Saturday, August 28, 2010

Job Search Workshop 1

เริ่มต้นเลยก้อคือยุ่นต้องติดต่อหน่วยงานที่ชื่อว่า Multicultural Helping House Society ภายใต้โปรแกรม "Bamboo Network Fast Track" แล้วก้อบอกว่าเราสนใจเข้าร่วม Job Search Workshop....

เค้าก้อจะคุยกับเรา..แล้วก้อดูว่าเรามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในโปรแกรมนี้ได้มั้ย..เช่น

1. เราต้องเป็น new immigrant ที่อยุ่ที่นี่น้อยกว่าห้าปี..
2. เราต้อง unemployed หรือ
3. เราต้องอยู่ระหว่างได้รับ EI ซึ่งก้อคือเราถูก lay off และได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ หรือ
4. เราทำงาน part time สัปดาห์หนึ่งน้อยกว่ายี่สิบชั่วโมง..

.อย่างใดอย่างหนึ่งในสี่อย่างนี้ ถ้าเรามีคุณสมบัติแม้เพียงอันเดียวเราก้อสามารถเข้าร่วมworkshopนี้ได้เลย...คือพูดง่ายๆว่า รัฐบาลให้หน่วยงานพวกนี้มาช่วยคนที่ตกงาน หรือยังหางานไม่ได้ หรือทำให้คนที่จ่ายภาษีให้รัฐน้อยไป..ทำให้เค้าจ่ายภาษีให้มากขึ้นกว่านี้..อะไรประมาณนี้แหละ..

ยุ่นก้อเข้าโปรแกรมนี้ด้วยสาเหตุที่ทำงานสัปดาห์หนึ่งน้อยกว่ายี่สิบชั่วโมง...ข้อสุดท้ายเลย..

คนที่มาร่วม workshop ส่วนใหญ่ก้อเป็นฟิลิปปินส์..นี่ก้อเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคนฟิลิปปินส์ เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไปเข้าชุมชนไหน..หรือโปรแกรมอะไร ก้อมักเจอคนจีน...อันนี้ก้อเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ แล้วก้อได้เจอคนอิหร่านหนึ่งคนด้วย..

ทั้งหมดทั้งห้องก้อมีหกคน..อิหร่านหนึ่งไทยหนึ่ง ที่เหลืออีกสี่คนเป็นฟิลิปปินส์...ก้อต้องบอกว่าพวกฟิลิปปินส์เค้าก้อออกมาทำงานในแคนาดาและ immigrate เข้ามาในแคนาดามากพอสมควร ทำให้ชุมชนของเค้าใหญ่พอที่จะตั้งเป็น community เล็กๆแบบนี้ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนฟิลิปปินส์ด้วยกัน...ก้อต้องบอกว่าเค้าไม่ธรรมดานะ...

และเนื่องจากความที่เราก้อเป็นชาวเอเชียด้วยกัน..ก้อจะมีแนวคิดที่คล้ายๆกัน...อย่างไรก้อตาม..เราก้อต้องเรียนรู้ในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่ของ North America เพราะมันก้อมีหลายอย่างที่แตกต่างกันจริงๆ..โดยเฉพาะในการสมัครงาน หางาน ซึ่งยุ่นเองก้อ blank มากเลย..เพราะทีแรกที่มา..เมือ่สองปีก่อน...อยากจะเข้าโปรแกรมพวกนี้ ฮ่งบอกอย่าเสียเวลา...มันยากมากที่จะหางาน..ก้อเลย short cut ไปทางมิสติง...ตอนนี้..ผ่านมาสองปีแล้ว จึงได้มีโอกาสมาเรียนรู้..ก้อเพราะความอยากได้ชุดฟรีนี่แหละ..ก้อเรียกว่าค่อนข้างช้าเหมือนกัน..

และนี่ก้อคือวัฒนธรรมที่แตกต่างที่ยุ่นได้เรียนรู้จาก workshop นี้ :

1. แคนาดาจะมีลักษณะของการเปิดเผย honest...." people should be open and honest and say what they think, but they should be polite and speak in a way that is considerate of other people's feeling."

ในขณะที่เอเชียจะมีลักษณะของการรักษาหน้า...เค้าใช้คำว่า saving face...เอเชียจะไม่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง จะแบบถนอมความรู้สึกของคนอื่นโดยเก็บความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้..

2. แคนาดาทุกคนมีความเท่าเทียมกันในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง ทุกคนเท่ากันหมด..เค้าจะเรียก first name เลย ถึงแม้จะเป็นผู้จัดการ..อย่างที่ทำงานฮ่ง ฮ่งก้อจะเรียกผู้จัดการเค้าโดยเรียกชื่อเค้าเลย เช่น Dennis และหัวหน้าก้อไม่ได้นั่งบัญชาการที่โต๊ะตัวเอง..เค้าก้อต้องทำงานเหมือนลูกน้องได้...อึม..ก้อจริงนะ..มิสติงก้อทำงานทุกอย่าง..เค้าเคยเค้าไปทำความสะอาดห้องน้ำด้วยตัวเองเลย..

แต่อันนี้จะแตกต่างในเอเชีย อย่างจีนเค้าจะเรียกชื่อตำแหน่งก่อน แล้วตามด้วย last name หรืออย่างบ้านเรา เราก้อแบบอาจต้องเรียกผู้จัดการค่ะ....หัวหน้าคะ..อะไรประมาณนี้

3. แคนาดาที่นี่หลังจากเค้ารับเราเข้าทำงาน..หลังจาก train เสร็จ เช่นอาจหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้น..คุณต้องสามารถทำงานได้ด้วยตัวคุณเอง แบบ process ทุกอย่างเอง เวลามีปัญหา แก้เอง..เค้าไม่ได้คาดหวังให้เรามาถามหัวหน้าทุกครั้งที่เราเจอปัญหา แบบเราต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง หรือเรียนรู้ที่จะหาข้อมูลด้วยตัวเอง..เค้าจะไม่ชอบหากเราถามหลังจากจบการ train

ซึ่งเอเชียจะแตกต่างเพราะเราจะถูกบอกให้ทำตามคำสั่ง..ทำอะไร อย่างไร

4. แคนาดา การเสนอความคิดเห็นแปลกใหม่ เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ เค้าจะมีการยอมรับ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์กรตลอดเวลา ในขณะที่บางวัฒนธรรมของเอเชีย จะเป็นแบบเราต้อง respect คนรุ่นเก่า และก้อเดินตามแนวทางของผู้ใหญ่ที่นำเรา..

5. แคนาดาจะทำงานแบบต้อง save time and be organized ใช้ schedule and time management techniques และในทางธุรกิจการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากๆเลย..

แต่อย่างเอเชียเช่น Indonesia คนจะทำงานแบบเรื่อยๆสบายๆไม่ rush เวลาจะยืดหยุ่นและก้อแบบถ้าทำวันนี้ไม่เสร็จก้อมาต่อวันพรุ่งนี้..

6. แคนาดาจะเน้นการวัดผลแบบ short term goals วัดผลทุก quarter แต่เอเชียอย่างบางประเทศเช่น ญี่ปุ่นจะวัดผลในระยะยาว...เป็น long term goal

7. แคนาดาจะเป็นแนว individualism & privacy คือเค้าจะ respect individual needs, personal property and privacy เช่นการถามเงินเดือนหรือค่าแรงเป็นเรื่องที่เค้าจะไม่ถามกัน ถือเป็นมารยาทในสังคม.....แต่เอเชียเช่นจีน..ความสำคัญของกลุ่มจะมาก่อน..เช่น people tend to consult the group before making decision และการถามเรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถถามได้..

8. แคนาดาเวลาทำงานก้อคืองาน...เค้าจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับงาน ในขณะที่บางประเทศเช่น Scandinavian countries จะให้ความสำคัญของครอบครัวมากกว่างาน คือครอบครัวมาก่อน

9. แคนาดาเป็นพวกวัตถุนิยม..ขณะที่เอเชียหลายๆประเทศจะเน้นในเรื่องของจิตใจมากกว่า

10. Action and achievement มีคุณค่าหรือความสำคัญในสังคม North America ..ขณะที่สังคมเอเชียหลายๆประเทศยังยึดติดกับความสัมพันธ์กันมากกว่า ยกตัวอย่าง ในตะวันออกกลาง ผู้นำทางธุรกิจจะใช้เวลานานกว่าในการทำความรู้จักกันก่อนเจรจาธุรกิจ ซึ่งต่างจาก North America จะใช้เวลาคุ้นเคยกันเร็วกว่า

11. สังคม North America จะมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด..คุณจะเรียนรู้เมื่อไรก้อได้ อายุเท่าไรก้อเรียนได้ เป็นธรรมดาที่บริษัทจะให้พนักงานไป train งาน..เข้า workshop seminar หรือแม้กระทั่งจ่ายสตางค์ให้พนักงานเรียนตอนเย็น..ในขณะที่สังคมเอเชียจะเรียนกันให้เสร็จก่อน เช่นเด็กจะเรียนจนจบมหา' ลัย และก้อดูเหมือนจะหยุดการเรียนไว้แค่นั้น จากนั้นก้อทำงานอย่างเดียว...หรือไม่ก้อเรียนจบโท จบเอกกันไป แล้วค่อยทำงาน..หลังเรียนจบการเรียนรู้คือจบ..เอเชียหนึ่งชีวิตคนๆหนึ่งอาจทำอาชีพเพียงอาชีพเดียว เช่นเป็นหมอก้อเป็นไปตลอดชีวิต เป็นครูก้อเป็นอาชีพเดียวไปตลอด..แต่แคนาดา..ในชีวิตของคนๆหนึ่ง เราอาจจะทำอาชีพได้มากกว่าสองหรือสามอาชีพ...ค้นหาตัวเอง ค้นหาความสามารถ และเปลี่ยน field ... transfer skills ของเราได้ตลอดชีวิตการทำงานของเรา...ไม่ว่าเราจะมีอายุเืท่าไร..เราก้อสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนงาน ทำงานได้ตลอดเวลา..

อันนี้ก้อเป็น culture ที่แตกต่างและเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ อย่างเราเก่งเรื่องอะไร เราก้อไม่ต้องถ่อมตัวในเรื่องนั้นๆ เราก้อต้องบอกนายจ้างตอนสัมภาษณ์ว่าเราเก่งยังไง...เค้าไม่ถือว่าเราอวด..แต่เราต้องขายตัวเราอย่างไรให้เค้าเชื่อ..

นอกจากนี้ในการสัมภาษณ์งานก้อมีคำถามที่เป็นคำถามผิดกฏหมายที่นายจ้างไม่มีสิทธิ์ถามและหากเค้าถาม เราก้อมีสิทธิ์ไม่ตอบ เช่นถามเราว่าแต่งงานยัง มีลูกกี่คน..มาอยู่แคนาดานานยัง..นับถือศาสนาอะไร..อายุเท่าไร มาจากประเทศอะไร..คำถามพวกนี้เวลาเค้าถามเราสามารถตอบกลับว่า คำถามนี้เกี่ยวข้องกับงานในตำแหน่งนี้อย่างไรเหรอ...เช่น เราอาจตอบว่า Is months and years staying in Canada relevant to this position?

อ๋อ..นอกจากนี้ สิ่งที่เรียนรู้จาก workshop นี้ตอนที่เค้าให้เราลองสัมภาษณ์และถ่าย VDO ให้เราดูก้อคือ..พวกเอเชียเวลาตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ เราจะตอบยาวมาก..ตอบ in general ทั่วๆไป ไม่ตรงประเด็น แบบเลี่ยงมาเลี่ยงไป...รู้สึกจะเป็นแทบทุกคนเลย..เค้าสอนว่าให้ตอบสั้น กระชับ ตรงประเด็น พยายามตอบแต่ละคำถามอย่าเกินสองนาที..และต้องตอบแบบให้เค้าเห็นว่าเราสามารถทำงานนี้ได้ด้วย..ขอบอกว่า..ยากสุดๆเลย..เพราะภาษาก้อไม่ใช่ของเรา..แล้วเวลาตอบก้อตื่นเต้น เวลาตื่นเต้นไอ้ภาษาอังกฤษที่เตรียมมามันจะกระจัดกระจายไม่รวมตัวกัน ก้อจะทำให้ยืดเยื้อในเวลาตอบ.เพราะเราต้องรวมสิ่งที่มันกระจายตัวให้กลับมาที่เดิม...ก้อกินเวลาเกินสองนาที....กลายเป็นสี่ห้านาที....ไม่ใช่ยาวเพราะอะไรหรอก..มันยาวตรงคิดศัพท์กันคิดไม่ออก. คิดไม่ทัน....แล้วมักตอบไม่ตรงประเด็น..5555 เป็นทุกคนเลย..


ถึงตรงนี้..ก้อขอเล่าเรื่องของคุณยีนลูกชายนิดนึง เป็นตัวอย่างเล็กๆ..หลังจากเรียนจบ summer school เค้าก้อเหลือเวลาอยู่บ้านอีกเกือบเดือน..ไอ้เราก้อทนไม่ได้ที่เห็นลูกอยู่บ้าน นอนตื่นสาย ตื่นขึ้นมาเล่นเกมส์ มีชีวิตไร้สาระแบบนั้น..ก้อไล่ให้ไปสมัครงานที่ Mc.Donald แถว UBC ซึ่งใครๆก้อบอกว่าช่วงนี้หางานยากมาก..แม้กระทั่ง tutor ที่มาสอนภาษาอังกฤษที่บ้านก้อบอกดีนะที่จะไปทำ part time แต่ให้ทำใจนะว่าการแข่งขันสูงมาก....และยิ่ง Mc.Donald ก้อคงไม่ง่ายนะ...เราก้อพอจะรู้กันอยู่แล้ว..

ก่อนไปทั้งพ่อทั้งแม่ก้อพยายาม train การพูดตอบระหว่างสัมภาษณ์..ก้อเรียกว่าให้ฮ่ง train ลูก..เพราะเค้ามีประสบการณ์ตรง ส่วนยุ่นก้อเสริมเล็กน้อย.....ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร..แต่เราอยากให้เค้าได้เรียนรู้..และมีประสบการณ์ในการหางาน..ผิดหวัง สมหวัง..มีการเตรียมตัว..วางแผนอะไรประมาณนี้...เราก้อพยายามจะให้ลูกพูดตามแบบฉบับของพวกเรา..เราก้อ input information...ตามแบบฉบับของผู้ใหญ่แบบเราๆ..

ยีนก้อบอก..แม่ พ่อ..นี่มันไม่ใช่ยีนนะ..แล้วยีนว่านะ ไม่เห็นต้องตอบยาวขนาดนี้เลย..ฝรั่งเค้าเน้นตอบตรงประเด็นนะ...เค้าใช้เวลาสัมภาษณ์นานขนาดนี้เหรอ..ฮ่งบอกครึ่งชั่วโมง ยีนบอก..เห็นเพื่อนบอกสิบนาที...ฮ่งบอกไม่แน่แล้วแต่คน..แต่ยังไงเราก้อต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน..

ก้อมีคำถามหนึ่ง ฮามาก..ยีนก้อบอกถ้าเค้าถามว่าข้อเสียยีนคืออะไรตอบไงดี...ยุ่นก้อบอก..ให้บอกว่าบางครั้งเวลายีนทำให้เพื่อนหรือคนใกล้ชิดยีนโกรธหรือไม่พอใจโดยไม่ตั้งใจ ยีนจะมีความรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา..ซึ่งยีนก้อพยายามระวังตัวมากขึ้นเำื่พื่อทำให้สิ่งนี้เกิดน้อยที่สุด...

ยีนก้อบอกที่พูดเนี่ย..มันเหมือนข้อดีเลย..มันเสียตรงไหน..ไอ้เราก้อเลยสอนว่าเราต้องพูดข้อเสียของเราให้มันดูดี ไม่ใช่เสียมาก..ยีนก้อบอกอย่างนี้ก้อคือเราโกหก..ยุ่นก้ออธิบายว่าไม่ใช่..นี่คือการสัมภาษณ์..ก้อต้องเป็นแบบนี้..

และในที่สุด..คุณยีนของเราก้อได้ผ่านการสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิต และดันได้ซะด้วย กลับมาก้อคุยใหญ่เลยว่า ยีนบอกแล้วว่าต้องพูดให้เป็นธรรมชาติ...ตอบตามสไตล์ของยีน...แล้วก้อคุยโม้ใหญ่เลยว่าตัวเองว่า..เป็นขั้นเทพ...

การไปสัมภาษณ์ครั้งนี้ ยีนเค้าไม่ตื่นเต้นไง..ด้วยว่าเค้าก้อไม่ได้อยากได้งานชิ้นนี้มาก...แต่เพราะถูกคะยั้นคะยอให้ไป..แต่เค้าก้อรักษาเวลา และวางแผนในการเดินทางไปสัมภาษณ์ได้ดีทีเดียว..เพราะเราสองคนพ่อแม่ปล่อยให้เค้าลองทำเอง..ก้อถือว่าไม่เลว..

ยุ่นก้อถามเค้านะว่า คิดว่าทำไมเค้าถึงรับ ยีนก้อบอก..ยีนว่านะเค้าเห็นว่าเราคุยกับเค้ารู้เรื่อง สื่อสารได้ เค้าก้อน่าจะโอเคมั้งแม่...ซึ่งจริงๆก้อคือใช่ เพราะมันก้อคือ Communication Skill ซึ่งยีนเค้าจะฟังและคุยโต้ตอบได้ค่อนข้างดีทีเดียว..

และยุ่นเอง..ก้อรู้สึกว่าอันนี้มันไม่ง่ายเลย สำหรับการสัมภาษณ์ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา..เพราะจำความได้ ตอนเรียนจบเภสัช แล้วไปสัมภาษณ์งาน กว่าจะเรียนรู้เทคนิคการตอบคำถามให้ถูกใจผู้สัมภาษณ์ เราก้อตกสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบ..แต่พอผ่านปั๊บ..ไม่ว่าเราไปสัมภาษณ์ที่ไหนๆเราก้อจะผ่าน เค้าก้อจะรับเรา...และนี่ก้อเป็นอะไรที่สนุก..ตื่นเต้น..ที่เข้ามาในอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา...

และเดือนหน้าวันที่ 8 กันยา..ยุ่นก้อจะไป Dress for Success เพื่อเลือกชุดทำงานที่เค้าจะจัดให้เราฟรี ยังไง หลังวันที่แปด ยุ่นก้อจะมาบันทึกความทรงจำ..ตอนสุดท้ายของ workshop นี้...ซึ่งจริงๆก้อคือเป้าหมายหลักของการไปงานนี้...แต่สิ่งที่ได้กลับมา..ยุ่นว่ามันมากกว่าชุดที่เราจะได้ฟรีั..และก้อรู้สึกว่าคุ้มค่าจริงๆ..

No comments:

Post a Comment