Sunday, December 9, 2012

ความเข้าใจกับการทำซ้ำจนจำได้

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา...ยุ่นได้สอนบีบี นักเรียนที่มาเรียนพิเศษที่บ้าน เรื่อง Completing the square ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเค้า และยุ่นอยากลองพิสูจน์ว่าสิ่งที่ยุ่นคิดถูกหรือผิด..

เพราะแต่ก่อนยุ่นทำคุมอง  เด็กที่เราเห็นก้อคือนักเรียนคุมองเท่านั้น  การทำก้อทำแต่แบบฝึกหัดคุมอง ให้เด็กดูเอง ทำเอง แล้วก้อซ้ำไปซ้ำมาจนเด็กทำได้  เด็กบางคนเข้าใจเร็วก้ออาจซ้ำสามรอบ แต่หากเข้าใจช้าบางทีก้อมี 6-7-8 รอบ..เฮ้อ..คิดแล้ว..ชั่วโมงนี้นะ รู้สึกว่ายุ่นเองก้อถูกความคิดเรื่องการเรียนรู้ด้วยตัวเองของคุมองครอบงำ จนทำให้บางทีเราไม่เห็นจุดอื่น อีกอย่างเราไม่มีอะไรมาให้เปรียบเทียบ เพราะเราเห็นเด็กกลุ่มเดียวคือนักเรียนคุมองเท่านั้นเป็นเวลา 7 ปี

แต่สามปีนี้ที่ได้มีโอกาสสอนเด็กตัวต่อตัว  ขณะเดียวกันก้อยังมีโอกาสเห็นเด็กนักเรียนคุมองด้วย  จึงทำให้มีสองภาพเปรียบเทียบ  ทำให้ยุ่นมีความรู้สึกว่าหากเราอยู่กับอะไรอย่างเดียวนานๆ  อาจทำให้เราหลงผิดและคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไรที่ดีที่สุด ทั้งที่จริงๆมันอาจมีสิ่งอื่นที่ดีกว่าก้อได้...

การเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นสโลแกนที่คุมองนำมาใช้ในการตลาด...ซึ่งจริงๆมันคือใช่  และฟังดูดีมีชาติตระกูล แต่ครูซึ่งเป็นคนใช้แบบฝึกหัดต้องใช้เป็น  ไม่งั้นคุณก้อคือหมอที่เลี้ยงไข้คนไข้ไปเรื่อยๆ  ทำไมยุ่นถึงรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยุ่นเห็นภาพแรกคือจีจีกับเข็ม..เมื่อเทียบกับเด็กคุมองเวลาเรียนเรื่องเดียวกัน ต่อมาก้อคือ บีบี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา  ยุ่นจะเทียบเรื่องต่อเรื่อง  จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

จีจีกับเข็ม  ยุ่นสังเกตุเรื่องการทำเศษส่วน เมื่อยุ่นสอนยุ่นก้อยกตัวอย่างแบบคุมองแหละ ตัวอย่างง่ายๆ แต่ยุ่นจะเน้นว่าเราต้องดูอะไร ในการบวกหรือลบเศษส่วน และต้องอยู่ในรูปจำนวนคละ คูณกับหารเป็นอย่างไร ตรงไหนที่ต้องระวัง และอยู่ในรูปเศษเกิน...ยุ่นว่า..หลักการหลักๆของคณิศาสตร์คือสิ่งที่สำคัญและเราต้อง stick กับหลักการนั้นๆ...

จะว่าไป..หากให้เด็กเรียนรู้เอง ก้อไม่แน่ใจว่าจะรู้มั้ย เพราะดูจากเด็กคุมองที่นี่  ทำบวกลบคล่อง ขึ้นคูณ ลืมบวกลบ ขึ้นหาร ลืมบวกลบคูณ  ทำเสร็จหมดบวกลบคูณหาร สอนทศนิยม ทำทศนิยมได้ ลืมที่เรียนเศษส่วนมาหมด  เข้าเรื่องทวนทุกเรื่องทำผิดกันระนาว...และมันเป็น pattern เหมือนกันหมด เพราะสิ่งเหล่านี้ก้อเกิดกับนักเรียนยุ่นตอนยุ่นทำแรกๆ  แต่ยุ่นต้องแก้ปัญหาให้ได้  ไม่งั้นไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากส่งลูกมาเรียนแน่...  แต่ที่นี่ เค้าปล่อยไปตามแบบฝึกหัด  สนุกมาก สำหรับครู  ให้ซ้ำ ไปจนครูพอใจ  เด็กแบบสอบเศษส่วนไม่มีใครผ่านเลย..ไม่ผ่านก้อทวนซ้ำไปอีก  สอบอีก ไม่ผ่านก้อซ้ำอีก  ชักสงสัย คุณได้แก้ปัญหาตรงจุดหรือเปล่า???

แต่เทียบกับจีจีกับเข็ม  ยุ่นสอนบวกครั้งนึงก้อไม่ถึงสามนาที เสร็จจะให้เด็กทำจนมั่นใจว่าเค้าโอเค ครั้งหน้าสอนลบ ก้อเหมือนกัน อีกครั้งสอนคูณ แต่เราจะทวนทุกครั้งว่าความรู้เก่าเป็นอย่างไร แล้วก้อหาร เบ็ดเสร้จสองถึงสี่ครั้งก้อจบเศษส่วน  และเด็กทั้งสองคน โจทย์มารวมมิตรก้อทำได้  ไม่มีปัญหา...และถึงจะไม่ได้ทำแบบฝึกหัดมากมาย ไม่ได้ซ้ำเลย...55555 เพราะไม่รู้จะไปหาโจทย์ที่ไหนให้ทำ นอกจากในหนังสือของเค้าเอง...พอไปเรื่องอื่นที่ต้องใช้งาน เค้าก้อจำได้ ทำได้  จึงทำให้ยุ่นเริ่มแปลกใจ สงสัยว่าทำไมการเราไม่ได้ซ้ำเค้ามาก แต่เค้ายังระลึกชาติได้  นั่นแปลว่าความเข้าใจที่แท้จริงจะติดทนนานกว่าการซ้ำไปเรื่อยๆแบบนกแก้วนกขุนทอง...

เด็กคุมองจะทำตามตัวอย่าง มันทำได้ แต่เค้าไม่เข้าใจโดยแท้จริงว่าเค้าทำอะไร เค้าต้องระวังอย่างไร และอีกอย่างเด็กพวกนี้ชอบ jump steps บางคนอาการหนักคือไม่ show step เพราะชอบคิดในใจ  คือคุมองฝึกเค้ามาแบบคิดในใจ  หลายๆคนก้อจะแบบไม่แสดงขั้นตอน ฉะนั้น  โอกาสที่จะทำผิดก้อสูงมากๆเลย...และเมื่อทำผิด ก้อไม่สามารถหาที่ผิดได้ เพราะไม่แสดงขั้นตอน ก้อได้แต่ลบหมด  ก้อเลยไม่ได้ทำให้ตัวเด็กพัฒนาการอะไร เพราะไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เลยไม่ได้แก้ไขในสิ่งที่ตัวเองผิด...ก้อจะผิดซ้ำผิดซากอีก และครูก้อจะซ้ำมากขึ้นไปอีก...

เมือ่เทียบกับจีจี และเข็ม ยุ่นจะเน้น step ในการทำงานมาก  ฉะนั้นเมือ่เค้าทำตาม steps เค้าจะไม่ค่อยผิด และเค้าจะค่อยๆเกิดการเรียนรู้จาก step ที่เค้าทำกันเอง...และหากผิด  ยุ่นก้อจะแนะว่าให้เค้าดูว่าเค้าผิดตรงไหน  หาให้เจอ  เค้าก้อจะเริ่มระวังในจุดที่ตัวเองทำผิด  นี่แหละคืออีกการเรียนรู้หนึ่งที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเด่นชัด...

เรื่อง steps เนี่ยจะชัดเจนมากตอนทำระดับ F คือ order of Operation จีจีกับเข็ม..ทำตามขั้นตอน เรียกว่าได้คำตอบเป๊ะๆเลย  แต่เด็กคุมอง..ดูการทำงานไม่รู้ว่าคิดอะไรมาจากไหน  ก้อไม่รู้ว่าไม่เข้าใจตรงไหน แก้ไขไม่ถูก  ผิดแต่เรื่องเดิมๆ  ผิดเยอะมากๆ...ดูแล้ว waste time and energy มากๆเลย  ช่วงหลังยุ่นแก้ปัญหาเด็กคุมองเหล่านี้โดยบอกเค้าให้เขียน step แบบที่ยุ่นต้องการ ไม่อยากเชื่อเลยว่า ลดการทำผิดได้มากมายจริงๆ  ล่าสุดเมื่อวาน Matthew เป็นเด็กคุมองที่ไม่เลวเลย ทำ F 2 หน้ามี 7-10 ข้อ ถูกแค่ 1-2 ข้อ  ผิดจนเด็กไม่ยอมทำการบ้าน  แม่ให้มิสแรสบังคับให้ทำทุกอย่างที่คุมอง  เค้าต้องทำประมาณ 8 เล่ม  เชื่อมะ พอยุ่นไปบอกเค้าให้เปลี่ยนทำแบบมี steps เค้าทำ 3 แผ่น 6 หน้า ผิดแค่ 2 ข้อ เค้าดีใจมากเลย...และเค้าเลยเชื่อฟัง ยอมทำตามที่ยุ่นบอก...

นอกจากนี้ก้อมีเรื่อง algebra การหาค่า x เทียบกับ G151-190 เราไม่เอาเรือ่งโจทย์ เพราะเด็กคุมองไม่เก่งโจทย์ เพราะคุมองบอกไม่ค่อยมีโจทย์ใน high school  จีจี บีบี เข็ม เรียนเรื่องนี้ ยุ่นจะเน้นเรื่องการหาค่า x โดยใช้คุณสมบัติบวกเข้า ลบออก หรือคูณหรือหาร ก้อคือคุมองหน้า G153a-154a สองหน้านี้คือหน้าสำคัญ อันนี้ยุ่นเรียนรู้จากนักเรียนยุ่นเองที่เมืองไทย และยุ่นก้อใช้หลักนี้มาตลอด

สอนพวกบีบี จีจี ก้อใช้หลักนี้ ต้องเข้าใจ เชื่อมะ บีบี สามารถหา unknown แบบ H 21-31 โดยยุ่นไม่ต้องสอนมาก  แค่บอกเค้าว่า หากจะหาตัวที่เราไม่รุ้เราจะกำจัดที่เหลืออย่างไร  เค้าก้อทำได้  แต่เด็กคุมองที่นี่สิ...สุดยอด..คือจบ G ขึ้น H ทำจนมาถึง H21-31 ติดอย่างแรง  หนักกว่านั้นคือบางคนยังแก้สมการไม่ค่อยเป็นเลย ก้อมายาวถึง H 141-151 คือปัญหามันจึงอีรุงตุงนังมากมายเลย

แต่บีบี จีจี เข็ม เค้าจะทำตามขั้นตอน ไม่ข้าม ไม่ทำเร็วเกิน เพราะเราไม่ได้จับเวลาเค้า แต่ยุ่นก้อไม่รู้สึกว่าเค้าทำช้านะ  คิดว่าอยู่ในมาตรฐาน ... ซึ่งพอเค้าเข้าใจ เวลาโจทย์เปลี่ยน  เด็กก้อยังคงทำได้...

ตัวอย่างต่อไปคือบีบี อันนี้ชัดมากๆ เพราะเรือ่งที่บอกอยุ่ใน I151 Complete the square... เป็นชุดที่เด็กคุมองจะทำผิดเยอะมาก  แต่ก่อนยุ่นก้อทำไปตามคุมองบอก ดูตัวอย่าง แล้วทำไป...เด็กก้อทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่อย่างน้อยต้องสามรอบในเด็กเก่ง จึงนิ่งปล่อยผ่าน  และก้อมากกว่าสามรอบในเด็กทั่วไป  แต่วันนี้หลังจากสอนเดี่ยว ทำให้ยุ่นยิ่งเข้าใจแบบฝึกหัดชุดนี้มากขึ้นมาก

เมื่อวันจันทร์ยุ่นก้อใช้หลักการเดิม คือต้องเข้าใจพื้นฐานความคิดในแต่ละเรื่องที่เราจะเรียนก่อน  ก้ออธิบายก่อน สำหรับบีบีต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นนิดหนึ่งในการเริ่มต้น  แต่ยุ่นก้อจะเน้นในเรื่องนี้ เพราะการเริ่มต้นมันสำคัญ  ก้ออธิบายไป ประมาณสิบนาที จนเค้าเข้าใจหลักพื้นฐาน  แล้วก้อเริ่มจากตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เด็กง่ายในการทำความเข้าใจ  ยุ่นแสดงให้เค้าดูวิธีทำแค่สองตัวอย่างแรกที่ไม่ยาก จากนั้นยุ่นเริ่มเปลี่ยนโจทย์ยากขึ้นเรื่อยๆ และให้เค้าลองทำเอง เชื่อมะ  บีบีเค้าทำได้เอง จากหลักการที่เราให้ และเค้ายึดมันเอาไว้ และที่สำคัญต้องทำตาม step อย่างเคร่งครัด  เค้าบอกมันไม่ยากเลยเนอะ...ยุ่นบอกจริงๆเรือ่งนี้หากไม่เข้าใจคือยาก...เพราะมันจะไปไม่ถูกทางเลย แต่ถ้าเข้าใจ มันคือหมู...

บีบีบอกจริงอย่างน้ายุ่นพูด เพราะเค้ารู้สึกไม่ยากเลย....

ยุ่นคงต้องขอบคุณเด็กที่มาเรียนเดี่ยวๆกับยุ่น 8-9 คนนี้ ที่ทำให้ยุ่นได้เห็นภาพอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่ต่างจากเด็กคุมอง  และทำให้ยุ่นยิ่งเสริมความคิดเดิมที่มีว่าการเรียนเลขต้องเข้าใจ  ช่วงบวกลบคูณหารเนี่ย..ยังไม่เท่าไร การซ้ำเพื่อให้เด็กเหมือนกับจำได้ มันอาจทำได้  แต่ในระดับสูงขึ้นไป ต้องประกอบด้วยความเข้าใจ  นั่นคือการที่คุมองพยายามสอนว่าให้ดูตัวอย่าง แต่ก้ออีก อย่างเศษส่วน เทียบกันเด็กที่ดูตัวอย่างเข้าใจ ทำได้ แต่พอเจอการทำซ้ำมากมาย ก้อทำให้เด็กลืมหมด  เทียบกับเด็กที่เข้าใจ ไม่ต้องซ้ำมากมาย...แต่ทำจนเข้าใจในระดับหนึ่ง เค้าสามารถนำมาใช้การได้...ไม่รู้นะ...ยุ่นว่า มัน work กว่าและเด็กเสียเวลาน้อยกว่า ผู้ปกครองเสียเงินน้อยกว่า...

ถามว่าในระยะยาวแตกต่างมั้ย...แตกต่างมาก...เด็กที่เรียนด้วยเข้าใจ เวลาต่อบทเรียนใหม่ เราจะเห็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจน  จีจีกับเข็มเนี่ย  บางเรื่องเนี่ย ที่เป็นเรื่องใหม่ ยุ่นทำแบบเหมือนเป็นตัวอย่างให้เค้าดู  พวกเค้าดูแล้วแบบทำเองได้ และสามารถเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เทียบกับเด็กคุมอง แบบ struggle มากๆเลย...ซึ่งยุ่นเองก้อไม่เข้าใจในประเด็นนี้ แต่มันเป็นภาพที่แตกต่างกันมากจริงๆ...

ก้อคงต้องฝากไว้สำหรับครูคุมองว่า หากนักเรียนมีปัญหา คงต้องพยายามคิดและแก้ไข  และต้องพาเด็กไปถึงเป้าหมายอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ให้เรียนเร็ว เรียนเร่งเพื่อเอาถ้วยเอาโล่ห์ แต่ข้างในเด็กไม่มีอะไรในกอไผ่....




Sunday, November 11, 2012

CITIZENSHIP TEST

นึกถึงตอนที่เพิ่งมาแคนาดาแรกๆ ตอนนั้นจำได้ว่า พวกพี่ๆที่อยู่ที่นี่ก้อจะเล่าประสบการณ์ตรงที่อยู่ในแคนาดาหลายๆเรื่อง  และเรื่องหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือการสอบ citizenship และการสาบานตนเพื่อเป็น Canadian Citizen  พี่ๆบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่ยาก เดี๋ยวจะเอาข้อสอบเก่ามาให้ดูและลองทำ....สบายมาก...ไม่ยาก

แต่หลังจากที่ครอบครัวเราอยู่กันไป จนครบเทอม คนแรกคือห่งเป็นหน่วยกล้าตายคนแรกของบ้านที่ไปสอบ  รัฐบาลจะมีส่งหนังสือ Discover Canada The Right and Responsibilities of Citizenship มาให้ถึงบ้านล่วงหน้าเป็นปี....ก้อเป็นภาษาอังกฤษหมด ไม่มี version จีน  แต่คิดว่าน่าจะมี version ฝรั่งเศส..ความหนาก้อประมาณ เกือบ 70 หน้า...

ห่งก้ออ่านไป แล้วก้อไปสอบ ซึ่งกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือเดิม 60 % คือผ่าน แต่เดี๋ยวนี้ 75% จึงผ่านข้อสอบมี 20 ข้อ ผิดได้ไม่เกิน 5 ข้อ...และข้อสอบก้อไม่ได้ง่ายเท่าไรนัก...ปัจจุบัน คือหมายถึงรุ่นใหม่ที่กำลังจะยื่น apply citizenship ก้อเห็นบอกว่ากฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่ง ต้องมีใบผ่านเรื่องภาษาอังกฤษว่าขั้นต่ำต้องระดับไหน...

กลับมาต่อ...ตอนห่งอ่านไปห่งก้อบอกดีนะ ดีนะ  ยุ่นต้องอ่าน การไปสอบเนี่ย ทำให้เราต้องอ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเค้า ทำให้เราเข้าใจเค้ามากขึ้น และรู้หน้าที่ว่า Canadian ต้องมีหน้าที่อะไร ไม่ใช่เพียงแค่เป็น citizen ของเค้า แล้วได้ passport แล้วก้อจบ...

นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมตอนน้องยีนจะสอบ ห่งก้อทั้งเคี่ยวบวกเข็นให้ยีนอ่านหนังสือ  แต่คุณลูกชายไม่ได้ดังใจพ่อ อ่านเอาวันก่อนไปสอบหนึ่งวัน เล่นเอาทั้งพ่อทั้งแม่เครียดมากๆเลย   คือเราก้อกังวลว่าหากมันสอบไม่ได้  เรื่องมันจะวุ่นวายซับซ้อนไปอีก เพราะการติดต่อกับราชการเนี่ย   มันไม่ได้รวดเร็วง่ายดาย และทุกอย่างตามคิว ไม่รู้ว่าต้องรอกันไปนานแค่ไหน และก้อการเป็น citizen ของที่นี่นับวันก้อยากขึ้นยากขึ้น...  แต่ในที่สุด...น้องยีนก้อสอบผ่าน  ทีแรกเจ้าตัวก้อเริ่มกังวลเหมือนกันว่ากรูจะผ่านมั้ยเนี่ย?  ทำไมไม่เรียกไปสาบานตนสักที..โธ่!!! ตอนแรกแม่...คิดว่าลูกชัวร์ 100%

และตอนนี้ก้อมาถึงคนสุดท้ายของครอบครัวตากวิริยะนันท์ เรียกว่าปิดโครงการว่างั้นเหอะ...ยุ่นก้อเคยอ่านไปรอบหนึ่งแล้ว  แต่ไม่อยากเชื่อเลย คือจำไม่ได้อ่ะ  ฉะนั้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก้อเริ่มอ่าน และก้อเพิ่งอ่านจบเมื่อตะกี้นี้เอง...แต่ครั้งนี้ อ่านแล้วรู้สึกสนุก...และน่าสนใจ  และก้อทำให้เข้าใจว่า  มันเป็นการถูกต้องแล้วที่เราที่จะเป็น citizen ของ Canada  เราก้อควรจะต้องมีความรู้รอบเอวเกี่ยวกับแคนาดาบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย  แล้วจะไปบอกว่าเป็นประชาชนของเค้า เพียงแค่เข้ามาอยู่ครบสามปีตามเวลากำหนด  ยุ่นว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำถูกต้องแล้ว เพราะ immigrant ที่เข้ามามีทั้งจีน ไทย แขก เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น พม่า เมกา อังกฤษ ฝรั่งเศส  Mexico ยุโรปตะวันออก......เยอะอ่ะ  ทุกคนควรต้องเรียนรู้ในกฎเกณฑ์ใหม่อันเดียวกัน  ไม่ใช่เอาของเก่าของตัวเองมาใช้ที่นี่  มันคงวุ่นวายพิลึก...

หลังจากที่อ่านจบ  ทำให้ยุ่นเข้าใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ Canada การรวมเป็นประเทศของเค้า  ซึ่งก้อเหมือนหลายๆประเทศต้องผ่านบทเรียนที่เจ็บปวดมา  แต่เค้ามีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เพื่อให้คนในประเทศอยู่กันอย่างสงบสุข อันหนึ่งที่เห็นเด่นชัดคือการ Discriminate ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายของที่นี่   และรัฐบาลได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ที่แต่ก่อนรัฐบาลได้กระทำการล่วงเกิน พวกคนพื้นเมือง aboriginal people,  คนจีน , คนญี่ปุ่น  และรัฐบาลก้อมีการชดเชยคืนให้กับคนกลุ่มนี้อย่างเป็นธรรมในปัจจุบัน   

นอกจากนี้ เราก้อควรรู้เกี่ยวกับระบบการเมือง  การปกครอง  สังคม  เศรษฐกิจ  สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ  อย่างแต่ก่อนได้ยินมาว่าแคนาดาหนาวมาก หนาวมาก เราก้ออาจคิดว่าหนาวเหมือนกันทั้งประเทศ แต่จริงๆก้อหนาวแหละ  แต่หนาวมากหนาวน้อยไม่เท่ากัน  อย่าง Yukon Territory ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงหนือของแคนาดา เคยมีสถิติว่าหนาวถึง -63องศาเซลเซียส...อี้ออ....ออออ

หรืออย่างทางเหนือของแคนาดา ทั้ง 3 territories : Yukon ,  Northwest และ Nunavut จะมีชื่ออีกชื่อว่า "Land of the Midnight Sun" ซึ่งก้อคือในช่วง Summer จะมีกลางวันตลอด 24 ชั่วโมง...และในช่วงหน้าหนาว winter time...จะไม่มีพระอาทิตย์เลย  เมืองทั้งเมืองจะอยู่ในความมืดเป็นเวลา 3 เดือน  จึงทำให้พื้นที่ทางเหนือของแคนาดา ซึ่งก้อน่าจะเรียกว่าขั้วโลกเหนือนะ...ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ แต่มีประชากรเพียง 100,000 คนเท่านั้น.....และประชากรที่อยู่ ส่วนใหญ่ก้อคือ Inuit หรือชาวพื้นเมืองเท่านั้น...คนอย่างเราเรา...ไม่มีใครกล้าไปอยู่....

แต่อย่าง British Columbia ที่อยู่ทางด้านตะวันตก ( West Coast ) จะมีกระแสน้ำอุ่นจาก Pacific Ocean เลยทำให้เป็นพื้นที่ที่อบอุ่นที่สุดในแคนาดา....Vancouver ก้ออยู่ใน Province นี้ด้วย...มิน่า..คนจาก Province อื่นชอบย้ายมาที่ BC โดยเฉพาะที่ Vancouver...เพราะอุ่นที่สุดในแคนาดา..

และแคนาดาเป็นประทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะมากๆ  วิวธรรมชาติก้อสวยมาก...ทำให้ยุ่นวางแผนระยะยาวว่า  อย่างนี้ต้องมีท่องเที่ยวทั่วแคนาดาให้ได้...

ตอนนี้หลังจากอ่านจบ..ก้อทำข้อสอบทาง website ที่หนังสือเล่มนี้เค้าแนะนำ  เดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเรา search ได้หมด..ปรากฎข้อสอบที่พวกพี่ๆให้มาเลยไม่ได้ใช้เลย...เพราะเราเองก้อต้องปรับเปลี่ยนให้ทันตามยุคสมัยเหมือนกัลล์...:P











Sunday, September 9, 2012

บ้านใกล้แค่ 6 ป้ายรถเมล์...แต่ไปทำงานสาย...

เดี๋ยวนี้เวลาไปทำงานที่คุมอง ห่งจะขับรถไปส่งและรับตลอด  เพราะห่งจะว่างช่วงนั้น เพราะฉะนั้นช่วงหลังยุ่นเลยไม่ค่อยได้ใช้บริการรถเมล์สักเท่าไร

แต่หากวันไหนเป็นจังหวะที่ห่งต้องทำงาน ยุ่นก้อต้องนั่งรถเมล์ไปเอง  ซึ่งก้อออกจากบ้านก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมง  รวมการรอรถ และนั่งรถไปก้ออยู่ประมาณ 10-20 นาที ขึ้นกับการรอรถ  เพราะหากได้ขึ้นไปนั่งบนรถเมล์แล้วก้อประมาณ 5-8 นาทีก้อถึงแล้ว....

และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา  ยุ่นก้อต้องนั่งรถเมล์ไปเอง  และเวลาที่เริ่มทำงานคือ 14:30 น.  ยุ่นก้อออกตั้งแต่ก่อนสองโมงสัก 10 นาที เดินถึงป้ายก่อนบ่ายสองห้านาที  ก้อแบบสบายๆ...คิดว่าวันนี้เราไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาอย่างน้อย 10 นาทีแน่นอน...

ก้อยืนรอไป ประมาณสิบนาที  รถเบอร์ 41มาคันแรก...เขียนด้านหน้าว่า "not in service"คือเค้ากำลัง train คนขับรถคนใหม่อ่ะ ....ก้อรอไป อีกสักสิบนาทีมาอีกครั้ง  ยุ่นก้อยืนรอ ปรากฎคนขับไม่จอด  เพราะด้านหน้ารถบอก "sorry..it's full"   ตอนนี้ยุ่นเริ่มอาการเซ็งหละ ...แต่เอานะ รออีกหน่อย  เพราะตอนนี้ก้อบ่ายสองสิบห้านาทีหละ  ไม่เป็นไร ยังได้อยู่...

จากนั้นอีกสิบนาทีก้อมาอีกคัน....เต็มอีกหละ  ไม่จอดอีกแล้ว....งานนี้เริ่มกระวนกระวายแล้ว  เพราะอีกห้านาทีบ่ายสองครึ่ง  เฉียดฉิวมาก  ท่าทางสายชัวร์...แต่ทำไงได้

ยุ่นตัดสินใจว่าเราต้องเดินไปอีกสองป้าย เพื่อไปขึ้นที่ป้ายหน้า Oakridge Mall คือป้ายนี้คนขับต้องจอดแน่นอน เพราะมีคนลงเพื่อต่อCanada line ไง .....ก้อเดินไป  หนึ่งป้าย  ก้อเห็นผู้โดยสารรอประมาณสามคน ถ้ารวมยุ่นก้อสี่ เมื่อกี้ป้ายที่เรารอมียุ่นคนเดียว เค้าอาจไม่จอด  งั้นรอป้ายนี้ดู...

ปรากฎอีกห้านาที มาอีกคัน..เต็มอีกแล้ว ไม่จอดอีก...กรูหละเซ็งมาก...ตัดสินใจเดินไปอีกป้าย  ฝรั่งคนนึงเค้าก้อเดินไปกับยุ่น เค้าบอกเค้าขึ้นรถเมล์เวลานี้  มันเป็นแบบนี้ทุกวัน very stupid เราคงต้องเดินไปที่ Oakridge ดีกว่า....

เสร็จ. หน้า Oakridge คนรอรถเมล์เยอะมาก  เพราะเป็นป้ายใหญ่อ่ะ  รวมยุ่นกับฝรั่งสองคนนี้  ก้อประมาณ 30-40 คน...หน้าหลายคนแบบเซ็ง..คือรอมานานแล้ว  และแล้วก้อมาอีกคัน  คนขับไม่จอดในป้ายที่พวกเรา line up แต่เค้าไปจอดนอกป้าย  ผู้โดยสารก้อต้องเดินไปด้านหน้า  เพราะทุกคนก้อรอกันมานานแล้ว...แต่คนขับผู้หญิงฝรั่งโบกมือห้าม  อย่าเพิ่งขึ้น เพราะในรถคนเยอะมาก  รอเคลียร์ก่อน...แล้วพอประตุหลังเปิด  ก้อมีพวกผู้โดยสารที่รอที่ป้ายนี้ขึ้นประตูหลัง  เพราะไม่อยากรอประตูหน้า  คนขับก้อตวาดเสียงดังว่า  คนที่เข้าประตูหลัง ออกไป ออกไปให้หมด มารอขึ้นด้านหน้า....(คือผู้โดยสารทุกคนต้องขึ้นด้านหน้าเพระาต้องจ่ายค่าโดยสารด้วย และการลงก้อลงประตูหลังเท่านั้น นอกจากคนแก่ คนพิการ หรือคนที่มีรถเข็นเด็ก)

สักสองนาที  เค้าก้อเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นรถได้  ยุ่นก้อขึ้นไปเกือบจะท้ายๆแล้ว เพราะโดนเบียด  แต่ก้อเข้าทัน...จากนั้น ก้อมีปัญหาเกิดขึ้นอีก คือผู้โดยสารผู้หญิงคนนึงเค้ามีรถเข็นลูก  เค้าก้อขึ้นมาด้วย แต่แบบไม่มีที่ไง  คือเค้าจะมีที่สำหรับคนพิการกับหญิงมีลูก  แต่บริเวณนั้นมันเต็มอ่ะ  คนขับก้อบอกให้รอคันต่อไป  เค้าบอกเค้ารอมาเป็นชั่วโมงแล้ว  ไม่สามารถขึ้นได้เลย เพราะไม่มีที่  ทุกคันก้อพูดแบบนี้  ครั้งนี้เค้าจะต้องไปให้ได้  เค้าไม่ยอม  ไม่ยุติธรรมกับเค้า...

งานนี้...สุวรรณีสายมากแล้ว สองโมงสี่สิบห้าได้มั้ง...ต้องช่างมันแล้ว ไม่รู้จะทำไง...เสร็จผู้หญิงคนนั้นก้อมีปากเสียงกับคนขับประมาณหนึ่ง  คนขับบอก ได้ถ้าเธอไม่ลง ชั้นลงเอง  ว่าแล้วเธอก้อดับเครื่องรถ  แล้วเดินลงไปเลย...ทิ้งผู้โดยสารทั้งคันรถ...อึ้งกิมกี่...

คนขับก้อลงไปคุยโทรศัพท์   ด้านบนรถ ทุกคนก้อพยายามขยับเพื่อให้มีพื้นที่ให้ผู้หญิงเอารถเด็กเข็นเข้าไปในที่ที่เค้ากำหนด  เสร็จผู้ชายที่ยืนด้านหน้าก้อลงไปบอกคนขับว่าเรียบร้อย  แต่คนขับโบกมือทำนองว่าไม่ต้องพูดอะไร  ชั้นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่...

สักพัก  ยุ่นก้อดู  เฮ้ย..เธอวางสายแล้วทำไมไม่ขึ้นมาขับวะ  ยุ่นเลยตัดสินใจลงรถเพื่อรอคันใหม่  แต่ก้อยืนกั๊กๆไว้ เผื่อเจ๊ฝรั่งแกเปลี่ยนใจ  แต่แกไม่เปลี่ยนอ่ะ  อีกสักแป๊บ  ตำรวจมา  ยุ่นก้อคิดว่างานเข้าแล้ว สงสารโดนปรับ จอดในที่ๆไม่ให้จอด....ปรากฎ...

ตำรวจขึ้นไปบนรถ  กดปุ่ม "not in service"และให้ผู้โดยสารลงรถหมดทั้งคัน  และเดินไปคุยกับคนขับ...คงจะปลอบใจมั้ง....งงมากมายเลย....

ตอนนี้ผู้โดยสารที่อยู่ที่ป้าย และก้อมีที่มาเรื่อยๆ รวมทั้งที่เพิ่งลงจากรถ  ก้อประมาณเกือบร้อยคน  ไม่อยากเชื่อเลยว่า  ยุ่นจะไปทำงานไม่ได้ทั้งๆที่บ้านอยู่ใกล้มากเลย  แต่หากเดินก้อมีครึ่งชั่วโมง ฉะนั้นนาทีนี้เดินไม่ได้แน่นอน  ต้องรอรถอย่างเดียว...

ก้อรอไป อีกสักพัก  รถเมล์ก้อมาอีกคัน  เต็มเหมือนเคย  แต่เค้าต้องจอดไง  คนขับฝรั่งหล่อมาก...ก้อแบบเหมือนเดิมมีคนขึ้นด้านหลัง  เค้าก้อดุมากเลย เข้มมากไล่ให้ออกไปให้หมด..  แล้วก้อปิดประตูหลัง...และให้ผู้โดยสารในรถขยับก่อนที่จะให้ผู้โดยสารใหม่ขึ้นมา

ตอนขึ้นเนี่ย ก้อมีลุ้นอีกเฮือกนึง..ชั้นคงไม่ใช่คนที่เหยียบเท้าเข้าไปในรถ แล้วคนขับบอก stop นะ  กรูงานนี้ลุ้นตลอดตั้งแต่รอรถจนได้ขึ้นรถ....และโชคดี  เนื่องจากได้เรียนวิชาขึ้นรถเมล์จากบ้านเราตอนเด็กๆมาเยอะ  ก้อสามารถแทรกตัวเข้าไปได้...ในที่สุดก้อไปอยู่หลังเส้นสีแดงในรถได้  คือเป็นคนที่อยู่หลังเส้นพอดีเลย...คนขับก้อตะโกนว่า หยุด  คนที่ไม่ได้อยู่หลังเส้น  ให้รอคันต่อไป....เฮ้อ...ยังโชคดีหน่อย  เกือบแล้ว...ได้ไปสักที

และนี่ก้อคือการผจญภัยในการขึ้นรถเมล์ในแวนคูเวอร์ที่ยุ่นไม่เคยเจอ  แต่คือไม่มีการโหนแบบบ้านเราสมัยก่อน  ทุกคนต้องเคารพกฎกติกามารยาท  และที่เราขึ้นไปผู้โดยสารเกินไม่ได้ เพราะคือความปลอดภัยของผู้โดยสาร  และคนขับรถจะมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจทุกอย่าง ผู้โดยสารต้องทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข  หากไม่แล้ว  คนขับมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างคนขับผู้หญิงคนนั้น....คือสงสัยอารมณ์ไม่พร้อมจะขับรถ ก้อไม่ต้องขับ....คนขับรถเมล์ที่นี่หญ่ายย....ยยยยมาก....แต่ส่วนใหญ่ก้อค่อนข้างดีนะ  เพราะกว่าจะมาเป็นคนขับรถได้  ต้องผ่านการคัดเลือกมากมาย...คนเข้าคิวรอสมัครงานนี้เยอะมากเลย....555555

และนี่ก้อคือการผจญภัยในวันที่ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน เมื่อห่งไม่ได้ไปส่งยุ่น....ไปทำงานสายแบบไม่น่าจะเกิดขึ้นได้...


Wednesday, August 29, 2012

"Secrets of Success" will not work unless you do!!!

ย้อนนึกกลับไปเมื่อประมาณหกหรือเจ็ดเดือนที่แล้ว  ป้อมได้คุยกับยุ่นเกี่ยวกับการทำหลักสูตรคณิตศาสตร์ระดับสูงว่าทำยากมาก...ป้อมบอกว่า "ยุ่น...เราก้อไม่ใช่อาจารย์ การจะเขียนหลักสูตรเลขมันไม่ง่ายเลย เฮ้อ..." จำได้ว่าวันนั้น ชั่วโมงนั้น  ยุ่นคิดว่า ก้อจริงอย่างป้อมบอก..แล้วทำไมยุ่นไม่ลองดูหละ...น่าลองสักตั้ง..


หลังจากนั้น...ยุ่นก้อมานั่งคุยกับห่ง..ว่ายุ่นสนใจอยากลองทำหลักสูตรเลขดู ห่งคิดว่าไง  ห่งบอก ก้อลองดูสิ ไม่มีอะไรเสียหายนี่...ยุ่นก้อเลยเริ่มแผนการทำงานตั้งแต่วินาทีนั้นเลย...


ก่อนอื่น  ก้อวางแผนก่อนว่าเราจะทำคณิตศาสตร์ในลักษณะไหน  ให้เด็กผู้เรียนได้อะไร  ก้อมานั่งรวบรวมความคิดก่อนว่าที่ผ่านมา  คุมองเนี่ยมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง...และที่ยุ่นเห็นเนี่ย ตรงไหนส่วนไหนที่ยุ่นสามารถเข้าไปช่วยเด็กได้  นอกจากนี้  ยุ่นก้อคิดว่าไอ้ที่เราสอนเด็กแบบเดี่ยวๆเนี่ย...เราได้อะไรจากเด็กเหล่านี้    เพราะเด็กที่ยุ่นสอนทั้งหมด ยิ่งเค้าเรียนเลขมีปัญหามากเท่าไร  เค้าก้อคือครูที่ดีมากคนหนึ่งของยุ่นนั่นเอง...และการสอนเดี่ยว ทำให้เราเห็นเด็กชัดเจน การแก้ปัญหาแบบตรงจุด  ใช้แบบฝึกหัดแบบไหนช่วย  สิ่งเหล่านี้ จริงๆยุ่นก้อเตรียมการสอนพวกเค้ามาตลอด  ก้อเลยเอามานั่งคิด นั่งรวบรวมเข้าด้วยกัน

ก้อจดออกมาหมดเลย....คิด..แล้วก้อคิด..คิดอย่างเดียว..จากนั้น ก้อเริ่มการค้นคว้า  เข้าห้องสมุด...ค้นหาหนังสือคณิตศาสตร์ของที่นี่  ทำการยืมหนังสือเยอะมากๆๆ  แบบเป็นตั้งๆเลย  แล้วก้อดูมันทั้งหมด  ทำให้ยุ่นได้เห็นภาพกว้างขึ้น   ลึกขึ้น...  คือแต่ก่อนเราก้อสอนแต่คุมอง  แบบฝึกหัดก้ออิงคุมอง ศึกษาแต่คุมอง...แต่วันนี้  เราออกไปดูอย่างอื่นบ้าง..ทำให้ยุ่นได้เห็นหลักสูตรของที่นี่  บอกตรงๆว่าชอบมากๆ  และก้อทำให้ยุ่นได้แนวคิดในการจะทำหลักสูตรคณิตศาสตร์ที่จะมาสอนเด็กไทย...

หลังจากค้นดูหนังสือ text มากมาย  ก้อต้องมานั่งรวบรวมว่าเราอยากเอาแนวไหน  ยุ่นก้อเริ่มเขียน outline ออกมาทั้งหมด  grouping หัวข้อต่างๆ  ไม่อยากเชื่อเลย  ได้หัวข้อใหญ่ๆ 20 กว่าหัวข้อ...จากนั้นก้อทำการแยกกลุ่มว่าอันไหนเหมาะกับเด็กประถม  มัธยมต้น และมัธยมปลาย...ตอนเขียนออกมาเสร็จ  ก้อคิดในใจ  งานนี้..จะเสร็จเมื่อไหร่เนี่ย...แต่เอานะ ไหนๆก้อต้องลองดู

เนื่องจากยุ่นดูเด็กตั้งแต่เกรด 7 ขึ้นไป ฉะนั้น ยุ่นจึงถนัดเลขในระดับมัธยมมากกว่า  ก้อเร่งทำพวกนี้ก่อน  ยิ่งทำก้อยิ่งสนุก...หัวข้อที่ทำไม่ต่อเนื่อง...ขึ้นกับช่วงนั้น หัวสมองมันไปที่เรื่องไหน  มันไหลไปเรื่องไหน ก้อเอาเรื่องนั้นเลย

ทีแรก..ใช้คอมพิวเตอร์ทำยังไม่เก่ง   ทำงานได้ช้ามาก  ช่วงนั้นเบื่อมาก  คือพิมพ์ไม่ทันความคิดอ่ะ  มันไม่ต่อเนื่อง  ก้อเลยตัดสินใจไม่ใช้คอม  นั่งเขียนเอง โดยเฉพาะเรื่องกราฟ  functions เนี่ย สนุกมากๆเลย   ยิ่งเขียนยิ่งไหล.....ไม่เหนื่อยเลย...และคิดแบบเข้าข้างตัวเองว่า..หากเด็กได้ทำเนี่ย เค้าน่าจะเข้าใจมากขึ้นนะเนี่ย...ทำไปก้อพยายามให้กำลังใจตัวเอง...555555

เสร็จ...ก้อต้องขอบคุณห่งอีกรอบ  เค้าก้อช่วยยุ่นเต็มที่  เนื่องจากคอมพิวเตอร์เราเป็น word รุ่นเก่า        ห่งก้อพยายามไปสรรหารุ่นใหม่ล่าสุดมาให้  เพื่อให้เราสามารถพิมพ์ได้ง่าย สะดวกขึ้น  ก้อใช้เวลาช่วงหนึ่งในการหัดใช้งาน... จนใช้ word คล่องตัว  จากนั้นก้อสบายมากเลย....

บางวันที่ทำหลักสูตร  นั่งตั้งแต่เช้าแปดโมง ยันสี่ทุ่มเลย...จนน้องยีนบอก แม่หยุดได้แล้ว ต้องพักบ้าง.   ยุ่นบอกไม่ได้ มันกำลังมา  แต่หากลูกจะช่วย  ช่วยพิมพ์ให้แม่ได้มั้ย  ช่วงหลัง...น้องยีนก้อมีเข้ามาช่วยพิมพ์ด้วย  เค้าเป็นคนที่พิมพ์เร็วมาก  เด็กรุ่นใหม่คงพิมพ์เร็วทุกคน  อันนี้ก้อเป็นสิ่งที่ดี  ทำให้ลูกได้เห็นว่าเรามุ่งมั่นตั้งใจทำงาน  และเค้าก้อได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เราทำด้วย...

ในช่วงหกเดือนที่ทำงานเนี่ย...ต้องบอกว่า ยุ่นทั้งอด และทนมากๆ  มีหลายครั้งที่พิมพ์งานจนมือยกไม่ขึ้น  นั่งจนคอแข็งไปหมด..หลายครั้งท้อ....ไม่รู้เราคิดถูกหรือปล่าวเนี่ย..หลายครั้งนั่งอ่านตำรา  นั่งค้นคว้า...จนตาแฉะ...ดูแบบฝึกหัด  นั่งคิดเลข...และก้อคิดในใจว่า  คนที่เค้าเขียนหลักสูตรเลขเนี่ย   เค้ามีความพยายามมากจริงๆเลย...เค้าทำได้  เราก้อต้องทำได้...สู้ สู้...และทุกครั้งที่ยุ่นสามารถจบหนึ่งเรื่อง  แล้วเห็นผลงานของตัวเอง  มันจะมีความสุขและภูมิใจ...  และยุ่นก้อทำต่อ ทำต่อ  แล้วก้อทำต่อ...

และวันนี้หลักสูตรที่ว่านี้  ก้อสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างประมาณ 90% แล้ว  ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงตกแต่ง...55555   แก้ไขปรับปรุง  ตรวจทาน...ใหม่หมดตั้งแต่เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง...และก้อเตรียมทำข้อสอบที่จะวัดผลในแต่ละเรื่อง....เรียกว่าเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จากตอนแรกไอ้ 20 กว่าเรื่องนั้นมันกระจัดกระจายกัน  ตอนนี้ก้อถูกจัดให้เป็นหมวดเป็นหมู่....เฮ้อ...รู้สึกภูมิใจเล็กๆอ่ะ   ไม่คิดว่าเราจะพยายามได้ขนาดนี้เลย

หลักสูตรที่ว่านี้  ก้อไม่ได้เขียนด้วยตัวเองทั้งหมด  เป็นการรวบรวมมามากกว่า  และยิ่งได้เห็นแนวการสอนและโจทย์ที่ฝรั่งเค้าให้เด็กเรียน  ยุ่นยิ่งชอบอ่ะ  เพราะมันเป็นการสอนให้เด็กเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน  และเรื่องราวที่เค้าสอดแทรก ก้อเป็นเรื่องที่อยู่ในรอบตัวเด็ก  การทำโจทย์สำหรับที่นี่ ต้องบอกว่าเค้าเน้นการอ่าน reading comprehension มากๆเลย  และตอนท้ายของบทจะสอดแทรกเรื่องราวน่ารักน่ารักทางคณิตศาสตร์บ้าง  บางทีก้อเป็นความรู้ทั่วไปให้เด็กอ่าน...ไม่รู้นะ ยุ่นว่า มันไม่ใช่การเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียวอ่ะ...ตรงนี้        ยุ่นก้อกำลังคิดว่าหากยุ่นสอดแทรกลงไป               เด็กไทยเราจะอ่านมั้ยเนี่ย...เพื่อนๆที่อ่านเรื่องนี้ ช่วย comment หน่อยนะค่ะ

สำหรับยุ่น...ตั้งแต่ยุ่นทำคุมอง  ยุ่นไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดที่คุมองว่าโจทย์ปัญหาไม่สำคัญ  ตอนอยู่มอปลายไม่มีโจทย์เท่าไร  อันนี้ไม่จริง..เพราะตอนที่ยุ่นเรียนเกรด 12 กับ Calculus 12 มีโจทย์นะ  โจทย์ยากด้วย และก้อเด็กที่สอนเนี่ยตั้งแต่เกรด 7 ถึง 11 มีโจทย์ปัญหาทุกบทเลย  ยังไม่เคยเจอบทไหนไม่มีโจทย์ปัญหาเลย.... และสำหรับยุ่น...ยุ่นว่าการแก้โจทย์ปัญหาเป็นการฝึกเด็กหลายอย่าง ทั้งการอ่านทำความเข้าใจ  การวิเคราะห์  การคิดว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร แก้ปมอันไหนก่อน...แบบต้องมีการวางแผน organized นะ ไม่งั้นคำตอบไม่ออก...แต่สิ่งเหล่านี้ ยุ่นว่าเราฝึกได้  เพียงแต่แน่นอนการสอนเลขโจทย์มันยากกว่าการสอนเลขแบบใช้แต่ทักษะการคำนวณ...

ยุ่นก้อตั้งเป้าไว้ว่าภายในอีกหนึ่งเดือน   หลักสูตรนี้น่าจะจบบริบูรณ์...อึม..ยังขาดอีกสองหัวข้อของ Calculus กำลังรอหนังสือจากห้องสมุด ที่เข้าคิวกันยาวมาก  ยุ่นรอมาเดือนหนึ่งหละ  และหากจบเรียบร้อย...ยุ่นก้อจะเริ่มมาดูเรื่องภาษาอังกฤษหละ...ยุ่นคิดว่าสี่-ห้าปีในแคนาดา สำหรับยุ่นไม่ได้เสียเปล่าเลย  ยุ่นได้เรียนรู้อะไรมากมาย  และที่สำคัญยุ่นได้ทำในสิ่งที่ยุ่นไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ทำอีกหลายๆเรื่อง   หนึ่งในนั้นก้อคือหลักสูตรคณิตศาสตร์อันนี้นี่แหละ... เพราะหากอยู่ไทย  ยุ่นคงไม่มีเวลาได้นั่งทำแบบนี้แน่นอน...:)





Friday, July 27, 2012

วิกฤตทำให้เกิดการเรียนรู้

ตอนเด็กๆเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน"  หรือจริงๆก้อคือการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด...ยุ่นเองได้ตระหนักในคำพูดนี้ด้วยตัวเอง ช่วงที่อยู่ที่แวนคูเวอร์นี่แหละ..การเรียนรู้ไม่ใช่จำกัดแค่ในหนังสือตำราเรียน ในห้องเรียน..แต่มันอยู่รอบๆตัวเรา  ทุกๆวัน....

ตอนอยู่ไทย...ชีวิตส่วนมากจะเน้นไปที่การทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัว  ตื่นมาตอนเช้าก้อรีบจัดการภารกิจส่วนตัว  แล้วก้อไปส่งลูกที่โรงเรียน เสร็จก้อรีบบึ่งไปทำงาน เป็นชีวิตที่เป็นกิจวัตร จนกลายเป็นความเคยชินของเรา ซึ่งทำให้เรามองข้ามหลายองค์ประกอบในชีวิตเรา....

หลายๆทักษะ...ยุ่นไม่เคยคิดจะฝึกฝนมันเช่น  การทำอาหาร การใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นประโยชน์  การทำบัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัว และอื่นๆอีกมากมาย...แต่สิ่งเหล่านี้ ได้มาฝึกคิดฝึกทำ  เอาตอนอายุใกล้ 50 นี่แหละ..

อันแรกที่โดนก้อคือ  การต้องทำความสะอาดห้องครัวหรือบ้านที่เราอยู่อาศัย  ก้อทำพอเป็น แต่ทำแบบสะอาดเนี๊ยบเนี่ย ไม่เป็น...และยุ่นก้อไม่เคยสนใจเพราะเราก้อจ้างแม่บ้านทำตลอด  พอจะสะอาด เราก้ออยู่ได้แล้ว  ก้อไม่ได้เคยลงรายละเอียด...พอมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ช่วงสี่เดือนแรกที่ต้องย้ายห้องพัก...และต้องทำเองเนื่องจากเราต้องประหยัดสตางค์ในการจ้างคนอื่นทำ...ก้อเลยทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการทำความสะอาดแบบที่เรียกว่าสะอาดจริงๆ..โดยมีป้าผู้จัดการสาธิตการทำความสะอาดเป็นตัวอย่าง....เหนื่อยเอาการ  แต่เราก้อได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยคิดอยากจะรู้เลย...

อันที่สองก้อคือการทำอาหาร  อยู่ไทย อยากกินอะไร บางทีก้อบอกแม่บ้านบ้าง  หรือถ้าแม่บ้านทำไม่ได้ ไม่มีปัญหาไปที่บ้านคุณแม่  เดี๋ยวก้อได้ทานสมใจ  หรืออาจจะไปซื้อร้านดังๆอร่อยๆมาทานได้ เรียกว่าบ้านเราสะดวกสบายไปทุกอย่าง  อยากกินอะไร เดินออกไปหน้าปากซอยก้อหากินได้แล้ว ไอ้ที่คิดจะลงมือทำเองนั้น  ไม่เคยอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย....อาจพูดได้ว่าความสะดวกสบายทำให้ทักษะหลายอย่างในชีวิตของเราหายไป...


แต่อยู่ที่แวนคูเวอร์  มันคนละ version เลย  เดินออกนอกบ้าน ไม่มีอะไรให้ซื้อเลย...มีเหมือนกัน แต่ทั้งแพงทั้งไม่อร่อย  และชีวิตมนุษย์ เมื่อความอยากมันเกิดขึ้นแบบสุดๆ  เราก้อต้องปรับตัวเรียนรู้เป็นธรรมดา  จากคนที่ไม่เคยคิดอยากจะทำกับข้าว  เพราะรู้สึกว่าน่าเบื่อ  โดยเฉพาะการเตรียมอาหาร  เราก้อต้องเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งเหล่านี้  ให้เร็ว ให้สะดวก ให้อร่อย...โดยการสอบถามจากเพื่อนคนไทยที่มาอยู่ว่าเค้าทำอย่างไรหากเค้าอยากกินส้มตำ  ต้มยำ ผัดไท......และเราก้อต้องมา organize เองว่าเราจะทำมันอย่างไร ให้อร่อย ง่ายและสะดวกสำหรับครอบครัวเรา   จากการที่เราต้องการในสิ่งที่มันไม่มี และก้อไม่มีใครจะมาทำให้เราด้วย...ทำให้ยุ่นได้เห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง....ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...


อันที่สามก้อคือการใช้คอมพิวเตอร์...เนื่องจากตอนอยู่เมืองไทย  ก้อไม่ได้เล่นคอมมาก  เรียกว่าไม่สนใจเลยก้อว่าได้  แบบฝังใจตั้งแต่เด็กมั้งว่าโง่คอม...คิดว่าตัวเองน่าจะเรียนรู้ช้า  ก้อแบบอายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  ก้อเลยไม่เรียนรู้มันเลย...มันก้อเลยได้สมใจตัวเองเลยคือไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เลย....

แต่พอมาอยุ่แวนคูเวอร์ ไอ้จะโทรศัพท์คุยกับครอบครัวเราตลอด  ค่าโทรทางไกลคงไม่ไหว...หรือการจะติดต่อเพื่อนฝูง หรือเด็กๆนักเรียนของยุ่นเอง  หากเราไม่อาศัยเทคโนเลยี่  เราจะติดต่อกับเค้าอย่างไร เขียนจดหมายไป เค้าก้ออาจจะอ่านกัน แต่เค้าจะเขียนตอบเรามั้ยเนี่ย???


และนี่มันยุคอะไรแล้ว  ก้อได้เก๋เป็นคนเริ่มต้นให้ โดยเก๋สมัคร hi-5 ให้  ตอนนั้นวัยรุ่นเค้าฮิต      เก๋บอก พี่ยุ่นอยากรู้อะไรก้อกดเข้าไปดู อ่านแล้วลองทำเด๋วได้เอง...ง่ายๆแบบนี้เนี่ย แต่ยุ่นกลัวมันมาตั้งนาน  จากนั้นก้อเริ่มทำตามเก๋บอก  ลองดูทุกอย่าง  และในที่สุด มันก้อไม่ได้ยากอย่างที่วาดภาพไว้  ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่า  แต่ก่อนเนี่ย ชั้นกลัวอะไรวะ  เนี่ย...มันไม่เห็นมีอะไรเลย....กลัวจนไม่เกิดการเรียนรู้...นี่คือสิ่งที่ยุ่นค้นพบตัวเอง  และพอเรารู้จักมันแล้ว  เราก้อสามารถพัฒนาตัวเราได้มากมาย  เราสามารถเรียนรู้อะไรมากมายเหลายอย่างจากคอมพิวเตอร์  เช่น ทำ slideshow ใส่รูปใส่เพลงเก็บเป็นที่ระลึก  , ทำphoto shop ,เล่น facebook, เขียน blogger, เรียนการทำอาหารผ่าน youtube,  ค้นคว้าข้อมูลข่าวสารผ่าน internet มันช่างมากมายจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร....ยุ่นว่า..น่าจะมีคนอีกมากมายที่เหมือนยุ่นคือกลัว...แต่ก้อไม่รู้หรอกนะว่ากลัวอะไร....เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ยุ่นคิดใหม่ทำใหม่หละ  อยากทำก้อทำไป ไม่ต้องกลัว...


และยิ่งมาอยู่ที่นี่ได้สัมผัสความรู้สึกนึกคิดของฝรั่งในเรื่องการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ  แก่แค่ไหน หากคุณอยากเรียนหนังสือคุณก้อไปเรียนได้  ก้อไปเรียน ที่Adult school วิชาละ 20 เหรียญ        ตอนไปเรียน ยุ่นก้อเห็นมีอาเจ็ก อาแป๊ะ หรือคุณป้า คุณน้าไปเรียนกันมากมาย  ไม่มีใครอายใคร  เพราะเป็น culture ของที่นี่  ครูอังกฤษที่สอนยุ่น เค้าบอกเค้าจบ high school เค้าก้อไปทำงาน  ทำไปเรื่อยๆจนอิ่มตัว  อยากมาเรียนก้อกลับมาเรียนตอนอายุ 40 กว่า  ก้อเรียนหลายปีเพิ่งจบมหาลัย และเรียนครูต่อ เนี่ยเพิ่งมาเป็นครูเมื่ออายุจะ50... ทึ่งอ่ะ...ชอบวิธีคิด และการใช้ชีวิตของเค้านะ...

และเค้าก้อไม่สนด้วยว่าคุณจะเรียนอะไรมา  หากคุณไม่ชอบในสายวิชาที่คุณเรียน  คุณก้อเปลี่ยนไปเรียนอย่างอื่น ทำอย่างอื่น  ที่นี่เค้ามีให้เรียน รองรับทุกรูปแบบ ค้นหาตัวเอง ทำในสิ่งที่ใช่...ไม่จำเป็นว่าจบวิชาชีพหนึ่งจะต้องยึดมั่นกับมันไปตลอดชีวิต  หากไม่ใช่ ไม่ชอบ  ก้อมีทางออกให้  เปลี่ยนได้  และก้อเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่นี่...ไม่ต้องอาย..ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะคิดจะมองเราอย่างไร..คือเค้าไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ...

นอกจากนี้เค้าก้อมีห้องสมุดที่ช่วยในการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุดนี้ด้วย  ห้องสมุดเนี่ยดีสุดยอด เป็นของรัฐบาล  สมมติเราไป downtown เข้าห้องสมุดใหญ่ ไปยืมหนังสือมา เราไม่จำเป็นต้องกลับไปคืนที่ downtown เราคืนที่ห้องสมุดใกล้บ้านเราได้ ...สะดวกสบายสุดๆ...

การยืม...เราเข้าไปยืม on line ได้ โดยเราต้องรู้ชื่อหนังสือ และเราก้อ click เข้าไปยืม  เค้าก้อจะส่งมาให้สาขาที่เราบอกเราจะไปรับ  หาก waiting list ก้อต้องรอหน่อย...เค้าจะส่งเมลมาบอก แล้วเราก้อไปรับตามวันเวลาที่เค้าบอก....การยืมยืมได้สามสัปดาห์ การต่อการยืมได้อีก 6 สัปดาห์ หากหนังสือไม่ได้เป็นที่ต้องการมาก  ก้อยืมต่อได้ โดยสามารถต่อทาง on line เช่นกัน...work สุดๆ...ยุ่นชอบมากๆเลย เพราะยุ่นสอนพิเศษเลขที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อหนังสือเลย  เราสามารถเข้าไปหาหนังสือที่เราต้องการเพื่อมาสอนเด็กๆได้....ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมห้องสมุดที่นี่คนใช้บริการเยอะมากๆ....มันดีจริงๆอ่ะ....ทำให้เห็นเลยว่า ฝรั่งเค้าเน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเองแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ....

อยากเห็นสิ่งดีๆเหล่านี้เกิดในบ้านเราบ้าง  ไม่ต้องได้ทั้งหมดแบบฝรั่ง..แต่ขอให้มีอะไรดีๆที่ทำให้คนไทยได้มีโอกาสที่จะเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้ได้บ้าง.....




Sunday, January 15, 2012

Undercover Boss

คำว่า "undercover" มีความหมายตาม dictionary คือ Performed or occurring in secret หรือ Engaged or employed in spying or secret investigation ซึ่งพูดง่ายๆเป็นภาษาไทยก้อคือปลอมตัวนั่นเอง...

Undercover Boss เป็นรายการโทรทัศน์ของอเมริกา ซึ่งห่งเคยเปิดให้ดูครั้งนึง นอกจากห่งชอบแล้ว ยุ่นกับยีนก้อชอบรายการนี้มากเลย..

ลักษณะของรายการก้อเหมือนชื่อที่เค้าตั้งเลย... CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมกา เค้าจะปลอมตัวมาในรูปของพนักงานธรรมดาๆคนนึง...ปลอมได้เนียนมาก...ดูไม่ออกเลย...แต่ตอนหลังกลับไปเป็น CEO ก้อแบบดูดีมีชาติตระกูลเหมือนเดิมเลย...55555

แต่สิ่งที่บ้านเราดูแล้วชอบคือ เราได้เห็นชีวิตของคนที่นี่ ยุ่นหมายถึงทั้งเมกาและแคนาดา ชีวิตเค้าน่าจะคล้ายๆกัน ค่อนข้าง tough มากๆเลย  และเมื่อนายใหญ่ได้ลงมาสัมผัสของชีวิตคนทำงานเหล่านี้  ทำให้สะท้อนแง่คิดอะไรหลายๆอย่าง..และได้เห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น...

จริงๆแล้วยุ่นชอบทุกตอนที่ได้ดูเลย..แต่วันนี้จะขอเล่าเรื่องนึงเพื่อเป็นตัวอย่าง...

 CEO บริษัท Frontier Airline ของเมกาได้ปลอมตัวเป็นพนักงานใหม่เพื่อไปฝึกงานในแผนกต่างๆ..

แผนกแรก...พนักงานทำความสะอาดเครื่องบิน หลังจากเครื่องลงจอด และผู้โดยสารลงเครื่องหมดแล้ว..แต่เนื่องจากบริษัทนี้ มีเที่ยวการบินค่อนข้างมาก.วันละ 165 เที่ยว .ฉะนั้น..เครื่องที่ลงจอดนั้น  พนักงานทำความสะอาดมีเวลาเพียงเจ็ดนาทีในการ clean ทุกอย่าง และคนที่ทำความสะอาดมีเพียงคนเดียว..ไม่น่าเชื่อก้อต้องเชื่อ..เค้าจะทำงานเร็วมาก..แต่ฉากที่เราดูเนื่องจาก CEO มาทำด้วย จึงทำให้ทำงานได้ช้าลง...พนักงานก้อจะพูดเล่นหัวเราะ... Hurry! Hurry! Richard...แต่เค้าไม่ได้หัวเสียกับการสอนเพื่อนร่วมงานหรือที่เพื่อนร่วมงานทำงานช้าเลยนะ..

แผนกสอง...ไปทำงานตรงหน้า front ที่รับกระเป๋าผู้โดยสาร ชั่งน้ำหนัก..เสร็จก้อต้องไปข้างหลังเพื่อยกกระเป๋าออกจากเครื่องไปที่สายพาน  และตรงนี้ต้องนับกระเป๋าทุกใบแบบถูกต้องผิดพลาดไม่ได้เลย  หากพลาดแม้แต่ใบเดียว  หมายถึงเค้าจะ charge พนักงานคนนั้นเท่ากับจำนวนของผู้โดยสารบนเครื่องทั้งหมด...และงานนี้ CEO เราก้อลืมนับจำนวนกระเป๋า  จึงทำให้พนักงานหน้าซีดพอควร แต่สิ่งนึงที่ยุ่นเห็นเค้าไม่ว่าอ่ะ แปลกดี..แต่เค้าจะช่วยแก้ปัญหา  เพราะเวลามันมีน้อยมั้ง...เสร็จจากงานกระเป๋า ก้อต้องเข้าไปต้อนรับผู้โดยสารด้านหน้าอีก..ทั้งที่เหงื่อออกเต็มตัว..และอาจมีกลิ่นเหงื่อซึ่งหมายถึง image ของบริษัท

แผนกสาม..เป็น Flight Attendant ก้อต้องพยายามให้บริการลูกค้าตอนที่ลูกค้าขึ้นเครื่อง ช่วยยกกระเป๋าเก็บให้  และต้องพยายามให้ผู้โดยสารนั่งให้เรียบร้อยในเวลาที่จำกัด เพื่อเครื่องเรียบร้อยจะได้บินได้ ตรงนี้ CEO เราก้อไม่รู้เรื่อง ชวนผู้โดยสารคุย จนทำให้เพื่อนร่วมงานไม่ happy เท่าไร เพราะงานไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด..ซึ่งตัว CEO เมื่อรู้ตัวก้อรู้สึกแย่..และเค้าต้องเดินบริการลูกค้าด้วยอาหารน้ำดื่ม เหมือนเวลาเราขึ้นเครื่องแล้วพวก air hostess มาบริการพวกเรา...ซึ่งพวกนี้จะมีเวลากำหนด ว่าต้องเรียบร้อยภายในกี่นาที..



แผนกสี่..ต้องไปเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่ดูดอุจจาระ ปัสสาวะของเครื่องบิน...ก้อเหมือนกับพนักงานทำความสะอาด วันนึงเที่ยวบิน 160 กว่าเที่ยว...ก้อดูดไป...เค้าจะมีท่อต้อเข้ากับด้านล่างของเครื่อง และหมุนวาล์วเปิดปิด..อันนึงเป็นอึ อีกอันเป็นฉี่  หากหมุนไม่ถูกหลัก ทุกสิ่งอย่างจะกระจายโดนพนักงานคนที่ทำ...ซึ่ง CEO เราก้อมือใหม่หัดขับ จึงมีการผิดพลาด..น้ำฉี่กระจายใส่ตัวเค้าเต็มไปหมด..


สิ่งหนึ่งที่ยุ่นได้เรียนรู้แน่ๆจากรายการนี้คือการทำงานของบริษัท airline เอย โรงแรมเอย resort เอย หรือบริษัทต่างๆที่มาเข้ารายการนี้ ทำให้เรามีความรู้ในหลายๆอุตสาหกรรม และเข้าใจว่าเบื้องหลังการถ่ายทำ..พนักงานเหล่านี้เค้าก้อมีความลำบากไม่น้อยเหมือนกัน...

และสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ยุ่นได้เรียนรู้ก้อคือชีวิตมนุษย์...ซึ่งระหว่างที่ CEO ได้ทำงานในแต่ละงานที่เค้าปลอมตัวมา  งานเหล่านี้เป็นงานในระดับล่าง ซึ่งบางครั้งพนักงานเหล่านี้ได้ถูกละเลย ไม่สนใจโดยบริษัทเป็นระยะเวลานานแล้ว...ช่วงที่ CEO ทำงานกับพนักงานเหล่านี้ เค้าได้พยายามสอบถามข้อมูลต่างๆ..รวมทั้งได้เรียนรู้ชีวิตของพนักงานแต่ละชีวิต...เค้าเหล่านั้นต่างมีชีวิตที่ลำบาก  และตรากตรำทำงานส่วนมากก้อเพื่อลูกและครอบครัว...บางคนก้อมีปัญหาเรื่องสุขภาพ...บางคนทำงานจนไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว...ทำให้เราได้เห็นอีกหลายๆชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้..และให้คิดว่า ชีวิตเราก้อยังโชคดีกว่าอีกหลายๆชีวิตบนโลกใบนี้...

หลังจากที่ CEO ได้ลงไปเจาะในสามสี่จุดนี้ ก้อทำให้เค้าเข้าใจในงานของพนักงานเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนบริษัทอาจไม่เคยคิดถึงเรื่องความปลอดภัยของพนักงาน  หรือความลำบากในการทำงาน...และตอนนี้เพื่อนร่วมงาน flight attendant ได้บ่นกับ CEO ในตอน break ทำนองว่าเค้าไม่ได้คาดหวังจากบริษัทว่าจะให้เงินเค้ามากขึ้น แต่เค้ารู้สึกเสียใจที่บริษัทได้ตัดเงินพวกพนักงาน 10% เพื่อลดค่าใช้จ่าย...ซึ่งจุดนี้ทำให้ CEO หยุดคิด เพราะเค้า 10% ที่เค้าตัดเนี่ย มันอาจไม่กระทบต่อผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหรอก...แต่สำหรับพนักงานระดับล่างที่ทำงานแบบหาเช้ากินค่ำแบบนี้  มันมีผลมาก...และพนักงานอีกคนที่ทำความสะอาดในเรื่องการดูดอึดูดฉี่ ก้อ complain เรื่องเงินที่บริษัทตัดไปเช่นกัน

หลังจากจบการปลอมตัว CEO ก้อเข้าที่ประชุมใหญ่ และได้พูดถึงปัญหาต่างๆที่บริษัทน่าจะต้องแก้ไขและช่วยพนักงาน  และรู้สึกซาบซึ้งกับการทำงานหนักของพนักงานระดับล่างอย่างไร..

และเค้าก้อเรียกพนักงานทั้งสี่ที่เค้าได้เจอเข้ามาคุย และมีการ promote ตามความเหมาะสม  บางคน CEO ก้อได้ให้เงินส่วนตัวช่วยเหลือครอบครัวนั้นๆ...หรือให้ทุนการศึกษาบ้าง หรือให้ไป train ต่อ  หรือให้ไปพักร้อนกับครอบครัว...ตรงนี้เนี่ย ยุ่นว่าเป็นอะไรที่ประทับใจยุ่นมาก...คือเค้าเห็นคุณค่าของพนักงานนั้นๆ...ซึ่งบางคนทำงานหนักแบบนี้มาเป็น 10 ปี...ยุ่นว่ามันเป็นรางวัลชีวิต และการทำแบบนี้ พนักงานจะรักบริษัท รู้สึกบริษัทไม่ทอดทิ้งเค้า...และเค้าจะยิ่งทุ่มเทในการทำงานมากขึ้น...

ยุ่นจึงแนะนำรายการนี้สุดๆเลย และหากต้องให้คะแนนก้อขอให้เต็มร้อยเลย...