Tuesday, July 27, 2010

เสน่ห์ของคุมอง...

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อึม..น่าจะเป็นวันศุกร์ที่ 23 ยุ่นได้มีโอกาสนั่งดูเด็กอนุบาลคนนึงทำภาษาอังกฤษของคุมอง..แบบเค้ามาเร็วมากเลย สามโมงนิดๆก้อมาถึงศูนย์แล้ว...ยุ่นเลยต้องรับหน้าที่ดูแลเด็กเล็กโดยปริยาย..

การได้นั่งดู Josh ทำภาษาอังกฤษแบบ one by one เนี่ย ทำให้เราได้เรียนรู้แบบฝึกหัดของคุมองจากการดูแลเด็กเล็กจริงๆ..

Josh ทำแบบฝึกหัด 4A ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดที่เน้นการอ่านคำ แต่ขณะเดียวกัน ก้อให้เด็กฝึกเขียนศัพท์ด้วย..คำศัพท์จะเริ่มยาวขึ้น แต่ก้อไม่ได้ยากมาก..สำหรับเด็กโต แต่ถ้าเด็กเล็ก...อึม..ยุ่นก้อนั่งสังเกตุนะ ก้อน่าจะยากสำหรับเด็กเล็ก...แล้วทำไมคุมองให้เด็กเขียน วัตถุประสงค์คืออะไร??? เด็กจะจำได้เหรอ สะกดได้เหรอ..เพื่ออะไร..

อาจสงสัยว่า ศัพท์ที่ Josh เขียนยากหรือง่ายแค่ไหน..ยกตัวอย่าง..bed+room ---> bedroom, cup+cake -----> cupcake, hand + stand ----> handstand, pan+cake -----> pancake ประมาณนี้นะ...ดูๆก้อไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าอันนี้เนี่ย เด็กอนุบาลทำนะ..อึม.. Josh ก้อประมาณสี่ขวบนะ..แต่เป็นเด็กที่ค่อนข้างโอเคเลย..มีระเบียบวินัย เรียนรู้เร็ว...

ยุ่นว่าต่อให้เกิดที่นี่ ก้อยังรู้สึกว่าน่าจะยากสำหรับเด็กในการเขียน หรือสะกด...หรือแม้กระทั่งเด็กโตหน่อยที่เมืองไทย ประมาณปอสองปอสาม..ก้อยังไม่ถือว่าง่ายนะ...ถ้างั้น..คุมองต้องการให้สะกดได้เหรอ..ไม่น่าใช่...

ยุ่นก้อนั่งสังเกตุต่อว่า เวลา Josh ทำ เค้าจะมองคำศัพท์ สักพัก..แล้วหน้าเค้าก้อจะงงเล็กๆ..จากนั้นเค้าก้อดูตัวอักษรทีละตัว แล้วก้อ copy ลงในตารางที่เค้าให้เป็นตัวๆ...ไอ้เราก้อคิดว่า Josh เขียนแบบนี้ แล้วเค้าจะได้อะไรมั้ยเนี่ย..ก้อสังเกตุต่อ..เค้าเขียนไปสองสามคำ พอเปิดอีกหน้าที่เป็นหน้า B Josh ก้อยังเติมเองไม่ได้...อาการงง...ยังคงออกฤทธิ์อยู่..

หน้าต่อไปยุ่นก้อเลยลองใช้มือปิดคำศัพท์เพื่อช่วย guide ให้เค้า เช่นคำว่า bedroom ยุ่นก้อปิดคำว่า room ให้เค้าเห็นคำว่า bed แล้วบอกเค้าให้สะกดทั้งคำ.. B E D แล้วก้อปิดคำว่า bed แล้วให้เค้าลอง fill ลงในช่องว่างเอง..

ทีแรก Josh ก้องง..งง เล็กน้อย....แต่เค้าก้อพยายามที่จะดึง phonic ที่เค้าเรียนจาก 5A และ 4A ออกมาใช้ เค้าก้อ เบอะ เอะ เดอะ..อะไรประมาณนี้ ยุ่นก้อชมเค้าว่าเก่ง...อ้าว..ลองอีกตัว ก้อเปิด room ให้เค้าแต่ปิด bed ตอนนี้เค้า get แล้วไง..เค้าก้อสะกด room แล้วเค้าก้อพยายามเขียนลงไปในช่องว่างด้วยตัวเค้าเอง...

ยุ่นก้อไกด้เค้าอีกคำสองคำ...หลังจากนั้น เค้าก้อเก็ตว่าเค้ากำลังทำอะไร...เค้าก้อสามารถเขียนคำศัพท์โดยการนำ phonic เข้ามาในการเขียนศัพท์ของเค้า...

ตอนนี้ ยุ่นก้อเลยถึงบางอ้อ..และเข้าใจวัตถุประสงค์ของแบบฝึกหัดชุดนี้ทันทีว่าเค้าต้องการอะไร..และนี่แหละ..คือเสน่ห์ของคุมอง ที่คนสอนเท่านั้นถึงจะเข้าใจ....และเด็กนักเรียน ก้อคือครูชั้นดีของครูคุมองเลยแหละ..

Monday, July 26, 2010

Summer in Vancouver

อยู่ที่เมืองไทย ตั้งแต่เล็กจนโต ฤดูไหนๆเวลาก้อเหมือนๆกัน..หมายความว่าพอตอนเย็น หลังหกโมงฟ้าก้อมืดแล้ว อึม..อาจมีช่วงหน้าหนาว รู้สึกจะมืดเร็วกว่าปกติ...แต่เดี๋ยวนี้ก้อเหมือนๆเดิม..เวลาเพื่อนที่นี่ถามว่าเมืองไทยมีกี่ฤดู..ยุ่นมักตอบติดตลกว่า :

Three.. Hot Hotter and Hottest.... ^^

แต่สิ่งที่แตกต่างของ Summer ที่นี่ก้อคือมืดช้า..แบบตอนดึกสามทุ่มสี่ทุ่มเนี่ย ท้องฟ้ายังสว่างจ้าเลย..เหมือนตอนสี่ห้าโมงเย็นอะไรประมาณนั้น...และปีนี้ ยุ่นได้มีโอกาสอยู่ที่แวนคูเวอร์ช่วง summer ก้อเลยทำให้ได้เห็นชีวิตอีกรูปแบบนึงของคนที่นี่..

Summer จะเป็นช่วงเวลาที่คนที่นี่ชอบมากที่สุด..สาเหตุน่าจะเพราะเค้าหนาวทั้งปีเลย..พอช่วงเดือน June- Aug เป็นช่วงที่จะอุ่นที่สุดของเค้า ก้อเลยทำให้พวกเค้ามีความสุขกันมาก และเค้าก้อจะ enjoy summer time มั่กๆเลย..

ยกตัวอย่างเช่น...สวนที่ติดกับ apartment ยุ่น Tisdall Park ก้อจะมีการเล่นกีฬามากเป็นพิเศษ คนมาเดินออกกำลังกาย ไม่ต้องพูดถึงอันนี้มากอยุ่แล้ว แต่สิ่งนึงที่เห็นก้อคือเค้าจะขนเตาบาร์บีคิว แกสเอย โต๊ะ เก้าอี้ อาหาร มาบาร์บีคิวกันที่สวนสาธารณะเลย..มากันทั้งครอบครัวบ้าง มีเพื่อนฝูงมาจอยบ้าง แล้วก้อนั่งคุยกัน ตากแดดกัน...ไม่มีร่มนะ...รับแดดสดๆเลย...เรียกว่าเป็นอะไรที่เค้าชอบกันมากๆ...

ภาพที่เห็นเนี่ย..จะมีแต่ฝรั่งล้วนๆ..เอเชียไม่มี..ไม่ว่าจะจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียดนาม แขก..ไม่มีเลย...ขอโทษนะค่ะ..เวลาเดินตามถนนเนี่ย จะเห็นฝรั่งนั่งตากแดดด้วยซ้ำ แต่ก้อจะมีพวกคนจีนมากมายโดยเฉพาะผู้หญิง..เจ๊ถือร่มค่ะ..เจ๊ไม่ชอบแดดค่ะ..อันนี้คือความแตกต่างที่ไม่มีทางที่เอเชียจะเหมือนฝรั่งแน่ๆ...เพราะพวกเอเชียชอบผิวขาว แต่ฝรั่งผิวคล้ำแปลว่าดี...55555

นอกจากนี้ ที่นี่วันเสาร์อาทิตย์ห้างจะปิดเร็ว หกโมงเย็นก้อปิดแล้ว...พวกเค้าก้อแทบไม่มีกิจกรรมอะไรเลย..คือไงอ่ะ ที่นี่การจะจัดอะไรสักอย่าง มันก้อใช้เงินมากมาย พวกเอกชนไม่ค่อยมีใครจัดทำอะไรให้หรอก..ส่วนใหญ่จะมีก้อแต่รัฐบาล...อย่างตอนเดือนนี้ก้อมีการจุดพลุหรือที่เรียกว่า Firework ก้อจะมีการจุดพลุไฟที่ English Bay (ใกล้ที่ทำงานฮ่ง) วันเสาร์ที่ 24 พุธ 28 แล้วก้อเสาร์ 31 เค้ายิงตอนสี่ทุ่มประมาณนั้น...

พี่ประเวศก้อถามครอบครัวเราว่าไม่ไปดูกันเหรอ..พี่เค้าไปดูมาแล้ว..แล้วพี่เค้าก้อเล่าประสบการณ์การไปดูพลุไฟให้เราฟัง :

พวกคุณต้องไปจองที่ที่ตรงชายหาดก่อนนะ..อึม..ประมาณทุ่มนึงก้อไปจอง..เลือกตรงที่เป็นขอนไม้นะ จะมีที่พิงหลังได้..แต่อันนี้ก้อจะมีคนจองกันมาก ใครไวใครได้..พอจองแล้ว..ก้ออย่าลุกไปไหนนะ..ต้องเฝ้า ไม่งั้นที่หาย..ถ้าจะเข้าห้องน้ำก้อผลัดกันไปเข้า..ทีละคน ห้องน้ำก้อคิวยาวเป็นกิโลหละ...แล้วพอถึงเวลาคนจะแน่นหาดเลย..พลุก้อสวยนะ..แต่อาจสู้ของเราเมืองไทยไม่ได้

พองานเลิก...คุณก้อจะลำบากอีกรอบ..คือตอนกลับ..ต้องเดินยาวเลยเป็นหลายถนนกว่าจะเดินมาขึ้นรถเมล์ ก้อต้องเดินกันแบบนี้ทุกคน เพราะไม่มีรถเมล์บริเวณนั้น..ก้อเดินกันเป็นขบวนเลย...ก้อสนุกดี แต่จะลำบากนิดนึง..

พอฟังจบ ฮ่งก้อถามยุ่นว่าอยากไปมั้ย..ยุ่นก้อส่ายหน้า ไม่อยาก...แค่คิดก้อไม่อยากไปแล้ว..

แล้วฝรั่งไปกันทำไม..ตั้งแต่ทุ่มเนี่ย ???..พี่เค้าบอกก้อไปนั่งคุยกัน..กินกัน..รอเวลาดูพลุไฟ..แต่เราหละ..ไปกันสามคนพ่อแม่ลูก....ทุ่มนึงเนี่ย แดดยังแรงอยู่นะ..ร้อนด้วย..ไม่รู้จะคุยอะไรกันมากมาย ก้อคุยกันทุกวันอยู่แล้ว.....แล้วก้อไปนั่งรอแบบทุกข์ทรมาน..เพราะกลัวคนอื่นจะมาแย่งที่เรา...ตั้งสองสามชั่วโมง เพื่อดูพลุเนี่ยนะ...ไม่เอาแน่ๆ...และนี่ก้อคงเป็นความแตกต่างอันที่สองของเอเชียกับฝรั่ง..เพราะส่วนมากที่ไปดูพลุเนี่ย..เปอร์เซนต์ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง..

ฟังพี่เค้าแล้วก้อให้นึกถึงวันที่เราไปดูหนังเรื่อง Avartar ต้องไปล่วงหน้าเพื่อจองที่นั่งที่ดีๆ...เฮ้อ...ใครไวใครได้จริงๆ..

กิจกรรมอีกอันที่เค้ามีช่วง summer ก้อคือ Night Market เปิดสัปดาห์ละสามวัน วันศุกร์เสาร์ ทุ่มถึงตีหนึ่ง วันอาทิตย์ทุ่มถึงเที่ยงคืน..อึม..น่าจะมีงานตั้งแต่เดือน July ถึง Aug ของทุกปีนะ..จัดที่ Richmond.....ก้อเรียกว่าคนไปงานเยอะมากเหมือนกัน...อันนี้มีหลายเชื้อชาติที่ไป..เพราะเป็นงาน shopping แล้วก้อมีขายของปิ้งๆย่างๆ...แต่ราคาก้อแพงเหมือนเดิม..

ยุ่นก้อไปมาแล้วอาทิตย์ที่แล้ว..ไม่ชอบเท่าไร..เพราะของที่ขายก้อธรรมดา เหมือนๆกันทุกร้าน ไม่ได้แปลกใหม่อะไร..คิดว่าเดินจตุจักรบ้านเรา น่าจะหนุกกว่า ราคาก้อไม่ถูก..ของกินก้อเหมือนกัน..ก้อดูเหมือนน่าจะดี..แต่ราคาก้อค่อนข้างสูง เพราะสำหรับเรา เรารู้สึกว่างานแนวนี้ ราคาควรต่ำกว่าท้องตลาด...แต่ไม่ใช่ ที่นี่ราคาทุกอย่างเหมือนมีมาตรฐานราคาของมัน..จะไม่ลงต่ำกว่านี้..ไม่งั้นพวกเค้าคงอยู่ไม่ไหว เพราะค่าใช้จ่ายสูง...

สำหรับที่นี่...อย่างนี้ก้อถือว่าเจ๋งมากแล้ว...ที่เล่ามาสองงานนี้นะ..คนเยอะมากเลยนะที่มาดู หรือมาเที่ยว..และเวลาเที่ยวที่แบบคนเยอะๆ..ทุกสิ่งทุกอย่างก้อต้องตามคิวแน่นอน..ซึ่งมันก้อจะยาวเป็นกิโลจริงๆ..แต่คนที่นี่เค้าก้อรอคอยนะ..เค้าก้อเข้าคิวกัน...เป็นภาพที่เห็นบ่อยมากๆที่นี่...การเข้าคิวรอคอย...ไม่มีอภิสิทธิ์นะ..

แต่ก้ออีกแหละ..ยุ่นก้อไม่ได้ชอบการเที่ยวแบบนี้ไง...อาจเพราะเราเห็นของบ้านเรามาเยอะแล้ว...และยิ่งรู้ว่าที่นี่มันลำบากในการเข้าถึง..ก้อเลยไม่ได้มีความพยายามที่จะไปดู ไปเที่ยว...อีกทั้งไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราสนใจ...

เข้าใจแล้วว่าทำไม..ฝรั่งหรือชาวต่างชาติที่เคยไปเที่ยวเมืองไทยถึงชอบบ้านเรา...และบอกว่าเมืองไทยคือสวรรค์...อาหารการกินเราก้อมีมาก...หาง่าย อร่อย ไม่แพง สถานที่ท่องเที่ยว...เพียบ แล้วก้อราคาสมเหตุสมผลนะ..

ก้อขนาดเราคนไทย..ก้อยังคิดถึงโหยหากันตลอดเลย...ไม่ใช่ยุ่นคนเดียวนะ...ก้อพี่ๆคนไทยที่นี่ก้อเหมือนๆกัน...โดยเฉพาะ..อาหารไทย...ไม่มีชาติไหนอร่อยเหมือนของเรา...55555

คิดๆแล้วเมืองไทยเราก้อมีสิ่งดีๆมากมาย...เรามีจุดเด่นไม่น้อยเลย...และคนไทยก้อมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนชาติอื่นเหมือนกัน.....เพียงแต่เราขาดรัฐบาลที่เก่งจริง...รักประเทศจริง...และพวกเราคนไทยคงต้องรักประเทศของเรามากกว่านี้...เสียดายโอกาสดีๆของบ้านเราจัง... :)

Sunday, July 18, 2010

เพิ่งรู้นะเนี่ย...


































เมื่อเย็นวันศุกร์ พี่ประเวศโทรมาชวนครอบครัวเราไปทานข้าวที่บ้านพี่เค้า พร้อมกับบอกให้มาดูหนังสือพิมพ์ "ไทยแอลเอ" เป็นหนังสือพิมพ์ไทยใน Seattle เพราะมีรูปครอบครัวเราลงในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย...

อยู่เมืองไทยไม่เคยได้ลงหนังสือพิมพ์เล้ย... มาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสามปีได้ลงหนังสือพิมพ์กับเค้าด้วย...บังเอิญวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ครอบครัวเราได้ไปทำบุญที่วัดพุทธปัญญานันทาราม ที่ Burnaby, BC.

พวกเราก้อตื่นเต้นเล็กน้อย..ก้อตกลงว่าจะไปหาพี่เค้าวันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์...พอไปถึง พี่เค้าก้อเอาให้ดู...และที่ใต้ภาพก้อมีข้อความดังนี้ :

"คุณชาญชัยพร้อมด้วยครอบครัวได้ตั้งใจไปศึกษาธรรมที่วัดพุทธปัญญานันทาราม เมืองเบอร์นาบี้ ( Burnaby, B.C.) ประเทศแคนาดา"

ก้อได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกไว้ตามระเบียบ..

จากนั้นก้อคุยกันไปเรื่อยเปื่อย..เสร็จถึงเวลาอาหารเย็น วันนี้พี่เค้าถามอยากทานอะไรกัน..พวกเราก้อบอกไงก้อได้ค่ะ..พี่เค้าก้อเลี้ยงขนมจีนน้ำยา...(ของโปรด)..แล้วก้อมีแกงไก่ด้วย...แถมให้อีกอย่างเผื่อเด็กๆไม่อิ่ม..มีเกาเหลาให้ด้วย..

ขนมจีนน้ำยา..พี่เค้าทำง่ายมาก..มันเป็นกระป๋องสำเร็จรูป...แล้วเราก้อเอามาเติมน้ำกับนมสดลงไปอีกหน่อย..ส่วนเส้นขนมจีน พี่เค้าก้อประยุกต์โดยเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวของเวียดนาม มาลวก..ก้อคล้ายเลย...อร่อยเด็ดเลย..ยุ่นเลยได้ไอเดีย รายการอาหารอีกอย่างที่สามารถมาทำกินที่บ้านได้...

แกงไก่..พี่เค้าเคยบอกสูตรแล้ว ก้อเป็นกระป๋องเหมือนกัน..ยี่ห้ออร่อยดี..ที่บ้านทำกินประจำ มีครั้งนึงยีนก้อไปคุยให้ป้าต้อยฟังว่าแม่ทำแกงอร่อยมากเลยคับคุณป้า...

ป้าต้อยก้อมาถามคุณยุ่นทำยังไง..ยุ่นก้องง..ก้อบอกไม่ได้ทำอะไรเลย..ก้อเอาแกงกระป๋องยี่ห้อที่พวกพี่แนะนำ..เทลงหม้อแล้วใส่ไก่ ใส่พริก ใส่ใบมะกรูด โหระพาหน่อย..อาจปรุงรสอีกเล็กน้อย..ก้อใช่เลย..เหมือนกินที่เมืองไทย..ยีนก้อไม่รู้เรื่องเลย..ไปยอแม่ซะ..มากมาย..โธ่เอ๋ย....แกงแบบนี้ ใครๆก้อทำได้...อิ..อิ..^^

อันสุดท้ายก้อเกาเหลาเนื้อวัว... ขอบอกเด็ดขาดมาก..พี่ประเวศก้อเลยบอกเคล็ดลับความอร่อย..ยุ่นก้อรีบจดจำ..เดี๋ยวจะนำมาปฏิบัติ...คิดว่าน่าจะทำได้..ไม่ยาก...เพราะเรารู้เคล็ดลับความอร่อยแล้ว...

แต่วันนี้ทีเด็ดเกาเหลาของพี่เค้าใส่พริกที่เผ็ดมาก..พี่เค้าก้อบอกน้อง earth ว่า จะใส่ habaneroนะ... ไอ้เราก้อไม่รู้ว่าคืออะไร ก้อเลยถาม..พี่เค้าก้อบอกเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก...

แล้วพี่เค้าก้อบอกให้ฟังว่ามันมีสามสี่สีนะ..สีเขียวเผ็ดน้อยสุด..ต่อมาก้อเขียวผสมส้ม ต่อมาก้อส้ม..แล้วที่เผ็ดที่สุดคือสีแดง...เค้ามีหน่วยวัดความเผ็ดด้วยนะ...ว่าแล้วแกก้อไปเปิด เน็ทให้ดู...

พอเปิดหน้า the hottest chili in the world แกก้อร้องขึ้นมา.....เฮ้ย ไม่ใช่ habanero แล้วนะที่เผ็ดที่สุด เมื่อห้าปีที่แล้วพี่เค้าดู คิดว่าตัวนี้ ตอนนี้มีตัวใหม่คือ Bhut Jolokia

หน่วยความเผ็ดเค้าเรียก scoville scale ของ ฺ Bhut Jolokia ซึ่งมีแหล่งกำเนิดที่แคว้นอัสสัม ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เผ็ดถึง 855,000-1,075,000 scoville rating...

ส่วน habanero เนี่ยเป็นพริกของ Mexico สีแดงเผ็ดประมาณ 350,000-580,00 scoville rating...

แล้ววันนี้ที่พวกเรากินในเกาเหลาเนี่ยมันเป็นสีส้ม...เผ็ดประมาณ 100,000-350,000 scoville rating...ถ้าเทียบกับพริกขี้หนูสวนบ้านเรา Thailand ก้อประมาณ 50,000-100,000 scoville rating อ่าจ่ะ...นึกภาพความเผ็ดไม่ออกเลยใช่มะ???

ยุ่นก้อเลยขอพิสูจน์ความเผ็ด...เลยต้องชิมเกาเหลาซะหน่อย....พี่เค้าใส่นิดเดียวเท่านั้น ปลายช้อนเอง...แต่ขอบอก....
แซ่บอย่าบอกใครเลย...

พี่ประเวศเล่าถึงประสบการณ์ที่แกได้สัมผัสกับความร้อนแรง เผ็ดร้อนของเจ้า habanero ส้มว่า ทีแรกก้อไม่รู้ว่าเผ็ดขนาดนี้ ก้อเอามีดหั่นแบบพริกขี้หนูบ้านเรา..แล้วแกะเอาเม็ดพริกออก...เชื่อมั้ยว่า สักพัก มือทั้งสองข้างเหมือนจะไหม้เลย มันร้อนมากๆเลย...แล้วก้อนานนะกว่าจะหายร้อน..เรียกว่าเข็ดเลย....พี่ต้อยบอก..เวลาล้างพวกภาชนะที่บรรจุแล้วก้อผ่านขบวนการผลิตเจ้า habanero เนี่ย ไอตลอดเลย..มันแรงมาก..และก้อระคายเคืองมากเลย...

ฟังแล้ว..ก้อเป็นความรู้ใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน...นี่แค่เรื่องพริกนะเนี่ย...มันมีอันด่งอันดับความเผ็ดด้วยนะเนี่ย...ไอ้เราก้อคิดว่าบ้านเราเนี่ยพริกขี้หนูสวนเนี่ยก้ออย่างเด็ดแล้ว...ปรากฏว่าในโลกกลมๆใบนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่กินพริกเก่งกว่าบ้านเราเยอะแยะเลย...อินเดียเนี่ย..อย่างแรง เกาหลีก้อใช่ย่อย...ก้อคงต้องบอกว่า คงมีอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย..แล้วเนี่ยก้อเพิ่งรู้นะเนี่ย......อย่างนี้ก้อมีในโลก...

Wednesday, July 14, 2010

Summer School


โรงเรียนที่นี่จะเริ่มปิดเทอมกันก้อเดือน July เด็ก high school จะปิดก่อน ประมาณ June กลางเดือนก้อปิดแล้ว ส่วน elementary จะปิดปลายเดือน June

ปีนี้ยีนก้อลง Summer School ที่นี่ และนี่ก้อเป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลับไทยไม่ได้ส่วนนึง..แต่ก้อดีเหมือนกัน ประหยัดค่าตั๋วเครื่องบิน สามคนไปกลับก้อแสนห้า...ครอบครัวเราก้อจะได้ save เงินก้อนนี้ขึ้นมา..

ยีนลง Biology ช่วง Summer นี้ ไม่ได้ว่าชอบอะไรหรอกนะ..แต่คือเค้าต้องทำคะแนนให้ดี และคิดว่า bio เป็นวิชาท่องจำส่วนใหญ่ เรียนช่วง summer เพียงแค่ตัวเดียว ก้อทุ่มเทได้เต็มที่ หากคะแนนดี เราก้อเก็บไว้เพื่อส่งคะแนนเข้ามหาลัยได้..ก้อดูเข้าท่าดี..

เวลาบอกใครว่าลูกลง summer school คนที่นี่จะพูดเหมือนกันหมดว่า เรียนหนักมากนะ.. serious มากนะ ทีแรกเราก้อไม่เข้าใจว่าจะหนักยังไงเนี่ย..เรียนแค่ตัวเดียว และส่วนใหญ่เค้าจะลงกันแค่ตัวเดียวเท่านั้น..

แต่พอยีนได้เข้าไปเรียน..อึม..เข้าใจทันที..หนักจริงๆ เนื่องจากหลักสูตรหนึ่งปียุบเหลือหนึ่งเดือน..แล้วกฏเกณฑ์เค้าจะ strict มากเลย เช่นมาสายเกินยี่สิบนาทีหรือมาสายสามครั้ง คิดเป็นหนึ่งขาดเรียน และถ้าขาดเรียนสามครั้งเค้าให้ออกจากการเรียนเลย คือครูให้ drop อัตโนมัติ และเงินที่เราชำระ 30เหรียญเค้าจะไม่ให้คืน (คือก่อนเรียนจะมีค่าลงทะเบียน 30 เหรียญบวกค่าหนังสือ 100เหรียญ เมื่อจบ course เค้าจะคืน 30เหรียญให้ และคืน 100 เหรียญเมื่อเราคืนหนังสือให้เค้า คือพูดง่ายๆ เรียนฟรี )

Summer School เป็นของรัฐจัดให้..เพราะฉะนั้น..จึงเป็นระบบระเบียบเดียวกันหมด..และยีนเรียนตอนเช้า เรียนตั้งแต่ 8.00-12.00 น. เรียนทุกวันๆละสี่ชั่วโมงเป็นเวลาห้าสัปดาห์...เรียกว่าเข้าเรียนเช้ากว่าเวลาโรงเรียนเปิดอีก..โรงเรียนเปิดปกติเข้าเรียนแปดครึ่ง..

แต่ก้อดี...ทำให้ summer นี้ ยีนก้อมีอะไรที่ต้องทำ...มีเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ ก้อเรียนหนักจริงๆแหละ..ก้ออย่างที่รู้ๆ bio ก้อจำทั้งน้าน...แล้วก้ออ่านทำความเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษหมด...เฮ้อ..เหนื่อยพอควร เรียนวันนี้ พรุ่งนี้สอบ อะไรประมาณนี้ อาทิตย์หนึ่งสอบสามครั้ง นี่เปิดเรียนมาเจ็ดวัน สอบไปสี่หรือห้าครั้งแล้ว...

แต่ยีนก้อพยายามมากเลยนะ...เค้าบอกเค้าจะทำให้ได้คะแนนดีๆเพื่อให้พ่อแม่ดีใจบ้าง...ก้อสอบๆมาคะแนนก้ออยู่ประมาณ 90% ก้อใช้ด้าย...เวลายีนตั้งใจเนี่ย..ผลออกมาก้อเหมือนที่ตั้งใจนั่นแหละ...

ระหว่างที่เรียน bio กับครูก้อมีเรื่องมาเล่าให้แม่ฟังนิดหน่อยว่า เนื่องจากยีนใช้กระเป๋าดินสอของคุมอง ครู bio เค้าเห็น เค้าก้อถามว่าเรียนคุมองเหรอ? ยีนบอกใช่..ครูก้อถามว่าชอบมั้ย...แหม..ครูเนี่ย ถามถูกคน ถูกเด็ก...คือถามลูก instructor พอดี คำตอบก้ออย่างที่เรารู้ๆกันอยู่.. ไม่ชอบครับ เพราะต้องทำแบบฝึกหัดทุกๆวัน เบื่อ..

ครูก้อบอก..สำหรับความคิดเห็นของครูก้อคือคุมองคือการจำ memorize ไม่ใช่การเรียนเลขที่ถูกวิธี ครุก้อไม่เห็นด้วย..

ยีนก้อเลยนำข่าวดีมาบอกแม่...ยุ่นก้อเลยบอก ใช่ ถูกต้องนะค้า..คุมองเป็นการจำ แต่จำในระดับบวกลบคูณหารเท่านั้น..คือเค้าต้องการให้เด็กทำบวกลบคูณหารแบบอัตโนมัติ เหมือนว่ายน้ำเราไม่ต้องคิดว่าเดี๋ยวพอมือขวาเรากระทบน้ำ เรายกมือซ้าย หรือขับรถ เราต้องเบรคตอนไหน เบาคันเร่งหรือเพิ่มคันเร่งตอนไหน..แบบเค้าต้องการให้ทักษะพื้นฐานนี้เป็นธรรมชาติเลย...

และหลังจากนั้น แบบฝึกหัดตั้งแต่ เศษส่วนขึ้นไป..ไม่ได้ใช้ memorize แต่ต้องใช้ความเข้าใจและฝึกทำ...ซึ่งตรงนี้เราไม่จำเป็นต้องซ้ำมากเหมือนพื้นฐาน...

ยีนก้อยิ้ม...และบอกว่า แม่เนี่ย รักคุมองจังเลยนะ...ยุ่นบอก..ไม่ได้รัก..พูดตามหลักการ..

แต่คุมองสำหรับใน North Ameica เนี่ยมันจะลำบากกว่าไง เพราะเค้าให้เด็กใช้เครื่องคิดเลขได้ตั้งแต่เกรด 8 ก้อคือมอสองบ้านเรา..ซึ่งไทยเราให้ใช้ตอนอยู่ในมหาลัย..ฉะนั้นพื้นฐานบวกลบคูณหารเค้าจึงไม่มีความจำเป็นต้องคล่องแบบบ้านเรา...อีกทั้งสูตรต่างๆที่นี่เค้าให้มาตอนสอบ ไม่ต้องจำ..เค้าเน้นการ apply ใช้ให้เป็น...

ยุ่นจึงคิดว่าหากดัดแปลงคุมองเข้ากับสังคมที่นี่ได้ โดยปรับกฏเกณฑ์ต่างๆลงบ้าง ไม่ต้องเหมือนไทยนะ..รับรอง เด็กที่นี่ ได้ A วิชาเลขกันเป็นแถบๆ...55555

กลับมาเรื่อง summer school ของยีน ก้อหวังว่าคุณยีนจะจบวิชา bio ด้วยความราบรื่นและได้คะแนนดังที่ตั้งใจไว้นะคับ...^^

Friday, July 9, 2010

Vancouver Translink









อยู่กรุงเทพ..เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ยุ่นก้อจะขับรถ..ก้อเรียกว่าหลังเรียนจบก้อขับรถเลย... จำได้ว่าพ่อกับแม่ซื้อรถ Toyota Starlet สีดำให้หนึ่งคัน เพื่อให้ยุ่นใช้ขับทำงาน..เพื่อความสะดวกสบาย...และถ้าย้อนลงไป ตั้งแต่เรียนมหาลัยลงไปถึงมัธยมต้นที่พระหฤทัยคอนแวนต์ ยุ่นต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนและก้อมหาลัยเอง

การนั่งรถเมล์บ้านเรา ในสมัยนั้นก้อประมาณสามสิบปีที่แล้ว...ยุ่นก้อต้องใช้วิทยายุทธพอสมควร และก้อเป็นการฝึกวิทยายุทธหลายกระบวนท่าเหมือนกันนะเนี่ย....จริงๆคิดอีกทีก้อดีเหมือนกัน..เหมือนเราเข้าโรงเรียนอะไรที่มันยากแล้วไง ถ้าเราผ่านตรงนี้ได้.. อย่างอื่นก้อสบายมากสำหรับเรา..


ยกตัวอย่างเช่น..การจะขึ้นรถเมล์เมืองไทยไม่ได้ขึ้นกันได้ง่ายๆ..เราต้องวิ่งให้ทันรถเมล์ ตอนขึ้นก้อต้องไวพอควร ไม่งั้นรถออกก่อน บางครั้งเคยเหมือนกันขาขวาเพิ่งขึ้นไป ขาซ้ายยังลอยอยู่เลย..แต่พี่คนขับออกรถไปแล้ว...

หรือเวลาที่อยู่บนรถเนี่ย..ซึ่งส่วนใหญ่ norm ของรถเมล์ไทย คนต้องแน่นเข้าไว้...แล้วเวลาคนแน่นๆเนี่ย..เราเป็นผู้หญิงใช่มะ..ก้อยืนเบียดกับผู้คนมากมาย...ก้อต้องระวังตัวมากกว่าพวกผู้ชาย...บางครั้งพวกโรคจิตก้อมีเหมือนกัน ขโมยขโจรก้อไม่น้อย...ก้อเรียกว่าต้องระวังตัวรอบด้าน จำได้ว่าคุณยายเคยสอนว่า ให้เอาเข็มซ่อนในผ้าเช็ดหน้า ถ้าใครทำมิดีมิร้ายกับเรา ก้อแกล้งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา แล้วจิ้มมันลงไปเลย...แต่ไงอ่ะ..ยุ่นไม่กล้าทำนะ..ตอนนั้นเราก้อยังเด็ก ม.ศ. 2 กลัวว่าถ้าเราทำเค้า แล้วเดี๋ยวเค้าจะทำร้ายเรากลับ...จำได้ว่า..เราก้อพยายามเดินชิดใน และหนีห่างคนประเภทนี้ให้มากที่สุด...

และเวลาอยู่บนรถเมล์ เราต้องมีการทรงตัวที่ดีเยี่ยม...จะยืนอย่างไร ขาเราต้องห่างกันเท่าไร ทำมุมกี่องศา มือต้องยึดจับอย่างไร เพื่อให้ตัวเรา stable ที่สุด...ไม่ว่ารถจะอยู่ในความเร็วเท่าไร..เราต้องมั่นคง..หนักแน่นเข้าไว้...เพราะพี่คนขับ..จะขับรถตามอารมณ์ของพี่ เรียกว่าชีวิตและความปลอดภัยของคนใช้บริการรถเมล์อยู่ในอุ้งเท้าของพี่เค้า...เพราะฉะนั้น...เราต้องตื่นตัว รู้ตัว ระวังตัวตลอด...ซึ่งยุ่นว่า ก้อเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้เราได้เรียนรู้การอยู่รอดในสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง...ซึ่งก้อไม่ได้หาได้ง่ายๆในชีวิตคนๆนึงนะ เพราะบางคนชีวิตนี้อาจไม่เคยขึ้นรถเมล์ โดยเฉพาะรถเมล์ไทย อีกทั้งไม่ได้หาได้ง่ายๆในโลกนี้ เช่นพวกฝรั่งหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว เค้าก้ออาจไม่เคยได้สัมผัสชีวิตแบบนี้...555555


และถ้ายิ่งได้เจอพวกสองแถวของพี่ไทยละก้อ...ขอบอก..เหมือนคุณได้ผ่านประสบการณ์ขั้นเทพในการขึ้นรถเมล์เลยแหละ... >.<


ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย ก้อเพราะพอยุ่นได้มาอยู่ที่แวนคูเวอร์..การจะเดินทางไปไหนมาไหน ถึงแม้ยุ่นจะไม่มีรถใช้ ต้องใช้บริการรถเมล์ที่นี่ ก้อแบบสะดวกสบายมากๆ.. และไม่ต้องเรียนรู้การเอาตัวรอดบนรถเมล์เลย...เพราะเราได้ผ่านความลำบากในการขึ้นรถเมล์ไทยมามาก ..นับตั้งแต่การจะขึ้นรถเมล์หรือขึ้น translink อะไรของเค้า ก้อเข้าแถวหมด...คนขับรถก้อขับดีมาก...นานๆก้อมีเจอเหมือนกันที่ขับรถเร็ว...แต่ก้อไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา ฉะนั้น ที่แวนคูเวอร์การขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าต่างๆ...จึงเป็นเรื่องเรื่องชิวชิว children childern มากๆเลย...

ที่นี่ถ้าเรียกแบบบ้านเราคือ ขสมก. ใช่มะ...ของเค้าจะเป็นของรัฐบาลทั้งหมด..มีสี่ชนิดที่เราสามารถใช้บริการได้
1. Bus
2. Sea Bus
3. Sky Train
4. Canada Line

ทุกอย่างที่บอกมานี่ เราใช้ตั๋วเดือนก้อได้ ซื้อตั๋วเป็นเล่มก้อได้ หรือหยอดเงินเอาแต่ละครั้งก้อได้ ทุกยานพาหนะเนี่ยใช้ตั๋วเหมือนกันหมด...โดยกำหนดหนึ่งตั๋ว 90 นาที นอกจากตั๋วเดือนเท่านั้นที่ไม่มีกำหนดเวลา และใช้ได้ทั้งเดือน..นอกจากนี้ค่าตั๋วจะถูกหรือแพง ขึ้นกับ zone ในการเดินทาง แบ่งเป็นสามโซน ยิ่งไกลก้อยิ่งแพง...

สิ่งที่ยุ่นชอบมากๆของที่นี่คือสี่ยานพาหนะเนี่ย มัน link กันได้หมด..แล้วก้อเวลาจะไปไหนถ้าเราไม่รู้จัก ไม่เคยไป..ไม่ต้องกลัว เราสามารถเข้าไปใน www.translink.ca ซึ่งเป็นของรัฐ เราก้อใส่เลย เราอยู่ที่ไหน จะไปไหน วันไหน เวลาอะไร เค้าจะบอกเราเลยว่าเราสามารถไปที่จุดหมายปลายทางของเราได้กี่วิธี นั่งรถต่ออะไรยังไง..ใช้เวลาเท่าไร ใช้เงินเท่าไร..รถเมล์มาเวลาอะไร..แบบนี้เลยอ่ะ..ถึงที่หมายเวลาอะไร...แบบเวลาเป๊ะๆเลย

เพราะฉะนั้น โอกาสไปถึงที่หมายไม่ตรงเวลามีน้อยมาก...มิน่า คนที่นี่เค้าจะตรงเวลามาก..สมมตินัดสี่โมงใช่มะ..พอเข็มยาวจบเลข 12 นะ กระดิ่งหน้าบ้านดังเลย..แบบเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ...ทำให้เราเรียนรู้ว่า คำว่าตรงเวลาของฝรั่งเนี่ย..มันเป็นอย่างนี้จริงๆ.. อย่างนี้ต้องใช้ on time...และที่นี่เวลานัดนะ จะ on time ทั้งนั้น ไม่ค่อย in time นะ ยุ่นว่าของเค้ากำหนดได้ แต่ยุ่นจะไปก่อนเวลาเสมอนะ..เพราะเราก้อกลัวไม่ทันไง..แบบเราก้อจะยังคิดและติดแบบตอนอยู่เมืองไทย ต้องไปก่อนเวลานัด เผื่อรถติด..

นอกจากนี้ การขึ้นรถเมล์ที่นี่ ขึ้นง่าย ถนนแต่ละสายมีรถเมล์เบอร์เดียว เช่น ถนน 41 ก้อสาย 41 วิ่งทั้งสาย ถนน Main ก้อสาย 3 วิ่งทั้งสาย Fraser ก้อสาย 8 วิ่งทั้งสาย แล้วแบบเวลาเราจะไปไหนใช่มะ เราเพียงรู้ว่าถนนอะไรตัดกับอะไร เราก้อขึ้นรถเมล์ไปเองได้


ยกตัวอย่าง เช่นไปทำงานที่ศูนย์มิสติง ศูนย์คุมองอยู่ระหว่าง 41 ตัดกับ Fraser ถ้าบ้านเราอยู่ 49 เราก้อนั่งเบอร์ 49ไปทาง east เสร็จพอถึงแยก Fraser ก้อลง ต่อสายแปดมุ่งหน้าเข้า downtown เพราะเบอร์น้อยลงแปลว่าเข้า downtown ถ้าหลงทิศแบบยุ่น ก้อจำว่าเห็นภูเขาคือเข้า downtown และพอถึงถนน 41 เราก้อลง เดินนิดหน่อยก้อเจอศูนย์แล้ว..

พูดเนี่ยอาจงง..แต่เวลามาที่นี่นะ แป๊บเดียว นั่งเป็นเลย ง่ายมากๆเลย..และยังมีเรื่องเจ๋งกว่านี้อีกคือ เวลายืนรอรถเมล์แต่ละป้าย ถ้าเราอยากรู้ว่าอีกนานแค่ไหนรถที่เรารอจะมา เราก้อสามารถกดเข้า translink แล้วใส่ number ป้ายที่เรายืนรอรถ..สักพักเค้าก้อจะมีข้อความส่งมาว่าอีกกี่นาที รถจะมาที่ป้ายที่เรารอ...ไม่ได้บอกคันเดียวนะ บอกเป็นลำดับเลยว่าคันแรกอีกกี่นาที คันต่อไปอีกกี่นาที...และขอบอก...ตรงเวลาแบบนั้นจริงๆ...

พูดถึงการขึ้นรถเมล์ ตอนแรกที่มาก้อมีเรื่องฮาเฟอะฟะของยุ่นนะ..เนื่องจากอยู่บ้านเราก้อจะติดนิสัยวิ่งตามรถเมล์ใช่มะ..วันนั้นไปซื้อของกับฮ่ง กำลังข้ามถนนเพื่อจะมาอีกฝั่ง รถเมล์เบอร์ที่เราต้องขึ้นขับมาพอดี แต่ยังไม่จอดป้ายนะ จังหวะที่เรายืนรอไฟเขียวเพื่อข้ามถนน ตายุ่นก้อมองไปที่รถคันนั้น แต่ใจเนี่ยมันขึ้นไปอยู่บนรถแล้ว คือพูดง่ายๆกายละเอียดอยู่บนรถแล้ว แต่กายหยาบยังวนเวียนอยู่บนถนน...และก้อมุ่งมั่นมากว่า "เดี๋ยวฉันต้องขึ้นให้ทันรถคันนี้ให้ได้"


เสร็จพอไฟเขียวปั๊บ เจ๊ก้อวิ่งนำเลย ลืมไปว่าฮ่งมาด้วย..สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสูงเกินไปหน่อย..ฮ่งก้อวิ่งตามมาแล้วเค้าก้อไปยืนต่อแถวคนรอขึ้นรถเมล์.. แต่ยุ่นสิ..ไม่สนใจอะไรเลย พอประตูรถเปิดปั๊บ ก้อวิ่งด้วยอัตราเร็วสูงมาก...ฟ๊วบ...ขึ้นไปอยู่บนรถเมล์แล้ว..
เฮ้อ..ขึ้นทันจนได้..รู้สึกเหมือนปฏิบัติการสำเร็จ..ภูมิใจไงไม่รู้...

ฮ่งก้อเดินมานั่งข้างๆแล้วบอกว่า "ยุ่นทำอะไรรู้ตัวมั้ย"..ยุ่นก้อบอก "ทำไมเหรอ"..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าแบบinnocent สุดๆ ฮ่งบอก...

"ก้อเธอนะวิ่งแซงตัดหน้าคนอื่นที่เค้ายืนรอขึ้นรถเมล์ตรงหน้าประตูรถนะ...ฮ่งก้องงมากเลยนะ..ว่าอะไรวะ เหมือนมีวัตถุที่มีความเร็วสูงมากวิ่งผ่านหน้าไป ตาฮ่งยังไม่ทันกระพริบเลย ไอ้ยุ่นหายไปแล้ว"

ตอนนั้นรู้สึกหน้าแตก แล้วก้ออายสุดๆ..ทำได้ไงเนี่ย แล้วยังไม่รู้อีกว่าตัวเองทำผิด..นี่ดีนะเนี่ยเค้าไม่มาด่าเอา...คือตอนนั้นเดือนเมษา 2008 ไปส่งยีน ยังไม่ได้อยู่ แล้วก้อขึ้นรถเมล์ครั้งที่สองอะไรประมาณนั้น ยังไม่คุ้นกับการเข้าแถว และรอคอยไง..memory เก่าตอนขึ้นรถเมล์ที่เมืองไทย ยังสั่งว่าต้องวิ่งให้ทันรถ...55555 แต่เดี๋ยวนี้ หายแล้วนะ...เดี๋ยวนี้ยืนเข้าแถวเรียบร้อย..ให้คนแก่และเด็กขึ้นก่อน...ดูดีมีวัฒนธรรมมากขึ้นมาก...เข้าเมืองตาหลิ่วก้อต้องหลิ่วตาตาม..


กลับมาเรื่องเดิมดีกว่า...ยิ่งตอนนี้มี Canada Line เนี่ย เค้าจะเชื่อมจุดใหญ่ๆที่คนใช้บริการมากๆ..พอลงจาก Canada Line คุณก้อต่อรถเมล์ หรือ Sky train หรือ Sea bus ก้อได้ เรียกว่าทำมาเพื่อใช้ประโยชน์คุ้มค่า เต็มที่จริงๆ..ยุ่นถึงบอกว่าครอบครัวเราจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อรถเลย..เพราะหากมีรถ..ค่าที่จอดรถเนี่ย แพงมากๆ ขนาดเช่า apartment ก้อต้องเสียค่าเช่าให้รถเราด้วยนะ เดือนนึงก้อ 50 เหรียญ ไปข้างนอก shopping ก้อต้องดูเวลานะ..เค้ามีบอกจอดได้กี่นาที....หรือบางที่ซึ่งก้อส่วนใหญ่ต้องเสียค่าที่จอดรถ ก้อเรียกว่าราคาค่อนข้างสูง..สิ่งเหล่านี้ก้อเป็นอะไรที่เราต้องคำนึงมากเลยในประเทศเหล่านี้...

คือบ้านเราเห็นถนนด้านข้างว่างๆเนี่ย เราจอดได้ แต่ที่นี่หากซี้ซั้วไปจอด.. จะมีผู้ปรารถนาดีโทรศัพท์แจ้งตำรวจ และก้อจะมีตำรวจเอาใบสั่งมาเสียบให้เราที่หน้ารถได้ง่ายๆเลย...เพราะเราไปจอดที่ของคนอื่น..หรืออย่างในห้างเค้าบอกจอดได้หนึ่งชั่วโมง แบบเค้าไม่มีบัตรให้นะเวลาเข้า ไม่มียามไม่มีอะไรเลย..ยุ่นก้อสงสัยทำไม ไม่มีใครดู..อย่างนี้เราก้อจอดได้นานเท่าที่เราต้องการ

แต่เพื่อนบอกไม่ได้..เค้ามีวิธีตรวจเช็ค เค้าจะมีคนตรวจตลอด..ถ้าเราจอดเกินที่เค้าบอก เค้ารู้ และเค้าก้อจะเขียนใบปรับเงินเรา..ซึ่งแพงมากๆนะ ที่นี่นะ..เพราะกฏก้อคือกฏ...และเค้าใช้ honest system เค้าเชื่อใจแต่ก้อมีวิธีตรวจสอบทีเ่ข้มงวด...ฟังแล้วก้อสยองเหมือนกันนะเนี่ย..

ท้ายเรื่องนี้ ยุ่นก้อแนบรูป Bus...Sea Bus...Sky Train & Canada Line....ซึ่งเป็นของ translink ใน Vancouver มาให้ดูด้วย.....ยุ่นว่า Canada line กับ Sky train ก้อคล้ายๆกับ BTS บ้านเรานะ...

Thursday, July 8, 2010

เล็กๆน้อยๆ อีกสักตอน

วันก่อนได้โทรศัพท์กลับบ้านที่ไทย ได้มีโอกาสคุยกับน้องสาว หรือที่เด็กนักเรียนมักจะเรียก"ครูอ้า" ซึ่งน้องสาวก้อเรียนจบอักษรจุฬาและได้ไปเรียนต่อโทที่อเมริกาอยู่เกือบสองปี..คุยกันก้อได้เรียนรู้อะไร....หลายอย่าง

อันแรกเลยที่คุยก้อคือเรื่องความเหงาของการอยู่ต่างแดน คือทำไงก้อไม่มีทางเหมือนบ้านเกิดเมืองนอนของเราหรอก..และภาษาก้อเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ญาติมิตรเพื่อนฝูงก้อไม่ได้มีมาก..มีบ้างแต่ก้อน้อย และยังไงก้อไม่เหมือนบ้านเรา แต่ขณะนี้เราอยู่ที่นี่ เราก้อต้องคิดทุกสิ่งอย่างให้เป็นบวก... bright side ไม่งั้น ไม่มีกำลังใจในการอยู่อย่างแน่นอน..

ฟังที่น้องเราครูอ้าเล่าว่าตอนเค้าเรียนโทที่อเมริกา ก้อไม่ได้มีโอกาสจะพูดกับฝรั่งมากมาย เพราะพวกเค้าก้อไม่ได้จะมาพูดกับเรานะ..คือฝรั่งเนี่ยความเป็นส่วนตัวของเค้าสูงมากๆ...อ้าบอก..ส่วนใหญ่น้องสาวก้ออยู่ในห้องสมุด..อ่านตำรับตำรา ค้นคว้าไป..เพราะเค้าเองก้อต้องปรับในเรื่องของภาษาอย่างมากเช่นกัน..และก้อต้องเรียนรู้การอยู่คนเดียวให้ได้...บางทีนั่งอ่านหนังสือ ก้อคิดถึงที่บ้าน ร้องไห้บ้าง..แต่ก้อต้องอดทน เรียนให้จบให้ได้...

เลยทำให้ยุ่นจำเรื่องที่นุกเคยเล่าให้ฟัง ตอนมาเรียนที่เมืองอเมริกา....นุกก้อบอกเหมือนกันว่านุกก้อนั่งกินข้าวไป ร้องไห้ไป..ทั้ง homesick ทั้งไม่มีเพื่อน ต้องปรับตัวปรับใจ...แต่ในที่สุด..นุกก้อจบโทกลับมาไทยจนได้..

ยุ่นเอง..ชีวิตนี้ไม่เคยคิดอยากอยู่เมืองนอกเลย..เพื่อนที่สนิททุกคนจะรู้ดีว่าเพราะอะไร..เรื่องอาหารการกิน เป็นคนที่มีปัญหามากถึงมากที่สุด..คือจะไม่กินอาหารฝรั่งเลยไง...อย่างตอนสมัยทำงานเป็นผู้แทนบริษัทยา ได้ไปเที่ยวยุโรปบ้าง อเมริกาบ้าง สิบวันบ้างสองอาทิตย์บ้าง กลับไทยเนี่ย จะผอมบางหุ่นเพรียวเลย..เพราะยุ่นจะไม่กินอาหารฝรั่งเลย จนฮ่งปวดหัวมาก..หิวยังไง แฮมเบอร์เกอร์ก้อไม่เคยกินหมดครึ่งอัน...คือมันไม่อยากกิน กินไม่ลง ไม่รู้เป็นไง..

พูดไป..หลายคนอาจไม่เชื่อ..มาแวนคูเวอร์จะสองปีแล้ว ยุ่นไม่เคยกินแฮมเบอร์เกอร์ หรือแซนวิสที่นี่เลยนะ..พิซซ่าเนี่ยน่าจะกินสักสามสี่ชิ้นมั้ง ครั้งแรกกินเพราะไปอบรมคุมองเด็กเล็ก เค้าเลี้ยงพิซซ่า แล้วก้ออีกสองสามครั้ง ต้องกินเพราะลูกชายบังคับให้กิน บอกแม่ต้องเรียนรู้การปรับตัวบ้างนะ..เลยพยายาม..แต่ก้อยังไม่มากพอ..

อันนี้ก้อเป็นการปรับตัวในเรื่องอาหารการกิน ซึ่งยีนกับฮ่งเค้าจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย..ซึ่งเป็นเรื่องเล็กมาก...ยุ่นก้อยังลำบากขนาดนี้....แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของการอยู่เมืองนอกเนี่ย ยุ่นว่าการปรับใจ..ซึ่งทุกคนต้องทำให้ได้...ยกตัวอย่าง...คือยีนเนี่ย..ทีแรกเราก้อเห็นว่าเค้ามีเพื่อนมากมาย..เล่นดนตรีก้อมีคนกรีดกร๊าดร้องเรียก ยุ่นก้อไม่คิดว่าเค้าเอง เค้าก้อมีปัญหาในเรื่องเพื่อนพอควร...

อาจเนื่องจากเป็นวัยรุ่น...อารมณ์อ่อนไหว ต้องการการยอมรับ หลายเรื่อง..มีวันนึงเค้าก้อแบบเหมือนทนไม่ได้ ระเบิดออกมาเลยนะ..เพราะคงเครียดเรื่องจะเข้ามหาลัยด้วยไง..ทีแรก พ่อกับแม่คิดว่าจะให้เรียน business เพราะน่าจะไม่ยาก แต่ปรากฏยากสุด..เค้าคงเครียดทั้งเรื่องเรียนหนึ่ง เสร็จเพื่อนๆอยู่ดีๆก้อมาห่างเหิน..ไม่ค่อยชวนคุย ไม่ค่อยชวนไปเที่ยว..คือไม่เฮฮาเหมือนก่อน....เค้าบอก..บางทีอยู่ในกลุ่มเพื่อนก้อไม่ได้คุยอะไร ฟังพวกเค้าพูดไป..เวลายีนพูด บางทีเค้าก้อไม่เห็นสนใจฟังยีนเลย...ยุ่นคิดว่ายีนเลยน้อยใจ เสียใจ และยิ่งเปรียบเทียบกับตอนอยู่ไทย เพื่อนก้อมาก เพื่อนก้อรัก...คุยกันถูกคอ...ยิ่งคิดก้อคงยิ่งเศร้า..

ไอ้เรา..ก้อไม่รู้ว่าลูกมีปัญหาแบบนี้ ก้อตกใจนะทีแรก..เสร็จ ก้ออธิบายให้เค้าฟังว่า การที่เพื่อนเป็นแบบนี้อาจเพราะ ตอนนี้ใกล้สอบปลายภาค บางคนก้อกำลังจะจบ 12 เค้าก้อคงต้องหาที่เรียน..แล้วมันกำลังจะ final ทุกคนก้อต้องรับผิดชอบในหน้าที่การเรียนมากขึ้น จะมาเฮฮาปาร์ตี้ตลอด ไม่ได้ ชีวิตคนเรามันก้อมีหลายมุมนะ..จะมีแต่มุมสนุกสนาน..คงไม่ได้...ในหลายๆครั้งเราก้อต้องจริงจังกับชีวิตบ้างเหมือนกัน...

ต่อให้อยู่ไทยก้อเหอะ...พอขึ้นมอ.หกนะ แม่ว่าพวกเพื่อนๆยีนก้อต้องเป็นแบบนี้ คือซีเรียสขึ้น แต่อันนี้มันก้อมีเรื่องภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างเข้ามาผสมด้วย..จึงทำให้ยีน sick มาก อย่างตอนแม่อยู่ม.ศ.5 ที่เตรียม บรรยากาศมันก้อไม่เหมือน ม.ศ.4 คือมันเครียดขึ้น ไม่มันส์เหมือน ม.ศ.4 ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ ต้องพยายาม..ก้อเครียดและเหนื่อยมากเหมือนกันนะ..ฉะนั้น..ยีนต้องพยายามเข้าใจเรื่องนี้นะ..ว่าสิ่งนี้มันจะต้องเกิด...และเมื่อเกิดเราต้องยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้...(อันนี้เนี่ย..โสกับนุกว่าจริงมั้ย..จำบรรยากาศตอนนั้นได้มั้ย? ช่วงม.ศ.5 แล้วก้อใกล้เอ็น..นะ..)

นอกจากนี้ยีนก้อบ่นอีก..เนี่ยถ้าเป็นภาษาไทยนะ เวลาอ่านหนังสือคงเร็วขึ้น แม่รู้มั้ยยีนอ่านเคมีนะ ต้องอ่านถึงสามสี่รอบจึงเข้าใจ ถ้าเป็นภาษาไทย อ่านรอบเดียวก้อคงรู้เรื่อง...เริ่มสับสนในชีวิต...แล้วก้อพาลเกเรไปทุกเรื่อง...

ยุ่นก้อบอกเค้าว่า อ่านเคมีที่นี่สามสี่รอบแล้วเข้าใจเนี่ย แปลว่าคุณใช้ได้นะ.( 55555 Great!! Well done!!. เริ่มนำมาปรับใช้แล้ว )....เพราะเวลาเรียนเป็นภาษาไทย แม่ก้อต้องอ่านสามสี่รอบเหมือนกัน อ่านไปต้องคิดทำความเข้าใจนะ..ไม่ใช่ว่าเป็นภาษาไทยก้อไม่ต้องคิดอะไร...เหมือนกัน...เพราะตำราที่บ้านเราก้อมาจากของฝรั่ง..เพียงแต่ลูกเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น จริงๆยีนเก่งมากเลยนะ ที่อ่านสามสี่รอบแล้วเข้าใจ เพราะเป็นแม่ไม่รู้ว่าต้องอ่านมากกว่านี้มั้ยถึงเข้าใจ...

และหลังจากนั้นไม่นาน ผลสอบออกมา ยีนก้อได้คะแนนค่อนข้างสูง ในขณะที่เพื่อนที่เกิดที่นี่เลย เจ้าของภาษาเลย ได้คะแนนกันต่ำมาก..ถึงขั้นตกเลยก้อไม่น้อย.....จึงทำให้เค้าเข้าใจ และอารมณ์ดีขึ้น....ตามลำดับ...

และนี่ก้อคืออีกหนึ่งปัญหา..คือการปรับใจ..ยิ่งพวกวัยรุ่นเนี่ย...ถ้าแบบบางวัยรุ่นก้อโอเคนะ เข้มแข้ง...หนักแน่น มีเหตุผล...ก้อเอาตัวเองรอด....แต่ลูกเราเป็นวัยรุ่นแบบ art art นะ..แบบ sensitive ค่อนข้างมาก...ก้อต้องคอยแนะนำ พูดคุยกันไปเรื่อยๆ.. บางครั้งด้วยประสบการณ์ที่น้อย รวมทั้งการเป็นลูกคนเดียว...ก้อไม่รู้จะไปคุยกับใคร ไม่มีตัวอย่างให้เห็น...พ่อกับแม่ก้อต้องเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งแม่ เข้าใจและเป็นกำลังใจให้...เพื่อให้เค้าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง...

ทั้งๆที่ตัวแม่เอง ก้อต้องปรับใจมากเหมือนกัน เพราะตอนที่ยีนพูดเรื่องเพื่อนที่นี่นะ...ยุ่น get เลย มันเป็นแบบนั้นจริงๆ..ที่นี่ เค้าแบบวัฒนธรรมไม่เหมือนเราไง...เราก้อไม่เข้าใจว่าเค้าคิดไง..เค้าก้อไม่เข้าใจว่าเราคิดไง...มันจึงทำให้เหมือนมีอะไรบางอย่างขวางอยู่..และเราก้อมาอยู่ที่นี่เอาตอนกลางคนขนาดนี้ เราก้อคุ้นกับของเก่าๆของเรามาครึ่งชีวิตแล้ว จะให้เปลี่ยนนะ ไม่ใช่ง่ายนะ..ยกตัวอย่างเช่นคำว่า deposit พูดผิดเรื่อยเลยตอนไปฝากเงิน..ก้อฝึกจนคิดว่าจำได้แล้วนะ...พอพูดของเก่าขึ้นมา...ทำให้งงเลยว่าตกลงอันไหนเนี่ยที่มันถูก...เดี๋ยวต้องไปฟังเค้าพูดอีกรอบ...แบบมันอยู่ใน memory แล้วไง..แก้เนี่ยยาก...แต่อย่างยีนเนี่ย เค้าจะเร็ว..คือพอครูหรือเพื่อน correct ให้ เค้าจะจำได้ และพูดไม่ผิดแบบเรา..

และวันนี้ก้อคงเป็นเรื่องของใจ...ที่เราต้องปรับกันมาก...ในการมาอยุ่เมืองนอก...แต่มนุษย์นะ..ยังไงก้อปรับได้นะยุ่นว่า เพียงแต่..เราคิดว่านั่นคือความสุขที่เราต้องการรึปล่าว..เท่านั้นเอง...

Friday, July 2, 2010

It's a good answer!!!

วันก่อนได้มีโอกาสนั่งดูทีวีกับยีน กับฮ่งพร้อมกันทั้งครอบครัว..นานๆทีจะมีหน เพราะยีนเค้าจะชอบรายการไม่ค่อยเหมือนพ่อกับแม่..ก้อเรียกว่าต้องมีการจัดเวลาจัดคิวดูทีวีกัน เพื่อจะไ้ด้ไม่ต้องวิวาทกันภายในครอบครัว......>-<

พอดีวันนั้นก้อดูรายการเกมส์โชว์แหละ.. Family Fued เป็นแบบสองทีมแข่งกัน ทีมหนึ่งก้อมีห้าคนได้ แล้วก้อตอบคำถามที่เค้าถาม..และดูว่าตรงกับคำตอบที่เค้า survey มามั้ย..ที่ไทยก้อมีคล้ายๆกัน แต่จำชื่อรายการไม่ได้ น่าจะอยู่ช่องสาม

คราวนี้..ที่ตลกก้อคือเวลาเพื่อนร่วมทีมตอบใช่มะ..อึม อย่างยกตัวอย่างเช่น..คุณคิดว่าคู่สามีภรรยาใช้อะไรร่วมกันบ้าง?? เค้าก้อจะถามเรียงคน..พอคนนั้นตอบคำถามเสร็จ เพื่อนร่วมทีมที่เหลือทุกคนจะพูดว่า " Great. It's a good answer!!!" แบบว่าเป็นแบบนี้ตลอดเลยนะ..คือทุกคน ทุกทีม ยังไม่รู้นะว่าคำตอบนั้นถูกมั้ย.. แบบที่นี่เราจะเห็นอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก้อคือ เค้าจะชม..ให้เกียรติ..ไม่ว่าคำตอบนั้นๆ จะเป็นอย่างไร..ทั้งที่บางทีเราฟังแล้วมันไม่เห็นเข้าท่าเลย...แต่เค้าก้อจะบอกว่าดี ดีมาก..เป็นคำตอบที่ดี...

ซึ่งครอบครัวเราก้อจะนั่งแซวกันว่า คำตอบดีตลอดเลย...ไม่รู้ถูกหรือผิด goodหมดเลย..แล้วก้อขำ..เพราะมันเป็นแบบนี้ทุกคำถาม และดูให้ดี ก้อเป็นทุกรายการนะ....อันนี้ก้อนิสัยพี่ไทยเราก้อเป็นแบบนี้แหละ.. ชอบจับผิด...5555


หรือเวลายุ่นเรียนหนังสือก้อเหมือนกัน ครูเค้าให้อ่านเรื่องที่เราแต่งมา..หรือเราแต่งประโยคแล้วก้ออ่านให้เพื่อนฟัง..ครูก้อจะพูดนำประโยคแรกทุกครั้งว่า Good... Excellent .... Well done...Good job!! แบบเค้าจะชมก่อนทุกครั้งเลย เรียกว่าเป็น culture ของเค้าเลยแหละ...

ยุ่นก้อมาคิดนะ..เวลาครูชมเนี่ย เราเกิดความรู้สึกดีก่อนเลยนะ...แบบบางทีไอ้เรื่องที่เราเขียนหรือประโยคที่เขียนนะ..เราไม่ค่อยอยากอ่าน เพราะบางทีรู้สึกมันไม่ค่อยเข้าท่าไงไม่รู้ แต่พอเค้าชม..ความรู้สึกเราจะดีขึ้น..และยุ่นก้อคิดว่า อึม..ครูเค้าก้อไม่เห็นว่าอะไร..แล้วเค้าก้อจะพูดกับเราดีๆนะว่า อึม..ถ้าหากตรงนี้นะ เสริมนั่นเติมนี่ เปลี่ยนโน้นนิดนี่หน่อยนะ..บทความคุณจะยิ่ง perfect มาก..ยุ่นว่าเค้ามีวิธีเรียกขวัญและกำลังใจดี..ทำให้ครั้งต่อไปที่เค้าเรียกให้อ่านเนี่ย..เรากล้าและอยากอ่านขึ้นมากเลย..

ไม่รู้นะ..ยุ่นว่าดีอะ..แล้วยุ่นสังเกตุนะ..ฝรั่งจะเป็นแบบนี้ร้อยละร้อย..คือเค้าจะชมก่อน..ไม่ว่าจะธรรมดา เค้าก้อชมไว้ก่อน..อันนี้เค้าชมแบบจริงใจนะ..ไม่ใช่ชมไปอย่างนั้น...มองในแง่ดีคือเค้าให้เกียรติเรา และรับฟังทุกๆความคิดเห็น...และทำให้เราเองก้อมีกำลังใจและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นด้วย..มันเป็นจิตวิทยาเหมือนกันนะ..

ยุ่นว่า..การชมมันเป็นอะไรที่ดีนะ...มันเป็นการทำให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพบวกก่อน..เหมือนสร้างบรรยากาศที่ดีก่อน..อันนี้เนี่ย..เราน่าจะนำมาปรับใช้ได้ทั้งในครอบครัว..พ่อแม่ลูก...ในโรงเรียน..ครูกับลูกศิษย์ และก้อในที่ทำงาน ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องนะ...ยุ่นว่าอันนี้ยุ่นต้องจดจำและลองนำมาปฎิบัติบ้าง..... It's a good answer!