เรื่องสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาประเทศชาติ นั่นคือระบบการศึกษา....
ทุกเช้า ยุ่นกะห่งจะนั่งจิบกาแฟในห้องนั่งเล่น และมองออกไปนอกหน้าต่าง มองต้น Maple บอกฤดู และภาพที่เราจะเห็นเป็นประจำทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ก้อคือภาพเด็กๆเดินไปโรงเรียน บ้างก้อเดินไปเอง บ้างก้อเดินมาพร้อมกับพ่อแม่ เด็กทุกคนจะสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง และมือข้างหนึ่งถือกระเป๋า Lunchbox นี่คือภาพคุ้นตา เป็นธรรมชาติ น่ารัก สดใสในยามเช้าที่ทำให้กาแฟของเรามีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น ^^
เด็กนักเรียนร้อยละ 90 จะเรียนโรงเรียนในโซนที่ตนอยู่ คือเรียนใกล้บ้านแบบเดินไปประมาณ ไม่เกิน 20 นาทีก้อถึงโรงเรียน Apartment ที่ยุ่นอยู่จะติดกับ Tisdall Park และถัดไปก้อเป็น Elementary School และเด็กๆที่อยู่แถวนี้ต้องเดินผ่านหน้าห้องเราไปโรงเรียนทุกเช้า...และตอนเย็นก้อเดินผ่านเพื่อกลับบ้านทุกเย็น...
ยุ่นชอบมากๆเลย เพราะน้องยีนก้อเดินไป Eric Hamber Secondary School ประมาณ 15-20 นาทีทุกวันเช่นกัน เมื่อเทียบกับตอนอยู่ไทย น้องยีนต้องตื่นตี 5 ครึ่ง กินข้าวอาบน้ำและต้องออกจากบ้านก่อน 6 โมง เพื่อไปเรียนโยธินบูรณะ เพื่อไม่ให้เจอกับ Rush hour รถติดมากมาย พอตอนเย็นกลับบ้านก้อแบบทุลักทุเล กว่าจะถึงบ้านก้อเกือบ 3 ทุ่ม แล้วก้อสลบ และเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่า.... เพียงแค่เด็กเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเนี่ย จะทำให้ชีวิตในครอบครัวมีความสุข ทุกคนมีสุขภาพจิตที่ดี การจราจรไม่หนาแน่น และสภาพแวดล้อมไม่เป็นมลพิษ
ที่นี่ เด็กเล็กหมายถึง Elementary เข้าเรียน 9 โมง Secondary เข้าเรียน 8.30 ฉะนั้น ยีนตื่นประมาณ 7.50 -8.00 จัดการตัวเองและเดินไปเรียนสบายๆ เลิกเรียนประมาณ 3.30-4.00 ถึงบ้านก้อไม่เคยเกิน 4ครึ่ง หากไม่ติดกิจกรรมกับเพื่อน. และสิ่งที่สำคัญคือรถไม่ติด บริเวณหน้าโรงเรียนตอนเช้ากับตอนเย็นก้อมีรถบ้าง แต่ไม่หนาแน่นมาก และอากาศก้อสดชื่น ไม่มีควันพิษ จึงทำให้อากาศในเมืองค่อนข้างสะอาด.
โรงเรียนที่เด็กที่นี่เรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งยุ่นว่าแต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งบ้านเรามาตรฐานของโรงเรียนจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก นอกจากนี้ก้อมี Private School นะ หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเรียน ก้อต้องเสียสตางค์เอง แต่หากเรียนของรัฐ ก้อเรียนฟรีจนถึงอายุ 19 ปี หลัง 19 แล้วยังเรียนไม่จบ High school ก้อสามารถไปเรียนในโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ หรือ Adult School ได้ โดยเสียค่าเรียนวิชาละ 20เหรียญซึ่งก้อยังถูกมาก...และการสอนก้อมีคุณภาพเหมือนกับโรงเรียนของรัฐทั่วไป...
คราวนี้เรามาดูระบบการเรียนการสอนของที่นี่ว่าแตกต่างจากบ้านเราอย่างไร....
แต่ก่อนตอนเด็กๆ ก้อประมาณตอนอยู่เตรียม 4-5 หรือมหาลัยนะ ยุ่นมักได้ยินคนพูดว่าคนที่เรียนเมืองไทยไม่ได้มักไปเรียนเมืองนอก หรือบ้างก้อบอกว่าเรียนเมืองนอกไม่ยาก ง่าย วันนี้เมื่อได้มีโอกาสมาอยู่ที่แคนาดา ยุ่นตระหนักว่ามันไม่ใช่อย่างที่เค้าพูดกัน...คือมันไม่ใช่ยากหรือง่าย แต่มันอยู่ที่ระบบของเรากับของทางตะวันตกแตกต่างกันมาก...ฉะนั้นการที่จะสรุปว่าการเรียนเมืองนอกง่ายเนี่ย ยุ่นว่าคงไม่ถูกต้องเท่าไรนัก.....
จำได้ตอนที่ยุ่นไปเรียนภาษาอังกฤษใน Adult School ยุ่นจะรู้สึกไม่คุ้นเคยในช่วงแรก เพราะการเรียนการสอนจะเป็นลักษณะให้แสดงความคิดเห็นกันสดๆในห้องเลย debate กันว่าทำไม เพราะอะไร ยังไง พูดตรงๆนะ ยุ่นอึดอัดมากเลย คือเวลาคำถามมาถึงยุ่นเนี่ย ยุ่นตอบไม่ถูกอ่ะ คือต้องขอเวลาตั้งหลักนิดนึงอ่ะ เพราะบ้านเราสอนแนวแบบคล้ายๆรับคำสั่งอ่ะ คือป้อนข้าวเข้าปากเลย บางครั้งก่อนป้อนยังเคี้ยวให้อีก เราก้อแบบกลืนเลย ไม่ได้ถูกฝึกให้สังเคราะห์ หรือวิเคราะห์ข้อมูล และเวลาเรียนก้อไม่ค่อยได้มีข้อสงสัยอะไรเท่าไร คือครูว่าไงก้อว่าตาม...ประมาณนั้น...555555 หรือหากมีก้อจะเก็บไว้ ไม่อยากถามเพราะไม่เห็นเพื่อนๆในห้องจะสงสัยเลย ไม่รู้หากเราสงสัยเราจะผิดปกติหรือเปล่า....
การเรียนที่นี่ ยกตัวอย่างสมมติเรียนเรื่อง Short story เรื่องหนึ่ง มันก้อจะมี theme ของเรื่อง plot ของเรื่อง ตัวละครต่างๆ ครูก้อจะมีคำถามนำเพื่อให้เราคิดต่อว่าตัวละครเหล่านี้เป็นอย่างไร การกระทำของแต่ละตัวละครบ่งบอกอะไร คือครูไม่บอกเราโดยตรงนะ แต่เค้าจะให้เรา quote ประโยคบางประโยคขึ้นมา และให้เราวิเคราะห์ประโยคนั้นเพื่อตอบโจทย์ของเค้า...คืออาจมีคนไทยหรือนักเรียนไทยบางคนอาจเคยเรียนแนววิเคราะห์แบบนี้มาก้อได้..... แต่ยุ่นไม่เคยเรียนแบบนี้มาเลย จึงทำให้ยุ่นรู้สึกว่ายาก และอึดอัดมากในช่วงแรก แต่ขณะเดียวกันยุ่นก้อรู้สึกท้าทายนะ มันต้องลองดูสักตั้ง และในที่สุด ก้อพอทำได้นะ และหลายครั้งทำให้ยุ่นเข้าใจและชอบเนื้อหาหลายๆเรื่องที่เรียน นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการต่อยอดทางความคิด วิเคราะห์ พิจารณาขอมูลต่างๆด้วยสายตาที่กว้างขึ้น และมีเหตุมีผล....
อีกอย่างหนึ่งที่ยุ่นชอบคือ เวลา debate ใน topic นึง จะเป็นอะไรที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเอง โดยหาเหตุผลมา support ความคิดของเรา ครูจะเป็นคนกลางที่พยายามให้เด็กหรือผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงการเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น...บางครั้งครูคิดไม่เหมือนนักเรียน ครูก้อถามว่านักเรียนคิดอย่างไร ทำไม และครูเองก้อรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของนักเรียนเช่นกัน และคิดดูสิ class ที่ยุ่นไปเรียนอ่ะ มีทั้งคนจีน แขก ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รัสเซีย รวมยุ่นก้อไทยแลนด์ แต่ละคนก้ออายุอานาม 40-60 ปี มีความเชื่อมั่นในตนเองระดับหนึ่ง บางครั้งในหัวข้อหนึ่งเนี่ย มีความคิดหลากหลายมาก มุมมองแตกต่างมากมาย เพราะเรามาจากคนละวัฒนธรรม ต่างพื้นฐาน ฉะนั้นเป็นธรรมดาที่มองต่างมุม แต่บรรยากาศในการแสดงความคิดเห็นนั้น เต็มไปด้วยสีสัน ความสนุก ยกเหตุผลมาคุยกัน เคารพซึ่งกันและกัน สิ่งนี้ทำให้ยุ่นเรียนรู้วิธีคิดของคนต่างชาติต่างภาษากับเรา และตระหนักว่าการคิดต่างเนี่ย มันมีเหตุผลมากมายจริงๆเลยนะเนี่ย !!!
เวลาสอบ..ข้อสอบที่นี่ ไม่ค่อยเน้น multiple choice นะ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวแสดงความคิดเห็น คือยุ่นเรียนแค่ English ใช่มะ ข้อสอบก้อเป็น แบบมี short story มาให้อ่านกันสดสด เสร็จก้อถามคำถามเปิดเพื่อให้ผู้อ่านวิเคราะห์และตอบโจทย์ที่เค้ามีมาให้ จะมีคำถามเปิดมากมาย เป็นสิบข้อ เราก้อเลือกสักข้อ และเขียน Essay แสดงความคิดเห็นพร้อมเหตุผลประกอบความคิดเห็น....
แม้กระทั่งโจทย์เลข ก้อเป็นแนวต้องแสดงความคิดเห็นวิเคราะห์เช่นกัน ยกตัวอย่าง :
Why do some absolute value equations produce extraneous roots when solved algebraically? How are these roots created in the algebraic process if they are not actual solutions of the equation?
A baker gets his muffin boxes from the United States. The tallest muffins he bakes are 11 cm.
Estimate the height of the smallest box in which the muffins will fit.
Two isosceles triangles have the same height. The slopes of the sides of triangle A are double the
slopes of the corresponding sides of triangle B. How do the lengths of their bases compare?
Damien has a list of 37 potential customers for his house-painting business. In order to
get a business grant, he must graph his income versus the number of customers. Determine
the domain of the graph.
โจทย์ทำนองอย่างนี้จะอยู่ในแบบฝึกหัดที่เด็กต้องทำการบ้าน และการสอบ ซึ่งยุ่นคิดว่าในวิชาอื่นๆก้อคงทำนองเดียวกัน แต่ยุ่นเองมีโอกาสได้สัมผัสสองวิชานี้เท่านั้น....
อีกวิชาหนึ่งที่ไม่ได้สัมผัสทางตรงแต่โดยทางอ้อมผ่านน้องยีน ก้อคือวิชา Social ทีแรกยุ่นก้อไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากน้องยีนเป็นเด็กที่ชอบวิชาสังคมตั้งแต่อยู่เมืองไทย ตอนเรียนโยธินบูรณะ เค้าก้อชอบวิชานี้ แต่พอมาเรียนที่นี่ ปรากฎยีนยิ่งชอบมากขึ้น มีครั้งหนึ่งยีนมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้ยีนเรียน social สนุกสุดๆเลย เพราะครูเค้าให้ debate หัวข้อหนึ่ง เชื่อมะ ในห้องมีหลายความคิดมากเลย ก้อแบบ debate กันแบบแสดงความคิดเห็นสุดๆ ตบโต๊ะก้อมี 55555 ยุ่นฟังก้อตกใจ ครูบอกให้แสดงออกเต็มที่ ใครคิดอย่างไรพูดออกมาเลย เด็กๆก้อเอากันใหญ่เลย แม่....ยีนได้เห็นมุมมองหลากหลายของเพื่อนๆ มันส์มาก แต่ตอนท้ายชั่วโมง..ครูชมว่าทุกคนทำได้ดีมาก และสรุปความคิดเห็นที่หลากหลายและบอกว่าออกจากห้องนี้ก้อคือไม่มีอะไรนะ มันเป็นแค่การแสดงความคิดเห็นเท่านั้น....
และวิชานี้เป็นวิชาโปรดของยีน แม้ว่าตอนเกรด 10 ยีนจะได้คะแนนไม่ค่อยดี แต่ยีนก้อยืนยัน นอนยันว่าเค้า love วิชานี้ ตอนเกรด 11 มีสอบ provincial exam ยีนได้ 90 กว่า% ( ข้อสอบเค้าจะมีทั้ง multiple choice และคำถามเปิดเพื่อให้เด็กแสดงความคิดเห็น 1 essay ) สร้างความงงงวยให้พ่อกับแม่มาก จนเราสองคนถึงกับแซวว่าครูเค้าตรวจข้อสอบผิดหรือเปล่าเนี่ย !!!!
อีกสิ่งหนึ่งที่ยุ่นชอบของที่นี่คือเด็ก high school ทุกคนไม่ว่าในที่สุดจะไปเลือกเรียน วิทย์หรือศิลป์ก้อตาม จะต้องเรียน social 11 ; math 11 และ Eng 12 อันนี้แบบบังคับ และในเกรด 12 คุณสามารถเลือกวิชา elective ที่ทาง school board จัดให้ เช่น marketing , finance, film, computer , law , management , economics , Arts, French , Japanese , Mandarin, Spanish และอื่นๆที่เค้าจัดให้ อันนี้ไม่บังคับ แต่ใครอยากเรียนเพื่อค้นหาตัวเองก้อได้....
และค่านิยมที่นี่ ไม่จำเป็นว่าเมื่อคุณจบ high school แล้วคุณต้องต่อมหาลัย คุณจะหยุดเรียนไปทำงานก่อนก้อได้ หรือจะไปเรียนสายอาชีพก้อได้ และเมื่อคุณค้นพบตัวเองว่าชอบหรือถนัดด้านไหน คุณสามารถจะกลับเข้าสู่ระบบการเรียน การศึกษาได้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่จะเป็นต้องอยู่แค่ในโรงเรียนหรือมหาลัย และการประกอบอาชีพทุกอาชีพนั้นมีเกียรติและมีความสำคัญต่อสังคมหมด เพราะทุกอาชีพต้องพึ่งพากันไม่ทางตรงก้อทางอ้อม....
ที่พูดแบบนี้เพราะตอนยีน graduate จาก high school ครอบครัวเราได้ไปงาน และ principal ของ Eric Hamber ได้ให้โอวาสครั้งสุดท้ายแก่เด็กๆ เนื้อหาใจความประมาณที่บอก แต่เค้าพูดได้ดีมากๆ สร้างความประทับใจให้ยุ่นกะห่งมาก....
และนี่คงเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยุ่นได้มีประสบการณ์ทั้งทางตรงจากการได้เข้าไปเป็นนักเรียนเอง และประสบการณ์ทางอ้อม จากการศึกษาหลักสูตรของที่นี่ พูดคุยกับเด็กๆ และลูกชายตัวเอง ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพที่แตกต่างระหว่างบ้านเรากับที่แคนาดา ซึ่งทำให้ยุ่นพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าจึงชอบพูดว่า ฝรั่งวิเคราะห์เก่ง คิดเก่ง ทำงานเป็น team work และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว......
No comments:
Post a Comment