Tuesday, March 5, 2013

หยุดคิดเพราะลูก 1

เรื่องที่ยุ่นจะเล่าต่อไปนี้  เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดกับยุ่น  หลายครั้งได้ทำให้ยุ่นต้องกลับมามองตัวเองใหม่ วิเคราะห์ และคิดว่าหลายๆความคิดเห็นของเราอาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป...นอกจากนี้การเรียนรู้ไม่ได้จำเป็นต้องได้จากผู้ที่มีประสบการณ์หรืออายุมากกว่าเรา  บางครั้งเด็ก หรือคนที่อาจมีประสบการณ์น้อยกว่าเราก้อจริง แต่เค้าอาจมีมุมคิดที่แตกต่าง สร้างสรรค์ได้  ยุ่นว่าอยู่ที่เราเลือกที่จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับใช้มากกว่า.....

เหตุการณ์แรกที่กระทบความรู้สึกลูก...และทำให้ยุ่นทั้งฝังใจและเสียใจจนถึงทุกวันนี้  :  จำได้ว่าตอนยีนเล็กๆ ช่วงอนุบาล ตอนนั้นยุ่นเองก้อเป็นผู้ปกครองที่มีความคิดอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนแนวสาธิต เรียกว่าตามกระแสเลยหละ... ก้อวางแผนเลยนะ เอาตั้งแต่อนุบาลเลย ลองเข้าสาธิตประสานมิตรอนุบาลสาม  แต่เนื่องจากการไปสอบเข้ามีความยากในระดับหนึ่ง ฉะนั้น เราจึงต้องเตรียมความพร้อมลูกเรา...

ก้อเอาเลย เหมือนผู้ปกครองทั่วไป หาที่เรียนพิเศษ โดยคำแนะนำของเพื่อนที่เคยให้ลูกไปเรียนตรงโน้นตรงนี้แล้วได้ผล  ทุกวันเสาร์แต่เช้า ขับรถจากศรีนครินทร์เพื่อจะมาเรียนแถวอุรุพงษ์ ทั้งวันเสาร์และทุกวันเสาร์เป็นเวลาหนึ่งปี  เพียงเพื่ออยากให้ลูกได้ลองสอบเข้าสาธิตประสานมิตร  ยุ่นว่านะยุ่นกำลังทำตามความต้องการของตัวเองมากกว่า แต่ยุ่นบอกตัวเองว่าเพื่อลูกจะได้สิ่งที่ดีกว่า...ยุ่นต้องทำให้ดีที่สุด.

น้องยีนไปเรียนพิเศษ 1 ปี แถมยังใกล้ชิดกับ พี่ซันน้องข้างบ้านที่เรียนประสานมิตร  ยีนมีความอยากเข้าประสานมิตรมากตามประสาเด็ก และเวลาสอบเด็กแทบทุกคนแหละ...ก้อคิดว่าเค้าทำได้  เค้าน่าจะเข้าได้  คือเค้ามีความมุ่งหวังเต็มร้อย...ปรากฎวันที่ประกาศผล  ไม่มีชื่อยีน  สำหรับพ่อกะแม่ ก้อผิดหวังนิดหน่อย เพราะเรารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย....แต่หัวใจลูกเราหละ  เราไม่เคยคิดเลยว่าผลจะเป็นขนาดนี้..  วันนั้น...ยุ่นสะเทือนใจมาก ที่เห็นน้องยีนนั่งซึม นิ่ง ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่นั่งแบบนั้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมงในสนามโรงเรียนสาธิตประสานมิตร   ไม่ยอมไปไหน....บทเรียนวันนั้น ยุ่นรู้เลยว่า ยุ่นเดินผิดทางแล้ว...เพราะนี่คือการทำร้ายหัวใจของลูกเรา ซึ่งเค้าคือเด็กวัย 5 ขวบ เพียงแค่สนองความต้องการของตัวยุ่นเอง


เราสองคนพ่อแม่ทั้งกอดลูก และพยายามอธิบายให้ลูกเข้าใจ แต่ยุ่นรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะกระทบความรู้สึกลูกค่อนข้างแรง.  อย่างไรก้อตาม เราหวังว่า... เวลาจะค่อยๆละลายความรู้สึกเค้า..  จากวันนั้น ยีนก้อเรียนอนุบาล 3 ที่พัสวีต่อ และยุ่นก้อหาโรงเรียนเอกชนซึ่งไม่ต้องมีการสอบเข้าตอน ป.1  และอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน  เพราะยุ่นเปลี่ยนมุมมองว่าเด็กเล็กๆไม่จำเป็นต้องเข้าสู่การแข่งขันเร็วขนาดนี้   และย้อนนึกถึงตอนตัวเองตอนเด็กๆ  กว่าจะได้สอบแข่งขันเข้าโรงเรียน ก้อโน้นเลย ม.ศ.3 เข้าเตรียม ม.ศ.4...


ยีนก้อเรียนที่โรงเรียนพิพัฒนา  เห็นลูกมีความสุข และอยากไปเรียนหนังสือทุกวัน ตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม6  ยุ่นมีความสุขมาก  ยีนรักโรงเรียนนี้มาก  ยุ่นก้อลองสังเกตุการณ์และถามลูกนะว่าทำไม ก้อน่าจะสรุปได้ว่า โรงเรียนพิพัฒนาก้อเป็นแนวสาธิตเช่นกัน  การเรียนการสอนไม่ได้เน้นเนื้อหาวิชาการหนักๆ มีกิจกรรมให้เด็กได้สนุกสนานตามวัยเด็ก.. หากคุณเดินเข้าไปในโรงเรียนเด็กๆจะค่อนข้างร่าเริง สดใส วิ่งเล่นสมวัย  ครูมีความเป็นกันเองกับเด็กๆ  ยุ่นคิดว่า มันคงเป็นธรรมชาติที่เด็กควรจะเป็น  ยีนก้อเลยชอบ และไม่เคยบ่นเลยนะว่าไม่อยากไปโรงเรียนแม้แต่วันเดียว...


แต่ความสุขอย่างนี้ไม่สามารถมีตลอดไป เพราะโรงเรียนมีแค่ ป.6 ฉะนั้นเด็กต้องเข้าสู่ความจริงที่อาจจะโหดร้ายอีกครั้ง คือการสอบแข่งขัน เพื่อเรียนต่อชั้น ม.1    เพราะแทบจะทุกโรงเรียนที่เราจะเข้า  จะต้องมีการสอบแข่งขัน....ยุ่นเองช่วงนั้นสนใจโรงเรียนโยธินบูรณะภาคภาษาอังกฤษ   ช่วงนั้นยุ่นทำคุมองแล้ว และได้คุยกับป้อม กับพี่นุชซึ่งลูกก้ออยู่เรียนโรงเรียนนี้  ยุ่นชอบและอยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษด้วย  แต่โรงเรียนนี้ต้องสอบเข้า 2 วิชาคือเลขกับอังกฤษ  ซึ่งค่อนข้างยากในระดับหนึ่ง  ป้อมกะพี่นุชก้อแนะนำครูที่สอนพิเศษแนวเข้าโรงเรียนนี้ให้...งานนี้มาอีกแล้ว ระลอกสองในชีวิตลูกเรา....


การเรียนพิเศษต้องไปเรียนวันเสาร์ ซึ่งยุ่นเปิดโรงเรียนคุมอง  ยุ่นไม่สามารถไปส่งลูกได้  จึงเป็นหน้าที่ของห่ง  แต่เนื่องจากมันอยู่ไกลจากบ้านเรามาก คือเราอยู่ศรีนครินทร์ แต่ที่เรียนอยู่แถววิภาวดีรังสิต  งานนี้ story คล้ายเดิม แต่หนักกว่าเพราะวันเสาร์รถติดมาก....และยีนก้อบอกไม่อยากไปเรียน ขอเรียนกับครูเลข อ.อุทัยชื่อดังของพิพัฒนา  ยุ่นก้อเลยตามใจลูก  เพราะไม่อยากบังคับลูก...


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือยีนเรียนแล้ว ยุ่นรู้สึกว่าเค้าไม่พัฒนา ยุ่นถามลูกว่าทำไมครูไม่ให้แบบฝึกหัด ยีนบอกอาจารย์ให้ แต่เราจะทำหรือไม่ทำก้อได้ เค้าไม่บังคับ  ยีนไม่อยากทำ เพราะยีนเข้าใจและทำได้  ยุ่นก้อรู้สึกไม่ happy เท่าไร...แต่ลูกตอนอยู่ป.6 เนี่ย เริ่มเข้าวัยรุ่นเนอะ...ดื้อสุดๆเหมือนกัน การจะใช้ไม้แข็งเนี่ย คงลำบากพอดู  ยุ่นก้อต้องคิดแผนว่าจะจัดการกับลูกตัวเองอย่างไรดี....พ่อแม่จะเครียดเป็นช่วงๆ...ตามการสอบเข้าโรงเรียน หรือเข้ามหาลัยของลูก...^^


ช่วงปิดเทอมตุลาคมตอนยีนเรียนป.6  ยุ่นก้อบอกเค้าว่ายีนก้อเรียนพิเศษกับอ.อุทัยมาระยะหนึ่งแล้ว แม่ก้ออยากดูว่าผลเป็นอย่างไร หากยีนทำข้อสอบเข้า ม.1 ชุดนี้ที่แม่จัดให้ได้ 60% เนี่ย แม่ก้อจะให้ยีนเรียนกับอาจารย์ต่อไปในเทอมสอง แต่หากได้คะแนนต่ำกว่านั้น  ยีนจะไม่ได้เรียนพิเศษกับอาจารย์ใดๆ  แต่ต้องนั่งทำแบบฝึกหัดที่แม่จัดให้ทุกวัน จนกว่าจะถึงวันสอบแข่งขัน  เพราะแม่เชื่อว่าหากเรามีความพยายามด้วยตนเอง ศึกษาเอง เราก้อสามารถทำได้เช่นกัน ไม่ต้องพึ่งการเรียนพิเศษ...


และครั้งนี้ ยุ่นเองอยากพิสูจน์ความเชื่อของตัวเองที่ว่า หากเราเรียนเอง ฝึกเอง ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ เราก้อทำได้    เพราะลึกๆยุ่นไม่เชื่อว่าแค่การเรียนพิเศษจะทำให้เด็กสอบเข้าได้  เด็กเองต้องมีความพยายาม มุมั่น ศึกษาเองด้วย....นี่คือกุญแจสำคัญ...


ยีนตกลง เพราะเค้ามั่นใจว่าเค้าทำได้แน่นอนแค่ 60% ชิวชิว ตอนนั้นเค้าเรียนคุมองเกือบจบระดับ I แล้ว เทียบกับโรงเรียนก้อม. 3 - ม.4   แล้วยังเรียนเลขโจทย์กับอาจารย์อุทัยอีก...สบายมาก  แม่แพ้แน่...55555


ยุ่นให้ลูกทำข้อสอบแค่ 20 ข้อแรกจาก 50 ข้อ  และบอกเค้าด้วยว่ามันไม่ได้ยากมาก.....งานนี้...  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะยีนไม่เคยฝึกแนวข้อสอบเข้าม. 1....ฉะนั้นเมื่อเจอข้อสอบ ต่อให้คุณทำเลขคุมองไปถึงมอสาม หรือเรียนเลขโจทย์โดยการมองครูแก้ปัญหาโจทย์บนกระดาน  มันไม่ได้ทำให้คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรอก..ยีนทำได้แค่ 4-5 ข้อใน 20 ข้อ...


ยีนตกใจในผลงานของตัวเองมาก...ยุ่นต้องการให้เค้าได้ตระหนักด้วยตัวเองว่าเค้าอยู่ตรงไหน และเค้าควรยอมรับมันจากการกระทำของเค้าเอง....ได้ผล เค้าตกลงเข้าระบบที่ยุ่นบอกเค้า..คือต้องทำแบบฝึกหัดทุกวัน ช่วงปิดเทอมหนึ่งเดือน  เลข วันละ 50 ข้อ ภาษาอังกฤษวันละ 100 ข้อ  จันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์สอบประจำสัปดาห์ทั้งเลข และอังกฤษ หยุดวันอาทิตย์... และพอเปิดเทอม  ก้อจะให้ทำในวันที่ยีนมีการบ้านไม่มาก แต่ต้องทำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เหมือนเดิม เลข 50 อังกฤษ 100  .....เรียกว่าเป็นเรื่องเป็นราวเลย..งานนี้ 555



ถามว่า..ช่วงอาทิตย์แรกมีปัญหามั้ย  มีมากๆเลย  ยีนงอแง ต่อต้าน แต่เราก้อกลับไปที่กติกาที่เราตกลงกัน   และแม้ว่าเค้าเองจะหงุดหงิด แต่เค้าก้อต้องทำ  คิดดูจากคนไม่เคยทำ ต้องมาทำเลขวันละ 50 ข้อ (ส่วนใหญ่เป็นโจทย์ ไม่ได้แบบคุมอง)  ทำภาษาอังกฤษ 100 ข้อ มันก้อไม่ง่าย แต่ยุ่นใช้หลักการที่ว่า เลือกข้อสอบหรือแบบฝึกหัดง่ายๆให้เค้าทำก่อน  เพื่อให้เค้าเกิดการปรับตัว และช่วงแรก จะสอนเค้าด้วยว่า หากทำเสร็จแล้ว การตรวจคำตอบ และวิธีที่จะเรียนเองอย่างไร ไม่ใช่มาถามแม่ทุกข้อที่ผิด  ควรจะหัดดูเองก่อนว่าเฉลยเค้ามีแนวคิดอย่างไร  และลองทำความเข้าใจเองก่อน  หากไม่ได้จึงค่อยมาถามแม่  เช่นหากทำผิด 10 ข้อ ควรมีคำถามถามแม่ประมาณ 3-4 ข้อ ไม่ใช่มาทั้งหมด...


ยุ่นฝึกเค้าจริงจังในอาทิตย์แรก  เหนื่อยมาก แต่ยุ่นต้องอดทน เพราะยุ่นเองไม่สามารถนั่งดูแลเค้าได้ทุกวัน  และเราต้องยอมรับสัจจธรรมที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน    ยิ่งวันเสาร์ ยีนต้องนั่งทำข้อสอบสองวิชาเอง เพราะยุ่นไปสอนคุมอง  คือห่งจะไม่ยุ่งเรื่องนี้   ไม่บังคับ เพราะเค้าเชื่อว่าเมื่อลูกโต  ลูกจะรับผิดชอบเองได้  แต่ยุ่นเชื่อว่าเด็กไม่สามารถรับผิดชอบเองได้หากเราไม่ฝึกเค้า...( อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ  ความคิดยังแตกต่างเลย )

อาทิตย์แรก การทำข้อสอบของยีน เค้าจะผิดค่อนข้างมาก...แต่ยุ่นจะบอกเค้าว่าไม่เป็นไร       เป็นเรื่องธรรมดา  แต่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา และแก้ไขให้ถูกจุด...ผลสอบวันเสาร์ คะแนนกลางๆ ยุ่นรู้ว่ายีนไม่ happy เท่าไร มีบ่นว่าไหนแม่บอกจะดีไง  ยุ่นบอกว่า นี่มันเพิ่งอาทิตย์เดียว ยังสรุปไม่ได้

เข้าอาทิตย์ที่สองและสาม คะแนนยีนค่อยๆดีขึ้นตามลำดับแบบเค้าเองเริ่มรับรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องบอกว่าแบบมีนัยสำคัญเลยแหละ...และการสอบทุกๆวันเสาร์จะเป็นตัวบ่งชี้ เพราะข้อสอบจะยากกว่าแบบฝึกหัดที่ทำในวันธรรมดา  และในแต่ละอาทิตย์ที่ผ่านไป  ความยากของแบบฝึกหัดจะค่อยๆยากขึ้น ไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม....


ยีนทำจนกระทั่ง เลข 50 ข้อเค้าสามารถทำได้คะแนนประมาณ 48-50 และภาษาอังกฤษ หลายฉบับได้ 100 เต็ม...หากเป็นเราเอง จากทีแรกคะแนนไม่ดี  และเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ เราเองก้อคงเริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และก้ออดภูมิใจไม่ได้... ยีนเองก้อมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากที่บอก....ยุ่นยังจำได้ชัดเจนในความทรงจำคือ วันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคมปีนั้น  ขณะที่ยุ่นกำลังสอนคุมอง  ปกติยีนไม่เคยโทรมาหายุ่นเลยนะ  แต่เสาร์นั้น หลังจากเค้าทำข้อสอบเสร็จ  เค้าโทรมาหายุ่นและบอกว่า  แม่ ทำไมวันนี้ข้อสอบถึงยากมากอ่ะ ทั้งเลขทั้งอังกฤษเลย....

ยุ่นก้อบอกเค้าว่า ก้อแบบอาทิตย์สุดท้ายแล้ว แม่ก้อต้องปล่อยหมัดเด็ดสิ ลูก...แล้วเป็นไงหละ ได้คะแนนเท่าไร  ไม่ต้องกังวลคับ..ทำให้ดีที่สุด...ยีนก้อหัวเราะชอบใจและบอกว่า เลขยีนได้ 49 คะแนน อังกฤษได้ 100 เต็มอ่ะแม่.....55555  แล้วยีนก้อเข้าใจข้อที่ยีนผิดแล้ว ว่าเพราะอะไร   เสียงหัวเราะที่ส่งมาตามสายบ่งบอกถึงความดีใจ ภาคภูมิใจในตัวเอง  และมีความสุข ...ยุ่นก้อดีใจนะ และก้อชมเค้า พร้อมสำทับว่า  ยีนทำได้ดีมาก เชื่อหรือยังว่า ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง....


และเปิดเทอมสองของป.6  ยีนไม่ได้เรียนพิเศษกับอ.อุทัยต่อ  และไม่ได้เรียนอะไรกับครูคนไหนเลย... แต่สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นคือ ยีนได้คะแนนเลข top กับรอง top ตลอด บางครั้งไม่ใช่ของห้องนะ ของชั้นเรียน ทั้งๆตอนเรียนพิเศษกับอ.อุทัยเนี่ย ไม่เคยได้เลย  แบบคะแนนจะอยู่ประมาณ 40-42 ใน 50 ข้อ แต่เทอม 2 ประมาณ 48-50 ใน 50 ข้อ   ยิ่งภาษาอังกฤษเนี่ย เต็มตลอดเลย...

และสุดท้าย...วันที่เค้าสอบเข้าโยธินบูรณะ  เค้าก้อสามารถสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ด้วยตัวเค้าเอง...และอยู่ในลำดับที่ไม่เลว.....จากความพยายามของตัวเอง...ช่วงนั้น ยุ่นเองก้อเครียดตลอดเลยนะ  เพราะเราเลือกที่จะไม่ให้เค้าเรียนพิเศษ  เพื่อจะพิสูจน์ความเชื่อของเรา และสอนบางสิ่งบางอย่างกับลูก  แต่ทุกอย่างมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง.....หรือตั้งใจไว้   และการผิดหวังในครั้งนี้   ยุ่นก้อไม่แน่ใจว่าจะทำลายศรัทธาของลูกและตัวยุ่นเองหรือไม่.....


อย่างไรก้อตาม...ยุ่นเอง..รู้สึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้  เพราะมันยากที่จะทำให้ยีนเชื่อว่าการไม่เรียนพิเศษเลย และศึกษาเองจะทำให้ยีนสอบได้  ในขณะที่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเค้า  เพื่อนเค้ามีแต่การเรียนพิเศษทั้งนั้น....อย่างเช่นตอนที่เค้าเข้าไปเรียนที่โยธิน  เค้าก้อมาเล่าให้ยุ่นฟังว่า แม่ ...พวกเพื่อนๆยีนทุกคนเลยนะ แม่..ทุกคน เค้าเรียนพิเศษหมดเพื่อจะสอบเข้าโยธิน และตอนนี้ ( ขณะที่เรียนที่โยธิน) เค้าก้อเรียนพิเศษเหมือนกัน ยีนอยากไปเรียนบ้างอ่ะ แม่....


ยุ่นย้อนถามยีนว่า ทำไมถึงอยากเรียน เรียนเพื่ออะไร  ในเมื่อยีนก้อรู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรแค่ไหน  ยุ่นบอกเค้าว่าลองไปนั่งคิดให้ดีๆก่อนว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร  แล้วค่อยมาคุยกัน  และสุดท้ายเค้าก้อตัดสินใจที่จะไม่เรียนพิเศษ...

ถามว่า ขณะเรียนที่โยธิน ยีนคะแนนดีมั้ย ก้อคงตอบว่าปานกลาง เพราะตัวเค้าเองความสนใจไม่ได้อยู่ในการเรียนเต็มที่ ไปสนใจด้านอื่นๆตามประสาเด็กวัยรุ่น ฉะนั้น แม้ว่ายีนจะเรียนพิเศษ   ยุ่นก้อไม่คิดว่ามันจะเป้นการตอบโจทย์ข้อนี้อย่างแน่นอน....

เรื่องราวที่เล่าสู่กันฟังนี้ ยุ่นไม่ได้หมายว่าการเรียนพิเศษไม่ดี เพียงแต่ว่ายุ่นคิดว่ามันไม่เหมาะกับลุกยุ่น และตัวยุ่นเอง  ตอนอยู่ มศ 5 ยุ่นเคยเรียนพิเศษวิชาฟิสิกส์เช่นกัน  แต่ยุ่นก้อยังคงตกในวิชานี้มาจนถึงมหาลัย...ตกแบบแรงด้วย..5555   ยุ่นจึงไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้  แต่สำหรับเด็กคนอื่น...อาจจะสามารถรับสิ่งที่ครูพิเศษสอนได้ค่อนข้างดี และนำมาปรับใช้ได้  ฉะนั้นจึงแล้วแต่มุมมองและการนำไปปรับใช้ของแต่ละคน...ซึ่งแตกต่างกันไป...







Sunday, March 3, 2013

ห้าปีที่เปลี่ยนไป episode 4

เรื่องสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาประเทศชาติ  นั่นคือระบบการศึกษา....

ทุกเช้า ยุ่นกะห่งจะนั่งจิบกาแฟในห้องนั่งเล่น  และมองออกไปนอกหน้าต่าง  มองต้น Maple บอกฤดู และภาพที่เราจะเห็นเป็นประจำทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ก้อคือภาพเด็กๆเดินไปโรงเรียน บ้างก้อเดินไปเอง บ้างก้อเดินมาพร้อมกับพ่อแม่  เด็กทุกคนจะสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง และมือข้างหนึ่งถือกระเป๋า Lunchbox นี่คือภาพคุ้นตา เป็นธรรมชาติ  น่ารัก สดใสในยามเช้าที่ทำให้กาแฟของเรามีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น  ^^


เด็กนักเรียนร้อยละ 90 จะเรียนโรงเรียนในโซนที่ตนอยู่ คือเรียนใกล้บ้านแบบเดินไปประมาณ ไม่เกิน 20 นาทีก้อถึงโรงเรียน  Apartment ที่ยุ่นอยู่จะติดกับ Tisdall Park และถัดไปก้อเป็น Elementary School  และเด็กๆที่อยู่แถวนี้ต้องเดินผ่านหน้าห้องเราไปโรงเรียนทุกเช้า...และตอนเย็นก้อเดินผ่านเพื่อกลับบ้านทุกเย็น...


ยุ่นชอบมากๆเลย เพราะน้องยีนก้อเดินไป Eric Hamber Secondary School ประมาณ 15-20 นาทีทุกวันเช่นกัน  เมื่อเทียบกับตอนอยู่ไทย  น้องยีนต้องตื่นตี 5 ครึ่ง กินข้าวอาบน้ำและต้องออกจากบ้านก่อน 6 โมง เพื่อไปเรียนโยธินบูรณะ เพื่อไม่ให้เจอกับ Rush hour รถติดมากมาย พอตอนเย็นกลับบ้านก้อแบบทุลักทุเล กว่าจะถึงบ้านก้อเกือบ 3 ทุ่ม   แล้วก้อสลบ และเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรเลย    ไม่น่าเชื่อเลยว่า.... เพียงแค่เด็กเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเนี่ย จะทำให้ชีวิตในครอบครัวมีความสุข  ทุกคนมีสุขภาพจิตที่ดี  การจราจรไม่หนาแน่น  และสภาพแวดล้อมไม่เป็นมลพิษ


ที่นี่ เด็กเล็กหมายถึง Elementary เข้าเรียน 9 โมง Secondary เข้าเรียน 8.30 ฉะนั้น ยีนตื่นประมาณ 7.50 -8.00 จัดการตัวเองและเดินไปเรียนสบายๆ  เลิกเรียนประมาณ 3.30-4.00 ถึงบ้านก้อไม่เคยเกิน 4ครึ่ง หากไม่ติดกิจกรรมกับเพื่อน.  และสิ่งที่สำคัญคือรถไม่ติด  บริเวณหน้าโรงเรียนตอนเช้ากับตอนเย็นก้อมีรถบ้าง แต่ไม่หนาแน่นมาก และอากาศก้อสดชื่น  ไม่มีควันพิษ  จึงทำให้อากาศในเมืองค่อนข้างสะอาด.


โรงเรียนที่เด็กที่นี่เรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล  ซึ่งยุ่นว่าแต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันมาก  ซึ่งบ้านเรามาตรฐานของโรงเรียนจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก   นอกจากนี้ก้อมี Private School นะ หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเรียน ก้อต้องเสียสตางค์เอง  แต่หากเรียนของรัฐ ก้อเรียนฟรีจนถึงอายุ 19 ปี     หลัง 19 แล้วยังเรียนไม่จบ High school  ก้อสามารถไปเรียนในโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ หรือ Adult School ได้ โดยเสียค่าเรียนวิชาละ 20เหรียญซึ่งก้อยังถูกมาก...และการสอนก้อมีคุณภาพเหมือนกับโรงเรียนของรัฐทั่วไป...


คราวนี้เรามาดูระบบการเรียนการสอนของที่นี่ว่าแตกต่างจากบ้านเราอย่างไร....

แต่ก่อนตอนเด็กๆ ก้อประมาณตอนอยู่เตรียม 4-5 หรือมหาลัยนะ  ยุ่นมักได้ยินคนพูดว่าคนที่เรียนเมืองไทยไม่ได้มักไปเรียนเมืองนอก  หรือบ้างก้อบอกว่าเรียนเมืองนอกไม่ยาก ง่าย  วันนี้เมื่อได้มีโอกาสมาอยู่ที่แคนาดา   ยุ่นตระหนักว่ามันไม่ใช่อย่างที่เค้าพูดกัน...คือมันไม่ใช่ยากหรือง่าย  แต่มันอยู่ที่ระบบของเรากับของทางตะวันตกแตกต่างกันมาก...ฉะนั้นการที่จะสรุปว่าการเรียนเมืองนอกง่ายเนี่ย ยุ่นว่าคงไม่ถูกต้องเท่าไรนัก.....


จำได้ตอนที่ยุ่นไปเรียนภาษาอังกฤษใน Adult School  ยุ่นจะรู้สึกไม่คุ้นเคยในช่วงแรก เพราะการเรียนการสอนจะเป็นลักษณะให้แสดงความคิดเห็นกันสดๆในห้องเลย  debate กันว่าทำไม เพราะอะไร ยังไง        พูดตรงๆนะ ยุ่นอึดอัดมากเลย  คือเวลาคำถามมาถึงยุ่นเนี่ย  ยุ่นตอบไม่ถูกอ่ะ คือต้องขอเวลาตั้งหลักนิดนึงอ่ะ   เพราะบ้านเราสอนแนวแบบคล้ายๆรับคำสั่งอ่ะ คือป้อนข้าวเข้าปากเลย บางครั้งก่อนป้อนยังเคี้ยวให้อีก  เราก้อแบบกลืนเลย   ไม่ได้ถูกฝึกให้สังเคราะห์ หรือวิเคราะห์ข้อมูล  และเวลาเรียนก้อไม่ค่อยได้มีข้อสงสัยอะไรเท่าไร  คือครูว่าไงก้อว่าตาม...ประมาณนั้น...555555 หรือหากมีก้อจะเก็บไว้  ไม่อยากถามเพราะไม่เห็นเพื่อนๆในห้องจะสงสัยเลย  ไม่รู้หากเราสงสัยเราจะผิดปกติหรือเปล่า....



การเรียนที่นี่  ยกตัวอย่างสมมติเรียนเรื่อง Short story เรื่องหนึ่ง มันก้อจะมี theme ของเรื่อง plot ของเรื่อง ตัวละครต่างๆ  ครูก้อจะมีคำถามนำเพื่อให้เราคิดต่อว่าตัวละครเหล่านี้เป็นอย่างไร การกระทำของแต่ละตัวละครบ่งบอกอะไร  คือครูไม่บอกเราโดยตรงนะ  แต่เค้าจะให้เรา quote ประโยคบางประโยคขึ้นมา และให้เราวิเคราะห์ประโยคนั้นเพื่อตอบโจทย์ของเค้า...คืออาจมีคนไทยหรือนักเรียนไทยบางคนอาจเคยเรียนแนววิเคราะห์แบบนี้มาก้อได้..... แต่ยุ่นไม่เคยเรียนแบบนี้มาเลย  จึงทำให้ยุ่นรู้สึกว่ายาก และอึดอัดมากในช่วงแรก  แต่ขณะเดียวกันยุ่นก้อรู้สึกท้าทายนะ  มันต้องลองดูสักตั้ง  และในที่สุด ก้อพอทำได้นะ และหลายครั้งทำให้ยุ่นเข้าใจและชอบเนื้อหาหลายๆเรื่องที่เรียน  นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการต่อยอดทางความคิด วิเคราะห์ พิจารณาขอมูลต่างๆด้วยสายตาที่กว้างขึ้น และมีเหตุมีผล....


อีกอย่างหนึ่งที่ยุ่นชอบคือ เวลา debate ใน topic นึง จะเป็นอะไรที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเอง โดยหาเหตุผลมา support ความคิดของเรา  ครูจะเป็นคนกลางที่พยายามให้เด็กหรือผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงการเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น...บางครั้งครูคิดไม่เหมือนนักเรียน  ครูก้อถามว่านักเรียนคิดอย่างไร ทำไม  และครูเองก้อรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของนักเรียนเช่นกัน  และคิดดูสิ  class ที่ยุ่นไปเรียนอ่ะ  มีทั้งคนจีน แขก ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รัสเซีย รวมยุ่นก้อไทยแลนด์  แต่ละคนก้ออายุอานาม 40-60 ปี  มีความเชื่อมั่นในตนเองระดับหนึ่ง  บางครั้งในหัวข้อหนึ่งเนี่ย  มีความคิดหลากหลายมาก มุมมองแตกต่างมากมาย เพราะเรามาจากคนละวัฒนธรรม ต่างพื้นฐาน ฉะนั้นเป็นธรรมดาที่มองต่างมุม    แต่บรรยากาศในการแสดงความคิดเห็นนั้น   เต็มไปด้วยสีสัน  ความสนุก  ยกเหตุผลมาคุยกัน  เคารพซึ่งกันและกัน   สิ่งนี้ทำให้ยุ่นเรียนรู้วิธีคิดของคนต่างชาติต่างภาษากับเรา   และตระหนักว่าการคิดต่างเนี่ย มันมีเหตุผลมากมายจริงๆเลยนะเนี่ย !!!

 เวลาสอบ..ข้อสอบที่นี่ ไม่ค่อยเน้น multiple choice นะ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวแสดงความคิดเห็น คือยุ่นเรียนแค่ English ใช่มะ  ข้อสอบก้อเป็น แบบมี short story มาให้อ่านกันสดสด เสร็จก้อถามคำถามเปิดเพื่อให้ผู้อ่านวิเคราะห์และตอบโจทย์ที่เค้ามีมาให้  จะมีคำถามเปิดมากมาย เป็นสิบข้อ เราก้อเลือกสักข้อ และเขียน Essay แสดงความคิดเห็นพร้อมเหตุผลประกอบความคิดเห็น....


แม้กระทั่งโจทย์เลข ก้อเป็นแนวต้องแสดงความคิดเห็นวิเคราะห์เช่นกัน  ยกตัวอย่าง :
Why do some absolute value equations produce extraneous roots when solved algebraically? How are these roots created in the algebraic process if they are not actual solutions of the equation?


A baker gets his muffin boxes from the United States. The tallest muffins he bakes are 11 cm.
Estimate the height of the smallest box in which the muffins will fit.


Two isosceles triangles have the same height. The slopes of the sides of triangle A are double the
slopes of the corresponding sides of triangle B. How do the lengths of their bases compare?


Damien has a list of 37 potential customers for his house-painting business. In order to
get a business grant, he must graph his income versus the number of customers. Determine
the domain of the graph.

โจทย์ทำนองอย่างนี้จะอยู่ในแบบฝึกหัดที่เด็กต้องทำการบ้าน และการสอบ  ซึ่งยุ่นคิดว่าในวิชาอื่นๆก้อคงทำนองเดียวกัน  แต่ยุ่นเองมีโอกาสได้สัมผัสสองวิชานี้เท่านั้น....

อีกวิชาหนึ่งที่ไม่ได้สัมผัสทางตรงแต่โดยทางอ้อมผ่านน้องยีน ก้อคือวิชา Social ทีแรกยุ่นก้อไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากน้องยีนเป็นเด็กที่ชอบวิชาสังคมตั้งแต่อยู่เมืองไทย ตอนเรียนโยธินบูรณะ เค้าก้อชอบวิชานี้   แต่พอมาเรียนที่นี่ ปรากฎยีนยิ่งชอบมากขึ้น  มีครั้งหนึ่งยีนมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้ยีนเรียน social สนุกสุดๆเลย เพราะครูเค้าให้ debate หัวข้อหนึ่ง เชื่อมะ  ในห้องมีหลายความคิดมากเลย ก้อแบบ debate กันแบบแสดงความคิดเห็นสุดๆ ตบโต๊ะก้อมี 55555  ยุ่นฟังก้อตกใจ  ครูบอกให้แสดงออกเต็มที่  ใครคิดอย่างไรพูดออกมาเลย เด็กๆก้อเอากันใหญ่เลย แม่....ยีนได้เห็นมุมมองหลากหลายของเพื่อนๆ  มันส์มาก  แต่ตอนท้ายชั่วโมง..ครูชมว่าทุกคนทำได้ดีมาก  และสรุปความคิดเห็นที่หลากหลายและบอกว่าออกจากห้องนี้ก้อคือไม่มีอะไรนะ  มันเป็นแค่การแสดงความคิดเห็นเท่านั้น....

และวิชานี้เป็นวิชาโปรดของยีน แม้ว่าตอนเกรด 10 ยีนจะได้คะแนนไม่ค่อยดี แต่ยีนก้อยืนยัน นอนยันว่าเค้า love วิชานี้ ตอนเกรด 11 มีสอบ provincial exam ยีนได้ 90 กว่า% ( ข้อสอบเค้าจะมีทั้ง multiple choice และคำถามเปิดเพื่อให้เด็กแสดงความคิดเห็น 1 essay )  สร้างความงงงวยให้พ่อกับแม่มาก  จนเราสองคนถึงกับแซวว่าครูเค้าตรวจข้อสอบผิดหรือเปล่าเนี่ย !!!!

อีกสิ่งหนึ่งที่ยุ่นชอบของที่นี่คือเด็ก high school ทุกคนไม่ว่าในที่สุดจะไปเลือกเรียน วิทย์หรือศิลป์ก้อตาม จะต้องเรียน social 11  ; math 11 และ Eng 12 อันนี้แบบบังคับ  และในเกรด 12 คุณสามารถเลือกวิชา elective ที่ทาง school board จัดให้ เช่น marketing , finance, film, computer , law , management , economics , Arts, French , Japanese , Mandarin, Spanish และอื่นๆที่เค้าจัดให้  อันนี้ไม่บังคับ แต่ใครอยากเรียนเพื่อค้นหาตัวเองก้อได้....

และค่านิยมที่นี่ ไม่จำเป็นว่าเมื่อคุณจบ high school แล้วคุณต้องต่อมหาลัย  คุณจะหยุดเรียนไปทำงานก่อนก้อได้  หรือจะไปเรียนสายอาชีพก้อได้  และเมื่อคุณค้นพบตัวเองว่าชอบหรือถนัดด้านไหน คุณสามารถจะกลับเข้าสู่ระบบการเรียน การศึกษาได้ตลอดเวลา  การเรียนรู้ไม่จะเป็นต้องอยู่แค่ในโรงเรียนหรือมหาลัย  และการประกอบอาชีพทุกอาชีพนั้นมีเกียรติและมีความสำคัญต่อสังคมหมด  เพราะทุกอาชีพต้องพึ่งพากันไม่ทางตรงก้อทางอ้อม....

ที่พูดแบบนี้เพราะตอนยีน graduate จาก high school ครอบครัวเราได้ไปงาน และ principal ของ Eric Hamber ได้ให้โอวาสครั้งสุดท้ายแก่เด็กๆ  เนื้อหาใจความประมาณที่บอก แต่เค้าพูดได้ดีมากๆ  สร้างความประทับใจให้ยุ่นกะห่งมาก....


และนี่คงเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยุ่นได้มีประสบการณ์ทั้งทางตรงจากการได้เข้าไปเป็นนักเรียนเอง และประสบการณ์ทางอ้อม จากการศึกษาหลักสูตรของที่นี่ พูดคุยกับเด็กๆ และลูกชายตัวเอง  ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพที่แตกต่างระหว่างบ้านเรากับที่แคนาดา  ซึ่งทำให้ยุ่นพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าจึงชอบพูดว่า ฝรั่งวิเคราะห์เก่ง คิดเก่ง ทำงานเป็น team work และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว......