Thursday, July 8, 2010

เล็กๆน้อยๆ อีกสักตอน

วันก่อนได้โทรศัพท์กลับบ้านที่ไทย ได้มีโอกาสคุยกับน้องสาว หรือที่เด็กนักเรียนมักจะเรียก"ครูอ้า" ซึ่งน้องสาวก้อเรียนจบอักษรจุฬาและได้ไปเรียนต่อโทที่อเมริกาอยู่เกือบสองปี..คุยกันก้อได้เรียนรู้อะไร....หลายอย่าง

อันแรกเลยที่คุยก้อคือเรื่องความเหงาของการอยู่ต่างแดน คือทำไงก้อไม่มีทางเหมือนบ้านเกิดเมืองนอนของเราหรอก..และภาษาก้อเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ญาติมิตรเพื่อนฝูงก้อไม่ได้มีมาก..มีบ้างแต่ก้อน้อย และยังไงก้อไม่เหมือนบ้านเรา แต่ขณะนี้เราอยู่ที่นี่ เราก้อต้องคิดทุกสิ่งอย่างให้เป็นบวก... bright side ไม่งั้น ไม่มีกำลังใจในการอยู่อย่างแน่นอน..

ฟังที่น้องเราครูอ้าเล่าว่าตอนเค้าเรียนโทที่อเมริกา ก้อไม่ได้มีโอกาสจะพูดกับฝรั่งมากมาย เพราะพวกเค้าก้อไม่ได้จะมาพูดกับเรานะ..คือฝรั่งเนี่ยความเป็นส่วนตัวของเค้าสูงมากๆ...อ้าบอก..ส่วนใหญ่น้องสาวก้ออยู่ในห้องสมุด..อ่านตำรับตำรา ค้นคว้าไป..เพราะเค้าเองก้อต้องปรับในเรื่องของภาษาอย่างมากเช่นกัน..และก้อต้องเรียนรู้การอยู่คนเดียวให้ได้...บางทีนั่งอ่านหนังสือ ก้อคิดถึงที่บ้าน ร้องไห้บ้าง..แต่ก้อต้องอดทน เรียนให้จบให้ได้...

เลยทำให้ยุ่นจำเรื่องที่นุกเคยเล่าให้ฟัง ตอนมาเรียนที่เมืองอเมริกา....นุกก้อบอกเหมือนกันว่านุกก้อนั่งกินข้าวไป ร้องไห้ไป..ทั้ง homesick ทั้งไม่มีเพื่อน ต้องปรับตัวปรับใจ...แต่ในที่สุด..นุกก้อจบโทกลับมาไทยจนได้..

ยุ่นเอง..ชีวิตนี้ไม่เคยคิดอยากอยู่เมืองนอกเลย..เพื่อนที่สนิททุกคนจะรู้ดีว่าเพราะอะไร..เรื่องอาหารการกิน เป็นคนที่มีปัญหามากถึงมากที่สุด..คือจะไม่กินอาหารฝรั่งเลยไง...อย่างตอนสมัยทำงานเป็นผู้แทนบริษัทยา ได้ไปเที่ยวยุโรปบ้าง อเมริกาบ้าง สิบวันบ้างสองอาทิตย์บ้าง กลับไทยเนี่ย จะผอมบางหุ่นเพรียวเลย..เพราะยุ่นจะไม่กินอาหารฝรั่งเลย จนฮ่งปวดหัวมาก..หิวยังไง แฮมเบอร์เกอร์ก้อไม่เคยกินหมดครึ่งอัน...คือมันไม่อยากกิน กินไม่ลง ไม่รู้เป็นไง..

พูดไป..หลายคนอาจไม่เชื่อ..มาแวนคูเวอร์จะสองปีแล้ว ยุ่นไม่เคยกินแฮมเบอร์เกอร์ หรือแซนวิสที่นี่เลยนะ..พิซซ่าเนี่ยน่าจะกินสักสามสี่ชิ้นมั้ง ครั้งแรกกินเพราะไปอบรมคุมองเด็กเล็ก เค้าเลี้ยงพิซซ่า แล้วก้ออีกสองสามครั้ง ต้องกินเพราะลูกชายบังคับให้กิน บอกแม่ต้องเรียนรู้การปรับตัวบ้างนะ..เลยพยายาม..แต่ก้อยังไม่มากพอ..

อันนี้ก้อเป็นการปรับตัวในเรื่องอาหารการกิน ซึ่งยีนกับฮ่งเค้าจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย..ซึ่งเป็นเรื่องเล็กมาก...ยุ่นก้อยังลำบากขนาดนี้....แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของการอยู่เมืองนอกเนี่ย ยุ่นว่าการปรับใจ..ซึ่งทุกคนต้องทำให้ได้...ยกตัวอย่าง...คือยีนเนี่ย..ทีแรกเราก้อเห็นว่าเค้ามีเพื่อนมากมาย..เล่นดนตรีก้อมีคนกรีดกร๊าดร้องเรียก ยุ่นก้อไม่คิดว่าเค้าเอง เค้าก้อมีปัญหาในเรื่องเพื่อนพอควร...

อาจเนื่องจากเป็นวัยรุ่น...อารมณ์อ่อนไหว ต้องการการยอมรับ หลายเรื่อง..มีวันนึงเค้าก้อแบบเหมือนทนไม่ได้ ระเบิดออกมาเลยนะ..เพราะคงเครียดเรื่องจะเข้ามหาลัยด้วยไง..ทีแรก พ่อกับแม่คิดว่าจะให้เรียน business เพราะน่าจะไม่ยาก แต่ปรากฏยากสุด..เค้าคงเครียดทั้งเรื่องเรียนหนึ่ง เสร็จเพื่อนๆอยู่ดีๆก้อมาห่างเหิน..ไม่ค่อยชวนคุย ไม่ค่อยชวนไปเที่ยว..คือไม่เฮฮาเหมือนก่อน....เค้าบอก..บางทีอยู่ในกลุ่มเพื่อนก้อไม่ได้คุยอะไร ฟังพวกเค้าพูดไป..เวลายีนพูด บางทีเค้าก้อไม่เห็นสนใจฟังยีนเลย...ยุ่นคิดว่ายีนเลยน้อยใจ เสียใจ และยิ่งเปรียบเทียบกับตอนอยู่ไทย เพื่อนก้อมาก เพื่อนก้อรัก...คุยกันถูกคอ...ยิ่งคิดก้อคงยิ่งเศร้า..

ไอ้เรา..ก้อไม่รู้ว่าลูกมีปัญหาแบบนี้ ก้อตกใจนะทีแรก..เสร็จ ก้ออธิบายให้เค้าฟังว่า การที่เพื่อนเป็นแบบนี้อาจเพราะ ตอนนี้ใกล้สอบปลายภาค บางคนก้อกำลังจะจบ 12 เค้าก้อคงต้องหาที่เรียน..แล้วมันกำลังจะ final ทุกคนก้อต้องรับผิดชอบในหน้าที่การเรียนมากขึ้น จะมาเฮฮาปาร์ตี้ตลอด ไม่ได้ ชีวิตคนเรามันก้อมีหลายมุมนะ..จะมีแต่มุมสนุกสนาน..คงไม่ได้...ในหลายๆครั้งเราก้อต้องจริงจังกับชีวิตบ้างเหมือนกัน...

ต่อให้อยู่ไทยก้อเหอะ...พอขึ้นมอ.หกนะ แม่ว่าพวกเพื่อนๆยีนก้อต้องเป็นแบบนี้ คือซีเรียสขึ้น แต่อันนี้มันก้อมีเรื่องภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างเข้ามาผสมด้วย..จึงทำให้ยีน sick มาก อย่างตอนแม่อยู่ม.ศ.5 ที่เตรียม บรรยากาศมันก้อไม่เหมือน ม.ศ.4 คือมันเครียดขึ้น ไม่มันส์เหมือน ม.ศ.4 ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ ต้องพยายาม..ก้อเครียดและเหนื่อยมากเหมือนกันนะ..ฉะนั้น..ยีนต้องพยายามเข้าใจเรื่องนี้นะ..ว่าสิ่งนี้มันจะต้องเกิด...และเมื่อเกิดเราต้องยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้...(อันนี้เนี่ย..โสกับนุกว่าจริงมั้ย..จำบรรยากาศตอนนั้นได้มั้ย? ช่วงม.ศ.5 แล้วก้อใกล้เอ็น..นะ..)

นอกจากนี้ยีนก้อบ่นอีก..เนี่ยถ้าเป็นภาษาไทยนะ เวลาอ่านหนังสือคงเร็วขึ้น แม่รู้มั้ยยีนอ่านเคมีนะ ต้องอ่านถึงสามสี่รอบจึงเข้าใจ ถ้าเป็นภาษาไทย อ่านรอบเดียวก้อคงรู้เรื่อง...เริ่มสับสนในชีวิต...แล้วก้อพาลเกเรไปทุกเรื่อง...

ยุ่นก้อบอกเค้าว่า อ่านเคมีที่นี่สามสี่รอบแล้วเข้าใจเนี่ย แปลว่าคุณใช้ได้นะ.( 55555 Great!! Well done!!. เริ่มนำมาปรับใช้แล้ว )....เพราะเวลาเรียนเป็นภาษาไทย แม่ก้อต้องอ่านสามสี่รอบเหมือนกัน อ่านไปต้องคิดทำความเข้าใจนะ..ไม่ใช่ว่าเป็นภาษาไทยก้อไม่ต้องคิดอะไร...เหมือนกัน...เพราะตำราที่บ้านเราก้อมาจากของฝรั่ง..เพียงแต่ลูกเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น จริงๆยีนเก่งมากเลยนะ ที่อ่านสามสี่รอบแล้วเข้าใจ เพราะเป็นแม่ไม่รู้ว่าต้องอ่านมากกว่านี้มั้ยถึงเข้าใจ...

และหลังจากนั้นไม่นาน ผลสอบออกมา ยีนก้อได้คะแนนค่อนข้างสูง ในขณะที่เพื่อนที่เกิดที่นี่เลย เจ้าของภาษาเลย ได้คะแนนกันต่ำมาก..ถึงขั้นตกเลยก้อไม่น้อย.....จึงทำให้เค้าเข้าใจ และอารมณ์ดีขึ้น....ตามลำดับ...

และนี่ก้อคืออีกหนึ่งปัญหา..คือการปรับใจ..ยิ่งพวกวัยรุ่นเนี่ย...ถ้าแบบบางวัยรุ่นก้อโอเคนะ เข้มแข้ง...หนักแน่น มีเหตุผล...ก้อเอาตัวเองรอด....แต่ลูกเราเป็นวัยรุ่นแบบ art art นะ..แบบ sensitive ค่อนข้างมาก...ก้อต้องคอยแนะนำ พูดคุยกันไปเรื่อยๆ.. บางครั้งด้วยประสบการณ์ที่น้อย รวมทั้งการเป็นลูกคนเดียว...ก้อไม่รู้จะไปคุยกับใคร ไม่มีตัวอย่างให้เห็น...พ่อกับแม่ก้อต้องเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งแม่ เข้าใจและเป็นกำลังใจให้...เพื่อให้เค้าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง...

ทั้งๆที่ตัวแม่เอง ก้อต้องปรับใจมากเหมือนกัน เพราะตอนที่ยีนพูดเรื่องเพื่อนที่นี่นะ...ยุ่น get เลย มันเป็นแบบนั้นจริงๆ..ที่นี่ เค้าแบบวัฒนธรรมไม่เหมือนเราไง...เราก้อไม่เข้าใจว่าเค้าคิดไง..เค้าก้อไม่เข้าใจว่าเราคิดไง...มันจึงทำให้เหมือนมีอะไรบางอย่างขวางอยู่..และเราก้อมาอยู่ที่นี่เอาตอนกลางคนขนาดนี้ เราก้อคุ้นกับของเก่าๆของเรามาครึ่งชีวิตแล้ว จะให้เปลี่ยนนะ ไม่ใช่ง่ายนะ..ยกตัวอย่างเช่นคำว่า deposit พูดผิดเรื่อยเลยตอนไปฝากเงิน..ก้อฝึกจนคิดว่าจำได้แล้วนะ...พอพูดของเก่าขึ้นมา...ทำให้งงเลยว่าตกลงอันไหนเนี่ยที่มันถูก...เดี๋ยวต้องไปฟังเค้าพูดอีกรอบ...แบบมันอยู่ใน memory แล้วไง..แก้เนี่ยยาก...แต่อย่างยีนเนี่ย เค้าจะเร็ว..คือพอครูหรือเพื่อน correct ให้ เค้าจะจำได้ และพูดไม่ผิดแบบเรา..

และวันนี้ก้อคงเป็นเรื่องของใจ...ที่เราต้องปรับกันมาก...ในการมาอยุ่เมืองนอก...แต่มนุษย์นะ..ยังไงก้อปรับได้นะยุ่นว่า เพียงแต่..เราคิดว่านั่นคือความสุขที่เราต้องการรึปล่าว..เท่านั้นเอง...

No comments:

Post a Comment