้อมีหนังสือมาให้อ่าน..ก้ออ่านไป..หนึ่งเล่ม..ฮ่งก้ออ่านประมาณอาทิตย์กว่าๆนะ..เค้าก้อมีกะในใจว่าเมื่อไหร่จบ เมื่อไหร่พร้อมไปสอบ...คือเราต้องจำกฎเกณฑ์ต่างๆของที่นี่...ซึ่งจริงๆมันก้อคือสากลแหละ....และเราก้อต้องจำเป็นภาษาอังกฤษ...อันนี้แหละที่ยากนิดส์นึง...นอกจากนี้..การขับรถของบ้านเรา กับที่นี่มันมีความแตกต่างหลายอย่าง..ของเรา..พอเราขับได้..กฎเกณฑ์ของเรามันก้อไม่ได้เข้มอะไรมาก ชิมิ ??? แต่ที่นี่...คนละเรื่องเลยอ่ะ...กฎก้อคือกฎ...

สอบ knowledge test หรือข้อเขียน..มีห้าสิบข้อ..ถ้าทำผ่าน 80% ก้อคือสี่สิบข้อถูกหมด..เครื่องจะหยุดอัตโนมัติ..และผ่าน..ไม่ต้องทำครบห้าสิบข้อก้อได้ในบางคน...และหลังจากนั้น...คุณก้อจะต้องสอบ road test... ซึ่งผ่านยากมาก...จากสถิติล่าสุดที่รู้มา...ตอนพี่อ้อมสอบ road test ครั้งที่สาม...ถาม examiner เค้าบอกสถิติสูงสุดสอบ 29 ครั้งถึงผ่าน...พี่อ้อม..โล่งใจ..บอกพี่ยังห่างไกล ได้อีกตั้ง 26 ครั้ง....ทำให้มีกำลังใจในการสอบ...55555

ฮ่ง..ก้อต้องไปเรียนขับรถก่อน..ถึงแม้ว่าเราจะเคยขับที่บ้านเราก้อจริง..แต่สิ่งที่แตกต่างก้อคือพวงมาลัย North America เค้าพวงมาลัยซ้าย บ้านเราแบบอังกฤษ พวงมาลัยขวา..ขอบอก..ขนาดเป็นคนนั่งนะ..ยุ่นยังงงตลอดเลย..แล้วยุ่นเป็นคนมีปัญหาเรื่องซ้ายกับขวาด้วย... นอกจากนี้การสอบก้อแตกต่างกันมาก...อย่างของเรา..ไม่รู้ตอนนี้เป็นไง..แต่จำได้ว่าแต่ก่อน..ยุ่นก้อขับในบริเวณสนามสอบที่เค้ากำหนด แบบเราคันเดียวเดี่ยวๆ...แล้วก้อหัดจอดรถ..เข้าซอง อันนี้รู้สึกเป็นอะไรที่ยากสุดของยุ่น..

แต่ที่นี่..ไม่ใช่เลย.. examiner จะนั่งรถกับเราเลย..และฮ่งบอกเค้าจะไม่พูดอะไร มือถือกระดาษประเมินผล..แล้วจดอย่างเดียว..คิดดูก้อแล้วกัน กำลังขับรถแต่มีคนเพ่งมองเราตลอดเลยอ่ะ...เพ่งมองแบบจับผิดด้วย...55555

ฮ่งสอบ road test ครั้งแรกไม่ผ่าน...แต่ครั้งที่สองผ่าน..ซึ่งต้องถือว่าเก่งพอควร...เพราะอย่างที่บอกหลายคนสอบมากกว่าสามรอบ...และพวกพี่ๆเพื่อนๆที่ผ่านกันหมดบอกว่ามันขึ้นกับดวงด้วย..

ขึ้นกับว่า examiner จะพาเราไปถนนเส้นไหน...5555 ขับสดๆกันเลย..เจอสถานการณ์สดๆ แก้สดๆ..แล้วแต่ดวงวันนั้น ขณะที่เราขับเราจะเจออะไร...และเราก้อต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด เช่น สมมติเราเข้าเขตโรงเรียน..เราต้องสังเกตุป้าย มันจะมีป้ายบอก 30km/hr ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้ฮ่งตกในครั้งแรก... เค้าพาฮ่งไปที่ที่ฮ่งไม่รู้จัก ไม่เคยไป..แล้วพอผ่านเขตโรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น (playground)..ฮ่งก้อไม่รู้..มองไม่เห็น..เพราะต้นไม้มันก้อดันบังป้ายด้วย...ที่นี่เวลาเข้าเขตสองเขตนี้ ความเร็วรถต้องเหลือ 30km/hr นั่นหมายว่า ต้องไม่เกิน 30 km/hr...และอันนี้คือกฎที่สำคัญมาก..

เพิ่มเติม..เพราะเจ้าตัวนั่งข้างๆ..ถ้าขับใน residential area ต้องไม่เกิน 40 km/hr, ใน city ต้องไม่เกิน 50 km/hr, ขับ High way ไม่เกิน 70 km/hr.

อีกอย่าง..สมมติเรากำลังจะเลี้ยวรถตรงทางแยกที่มีไฟแดงไฟเขียว..หากคนกำลังข้ามถนนเนี่ย...เราไปไม่ได้นะ..ต้องรอให้เค้าข้ามไปจนไปอีกฝั่งของถนน.. เราถึงออกรถได้...ที่นี่คนเดินถนนเค้าใช้สิทธิ์เค้าเต็มที่...หลายครั้งที่ยุ่นเห็นคนเดินถนนชี้หน้าและตะโกนด่าคนขับรถที่ทำผิดกฎและล่วงเกินสิทธิ์เค้า..เค้าไม่ยอมเลยอ่ะ..คือเราก้อต้องมีคนแบบนี้ในสังคมเพื่อควบคุมกันเองเหมือนกันนะ ยุ่นว่า...และยังไม่ทันข้ามเดือนเลย..เมื่อวาน..ฮ่งขับรถไปซื้อของกับยุ่น..กำลังคิดเส้นทางว่าจะขับไปทางไหน..ตอนติดไฟแดงที่สี่แยก ดันจอดทับเส้นขาว...ไอ้ฝรั่ง คนเดินข้ามถนน มันจ้องหน้าฮ่งตลอดวลาที่เดินข้ามถนนเลยอ่ะ..มันเหมือนกับบอกว่า.."นี่..ตอนนี้เอ็งกำลังล้ำเส้นข้านะ..คราวหน้าอย่าทำนะ!!!" ฮ่งก้อยกมือขอโทษนะ..แต่หน้ามันยังเอาเรื่องอยู่เลย..สิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราระวังมากขึ้นในครั้งต่อไป..แบบจะมามั่วๆสั่วๆไม่ได้

หรือ..อย่างทางแยกเนี่ย..ไฟเหลืองแปลว่าเตรียมหยุด..ไม่ใช่เตรียมฝ่า..ถ้าฝ่าไป..ก้อตก..แน่นอน

หรือ...เวลาถึงทางแยกใช่มะ..ถ้าเห็นป้าย stop มันหมายว่าต้องหยุดจริงๆ..( fully stop = ไม่มีการเคลื่อนของรถเลย) หลังเส้นขาวด้วย..แล้วก้อนับ 1..2..3 แล้วค่อยโผล่หน้าออกไปดูว่า..สี่แยกเนี่ยมีรถมามั้ย..และถ้าจะเลี้ยว..หรือเปลี่ยนเลนส์ต้องทำ shoulder check (ต้องหันหัวไปมองกระจกหลังที่คนข้างหลังนั่ง...ไม่ใช่มองกระจกหูช้างเท่านั้น) ถ้าไม่ทำ..ก้อตก...

และที่นี่..เวลาตรงสี่แยกใช่มะ..ถ้ามี stop คือเราต้องให้ทางเอกไปก่อน..จากนั้นเราค่อยไป..แต่ถ้าไม่มี stop เราต้องแค่ชลอ...หยุดไม่ได้นะ..ฮ่งบอก ถ้าเหยียบเบรค..หยุด..ตกเลย..ต้องชลอและค่อยๆดู..และถ้าเราเป็นฝั่งไม่มี stop sign เราต้องไป..แต่ถ้าเราเลี้ยวเราก้อให้อีกฝั่งตรงข้ามที่ไม่มี stop เหมือนเราไปก่อน...มันเป็นอะไรที่เค้ารู้ว่าใครได้สิทธ์ก่อน..

ปัญหามันจะอยู่ตรงสี่แยกเนี่ยแหละ...เพราะของบ้านเรา ใครไวใครได้ แต่ที่นี่ถ้าเป็น 3 ways stop ก้อคือใครมาก่อนก้อไปก่อน..แต่ถ้าเกิดมาพร้อมกันทั้งสามคัน..เค้าก้อจะใช้กฎ Yield of Right...ให้คันขวาของเราไปก่อน..เชื่อมะ..ฮ่งบอก..ตอนนี้ฮ่งยัง..งงเลยว่า..ตอนขับอ่ะ..ใครมาก่อนกันแน่เนี่ย..5555 ไม่ต้องถามยุ่นเลยนะ..ว่างงแค่ไหน..ซุปเปอร์งงเลยอ่ะ..


หรือบางทีขับไปบน high way และป้ายบอก 80 km/hr ก้อคือต้องตามนั้น มากกว่าไม่ได้แน่..แต่ที่แปลกคือน้อยกว่าก้อไม่ได้....ทำเอาพวกเราก้องง..งง..มากเลย..เค้าบอกว่าถ้าภายใต้ good condition คือถนนว่าง ไม่มีรถ..แล้วยังทะลึ่งขับ 50 km/hr ตกนะค้า.....ขอบอก เหตุผลคือคุณอ่านป้ายแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์....แต่ในชีวิตจริง..เวลาขับ..ฮ่งบอก..ห้ามขับเกินที่กำหนด..แต่ขับต่ำกว่าได้..แต่คนเราอย่างว่าเนอะ..เวลาเห็นถนนโล่ง เราก้อใส่เลย..อันนี้ต้องระวังนะค้า..ถ้าเกิน speed limit ...ตำรวจจะตามมาในไม่ช้า...

หรือขับๆอยู่ได้ยินเสียง ambulance คือมีรถฉุกเฉินมาแน่ๆ..รถบนถนนทุกคันที่ได้ยินเสียงต้องหยุดหมด..ถ้าเราอยู่กลางถนนให้พยายามชิดข้างทางจอด..เพื่อให้ ambulance เลือกว่าเค้าจะไปทางไหน...ทีแรกฮ่งกับยุ่นไม่รู้กฎข้อนี้เลย..และไม่เคยสังเกตุ..พอฮ่งต้องไปสอบ..ทำให้รู้..และสังเกตุบนถนนเวลานั่งรถเมล์...เออ..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย..แล้วที่นี่รถ Ambulance มันวิ่งเยอะมากเลย..อาทิตย์หนึ่งบางทีออกไปข้างนอกนะ..เจอสามสี่วันเลยอ่ะ..

นอกจากนั้น เวลาจอดรถอีก..ถ้าจอดแบบหัวรถกำลังขึ้นเขา...ล้อรถต้องหันออกนอกถนน..แต่ถ้าจอดหัวรถกำลังลงเขา..ล้อรถต้องหันเข้า footpath...ที่ Vancouver มันเป็นเมืองแบบมีเนินเขาเยอะไง..ที่มันเดี๋ยวก้อสูงบ้างต่ำบ้าง...เพราะฉะนั้น..เป็นอะไรที่ทุกคนต้องรู้ และต้องทำ..ฮ่งบอกอันนี้เค้าให้ฮ่งทำอันแรกเลย...เพื่อนบางคนบอก..ขับๆไป มันให้จอดรถ..เค้าก้อลืมเรื่องนี้...แบบมันให้จอดตอนเป็นขาขึ้นของเขา...แต่เค้าไม่ได้นึกถึง ก้อจอดแบบล้อตรงอย่างสวยงาม..ปรากฎตกค่ะ..

และก้อมีอีกที่ยุ่นกลัวมากเลยก้อคือ..เวลาถึงทางแยกไฟแดงไฟเขียว..ถ้าเราเป็นคันแรกหรือคันที่สองที่ต้องเลี้ยวเนี่ย..ถ้าสี่แยกนั้นไม่มีไฟเขียวเลี้ยว..มันมีจังหวะนึงใช่มะ..เราต้องไปรอกลางถนน..เพื่อรอเลี้ยว....เสียวไส้มากเลยอ่ะ..ไม่เคยทำตอนอยู่ไทยเลย..และชีวิตนี้ก้อไม่รู้ว่าเค้ามีการทำแบบนี้..เพราะตอนอยู่ไทยขืนทำแบบนั้น..อาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้....แต่ที่นี่มันคือเราต้องทำ..มันเป็นกติกา...เราต้องไปรอกลางถนน...คือเรียกว่าเค้าไว้ใจในฝีมือการขับรถของคนที่นี่มาก..ว่าไม่มีมั่วแบบบ้านเรา...แต่ยุ่นก้อยังรู้สึกไม่ไว้ใจเค้าอยู่ดี...เพราะเราเรียนรู้มาแบบนี้...แต่ที่นี่เค้าขับรถกันไม่เร็ว...ช้าๆ ค่อยๆไป ไม่เร่งรีบ..

เท่าที่ฟังเนี่ย..มันจึงไม่หมูในการผ่านแน่นอน..และ..ถ้ายิ่งเราผิดกฎที่เป็นกฎหลักสำคัญ กฎเดียวก้อไม่ผ่าน..แต่ถ้าพวกเล็กๆน้อยๆ..เค้าอาจพอทำเนา...อันนี้ฮ่งบอกนะ..ครั้งที่สอง..ฮ่งก้อผ่านฉลุย..ครั้งแรก examiner เป็นเอเชีย...ครั้งสองเป็นฝรั่ง....ท่าทางฮ่งน่าจะถูกกับฝรั่งนะ...

อันนี้แค่ขับรถส่วนบุคคลนะ..หมายถึงว่าเราขับรถส่วนตัวนะ..แต่ถ้าใครที่ขับพวกรถเมล์..การสอบจะยากกว่านี้ขึ้นไปอีก ไม่ใช่แบบนี้..มันมีระดับความยากมากขึ้น ขึ้นกับความรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่ไปกับเราหรือที่เราต้องเกี่ยวข้อง....ยิ่่งถ้าต้องขับรถ truck อันนี้ก้อยากเหมือนกัน..มันสลับกับของเราเลย....และไม่ใช่อยู่ดีก้อไปสอบได้นะ..คุณต้องไปเรียน..กับ instructor ที่ก้อต้องผ่านการสอบ ต้องมีใบรับรอง certificate...ยุ่นก้อเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเค้าจึงเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างต้อง professional.... เค้าถึงบอกไง..เรียนรู้ได้ไม่มีวันสิ้นสุด..

ฟังแล้วทำให้ยุ่นไม่อยากไปสอบเลย..เพราะก่อนสอบก้อต้องไปเรียนก้อหลายตังส์นะ..ครั้งนึงเรียนสองชั่วโมง 60-80 เหรียญ เรียนกี่ครั้งก้อคูณไป..วันสอบ..เราก้อต้องเช่ารถ..instructor อีก..ค่าเช่าอีก 100-120 เหรียญ...ยังมีค่าสอบ 50 เหรียญ ถ้าสอบได้ก้อเสียเพิ่มอีก 31 เหรียญค่า fee...แต่ถ้าสอบตก..ก้อ ค่าเช่ารถบวก 50เหรียญ ก้อเกือบ 200 เหรียญ..หายไปอีกแล้ว... ค่าโน้นค่านี่..เฮ้อ..เงินทั้งน้าน..ประเทศนี้...

อันนี้ก้อเล่าผ่านความรู้สึกฮ่ง..แต่คิดว่าอีกไม่นาน ยุ่นก้อคงต้องไปสอบเหมือนกัน..และจะมา confirm ความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง..ว่า..."ใช่เลย!!!! โครต...รต...ยากเลย..."

8 comments:

  1. เก๋ว่าสอบใบขับขี่มันต้องยังงี้แหละ คือไปสอบขับกันจริงๆ ไปเลย มันถึงจะถูกต้อง ประเทศที่พัฒนาแล้วถึงมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าบ้านเราไง

    แต่ว่าถ้าพวกพี่ขับแบบนั้นจนชิน แล้วกลับมาขับที่บ้านเรา รับรองว่าชนกระจุยแน่ 5555

    ReplyDelete
  2. 55555 พี่ก้อว่างั้นแหละ...แล้วอีกอย่างการเดินถนนด้วย...ที่นี่..รถจะจอดทันทีที่เท้าเราแตะพื้นถนน..แต่บ้านเรา..รถจะเร่งเครื่อง..ทันที..ก้อคงต้องปรับอีกรอบ...

    ReplyDelete
  3. ยุ่น น้องรัก

    อ่านแล้วทำให้นึกถึงตอนที่พี่ไปเรียนที่อเมริกา พี่ก็ต้องไปเรียนสอบใบขับขี่เหมือนกัน แต่สมัยโน้นนนน.. มันไม่โหด และไม่เคร่งมาก แล้วก็เข้าใจว่าที่นั่นในสมัยนั้น
    ระบบของเขาก็คล้าย บ้านเรา มีใต้โต๊ะอะไรทำนองนั้น พี่จ่ายค่าเรียน(จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่) แต่เหมารวมว่าต้องได้ใบขับขี่แน่ มีการติวข้อสอบข้อเขียน(ที่เป็นข้อสอบจริง) และสอบขับในสนามสอบเท่านั้น มี เจ้าหน้าที่คุมสอบนั่งมากับเราด้วย หมูมาก...ได้ใบขับขี่มาอย่างง่ายดาย.. แต่ที่เป็นปัญหา..และเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยลืม..ก็คือ ตอนที่เรียนขับรถนี่แหละ..(คือว่าตอนที่อยู๋เมืองไทยพี่ก็ขับรถไม่เป็น.. เพราะที่บ้านไม่ให้ขับ)คนที่สอนพี่มันเป็นคนยิว..วันแรกที่สอนมันก็ให้ขับ เลย (ถนนในเมืองที่พี่อยู่มันไม่ค่อยมีรถอยู่แล้ว) ก่อนออกรถ..มันก็จะอธิบายวิธีการใช้รถก่อนใช่มั๊ย..พออธิบายหมด ทุกอย่าง...มันก็บอกว่า..ก่อนออกรถ..ต้องรัดเข้มขัดเสมอ..แล้วมันก็เอื้อม มือมาจับเข้มขัดด้านที่พี่นั่ง..แล้วก็จัดการรัดเข้มขัดให้พี่เลย..แบบ ประชิดติดตัว..แล้วก็ตรวจความเรียบร้อยว่ารัดแน่นแล้ว..ด้วยการการจับสาย เข้มขัดว่ามันได้รัดตรงหน้าอกของพี่หรือยัง..พี่ตกใจ..ผสมกับช๊อก..ไปชั่ว ขณะ.. แล้วมันก็ให้พี่ออกรถ...พี่ก็ขับไปแบบช๊อกอยู่ได้ประมาณ 5 นาที..แล้วมันก็กลับมาสำรวจเข็มขัดที่รัดหน้าอกพี่อีกครั้ง...คราวนี้พี่หาย ช๊อกเลย..พี่หยุดรถ...แล้วก็ด่ามันไปเป็นชุด..แล้วก็บอกว่าจะเรียกตำรวจจับ มัน..แล้วก็ขอเงินคืนด้วย..ไม่เรียนแล้ว..แล้วก็บอกว่ายูรู้มั๊ยว่าไอเป็น Law Student ...เท่านั้นแหละ..มันก็ขอโทษโหญ่เลย...บอกว่าไม่ได้ตั้งใจแล้ว บอกว่าจะเปลี่ยนคนมาสอนให้ใหม่..รับรองความประพฤติว่าเป็น good guy...แล้วให้พี่ขับรถกลับ..หลังจากนั้นพี่ได้คนสอนใหม่..เป็นอเมริกันหนุ่ม รูปหล่อ..นิสัยดี..และเป็น gentleman มาก..คุยกันถูกคอ..เสียดายสมัยนั้นมันยังไม่มีโทรศัพท์มือ ถือ..(คิดดูแล้วกันว่านานแค่ไหน)..ไม่งั้นคงได้แลกเบอร์กันแล้ว..ฮิฮิ..แล้ว เรื่องทั้งหมดก็จบลงด้วยดี..ได้ใบขับขี่มาพกไว้ในกระเป๋า..และเป็น ประสบการณ์ที่ไม่เคยลืมเลย..

    พี่เหน่ง

    ReplyDelete
  4. พี่เหน่งของเรา ตั้งแต่สาวๆก้อเด็ดขาดไม่ใช่เล่น..สุดยอดค่ะ..

    ReplyDelete
  5. ขอบคุณสำหรับ ข้อมูล ครับ
    ขอให้สอบผ่าน นะเผื่อจะได้พาเพื่อนๆไปเที่ยว 555
    BLOCK สวยงาม ท่าจะชอบสีม่วง...

    ReplyDelete
  6. It's much easier in the US. I did all that in one day. I got the book early in the morning, browsed through it for an hour, took the written exam before noon and passed. The driving test was in the afternoon. If anyone could drive in BKK, it's much easier to do it in TX where there are a lot more space.

    Oui

    ReplyDelete
  7. YUN - The trip for driver license is to follow the traffic law especially speed limit. They do not care how good or how long you can drive but how much you can follow the traffic rule. You may notice that some sign or area are expected to be known in speed limit without a speed noted on the road i.e. school area, etc. In addition, some junction which there is no traffic light, their rule may expect you to stop even without any car in the junction. This is what I learned in the US. It may be applicable in Canada. Cautious driver could pass the driver test easily. But those experienced drivers always fail due to using driver habit from the country they come from.

    ReplyDelete
  8. The above is Sunee's comment....

    ReplyDelete