Wednesday, September 29, 2010
การเขียน paragraph 1
ครูคนที่สองที่เรียนด้วยคือ Ruth อึม..สอนทุกอย่างตามหนังสือ..อ่านและศึกษาเอง..แล้วเขียนส่่ง ครูก้อตรวจและแก้ไขให้เรา และก้อให้คะแนนเลย..ไม่มีเทคนิคอะไรที่พิเศษ..เขียนไปตามสไตล์ของใครของมัน
คนที่ประทับใจที่สุดก้อคือ Tom เค้าเป็นคนที่สอน writing แบบเป็นเรื่องง่ายๆ และมี pattern ที่ดี มี map เพื่อช่วยร่างความคิดและจัดลำดับความคิดเราก่อน..จากนั้นก้อค่อยๆนำเสนอออกมาในรูปแบบที่เป็น structure ของ essay...และก้อมีการสอนเทคนิคการเขียน ว่าจะเขียนแบบใช้เทคนิค simile (เปรียบเทียบที่ใช้ like หรือ as ) หรือเขียนแบบใช้คำซ้ำ เน้นสิ่งที่เราเล่า ซึ่งเรียก parallelism หรือจะใช้ การเสียดสีก้อได้ ซึ่งเค้าเรียก irony
ฉะนั้น..การเขียน writing ที่ยุ่นจะเล่าต่อไปนี้ หรือที่เรียกว่า Writing Academic English จะเป็นบทสรุปที่รวมเอาสิ่งที่เรียนรู้จากครูทั้งสามคนมาผสมกัน เป็นวิธีการของยุ่นเอง...
เริ่มต้น..การเขียน writing เราควรเขียน paragraph ก่อน..แต่ถ้าจะย้อนกลับลงไปจริงๆ..ต้องเริ่มจาก grammar ที่ถูกต้องก่อน... ( ซึ่ง Jennifer จะเริ่มสอนที่ grammar ก่อน..)
ในหนึ่ง paragraph ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆคือ Topic Sentence , Supporting Sentences และ Concluding Sentence
ซึ่งทอมเค้าจะให้เราร่างใน map ก่อนว่าเรามี idea สามเรื่องในการเขียนเรื่องนี้อย่างไร จากนั้นค่อยแตกรายละเอียดในแต่ละไอเดีย ซึ่งควรมีตัวอย่างสองหรือสามตัวอย่างในหนึ่งไอเดีย...เสร็จก้อสรุป paragraph ของเรา แล้วค่อยมาแต่ง topic ใน introduction แล้วค่อยตั้งชื่อเรื่อง.. ยกตัวอย่างเช่น :
เค้าให้หัวข้อมา " A visit to a dentist "
เราก้อต้องคิดว่าเราอยากเขียนในแง่ไหน..ดีหรือไม่ดียังไง..ก้อ bring up 3 ideas..
ideas 1. tired - แล้วก้อคิดเรื่องราวที่แสดงความเหนื่อยในการไปหาหมอฟัน
-When a dentist gives treatment to my teeth, I have to open my mouth wide like the front door of a bus. This makes my jaws stuck and unmovable for a while. Also one hours of treatment seems like twenty tedious hours for me.
2. uncomfortable
-Lying on a dental chair is like sitting on an electric execution chair. The noise of all dental equipment is as horrible as the sound of machine in a slaughterhouse. Wondering which appliances will be put into my mouth makes me nervous all the time.
3. unhappy
-I had a very bad experience of visiting a new dentist five years ago when 23-year-old novice pulled one of my left decayed molars out. Then I was not able to talk or open my mouth for three weeks.
เสร็จ เราก้อสรุปว่า Without doubt, if it is not neccessary, I will avoid visiting a dentist entirely.
แล้วก้อมาแต่ง introduction หรือ topic โดยต้องเอาสาม idea บรรจุลงในหนึ่งประโยค
The three best reasons for not visiting a dentist are getting tired, feeling uncomfortable and being unhappy while having some dental-care.
ส่วนการตั้งชื่อเรื่องก้อดูจาก สรุป...เอา phrase หรือวลีเด็ดในสรุปมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง...ยุ่นเลือก..
"Avoid Visiting a Dentist"
จากนั้นก้อเอาทุกอย่างที่เราร่างมาประกอบร่าง...เป็นอันเรียบร้อย :
The three best reasons for not visiting a dentist are getting tired, feeling uncomfortable and being unhappy while having some dental-care. When a dentist gives treatment to my teeth, I have to open my mouth wide like the front door of a bus. This makes my jaws stuck and unmovable for a while. One hours of treatment seems like twenty tedious hours for me. Also lying on a dental chair is like sitting on an electric execution chair. The noise of all dental equipment is as horrible as the sound of machine in a slaughterhouse. Wondering which appliances will be put into my mouth makes me nervous all the time. Furthermore, I had a very bad experience of visiting a new dentist five years ago when 23-year-old novice pulled one of my left decayed molars out. Then I was not able to talk or open my mouth for three weeks. Without doubt, if it is not necessary, I will avoid visiting a dentist entirely.
เป็นอันเรียบร้อยสำหรับการเขียน paragraph แบบถูกหลักการและมีโครงสร้างที่ถูกต้อง...ส่วน essay ก้อคือการเอา paragraph 5 อันมาต่อกัน...ก้อใช้หลักการประมาณนี้เหมือนกัน...เรียกว่าทอมทำให้ยุ่นรู้สึกว่าการเขียน essay ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด..และเราต้องคง structure นี้ไว้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นที่เราจะสื่อให้เค้าฟัง...
Note : ยุ่นได้มา up-dated ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการเขียน paragraph -essay รวมทั้งการเขียน essay ..หากท่านใดสนใจลอง click ไปอ่านได้ที่ เทคนิคการเขียน paragraph ในเดือน April 2013 นะค่ะ...
การเรียนมหาลัยที่นี่ สำคัญแค่ไหน??
ยุ่นเอง..เท่าที่จำความได้ ไม่ค่อยได้เขียนเรียงความเป็นภาษาไทยเลยด้วยซ้ำ...เพราะฉะนั้นเวลาต้องเขียน writing ทีแรก ก้อเขียนแบบแนวที่เราเคยเขียนตอนเรียนเด็กๆ ปรากฎ ครูฝรั่งเค้าบอก...ไม่ผ่าน 55555
การเขียน writing สำคัญมากๆสำหรับการเรียนที่นี่ แบบเวลาสอบ social เค้าจะถามคำถามหนึ่งคำถาม แต่เราต้องตอบเป็นหนึ่ง essay
หรืออย่างข้อสอบ Provincial Exam ของ English 12 เค้าจะมีเรื่องสั้นมาให้อ่าน..เสร็จเค้าจะมีคำถามให้ห้าถึงสิบคำถาม..จากนั้น..คุณก้อเลือกตอบหนึ่งคำถาม โดยเขียนเป็น หนึ่งessay...
แล้วก้อมีหนังสือนอกเวลาที่เด็กทุกคนต้องอ่านเป็นเล่มๆ ตอนสอบก้อมีคำถามให้เลือกตอบ อีกหนึ่ง essay สุดท้ายมี poem มาให้สองหรือสามเรื่อง พร้อมคำถาม..ก้อเลือก poem และคำถามหนึ่งคำถาม ตอบเป็นหนึ่ง essay
สรุปในข้อสอบ provincial exam คุณต้องเขียนสาม essay ในสามชั่วโมง...อันนี้รวมอ่านเรื่องราวในข้อสอบด้วยนะ...ขนาด Tom ครูอังกฤษที่เคยสอนยุ่นยังบอกเลยว่าโหดสุดๆ ยากเกิน..ไม่รู้ทำไมต้องให้ทำยากขนาดนี้...
และนี่ก้อเป็นปัญหาใหญ่ของยีนที่จะเข้ามหาลัยที่นี่ เพราะเค้า require คะแนนสูงมาก สำหรับ UBC 85% และ SFU 80% อึม..คงไม่ใช่ปัญหาของยีนคนเดียว เป็นปัญหาของเด็กเกรด 12 มากมายของที่นี่...
แต่สิ่งที่ดีของที่นี่ก้อคือเค้ามีประตูการเข้ามหาลัยหลายประตู..คือเค้าเปิดโอกาสให้เด็ก..สมมติเราเข้าไม่ได้ เราก้ออาจมาเรียน VSB ที่ยุ่นเรียน ซึ่ง Nick กับ Leon ก้อทำอยู่ มาเรียนใหม่ สอบใหม่ให้ได้คะแนนดีขึ้น หรืออาจเข้าไปเรียน college หรือ มหาลัยเอกชนบางแห่งที่สามารถ transfer ได้ เพราะอันนี้ไม่ได้ require คะแนนอังกฤษสูงเท่าเข้ามหาลัย... ช่วงสองปีแรก หากเราทำคะแนนดี..เราก้อสามารถ transfer ไปเรียนคณะที่เราอยากเรียนในมหาลัยได้ เพราะภาษาอังกฤษ เราจะค่อยๆดีขึ้น..
อันนี้ก้อคือความแตกต่างที่ไม่เหมือนบ้านเรา...และเด็กที่นี่ก้อ transfer กันมากมาย..เป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้พวกฝรั่ง หมายถึงฝรั่ง Canadian นะ..นิยมไม่เรียนมหาลัยด้วยซ้ำ พวกเค้าจะไปทำงานกันก่อน..เพื่อดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่เค้าสนใจและอยากเรียนจริงๆ...เสร็จเค้าค่อยกลับเข้ามาเรียนในสาขาที่ตัวเองสนใจจริงๆ
ยุ่นว่าแนวคิดนี้เนี่ย ยุ่นชอบมากนะ...แต่..ยุ่นก้อทำใจไม่ได้ที่จะให้ลูกทำแบบนั้น ยุ่นว่าเราไม่กล้าพอ..แบบเราไม่กล้าออกนอกกรอบที่เราเคยเป็นมา...แบบเอเชียส่วนใหญ่ ก้อเรียนๆให้เสร็จก่อนแล้วค่อยทำงาน...แต่ฝรั่งทำงานก่อน หาตัวเองให้เจอ แล้วกลับมาเรียน ไม่มีคำว่าสายเกินเรียน...
เฮ้อ...ถึงแม้จะมาอยู่ที่นี่...ยุ่นเองก้อยอมรับในหลายสิ่งหลายอย่างของเค้านะว่าวิธีคิดเค้าดีนะ....... .แต่การปฎิบัติเนี่ยสิ..ยากเหมือนกัน..
และนี่ก้อยังไม่ได้เริ่มเรื่อง writing เลย..คงต้องรอตอนต่อไป...
ของดีราคาถูกในแวนคูเวอร์
ปรากฎมีเด็กนักเรียนผู้ชายสองคนมานั่งประกบยุ่นทั้งซ้ายและขวา ทีแรกก้อ Nick เป็นเด็กไต้หวัน มาเรียนที่นี่ตั้งแต่เกรด 8 แล้ว แต่คะแนนภาษาอังกฤษไม่ผ่าน และก้อมาเรียน calculus เพื่อเตรียมตัวตอนไปเรียนมหาลัย จะได้พอมีพื้นฐาน.. Nick เป็นเด็ก international มาเรียน course นี้เสียสตางค์ 1500 เหรียญ อันนี้หนึ่งวิชานะ แต่ Nick ลงอังกฤษด้วยก้อเป็น 3000 เหรียญ ก้อประมาณ 90000 บาทบ้านเรา...แพงมั่กๆเลย...Nick นั่งด้านซ้ายของยุ่นก่อน..ปรากฎเวลาเค้าไม่เข้าใจอะไร ก้อถามยุ่น เราก้อช่วยเค้า..เค้าก้อ happy
ไอ้เพื่อนอีกคน ชื่อ Leon ทีแรกนั่งอีกแถว พอเห็น Nick มีคนช่วย เลยบอกขอมานั่งข้างซ้ายยุ่นได้มั้ย แล้วให้ Nick อยู่ขวา เวลาไม่เข้าใจจะได้ถามยุ่นได้..ยุ่นก้อยิ้มๆ ได้ค้า..ตามใจ ไงก้อได้..ว่าไงว่าตามกัน ^^
ปรากฎเจ้าเด็กสองคนนี้เรียนที่ Eric Hamber โรงเรียนเดียวกับยีนเมื่อปีที่แล้ว..ตอนนี้จบเกรด 12 แล้ว.. และ Nick ก้อเคยเรียนกับยีนด้วยตอน Eng 10 Transition class... รู้สึกน่าจะคุ้นหน้ากันอยู่..เรียกว่าถ้าเจอหน้ากันคงรู้จักกัน....
แต่เด็กสองคนนี้น่ารักมาก..ตั้งใจเรียน และมีความอยากที่จะเรียนรู้มาก..เค้าเล่าให้ฟังว่าที่ Eric Hamber ครูเลขไม่ดีสักคน Nick เรียนกับครูอีกคน ส่วน Leon ก้อครูคนเดียวกับที่ยีนเรียนคือ Irany ไม่ได้สอนอะไรเลย..อันนี้จริง..ยีนไม่มีหนังสืออะไรเลย...ไม่รู้เรียนอะไรบ้าง แต่ยีนเค้าบอกเค้า get ที่ครูคนนี้สอน..
แต่สำหรับยุ่น..สิ่งที่ยีนเรียน..น่าจะน้อยถึงน้อยมาก ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเทียบกับ John ซึ่งอัดแน่นด้วยปริมาณและคุณภาพ...ยุ่นเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จาก John มากมาย..
นี่ก้อได้ช่วยเหลือสองหนุ่ม..ในระดับหนึ่ง เรียกว่าเวลา quiz ที่ John ให้สอบทุกวัน...สองคนนี้ทำจากคะแนนไม่เต็ม จนตอนนี้เริ่มได้เต็มแล้ว...เย้...
แต่วันนี้เพิ่งสอบสดๆร้อนๆ เรื่อง Differentiation... John มักมีหยอดข้อสอบเด็ดสองข้อ..ยากดี...แต่ก้อท้าทายดี..ฝีกสมอง...อีกรอบ...
เรียกว่าครั้งนี้กลับมาเรียน Calculus ตอนอายุปูนนี้....ก้อสนุกไปอีกแบบ...และยุ่นรู้สึกว่าจะ get และเข้าใจมากขึ้นมากเลย..และที่สำคัญทำให้ยุ่นเข้าใจแบบฝึกหัดของคุมองในเรื่องที่เกี่ยวกับ calculus มากขึ้นมาก...รู้สึกคุ้มค่าที่ได้เรียน...และยังถูกมากสำหรับยุ่น แค่ 20เหรียญเอง...คิดเป็นเงินไทยก้อ 600 บาท...ถูกและดีมีที่แวนคูเวอร์นี่เอง...
Monday, September 27, 2010
My Favorite Place ....by Gene
นี่ก้อเป็น paragraph writing ของยีน..ซึ่งแม่ขอเก็บไว้ใน blog นี้ เผื่อวันหลังลูกสามารถกลับมาอ่านได้....^^
There is nothing more beautiful than the beach in Thailand where I have spent time with my close friends. This is absolutely my favorite place to be. Even now I can still smell the fresh salty air of the ocean. The last time I was there before leaving for Canada, the sky was so clear that I was able to see a group of pigeons flying around. The sun that was located above my head shone over the sea water, which caused the water to glisten. The water was green like an emerald. There is no other place that is as beautiful as this in my memory. Another great thing about this beach is there were not many people because the beach is located on hotel property. My friends and I were trying to catch little crabs. In Thailand, we called them Wind Crabs because they were very tiny and very fast. I had so much fun catching these little crabs and forgot that I had not had my lunch yet. After we realized that, we decided to walk along the beach where vendors sell lots of sea food along the shore. I could smell the fumes from the delicious cooking. We bought grilled squid and ate while walking. The squid tasted amazing and melted after we put them into our mouths. Further more after we were full, we walked to the port and hired a boat and sailed to the middle of the sea to dive. It was not only the beauty of this wonderful beach but also the last memory that I had with my friends before leaving for Canada that made this place so special for me. This will always be my favorite place on earth.
Saturday, September 18, 2010
Instructor ต่างนักเรียนต่าง...
ช่วงนี้ ยุ่นก้อได้กลับไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กๆที่นี่ เรียกว่า back to school เหมือนเด็กๆที่นี่เลย..ครั้งนี้ยุ่นเลือกเรียน Calculus 12 เป็นอะไรที่อยากลงมานานแล้ว..เพราะที่เรียนมา 25 ปีที่แล้วนะ..มันก้อคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว..แต่ก้อมีรื้อฟื้นกลับมาบ้าง ตอนทำคุมอง..แต่ก้อเป็นอะไรที่ไม่ปะติดปะต่อ...แบบมองภาพไม่ออกอ่ะ..
ก้อเรียนได้สองอาทิตย์แล้ว หนุกดี ชอบมากเลย..ทำให้เข้าใจแบบฝึกหัดคุมองมากขึ้นมาก...เพราะเวลาทำของคุมอง..จะไม่มีคำอธิบายมาก..แล้วก้อแบบทำไปตามตัวอย่าง....ทำนะทำได้นะ....แต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร..สำหรับยุ่นนะ..คนอื่นไม่รู้....แบบเวลาเรียนอะไรแล้วมันไม่เข้าใจจริงๆ มันจะอึดอัดเหมือนกัน....แต่พอเรียน Calculus อีกครั้ง..แบบกระจ่างในหัวสมองเลย...
ฉะนั้น หากเด็กนักเรียนเรียนคุมองแบบเกินชั้นเรียน..การเรียนล่วงหน้าไปก่อน ยุ่นว่าเค้าจะได้ทักษะในการทำเลข แต่เค้าไม่น่าเข้าใจลึกซึ้งเท่าไร...แต่เมื่อไรก้อตามที่เค้าได้เรียนที่โรงเรียน..และหากเค้าได้กลับไปดูชุดแบบฝึกหัดที่เค้าได้เคยทำในเรื่องนั้นๆ..เค้าจะรู้ว่าจริงๆมันดีไม่น้อย..แต่คงมีนักเรียนไม่มากที่จะกลับไปดูชุดนั้นๆ....อึม..ยุ่นว่าเป็นสิ่งที่ instructor ควรแนะเด็กเลย...ให้เก็บแบบฝึกหัดไว้ และพอโรงเรียนถึงเรื่องนี้ ให้หยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง..
แต่สิ่งที่วันนี้จะเล่า..ก้อไม่เกี่ยวกับที่เกริ่นนำมาเท่าไร..คือสัปดาห์นี้ืั้ทั้งสัปดาห์ศูนย์คุมองของมิสติงเค้าแจกรางวัลเด็ก ASR ...ก้อจัดกันที่ศูนย์เลย...มิสเค้าจัดโต๊ะจัดของเองหมด..นักเรียนที่ได้รางวัลทั้งหมด..ก้อจัดเองคนเดียว..แบบแกจำได้หมดใครเรียนวันไหน ได้เหรียญอะไรบ้าง..แต่ยุ่นจำไม่ได้..เพราะไม่ใช่ลูกศิษย์เรา...ถ้าแบบอยู่ไทย ยุ่นก้อ auto เหมือนกัน..
มิสเค้าจะจัดรางวัลอยู่ใน folder เดียวกับเด็ก ได้เหรียญได้โล่ห์ได้ certificate ก้อรวมในสมุด folder และเรียงลงตะกร้า..แล้วก้อให้พนักงานคุมองหนึ่งคนมาเป็นคนมอบให้เด็ก ในวันเปิดศูนย์ปกติ แล้วก้อมีตั้งฉากอยู่หน้าห้อง ถ่ายรูปกันสดๆ แสดงความยินดีกันตรงหน้าห้องเลย..ก้อแบบง่ายๆ สบายๆ..ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย..
ยุ่นว่าก้อดีเหมือนกันนะ..ส่วน instructor และผู้ช่วยทุกคนก้อทำหน้าที่ปกติเหมือนทุกวันที่เปิดสอน..พอดีวันนั้น..มีครอบครัวหนึ่งมาสมัครเรียนที่ศูนย์ เค้ามาจากมะนิลา ฟิลิปปินส์..พ่อกับแม่พาลูกมาสามคน..สองคนหญิงฝาแฝด grade 3 มั้ง คนเล็กผู้ชายอนุบาล..
แม่กับพ่อก้อบอกว่าเค้าเรียนมาจากมะนิลานะ..และนี่เป็น record book และ sheets ที่ลูกเค้าทำ..มิสพอเห็นปั๊บ...ก้อพูดว่าพ่อกับแม่ว่า...เนี่ยกดดันลูกใช่มั้ย...อย่ากดดันเค้าในการทำคุมอง...ให้เค้าเรียนไปสบายๆ..พ่อกับแม่ก้อบอกไม่เชิงว่ากดดัน...ก้อเรียนมานานแล้วตั้งแต่ลูกเล็กๆ คือลูกเค้าปอสามสองคนคนนึงอยู่ G ต้นๆ อีกคน F ต้นๆ...คือศูนย์แกไม่มีเด็กปอสามทำได้แบบนี้ไง..
แกก้อรู้สึกว่าพ่อแม่ต้องเร่งเด็กมากๆเลย...อยากบอกแกว่าไทยแลนด์เราก้อมีแบบนี้ไม่น้อยเหมือนกัน...แต่ยุ่นไม่พูดเพราะรู้ว่าแกไม่เชื่อและไม่รับว่า concept แบบนี้ที่เอเชียทำเนี่ยดี..
และแกยังส่ายหัวแบบไม่ยอมรับอีก...เมื่อรู้ว่าที่ฟิลิปปินส์เนี่ยเด็กเรียนเกินชั้นเรียนมีถึง 40% ของนักเรียนทั้งศูนย์..ยุ่นว่าของมิสเด็ก ASR ไม่ถึง 20% นะ...
แกก้อแบบ lecture ผู้ปกครองมากเลย...ผู้ปกครองเพิ่งมาวันแรก ก้อดูงง..งง...เสร็จ..ดูแม่น่าจะไม่ค่อย happy เท่าไร..แต่มิสก้อบอก เอางี้เดี๋ยวให้ลองสอบ AT นะ ...ก้อให้สองแฝดสอบ E คน F คน ส่วนน้องชายคนเล็กก้อ 2A
ผลน้องชาย 2A ไม่ค่อยโอเค..ยุ่นสังเกตุว่าไม่น่าเป็นระดับของเค้าคือเค้าไม่มีสมาธิ..และทำไม่ค่อยได้ ออกมาก้อแบบทำ 30 กว่านาที ผิดมากพอควร
แต่สองแฝดสิ..คนที่ทำ E แบบผิดสองข้อ เวลาอาจเกินไปห้านาที อีกคนทำ F ผิดสามข้อ เวลาก้อเกินห้าหกนาที พอมิสเห็นผลสอบ แกก้อแบบอึ้ง...กิม...กี่...และบอกว่าตั้งแต่เป็น instructor มายี่สิบสองปี แกไม่เคยเจอแบบนี้เลยนะ...เก่งมาก.. ปอสามทำ G ได้ อึม..ของแกที่เจ๋งสุดก้อปอสี่..ทำ F นะ..
ก้อเห็นแกคุยกับพ่อแม่เด็กนิดหน่อยว่าจะเรียนมั้ย..พ่อกับแม่บอกขอกลับไปคิดก่อนแล้วไงจะติดต่อมา...ก้อเป็นอันยังไม่ได้เรียน..แต่ไม่รู้ว่าเพราะมิสไปว่าคุณแม่เค้ากดดันลูกมากไปรึปล่าว..แม่อาจไม่พอใจ..และเท่าที่ดู..แม่กับพ่อพยายามจะอธิบายเรื่องราวของลูกเค้าที่เรียนที่มะนิลา แต่มิสไม่ฟัง..บอกให้เค้าฟังมิส.ดีกว่า..เพราะที่นี่ North America ไม่ใช่มะนิลา..และมิสเองมีประสบการณ์ยาวนานถึงยี่สิบสองปีแล้ว...
สำหรับยุ่น..เนื่องจากมีครอบครัวฟิลิปปินส์อีกครอบครัวนึงสี่คนพี่น้องมาเรียนที่ศูนย์นี้ได้เกือบปีแล้ว..ต้องบอกว่าเด็กครอบครัวนี้สุดยอด..มีลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ...self learning...ของจริง.. Nadine คนพี่อยู่เกรด 11 เรียน M ตอนนี้ แต่เค้าจะเป็นคนที่ทำแบบฝึกหัดแบบคิด..และติดข้อที่มันน่าติดจริงๆ..และเค้าก้อจะพยายามหาคำตอบก่อนที่จะมาหายุ่น...พอยุ่นไขข้อกังขาให้ เค้าจะ get แบบ get จริงๆ..น้องชายอีกสองคนก้อใช้ด้ายเลยแหละ..
ยุ่นจึงไม่แปลกใจครอบครัวใหม่ที่เข้ามาที่ลูกเค้าปอสามทำ F หรือ G เด็กก้ออาจได้รับการฝึกมาอย่างค่อยข้างเข้มข้นเช่นกัน..และเค้าก้อทำได้จริงๆ..แต่ของมิสสิ..นักเรียนที่เรียน E ของแกนะ..เวลาสอบส่วนใหญ่ไม่เคยทำได้เลย..แบบผิดเยอะมาก รวมทั้งเวลาที่ทำเนี่ยเกินเป็นครึ่งชั่วโมงเลยแหละ...ยิ่ง F ไม่ต้องพูดถึง...และ G up ยิ่งหนัก..คือว่าไม่เคยมีเด็กสอบผ่านภายในหนึ่งครั้ง..ต้องสอบกันอย่างน้อยสองหรือสามครั้ง...บางคนสี่ครั้งก้อมี...ยุ่นก้องงเหมือนกันนะ..
และ..ยุ่นก้อคงไม่สามารถสรุปได้ว่า Kumon Asia หรือ North America แตกต่างกันอย่างไร เพราะที่นี่ยุ่นก้อเห็นแค่ศูนย์เดียว..ศูนย์อื่นอาจเป็นแบบอื่นก้อได้...แต่ยังไง..ยุ่นว่านะ..เอเชียเรา..เช่นฟิลิปปินส์เนี่ย ยุ่นว่าใช้ได้นะ..ยุ่นยอมรับนะว่าไม่ธรรมดา.....ยุ่นว่านะ..ส่วนนหนึ่ง..เราจะรู้ว่า instructor เป็นอย่างไร ก้อจากผลงานของนักเรียนที่ instructor นั้นๆสอนแหละ..แต่..ก้ออาจสรุปทันทีไม่ได้อีก..ก้อคงต้องดูพฤติกรรมของเด็กและครอบครัวเด็กประกอบด้วย....
.และจากประสบการณ์เจ็ดปีที่ยุ่นทำคุมองที่เมืองไทย ยุ่นก้อได้เห็นนักเรียนจากหลายๆศูนย์ที่ไป visit...ยุ่นก้อยังเชื่อมั่นในฝีมือ Thai Instructors ของเรานะ..ว่าไม่น้อยหน้า instructors...ประเทศอื่นๆใดในโลกนี้..อย่างแน่นอน.....
Wednesday, September 8, 2010
Dress for Success..Sep 8, 2010
และแล้ววันที่รอคอยก้อมาถึง..วันนี้ ยุ่นได้นัดกับทาง DFS ไว้ตอนสิบโมงเช้า..
ก้อไปตามนัดเลย นั่ง Canada line ไปถึงก่อนเวลา 15 นาทีตามเค้าบอก..เสร็จต้อง buzz ด้านหน้าคือเราต้องกดเบอร์ของ DFS #0100 ก่อน แล้วเค้าจึงเปิดประตูให้เข้าไปได้..
แต่พอไปด้านหน้า เป็นงง..เพราะ buzz แล้วไม่มีเสียงตอบ ต้องกดปุ่มเลือกก่อน ยุ่นก้อทำไม่เป็น เอาว่ะ..เป็นไงเป็นกัน ถามคนที่เดินเข้าไปดีกว่า พอดี เห็นฝรั่งผู้ชายท่าทางใจดีก้อเลยบอกเค้าว่าเราจะเข้าไป DFS เนี่ย ที่อยู่ตามนี้ แต่ buzz แล้วมันไม่ได้
เค้าก้อเลยทำให้..แล้วบอกให้เราพูดเอง..จากนั้น..ก้อเป็นอันเรียบร้อย..เข้าไปได้...ก้อขอบคุณเค้าตามระเบียบ..
พอเข้าไป สักพักก้อมีฝรั่งผู้หญิงสองคนเดินมากับผู้หญิงฟิลิปปินส์ แนะนำตัวว่าเค้าคือใคร และแนะนำว่าวันนี้ใครจะดูแลเรา ..ก้อเป็นฝรั่งหนึ่งคนกับผู้หญิงฟิลิปปินส์ ซึ่งเค้ามาใหม่นะ เป็นผู้ช่วย...และพวกนี้ที่เค้ามาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้เรา เค้าเป็น volunteer นะ ทำด้วยใจรัก..ไม่มีค่าจ้าง เค้าบอกเค้าทำอาทิตย์ละวัน...คือวันพุธสามชั่วโมง...เค้า enjoy กับงานนี้มาก..
จากนั้นเค้าก้อถามยุ่นก่อนว่าจะไปสมัครงานในตำแหน่งอะไร..เราก้อบอก Math Tutor จากนั้นก้อถามเราว่าเราชอบ Stlye แบบไหน ยุ่นก้อบอกยุ่นชอบแบบลำลอง..ไม่เน้นว่าต้องดูเป็น business look มาก..
เค้าก้อถาม size เรา และกะด้วยสายดา ก้อพาไปเลือก...โดยช่วยดูให้...และให้เราลองเลย...จากนั้นก้อเลือกที่เราชอบโดยเริ่มจาก Jacket ก่อน..เลือกได้สามตัว สีแดง สีน้ำตาลดำ และสีดำสลับขาว..
แล้วก้อให้เราตัดสินใจว่าเราชอบตัวไหนที่สุด เลือกได้แค่หนึ่ง...ยุ่นก้อเลือกดำสลับขาวตามที่ show ในรูปแหละ...จากนั้นก้อตามมาด้วยกางเกง เลือกมาเลือกไปไม่ชอบเลย..ก้อเลยเปลี่ยนเป็นกระโปรงดำ...แล้วก้อตามด้วย top ก้อคือเสื้อที่ใส่ข้างใน คอเต่าอ่ะ...แล้วเค้าก้อหาถุงน่องดำให้ รองเท้าอีก..พาไปเลือกทั้ง shelf เลย ปรากฏไม่มีเบอร์ เพราะเท้ายุ่นเล็ก..เบอร์ 4 ครึ่งถึง 5
แต่ที่เค้ามีตั้งแต่เบอร์หกขึ้นไป...ฝรั่งคนที่ดูแลเลยลงไปหาในห้องอะไรไม่รู้ เอาขึ้นมาเจ็ดแปดคู่ และบอกว่ายุ่นน่าลองรองเท้า boots นะ..ก้อเลยลองดู มันเป็น boots หนังยาว นิ่มมาก ใส่สบายมากๆเลย..จริงๆมีอีกคู่ที่ชอบ แต่เค้าช่วยกันดูและบอกว่าคู่นี้เหมาะกว่า
จากนั้น..ก้อพาไปเลือกเสื้อ coat เพราะอีกไม่กี่เดือนเข้า fall แล้ว อากาศจะเย็น เค้าต้องการให้เรามั่นใจ สวย แต่ก้อต้องอุ่นด้วย..ก้อเลือกมาเลือกไป ก้อได้ coat ที่เห็นนะ..
เสร็จฝรั่งคนที่ดูแลเค้าก้อบอก ดูไหล่มันใหญ่เกิน เพราะมันเป็นฟองน้ำสองตัวไง..แต่มันก้อเป็นอะไรที่เหมาะกับเรา..เค้าก้อบอกงั้นต้องบังตาด้วย scarf ผ้าพันคอ...แกก้อไปเลือกผ้าพันคอสีแดงสด..อย่างที่เห็นมา...แล้วก้อบอกให้พันแบบนี้จะช่วยให้ไหล่เราไม่เป็นที่สนใจมาก....^^
นอกจากนี้เค้าก้อหาสร้อยคอให้..แล้วก้อกำไลข้อมือ...ใส่ดูเก๋ๆ..อ๋อ..ให้กระเป๋าสะพายสีดำหนึ่งใบด้วย....ยุ่นจำได้ว่าพี่ต้อยบอกพี่เค้าได้เครื่องสำอางค์ ก้อเลยลองเกริ่นดู แต่เค้าบอกว่ายุ่นไม่ต้องแต่งหน้ามาก...ประมาณนี้นะดีแล้ว..ก้อเลยไม่ได้ให้...อดเลย...แต่เดาว่า..เพราะของที่เค้าให้เราก้อมากเหมือนกัน..เค้าน่าจะมีจำกัดว่าคนหนึ่งไม่เกินกี่ชิ้น หรืองบประมาณประมาณเท่าไร..แบบพอประมาณน่ะ..
แต่สรุปทั้งหมดออกมา...ยุ่นก้อชอบมั่กๆๆๆเลยนะ..แบบใส่ขึ้นมาแล้วดูดีมีชาติตระกูลเลย...คุณยีนทีแรกบอกดูแม่เนี่ย..ตื่นเต้นมากเลย ตอนแม่ได้รางวัลเครื่องกดน้ำดื่มที่ศูนย์จากคุมองไทยแลนด์ ไม่เห็นแม่ตื่นเต้นแบบนี้เลย...คุณชาญชัย..เลยบอกว่า...ผู้หญิงก้อแบบนี้แหละ..เค้าชอบเรื่องเสื้อผ้าความสวยงาม...ป้าต้อยก้ออาการเดียวกับแม่เหมือนกัน...55555
ถ้าให้คำนวณคร่าวๆ หากต้องไปซื้อเอง..งานนี้ก้อต้องมีมากกว่าห้าร้อยเหรียญนะ...แต่อันนี้ DFS เค้าให้เราฟรีชุดแรก..และหากเราได้งานจริงๆ...เราสามารถกลับไปได้อีกครั้ง และเราจะได้อีกสองชุด..หรือห้าชิ้น.....ยุ่นว่า..สุดยอดนะ..คนคิดโครงการนี้นะ..Cool...ool.
Thursday, September 2, 2010
Volunteer in Canada
ทั้งๆที่งาน volunteer เนี่ยเป็นงานที่แบบเราทำให้ฟรี อาสาสมัครใช่มะ..แต่ปรากฏว่าที่นี่เค้าไม่ได้ให้เราเข้าไปทำง่ายๆอย่างที่เราวาดภาพไว้...อะไรกันเนี่ย..นี่ขนาดเราทำให้ฟรีนะเนี่ย..
ยุ่นก้อเริ่มต้นโดยเข้าไปหาใน web site ที่เป็น volunteer vancouver และเลือกสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งนั่นก้อคืองานสอนนั่นเอง เราก้อเลือกเกี่ยวกับ Math tutor ปรากฏว่าขั้นตอนที่เราต้องรู้ก่อนก้อคือ อ่านรายละเอียดและหลักการให้เข้าใจ ซึ่งก้อคือ Orientation นั่นเอง เสร็จเราต้องกรอก application ทีเ่ค้าให้ พร้อมกับต้องมี reference 3 แหล่ง...ที่น่าเชื่อถือ...จากนั้นเค้าจะเรียกเราสัมภาษณ์ เพื่อดูว่าเรามีความสนใจ ตั้งใจทำจริงแค่ไหน..พอเราผ่านเค้าก้อจะ train เรา และจากนั้นจะประเมินผลเราว่าเราผ่านมั้ย.สามารถทำงาน volunteer นี้ได้มั้ย..และที่นี่..เค้าจะต้องมี Criminal Record Check ด้วย..
โอ..แม่เจ้า..โครตยุ่งเลย..
ฮ่งก้อมีเล่าให้ฟังว่า แค่ฮ่งจะมาเช่า apartment ที่เราพักตรงนี้เนี่ย เค้ายังขอ reference เลย...ทีแรกเพิ่งมาอยุ่แวนคูเวอร์ เราจะไปรู้จักใครที่จะมาเป็น reference ให้เรา บังเอิญโชคดี ได้เจอคนฟิลิปปินส์ที่เค้าเคยอยู่ที่ apartment นี้ แล้วเค้าบอกให้ใช้ชื่อเค้าได้..ไม่งั้นเราก้อคงไม่ได้เช่าที่นี่..
นอกจากนี้ ตอนที่ฮ่งทำงาน volunteer ร้่านยา ฮ่งก้อเดินหาร้านเองเลยนะ..พอดีเจอเจ้าของร้าน เค้าก้อเลยบอกไปนั่งกินกาแฟกันแล้วก้อระหว่างกินกาแฟก้อสัมภาษณ์กันไป เป็นชั่วโมง เค้าต้องเช็คข้อมูลเราให้ถ้วนถี่ก่อน..ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้ารับเรามาทำ volunteer
ฟังเสร็จแล้ว..ให้เป็นงงมาก...แต่ก้อลองดู..ถ้าไม่ผ่านก้อไม่เป็นไร...ยุ่นอยากลองเล่นๆ หาอะไรทำว่างๆ..วันจันทร์ตอนเย็น..แต่ถ้าไม่ได้ ก้อไม่เป็นไร..แปลว่า..ยังไม่ถึงเวลา... กะว่าจะทำอะไรดีๆให้กับสังคมสักหน่อย...เฮ้อ..^^