Sunday, February 27, 2011

อ.ยิ่งศักดิ์ VS นักเรียนการเรือน



เมื่อวานวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011 ที่บ้านลุงประเวศอีกแล้ว...แต่วันนี้พวกเรานักเรียนการเรือนสามคน...พี่ต้อย พี่อ้อมแล้วก้อยุ่นมีนัดเรียนทำกับข้าวกับอาจารย์ยิ่งศักดิ์ 2 ซึ่งอาจารย์ได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลขณะที่อาศัยในต่างแดน... เนื่องจากอาจารย์ไม่อยากเป็นเป้าสายตาของนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ...พวกเราในแวนคูเวอร์...จึงรู้จักอาจารย์ในนาม.."พี่ทิพย์ฤดี...หรือพี่ทิพ"...นั่นเอง^^

และวันนี้ก้อต้องถือว่าบรรยากาศในแวนคูเวอร์เป็นใจมากเลย...เพราะนี่ก้อเข้าหน้า spring แล้ว แต่เมื่อวาน...หิมะตกตั้งแต่เช้าจรดดึกเลย...แต่หิมะก้อหิมะเหอะ...ไม่สามารถที่จะขวางความอยากกินอาหารไทยของพวกเราได้หรอก...สู้ตายค่ะ...

และแล้ว..ประมาณเกือบห้าโมงเย็น...พี่ทิพก้อขับรถมาถึงบ้านพี่ประเวศ แต่ตอนนี้ลุงยังทำงานอยู่ยังไม่กลับ...วันนี้หน้าที่การต้อนรับก้อเป็นของพวกพี่ต้อยและน้องๆ...พี่ทิพขึ้นมาพร้อมถุงยักษ์อันหนักอึ้ง...อาหารที่ยุ่นเห็นในถุงนั้น...สำหรับครอบครัวยุ่น...น่าจะยังชีพทั้งครอบครัวเราได้สี่ห้าวัน...

พี่ทิพ..ประเดิมด้วย...ปาท่องโก้...แบบหวาน...โดยพี่ทิพใช้เครื่องทำขนมปังประยุกต์ทำ...อร่อยมากๆเลยอ่ะ..คือไงอ่ะ..ไม่มัน อึม...ไม่อมน้ำมัน...บวกกลิ่นและรส..ทำให้คิดถึงปาท่องโก้ที่บ้านเราเลย...

จากนั้น...พี่ทิพก้อสาธิตการทำข้าวมันไก่ พี่ทิพบอกง่ายๆ..ไม่ยุ่งยาก...เอาไก่ทั้งหมดที่ซื้อมา..ล้างแล้วก้อใส่หม้อใส่น้ำจนท่วมไก่...จากนั้น...เห็นพี่ทิพโยนขิงหั่นลงไป...หลายชิ้นอยู่...จากนั้นก้อต้มไป...เราก้อเตรียมรายการต่อไป

พี่ทิพก้อเทแป้งข้าวเหนียว...ต้องมีสามถุงนะ....ใส่น้ำอุ่นๆลงไป...จากนั้นก้อนวด...คนที่รับผิดชอบการนวดแป้งนี้คือพี่อ้อม....แต่เนื่องจากพี่อ้อมไม่ใช่คนธรรมดานะค่ะ...พี่เค้าอยู่วังมาก่อน...การนวดนั้นไม่สามารถทำเพียงลำพังได้...จึงต้องมียุ่นช่วยจับยึดภาชนะ...หรือโถแป้งไว้...สองคนรวมแรงแข็งขัน...ทั้งยึดโถ ทั้งนวดแป้งในแบบฉบับของชาววัง...จึงทำให้แป้งที่เราเอามาทำถั่วแปบนั้น...เนียนแบบไม่อยากเชื่อตาตัวเองเลย...แม้กระทั่งอาจารย์ยิ่งศักดิ์ผู้มีประสบการณ์ในการทำอาหารมายาวนาน...ก้อตะลึงในวิธีการนวดแป้งซึ่งต้องใช้ manpower ถึงสองคนอย่างมาก...

จากนั้น...พี่ทิพก้อเอาเม็ดสาคูใส่ในกาละมังอีกใบนึง...ก้อต้องมีสองถุงนะยุ่นว่า...จากนั้นก้อใส่น้ำอุ่นเหมือนเดิม..ให้ปริ่มๆพอท่วม....และทิ้งไว้ อันนี้ก้อ...เปลือกนอกของสาคูไส้หมูไง...เล่นไม่ยาก..ไม่ยาก..

ต่อไป..พี่ทิพก้อเตรียมไส้ของสาคู...โดยเอาน้ำตาลอ้อยหลายก้อนนะ...แปดแท่งได้ โยนลงในกะทะ..อ้อ..ใส่น้ำนิดหน่อยด้วย...จากนั้น...ยุ่นกับพี่อ้อมก้อสลับกันคนเคี่ยวไป...ให้น้ำตาลข้นเหนียวก่อน...

เนื่องจากพี่อ้อม...เคี่ยวน้ำตาลไป จดสูตรอาจารย์ไป..ตอนไปจดสูตรลืมเปลี่ยนไม้ให้ยุ่น จึงทำให้น้ำตาลกะทะแรกของเราไหม้อย่างรวดเร็ว...อาจารย์เลยเททิ้งหมดเลย...และเราก้อเริ่มกันใหม่น้ำตาลอ้อยกะทะที่สอง..พี่ทิพเตรียมน้ำตาลอ้อยมาเยอะมากๆเลย....และก้อใช้หมดเลย...


รอบสอง....นักเรียนระวังมากๆเลยค่ะ...พอน้ำตาลได้ที่แล้ว...พี่ทิพก้อเอาหัวไช่โป้วสับ ที่ผสมกับหอมแดงกับกระเทียมสับ....ที่พี่ทิพเตรียมมาจากบ้าน...ใส่ลงในกะทะน้ำตาล....จังหวะนี้โชคดีที่อาจารย์มีความไวสมกับเป็นยิ่งศักดิ์2 เพราะี่พี่อ้อมเรา เกือบคว้ากาละมังแป้งข้าวเหนียวที่เพิ่งนวดเสร็จใส่ลงไป...เพราะอาจารย์บอกเอาได้แล้วได้แล้ว ใส่เลย..ใส่เลย...อาจารย์ไม่บอกว่าใส่อะไรไง...555555 นักเรียนก้อเลยหยิบผิดหยิบถูก...เกือบได้ทำน้ำตาลกะทะสามแล้ว...

พอใส่ลงไป..น้ำตาลที่ข้นก้อรัดไอ้หัวไช่โป้วที่ใส่ลงไป...และเราก้อต้องคนไปเรื่อยๆจนแห้ง..จากนั้นก้อปรุงรสตามชอบ....ซึ่งก้อคือภาพที่เห็นจากวีดีโอ.......( เสียดายที่ VDO มันใหญ่เกินลงไม่ได้ แต่เข้าไปดูใน my vedio- P Tip & her students ได้ )......และเคล็ดลับเด็ดของอาจารย์ยิ่งศักดิ์ก้อคือ "อยากใส่อะไรก้อใส่ลงไป...ไม่ต้องคิดมาก!!!" เท่าที่จำได้อาจารย์ใส่เกลือ พริกไท น้ำตาล แล้วก้อถั่วลิสงบด ไม่ต้องละเอียดนะ...ใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน...

จากนั้นเมื่อเข้าที่ทุกอย่างแล้ว....ก้อยกทั้งกะทะเนี่ยไปหลังบ้านแช่เย็นในหิมะเลย....ไม่ต้องใช้ตู้เย็น...เย้....อันนี้เพื่อให้ไส้สาคู..มันเย็นและเหนียวพอที่จะปั้นเป็นก้อนได้ง่าย...

หลังจากนั้น...พี่ทิพก้อเอากระเทียมกับขิงใส่เพิ่มลงในน้ำซุปไก่อีก...จากนั้นก้อซาวข้าว...แล้วเอาน้ำซุปที่ได้จากการต้มไก่เนี่ย...( ไม่ต้องช้อนฟองทิ้ง...วิตะมินอยู่ตรงนี้ ) ค่อยๆใส่ลงในข้าวที่ซาวเสร็จแล้ว..ก้อใส่น้ำซุปไก่ในปริมาณน้ำเหมือนเราหุงข้าวปกติแหละ...ขิงเอย...กระเทียมเอย...ก้อใส่ลงไปในหม้อข้าวด้วย...จากนั้นก้อไปตั้งหม้อหุงข้าว...

แล้วพี่ทิพก้อมาทำถั่วแปบ...ก้อเอาถั่วสีเหลืองๆ..ที่เราใช้ทำเต้าส่วนนะ....พี่ทิพน่าจะใช้เยอะนะ..หลายถุงอยู่ ต้มกับน้ำจนถั่วนิ่ม...แต่ไม่บาน...จากนั้น...ก้อเอาตะแกรงสะเด็ดน้ำออก...ล้างด้วยน้ำธรรมดา...สะเด็ดให้แห้ง...จากนั้นพี่ทิพก้อปรุงผสมถั่วแปบบนตะแกรงเลย....ใส่มะพร้าวอบแห้ง น้ำตาล เกลือ ปรุงรสตามชอบใจ...อยากใส่อะไรก้อใส่ลงไป..ไม่ต้องคิดมาก...

จากนั้น...พี่ทิพก้อมาหั่นไก่ที่สุก...เรียงใส่จานสวยงาม..และน้ำซุปที่เหลือ พี่ทิพก้อใส่ฟักลงไป..ทำน้ำซุปสำหรับซดตอนกินข้าวมันไก่ด้วย...และพวกเรานักเรียนการเรือนก้อเบรค...ขอพักกินข้าวมันไก่กันก่อน...

เนื่องจากคอร์สนี้เป็นคอร์สของนักเรียนการเรือนที่มีปัญหาในเรื่องการทำกับข้าวมากถึงมากที่สุด...นักเรียนที่มาเรียนจึงเป็นนักเรียนที่คัดมาแล้วว่าต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน...อาจารย์จึงจัดคอร์สพิเศษขึ้นมาให้ และพี่ต้อยผู้รับผิดชอบการตักข้าวมันไก่จากหม้อหุงข้าว...ซึ่งวันนี้พี่ต้อยก้อประเดิมด้วยหม้อใหม่เอี่ยมเลย...พี่ต้อยก้อไม่กล้าคน..ทำให้ข้าวที่ตักออกมาในชุดแรกแข็งไปนิดนึง...อาจารย์เกิดสงสัย เปิดหม้อเช็คดู.. จึงได้แนะนำนักเรียนว่าต้องคนข้าวในหม้อให้ทั่วถึงกันก่อนจึงค่อยตักเสริฟ....อาจารย์เชื่อแล้วว่า..นักเรียนรุ่นนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจริงๆ...สมคำร่ำลือ...หรืออย่างยุ่น...พอล้างมือเสร็จ..จะมาปั้นแป้ง...ก้อถามอาจารย์ว่าล้างมือแล้วมือเปียกปั้นได้มั้ยค่ะ...อาจารย์ปวดหัวมากกับคำถามของนักเรียน...คือมันเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม...นักเรียนกลุ่มนี้มีอะไรแปลกๆ...คิดมากเกินไป...อาจารย์จึงให้ข้อคิดว่า " อยากทำอะไรก้อทำไป อย่าคิดมาก....."

และพอเรากินข้าวมันไก่กันเสร็จ...ต้องขอบอกว่า...สุดยอด...หรือ VISIT (=เยี่ยม) โดยเฉพาะน้ำจิ้มเนี่ย..พี่ทิพทำมาจากบ้าน...อันนี้พวกเราไม่ได้เห็นกรรมวิธี...อันนี้นักเรียนการเรือน..ก้อตัวใครตัวมัน..ต้องไปค้นคว้ากันเอง...เพราะพี่ทิพบอกสูตรน้ำจิ้มก้อง่ายๆ : ต้มน้ำตาลให้ละลาย แล้วใส่ซีอิ้วหวานนิดนึง เต้าเจี๊ยว...แล้วปรุงรส แต่อย่าใส่เกลือนะ ไม่ได้...ต้องไปลองลุยกันเองนะค่ะ..นักเรียน

และเมื่อเรา enjoy ข้าวมันไก่กันเรียบร้อยแล้ว...พวกเราก้อลุย...ขนมถั่วแปบ..บวกกับสาคูไส้หมู...กันอีกสองรายการ...ซึ่งก้อไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด...และตอนนี้ยุ่นก้อพอจะได้ไอเดียแล้วว่าทำไง..คิดว่าทำได้นะ..แต่จะอร่อยหรือไม่..อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...ไม่รับประกัน... ^^

ส่งท้าย..ก่อนกลับบ้านอาจารย์ยิ่งศักดิ์ได้จัดขนมถั่วแปบกับสาคูไส้หมูให้แต่ละครอบครัว..เพื่อไปอร่อยต่อกันที่บ้าน ทีแรกมีผู้เสนอว่าใครอยากได้แป้งที่เหลือ...ปรากฎว่าทั้งพี่อ้อมและยุ่น...พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..พวกเราขอที่มันเป็นอาหารสำเร็จรูปแล้ว..ที่อยู่ในรูปวัตถุดิบ..เราไม่ต้องการ..เพราะเกรงว่ามันจะไม่ได้แปรรูปหากมันไปอยู่ในตู้เย็นบ้านเรา....ซึ่งทำให้อาจารย์ยิ่งศักดิ์ลังเลในการที่จะให้ certificate กับนักเรียนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก...555555555

..วันนี้ก้อเป็นอีกวันที่สนุกมากเลย...ทั้งฮา...ทั้งอิ่ม..ทั้งอร่อย...รวมทั้งได้สาระความรู้ในการทำอาหารด้วย....คุ้มมากๆเลยค่ะ..ต้องขอขอบคุณพี่ทิพ..มากเลยนะค่ะ...ที่ได้สอนเคล็ดลับในการทำอาหาร...ง่ายๆ แล้วก้ออร่อย...พี่ทิพสามารถ organize ทุกอย่างในเวลาไม่นาน...และได้อาหารมากมายและอร่อยมากๆเลยค่ะ....แล้วก้อขอขอบคุณพี่ต้อยกับพี่ประเวศที่เอื้อเฟื้อสถานที่กับพวกน้องๆเสมอมา...ยังไง..พวกเราก้อยังชอบอาหารของพี่ประเวศเสมอนะค่ะ...ยังไงก้อจะไปทานที่บ้านลุงเสมอนะค่ะ.....และสุดท้ายขอขอบคุณ...คุณสามีที่ถ่ายวีดีโอชุดนี้ไว้ It's a good memory!!!... ^^

Saturday, February 19, 2011

FACEBOOK MAKES OUR WORLD SMALLER

เมื่อเดือนที่แล้ว กุมภาพันธ์ 2011 โสภิดา add ยุ่นเข้ากลุ่มเภสัชจุฬารุ่นเรา...ทำให้ยุ่นได้ chat กับเพื่อนๆมากมายทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ทั้งๆที่ตอนอยู่ไทยกลับไม่ได้เจอหรือคุยกับใครเลย ได้รู้ความเคลื่อนไหว ข่าวคราวของเพื่อนๆ... ก้อต้องขอบคุณเทคโนโลยี่ที่ทำให้โลกเราไร้พรมแดน..ทำให้เราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก..VISIT VISIT!!!!

Thank you for the high technology that makes me reach many many.....old friends of mine. I can add friends from 60 to 99 in a couple days. AWESOME!!!!


และอยู่ดีๆวันหนึ่งขณะที่หิมะกำลังตก...ยุ่นนั่งมองหิมะ..แล้วก้อแต่งกลอนอันนี้ออกมา...มันก้อไม่ค่อยสละสลวยเท่าไร..แต่อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับ...หน้านี้...

ตั้งแต่จบเภสัชมาปีสามหนึ่ง
ทุกคนบึ่งทำงานตามหาฝัน
กระจายตัวแยกย้ายหน้่าที่กัน
รู้ตัวพลันใกล้เลขห้าตาฟ่าฟาง

แล้วอยู่ดีโสภิดาก้อ add ยุ่น
มาเจอรุ่นฟาร์มาเฟรนด์แบบเป็นฟลุ๊ค
นั่งmouth กันเมามันไม่ต้องลุก
ติดเฟสบุคติดคอมงอมแงมเลย

แต่ดีใจไม่ได้เป็นแค่เพียงยุ่น
ที่หมกมุ่นในเฟสบุคสุขใจหลาย
สวย โส เจี๊ยบ เล็ก วิอีกมากมาย
ทั้งฝ่ายชายตึ๋งนิวัชและม่อนซัง

ภาพอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากฉาก
ไม่ลำบากเพราะวิไลเค้าจัดให้
ซ้ำตั้งใจอยู่นานไม่ร้างไกล
ใครเหงาใจเข้ามามีฮาเอย...

Thursday, February 17, 2011

เคมีเกือบเป็นเรื่อง...

วันนี้ก้อมีเรื่องราวเด็ดๆ...ของคุณยีนมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว..

อาทิตย์ก่อน...วันอังคารยีนก้อมาบอกว่า...แม่เดี๋ยวพฤหัสนี้ยีนต้องไปเล่นกีตาร์..ตามห้องเรียนในโรงเรียน แบบเดินสายเล่นทุกห้อง....พอพวกนักเรียนฟังแล้ว...ก้อจะมีการ donate เงินเพื่อช่วยงาน graduate ของเกรด 12 หรืออย่างบางคนเค้าเป็นแฟนกัน...ผู้ชายมันก้อจะให้เราเล่นเพลงนี้ให้หญิงฟัง..แล้วก้อบริจาคเงิน..ประมาณนี้...งานนี้ยีนเป็น volunteerนะแม่.. ยีนชอบ...ครั้งนี้...ก้อช่วยกันกับเพื่อนหาเงินได้ประมาณ 500-600 เหรียญ...ก้อรู้สึกเค้าก้อภูมิใจในผลงานที่ทำ...เราพ่อแม่ฟังแล้วก้อรู้สึกดี..

ยุ่นก้อถาม.อ้าวแล้วไหนบอกสอบเคมีไม่ใช่เหรอ..แล้วไปทำแบบนี้ได้เหรอ..ยีนบอกได้ ไม่ต้องห่วง..บอกครูแล้ว ครูให้ไปสอบอาทิตย์หน้า...เราสองคนพ่อแม่ก้อไว้ใจไม่ได้คิดอะไร..ก้อไม่รู้จะเช็คยังไง..เด็กมันก้อโตแล้ว..

เสร็จ..เมื่อวันพุธนี้..ครูเคมีก้อโทรสายตรงเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก้อไม่อยู่ทั้งคู่..ครูฝากข้อความว่า..ยีนไม่ได้สอบเคมีวันพฤหัสก่อน..เห็นบอกไปเล่นกีตาร์ พฤติกรรมรับไม่ได้ ให้ผู้ปกครองติดต่อกลับด่วน...

ไอ้เราสองคนก้อตกใจ..ไงเนี่ย..วันก่อนก้อมีถามแล้วก้อบอกว่าเรียบร้อยไม่มีปัญหา..แล้วนี่ทำไง..ตอนนี้ยีนก้ออยู่ที่โรงเรียน...และวันนี้ก้อคือวันที่ต้องไปสอบเคมีที่ยังไม่ได้สอบด้วย...

ยุ่นก้อติดต่อยีนทางมือถือ..สอบถามความจริง..ยีนบอก..ครูเคมีโกรธมาก...ไม่ให้สอบ..เพราะเค้าบอกเค้าบอกวันสอบนี้มาเป็นสัปดาห์และนี่คือสอบใหญ่...เค้าไม่คุยด้วย..

ยุ่นก้อบอก..อ้าวแล้วทำไมบอกแม่ว่าบอกครูแล้ว..ยีนบอก..วันนั้นไปรอแต่ไม่เจอครู..ก้อฝากเพื่อนบอกในห้องสอบ.....คิดว่าไม่น่ามีปัญหา.....แต่ครูบอกกีตาร์ที่ไปเล่นเนี่ยเป็นเรื่องไม่สำคัญ...แต่แม่ก้อรู้..มันมีความหมายสำหรับยีน..

ยุ่นก้อเลย lecture ไปหนึ่งยกเพราะรับไม่ได้ในความไม่เคารพครู...ไม่เห็นความสำคัญของครู..เพราะอย่างไรก้อตามคุณต้องขออนุึญาตเค้าก่อน..ไม่ใช่คิดว่าเรื่องของตัวเองสำคัญกว่าการสอบ..ก้อเลยบอกว่าพยายามไปคุยกับครูให้ครูใจอ่อน..เรียนผูกต้องเรียนแก้..

ในขณะเดียวกันฮ่งก้อโทรหาครู แต่ครูไม่สะดวกคุย...ครูบอกจะติดต่อกลับมาช่วงเย็น..

เฮ้อ..ยุ่นก้อแบบเครียดเลย..เพราะหากตัวเคมีมีปัญหา ก้อคือไม่จบเกรด12 ไง...เราก้อเซ็งกับพฤติกรรมลูกวัยรุ่นของเราจัง...บ้าดนตรีจนเป็นเรื่อง...

ปรากฎก้อต้องรอคอยอย่างเีดียว..ตอนสี่โมงเย็น...ยีนโทรกลับบ้านบอกพ่อว่าได้สอบเคมีเรียบร้อยแล้ว..ช่วยบอกแม่ให้ด้วย..เดี๋ยวกลับบ้านจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง..

พอยีนกลับมา...ฮ่งก้อบอกว่าครูเคมีก้อโทรมา..และอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกฟัง..ครูยังบอกอีกว่ารู้สึกช่วงหลังยีนมีความสนใจในการเรียนลดลง...อยากให้ทางบ้านกวดขันหน่อย....

.จากนั้น..พอยุ่นกลับถึงบ้าน.....ยีนเจอยุ่นก้อเข้ามาเล่าให้ฟังว่า..แม่..วันนี้ตอนสอบเคมี..ครูก้อให้ยีนออกไปนอกห้องนั่งสอบคนเดียว...เพื่อนๆก้อเรียนในห้องกัน

แม่เชื่อมะ..เป็นข้อสอบเคมีที่ยากมากๆๆๆๆเลย..คือยีนทำไม่ได้เลยอ่ะ multiple choice นะ..ยีนก้อทำทำมันไปตามหน้าที่...พอถึงข้อสอบชุดหลังที่เขียนอธิบาย...ยีนทำไม่ได้เลย..ก้อเลยไม่ทำ ปล่อยว่าง..เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร...มันไปไม่ถูกเลย...

ยุ่นก้อทำหน้าไม่ถูก...จะด่าไงดีเนี่ย..เริ่มไม่ถูกเหมือนกัน...ก้อเลยยังไม่พูดอะไร...ได้แต่ถามว่า..มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ...ไม่อยากเชื่อ...ครูออกข้อสอบให้เด็กทำไม่ได้เลยเหรอ...

ยีนก้อไม่สนใจที่ยุ่นถาม..ก้อเล่าต่อ..แล้วยีนก้อเดินไปส่งข้อสอบ...ครูเค้าเห็นกระดาษเปล่า..เค้าก้อหัวเราะ...แล้วก้อบอกว่าให้ไปสอบใหม่..เพราะครูหยิบข้อสอบผิดฉบับ...มันเป็นเคมีอีกชุดหนึ่งคือที่นี่จะมีแบบ advance ด้วยไง...เค้าหยิบชุดนั้นให้ยีนทำ...คือยีนไม่ได้เรียนอันนี้ไง...

ยีนก้อเลยต้องนั่งทำข้อสอบอีกชุดหลังเลิกเรียนต่อ...แต่ชุดนี้ยีนพอทำได้..ค่อยยังชั่ว...คงผ่านนะแม่..ไม่ตก...สบายใจได้..

ยุ่นก้อเลยยิ้ม..และบอกว่าครูแกล้งรึปล่าว...แต่ครูเค้าก้อยังเอ็นดูยีนนะเนี่ย..ให้สอบใหม่..แต่วันหลังอย่าทำตัวแบบนี้อีก..ไม่น่ารักเลยจริงๆ...

ยีนก้อตอบแบบจ๋อยๆยอมรับผิดว่า....คับแม่...

Tuesday, February 15, 2011

My presentation 1 ( Tom's class )


สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกชอบและรู้สึกดีในเรื่องการเรียนที่นี่อีกเรื่องหนึ่งคือ ระบบหนังสือเรียน...ที่ไทยก้อรู้สึกจะเป็นระบบนี้ในโรงเรียน international เช่นกัน...นั่นคือระบบการยืมหนังสือเรียน..และคืนในสภาพที่ดี..

ในโรงเรียนรัฐบาล..Elementary หรือ Secondary school...อย่างยีนหรือเด็กๆที่นี่เวลาเรียนหนังสือเค้าไม่ต้องซื้อหนังสือ แต่เค้ามีระบบการยืมหนังสือ..ซึ่งเราต้องจ่ายค่ามัดจำไว้ก่อน อาจจะเล่มละ 100 เหรียญ 50เหรียญ ก้อว่าไป..พอเด็กเรียนจบปี ก้อคืนครูในสภาพดีนะค่ะ..ถ้าไม่ดีก้อจะถูกหักสตางค์ตามสภาพหนังสือ...จากนั้นครูก้อจะออกใบว่ารับหนังสือ..และทาง school board ก้อจะคืนเงินเรามาทั้งหมดที่เรามัดจำไว้


แต่ในส่วนของยุ่น เนื่องจากเป็นโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 19 มาเรียน...รัฐถือว่าคุณโตแล้ว..ทำงานไปเรียนไปได้แล้ว..จึงแตกต่างจากยีน..ยุ่นต้องมัดจำ 100 เหรียญ เรียนจบเค้าจะ charge ไป 20 เหรียญค่าเช่าหนังสือทำนองนั้น..แต่ใครไม่คืนหนังสือก้อจะถูกยึด 100 เหรียญเลย..ซึ่งหากหนังสือราคาสูงกว่า 100 เหรียญเช่นพวก Calculus หรือหนังสือ Math Science ที่แพงกว่า 100 เหรียญ ก้อมีหลายนักเรียนที่สมานะแฮบเอาไปเลย เพราะเค้ารู้สึกคุ้มกว่าไปซื้อ...แต่เค้าลืมนึกไปว่าเค้าได้หนังสือเก่า..ไม่ใช่ใหม่ ...อิ..อิ.. แต่บางคนก้อพอใจ...ซึ่งทางโรงเรียนก้อคงคำนวณค่าเสียหายในส่วนนี้ครอบคลุมไว้แล้ว..ก้อเรียกว่า Win- Win.. แต่กรณีแบบนี้มีน้อยนะ..โดยเฉพาะในโรงเรียนทั่วไปที่เด็กๆเรียน...มันเกิดกรณีนี้ในโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่มากกว่า....( เคี่ยวตามวัย)


เทียบกับบ้านเรา..เราต้องซื้อหนังสือใหม่ตลอด..แทบทุกวิชา เห็นพ่อแม่บางคนเคยเล่าให้ยุ่นฟังว่า...บางทีพี่ใช้แล้วกะให้น้องใช้ต่อ พอมารุ่นน้อง..เค้าดันเปลี่ยนหนังสือ ก้อต้องซื้อกันใหม่อีก..หรือบางทีเด็กๆก้อเรียนแบบไม่รักษาหนังสือ...ก้อไม่สามารถส่งต่อให้น้องเรียนได้ ก้อต้องซื้อกันใหม่เหมือนกัน....


จริงๆ..เรื่องนี้ก้อจะเห็นวิธีคิดที่แตกต่างกันระหว่างฝรั่งกับเราว่าจริงๆเค้าประหยัดกว่าพวกเรามากมาย..ซึ่งหากคิดออกมาเป็นงบประมาณค่าใช้จ่าย..ก้อสามารถช่วยชาติประหยัดเงินขึ้นมาได้มากมายเหมือนกัน...


นอกจากนี้ ผลทางอ้อม..ยังเป็นการฝึกเด็กๆให้มีความรับผิดชอบต่อหนังสือที่คุณเอามาเรียน ต้องรักษาในสภาพดี เพื่อให้รุ่นน้องได้เรียนกันต่อไป..เป็นก้าวแรกของฝึกเด็กให้รู้จักมีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน..


เอาเป็นว่าเราอย่าไปพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ในบ้านเราเลย...สำหรับตอนนี้ยุ่นก้อมาเรียนอังกฤษกับทอมอีกรอบ..และงานนี้ต้อง presentation มากกว่าครั้งก่อน..เค้าให้เราเลือกอ่าน Novel ที่เค้าเลือกมา หรือเราจะหาเองก้อได้ จากนั้น เค้าก้อจะให้เราขึ้นมาเล่าว่าไอ้เรื่องราวที่เราอ่านเนี่ย (อ่านแบบเป็นเล่มใหญ่นะ...ไม่ใช่เล่มบางๆ.)..มันหนุกหนานแค่ไหน ชวนคนอื่นให้มาอ่านได้อย่างไร...ไม่ใช่แค่บอกว่ามันเป็นหนังสือที่ดี น่าอ่าน..แต่คุณต้องเจาะเข้าไปในหนังสือ..ในตัวละคร ใน plot ของเรื่อง...และ present ให้คนอื่นเค้าเกิดความอยากอ่าน..55555 งานนี้..ไม่หมูอีกแล้ว..


และเพื่อเป็นการชิมลาง และให้นักเรียนคุ้นเคยกับการทำ presentation ทอมก้อให้ topic ประมาณ 40 หัวข้อ...ให้นักเรียนทุกคนเลือกกันคนละหัวข้อ..ไม่ซ้ำกัน...และกำหนดให้ขึ้นมา present หน้าห้องคนละสามนาที..และนี่ก้อคือ topic ที่ยุ่นเลือก..ครั้งนี้ก้อเป็นเรื่องเบาๆ สบายๆ..ไม่ได้จริงจังหรือซาบซึ้งเหมือนครั้งก่อนที่เพื่อนรัสเซียเค้าว่า...

Good afternoon. My name is Suwannee.

The topic I am going to speak to you today is about " My Most Embarrassing Experience."
I have called this presentation " A New Memory Chip."

We all have had our embarrassing moments. And we feel blushing, shy, uncomfortable and sometimes guilty. And today I am not embarrassed to tell you guys that I have had countless of embarrassing adventures. And this is the most embarrassing experience I have had.

I still remember the first time I took a bus in Vancouver. That day, at 41 and Victoria street, my husband and I were walking to the nearest bus stop. While we were waiting for the green light at the intersection, I saw the 41 bus that we had to get on coming from the other side of the street. In order to get on that bus, we had to cross another intersection to reach the bus stop.

As soon as the traffic light turned green, the survival instinct inside myself drove my legs to run as fast as an Olympic runner. I forgot my husband and left him behind, also I didn't see and passed through the four passengers who were lining up at the bus stop. I was the first person who got on the bus; I felt so lucky and happy, " I can do it!"

Then my husband got on the bus and sat beside me. He whispered to me what I had done a few minutes ago. I suddenly realized that I had made a silly mistake. Luckily, those four passengers were not mad at me, but surely they were annoyed. I felt so embarrassed and guilty. I kept quiet and thought why I behaved like that.

The old pictures of my 10-year experience of taking a bus when I was young appeared in my mind. I always tried to catch a bus that was never stopped at any bus stops. I always tried to get on the bus as fast as possible because the bus drivers would not wait for any passengers. I always struggled on a crowded bus that was no more room and lacked of air. And sometimes I had to hang on the bus stairs when it was a rush hour.

I soon deleted the old memories and told myself that I had to insert a NEW MEMORY CHIP into my brain. The new program was now I entered a new culture that was totally different from my hometown, I had to adapt and adjust myself to this new environment. Also, I would never ever ever forget this embarrassing moment so this ashamed behavior should not happen again.

Thank you for your attention!!

และนี่ก้อเป็นการ presentation ครั้งที่สองที่เป็นภาคภาษาอังกฤษ แบบครั้งนี้ยุ่นก้อเริ่มไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรแล้ว...เหมือนกับเรารู้เทคนิคการพูด..และเริ่มชินแล้ว..คิดว่าถ้าทอมให้พูดมากครั้งขึ้น..เราก้อคงจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ...หากยิ่งกลัวก้อทำมันเยอะๆ ในที่สุดความกลัวก้อจะหายไป..ท่าทางจะจริง..

Friday, February 11, 2011

เปลี่ยนไปตามวัย...

ช่วงนี้ยุ่นก้อมาลงเรียนภาษาอังกฤษอีก...ที่จริงยุ่นต้องเรียน Communication 12 หรือไม่ก้อ English12 แต่ปรากฎ Eng 12 เวลาไม่ลงตัวกับการทำงานของยุ่น เลยลง Communication 12 เข้าไปเรียนวันแรก..งงและเซ็งมากเลย ครูสอนแบบนี้ไม่เรียนดีกว่าเสียเวลา

ครูเป็นครูผู้หญิง..ฝรั่ง..แบบเธอเข้ามาก้อแจก sheet short story สี่ห้าหน้าเสร็จก้อบอก..ทุกคนอ่านไป..แล้วเขียน essay ตอบคำถามข้อห้า...ไม่พูดไม่จาอะไร จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆ...ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก้อเบรค 10นาทีตามระเบียบ...เข้ามาแจก sheet อีกแผ่น บอกให้เชื่อมประโยคที่ให้..เขียนบนกระดานหนึ่งประโยคเป็นตัวอย่าง เสร็จให้นักเรียนทำเอง..แล้วก้อตอบคำถามอีกข้อหนึ่งโดยเขียนเป็น paragraph มาส่ง...จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆอ่านหนังสือของตัวเอง...ให้มันได้อย่างนั้น..แล้วนักเรียนจะได้อะไรมั้ยเนี่ย...นักเรียนก้อนั่งมองตากันปริบๆ

เฮ้ย..สอนแบบนี้ เล่นไม่ยากเลย..แต่ยุ่นไม่อยากเรียนเลยอ่ะ...ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ..แต่คิดว่าคงไม่ได้เรียนรู้อะไรแน่เลยสองเดือนครึ่งที่จะถึงนี้..เลยตัดสินใจ..

รุ่งขึ้น..ไปรอพบ Tom ครูที่สอนอังกฤษ 11 แต่ครั้งนี้เค้าสอน Communication 11 แล้วก้อบอก Tom ว่าเราอยากเรียนกับเค้า..อังกฤษเราไม่ได้แตะมาเป็นปีแล้ว ลืมหมด..ทอมก้อโอเค อนุญาต..เสร็จยุ่นก้อลงไปคุยกับ office ว่ายุ่นเรียน 12 เนี่ย วันแรก ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รอดแน่ ขอเปลี่ยนเป็น Communication11

ทีแรกเค้าไม่ให้..เพราะเช็คคะแนนเรา..เราเคยเรียน Communication 11 แล้วได้ 80% เค้าก้อบอกถือว่าดี..ทำไมจะลงอีก..แต่เราก้อยืนกรานว่าอังกฤษเราอ่อนจริงๆ..อยากเรียนอีกรอบ..เค้าก้อให้หัวหน้าเซ็นว่าให้เรียน...และยุ่นก้อต้องให้ทอมมา confirm อีกครั้งว่าเราจะย้ายจริง...ถ้าเป็นกรณีแบบนี้..คนอื่นก้อเสียอีกยี่สิบเหรียญ คือเหมือนลงทะเบียนใหม่อีกวิชา...แต่ครั้งนี้ยุ่นโชคนี้อ่ะ..เค้าย้ายยุ่นไป class ทอมโดยไม่เสียสตางค์...เพื่อนๆบอก..ฟลุ๊คมาก ปกติเค้าต้องเสียอีกยี่สิบเหรียญ...แต่ถึงเสียยุ่นก้อยอมนะ..คือกะว่าไงเปลี่ยนครูแน่นอน..ไม่อยากเสียเวลาแล้วไม่ได้ความรู้..เสียตังค์เพิ่มอีกหน่อยไม่เป็นไร..

แต่ทอมก้อมีบอกว่า..คุณอาจได้เรียนในสิ่งที่คุณรู้แล้ว.ซึ่งยุ่นก้อบอก..ยุ่นต้องการทบทวนความรู้..ไม่มีปัญหา..เป็นอันผ่านไปได้ด้วยดี..

วันก่อนทอมป่วยหนักไม่มาสามวัน...วันที่สามมีสอบ writing เป็นครูผู้หญิงอีกคนมาแทน..เค้าเช็คชื่อ..ส่วนใหญ่ในห้องก้อเป็นประชาชนชาวจีน..ก้อใช้ชื่อแบบฝรั่งอ่ะ..เช่น Amy..Micheal..Erica...Terisa...Tommy...Riko...Simon ประมาณนั้น เค้าก้อเรียกไป...พอมาถึงชื่อยุ่น คือยุ่นรู้เลยว่าต้องเป็นเรา เพราะครูทุกคนจะหยุดประมาณสามวินาทีก่อน...ตรง Last name มันยาวมากไง.. Takviriyanun..ที่นี่ last name เค้าสั้นๆทั้งนั้น...แล้วก้อชื่ออีก Suwannee ก้อไม่เหมือนชาวบ้านเค้าอีก...ตอนแรกที่มาเข้าเรียน class John ครูเลข เค้าเช็คชื่อครั้งแรก...ครูถามว่ามาจากพม่าเหรอ....แหม..John เกือบใช่เลย..มันใกล้กันมากเลย..เพื่อนบ้านพม่าอ่ะ.....ไทยแลนด์...

กลับมาห้องเรียนภาษาอังกฤษต่อ...ครูผู้หญิงเค้าก้อเรียกชื่อยุ่น Suwannee แล้วเค้าก้อแบบชอบมาก..เค้าบอก You guy have the coolest name in this class! คือมัน cool ที่นี่แหละครู ที่ไทยเนี่ยเค้าเรียกชื่อโหล...55555

อย่างที่บอกไง..ทีแรกก่อนมา ยุ่นก้อพยายามจะสรรหาชื่อโน้นชื่อนี้ เพราะคิดว่าชื่อเราฝรั่งจะจำไม่ได้ พูดไม่ได้.....สุดท้าย..ไม่ได้เปลี่ยน..เพราะหาชื่อโดนใจตัวเองไม่ได้.. สุวรรณีเนี่ยดีสุด.....แต่ปรากฎมาอยู่ที่นี่...เป็นชื่อที่ใครๆเรียกแล้วเค้าจะบอกว่าชื่อเรา Cool ครูผู้ช่วยที่ศูนย์พวกวัยรุ่นก้อบอก... Suwannee ไอชอบชื่อยูนะ...มันเพราะแล้วเวลาเขียนก้อ cool...ไม่อยากเชื่อเลย...คือส่วนตัว..ยุ่นก้อโอเคกับชื่อนี้นะ..เพราะพ่อแม่ตั้งมาให้แต่เด็ก..มันคือตัวเราไปแล้ว...และไม่เคยคิดอยากเปลี่ยน...แต่ไม่เคยรู้สึกเท่ห์ไง...เพราะเรียนตั้งแต่เล็กจนโต..ไม่เคยอยู่ห้องไหนแล้วไม่มีเพื่อนชื่อสุวรรณี..และก้อสุวรรณาเลย.....ก้อเพิ่งมารู้สึกว่าชื่อเราเนี่ยกิ๊บเก๋....ก้อตอนอยู่แคนาดาเนี่ยแหละ...^^

อย่างที่ศูนย์คุมองเนี่ย...ผู้ปกครองใหม่ทุกคนจะเรียกชื่อ สุวรรณีแบบลื่นเลยอ่ะ..เพราะมิสติงเรียกยุ่นตลอด..เมื่อวานมีผู้ปกครองเพิ่งพาลูกมาสมัคร..นั่งตรงเก้าอี้ข้างมิสชั่วโมงเดียว..มิสบอกเสร็จแล้วให้สุวรรณีอธิบายว่าดูแลลูกอย่างไรที่บ้าน..ผู้ปกครองเรียกชื่อยุ่นถูกเฉยเลย..เรียกแบบหนิทหนมด้วยนะ...คิดดู..มิสเรียกเยอะจนทุกคนจำได้หมดเลย...เพราะฉะนั้น สรุปว่าชื่อนี้ไม่ยากเกินเรียก..

อึม..แต่เมื่อวานตอนหลังเลิกเรียนและต้องไปทำงานที่ศูนย์ต่อ..ยุ่นได้ืำทำเรื่องที่น่าละอายใจเล็กๆ..เรื่องนึง..แต่เป็นเรื่องที่น่าจะอภัยให้ได้..ไม่ร้ายแรง..

คือปกติ..ยุ่นจะมีตั๋วเดือนรถเมล์ไง..ซึ่งใช้ได้ทุกเมื่อ..ปรากฎเมื่อวาน..ฮ่งยืมไป..และยุ่นก้อใช้ตั๋วเป็นใบใบ ที่มีเวลาแค่ 90 นาที...ซึ่งยุ่นไปเรียนหนังสือเนี่ยก้อ 2 ชั่วโมงสิบนาที..ต้องเปิดตั๋วอีกใบแน่นอนหากจะขึ้นรถเมล์...

เมื่อวานครูปล่อยเร็ว พอเรียนเสร็จก้อยังไม่ถึงเวลาทำงาน....ก้อเลยเข้าไปค้นหาหนังสือที่ต้องการในห้องสมุดหน่อย..เพลินไปนิด.. ปรากฎเหลือบดูนาฬิกาอีกที..ตายหละ..จะสามครึ่งแล้ว..ไปทำงานสายแล้วเราวันนี้....พอออกจากห้องสมุดปั๊บ..เป็นป้ายรถเมล์ไง..รถเมล์ก้อมาพอดี..ก้อวิ่งขึ้นเลย..จะได้เร็วหน่อย...ไม่ต้องเดินให้เสียเวลา..สองป้ายรถเมล์ไง..เดินก้อมีสิบนาที..

กะให้ถึงศูนย์ทันสามครึ่งอย่างเดียว...เรื่องอื่นลืมคิด....เรื่องตั๋วรถเมล์หรือเรื่องเงิน....พอขึ้นไปอยู่หน้าคนขับ ตรงจุดที่เราต้องหยอดบัตร..แม่เจ้า..วันนี้เราไม่มีตั๋วเดือนนี่หว่า..ตอนนั้นเนี่ย...ใจรู้ทั้งรู้ว่าบัตรในกระเป๋าเสื้อโค๊ทที่กำลังควักเนี่ย หมดเวลาชัวร์..ก้อยังคงควักมันออกมา..แล้วแกล้งใส่ลงเครื่อง..ทำเป็นไม่รู้เรื่อง..แกล้งโง่...เพราะความงกที่ไม่อยากเสียสตางค์ 2 เหรียญกว่าก้อหกเจ็ดสิบบาท...และก้อกำลังเจ็บใจตัวเองว่าขึ้นมาทำไมเนี่ย..เดินซะก้อหมดเรื่อง...

และแน่นอน..เครื่องมันไม่โกหก..มันก้อส่งเสียงว่าหมดเวลา..คนขับก้อดึง ticket ไปและถามว่า Is this today's ticket? ยุ่นก้อบอก Yes, but I forgot. และก้อกำลังกะว่าเราจะทำไงต่อดีเนี่ย..จะควักเงินเหรอ.......อึม..ไม่คุ้ม..เอาไงดีเนี่ย...คนขับจะว่าเรามั้ยเนี่ย...จะทำหน้ายังไงดี..จะพูดกับเค้ายังไง..

เล่าตอนนี้ให้ฮ่งฟัง..ฮ่งบอก..ไม่ต้องจ่ายเงิน..ลงป้ายหน้าเลย..เรียกว่าเดินน้อยลงไปหนึ่งป้ายด้วย....แล้วยุ่นก้อไม่ต้องเสียเงินด้วย..เห็นหลายคนเค้าก้อทำ....หน้าไม่แตกหรอก..เค้าจำหน้ายุ่นไม่ได้หรอก...( ไอ้ที่แนะนำเนี่ย..มันไม่ได้เกิดกับตัวเองไง..แนะไงก้อแนะได้...แต่ตอนอยู่ในสถานการณ์ซิ...)

แต่....โชคดี..เจอคนขับใจดี..แล้วก้อหล่อด้วยอ่ะ...คือเพิ่งเห็นความหล่อหลังจากเค้าดูตั๋วยุ่นว่าเป็นของวันนี้จริงๆ..เค้าก้อโบกมือว่าไปนั่ง ไม่เป็นไร..ไม่ต้องจ่ายสตางค์...ทีแรกมัวแต่คิดเรื่องอื่น...ลืมดูหน้าคนขับ...

วันนี้โชคดีจังเจอคนขับทั้งหล่อทั้งใจดี..อย่างนี้ก่อนลง...สุวรรณีต้องให้กำลังใจคนขับสักหน่อย..คือจริงๆขึ้นไปอยู่บนรถแค่สองป้ายรถเมล์เอง.....รวมเวลารถติดไฟแดงด้วย...แค่สามนาทีเท่านั้นเอง...

พอถึงป้ายลง....ยุ่นก้อเดินไปหน้ารถ..ตั้งใจลงตรงประตูด้านหน้าเลย....ปกติทั่วไปผู้โดยสารต้องลงประตูหลัง...และยุ่นก้อยิ้มหวานเล็กน้อย พร้อมกับบอกเค้าว่า.. .."Thank you so much!"...^^

คนขับก้อยิ้มตอบ.."You're welcome." ^-^

ก้อเรียกว่าจบลงด้วยดีอีกเรื่องหนึ่ง...เพราะบางทีถ้าเจอคนขับที่เจ้าระเบียบ..เค้าก้อมี lecture เรานะ...ก้อได้อายและหน้าแตกจริงๆ...และสงสัย..อาจจะหยิบสตางค์ขึ้นมาจ่ายด้วยหลังโดนด่า...

เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดกับตัวยุ่น ทำให้เดี๋ยวนี้เวลายุ่นเห็นบางคนทำอะไรผิดเนี่ย..ยุ่นจะคิดอีกมุมหนึ่งว่า จริงๆเค้าอาจมีเหตุผลอย่างอื่น..หรือแบบเราไง..คือไม่ได้ตั้งใจ....แต่มันเผลอไผล...ก้อจะพยายามมองสองด้านอย่างที่ฮ่งมักจะสอน...ซึ่งแต่ก่อน..พอเจอปั๊บ..จะมองด้านเดียวว่าเค้าไม่ควรทำ..มันผิด..แต่เดี๋ยวนี้..ทั้งประสบการณ์ที่มากขึ้น วัยที่เปลี่ยนไป...มุมมองและวิธีคิดยุ่นก้อเปลี่ยนไป...:)))

"In order for there to be growth, there must be change."

Tuesday, February 8, 2011

เย็นตาโฟรสเด็ด...

เมื่อประมาณกลางเดือนที่แล้ว  พี่ไก่สามีพี่อ้อมบินกลับมาแวนคูเวอร์...หลังจากกลับไปเที่ยวบ้านเราประมาณเกือบสองเดือน...พวกเราืั้ทั้งสามครอบครัวก้อเลยนัดกินข้าวกันที่บ้านพี่ประเวศอีกตามเคย...

อาหารที่พวกเราทั้งสามครอบครัว...ชอบทานกันก้อคือข้าวต้มร้อนๆ..แล้วก้อกับข้าว..แบบเจเจ...ผักกาดดอง..ผัดผัก..กาหนาไฉ่...ไข่ลุ้ย...( ของยุ่น...ไข่คนของพี่ต้อย..หรือไข่โช้งเช้งของพี่อ้อม..) ชื่อต่างกันแต่ออกมาหน้าตาไข่และรสชาติเหมือนกันทั้งสามบ้านเลย... หมูซีอิ้ว..แนวๆนี้อ่ะ...ก้อกินกันคุยกันไปเรื่อยๆ..จนข้าวต้มหม้อยักษ์หมดจึงเลิกกิน...เรียกว่าไม่หมดไม่เลิก..เพื่อนๆคงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมยุ่นถึงดูอุดมสมบูรณ์ขึ้น...^^

วันนี้ เนื่องจากพี่ไก่เพิ่งกลับจากไทย..ทำให้พี่เค้าคุยเรื่องอาหารของเมืองไทยมากมายว่าพี่เค้ากลับไปกินที่โน้นที่นี่ อร่อยเด็ดแค่ไหน..ทำให้คนไทยที่ไม่ได้กลับบ้านที่นั่งร่วมวง..คิดถึงอาหารไทยแบบ original...ของเรา จนน้ำลายไหล เอากระดาษซับแทบไม่ทัน...แล้วก้อจิตเกิดเลย...แบบอยากสุดๆเลยอ่ะ....พี่ไก่นะพี่ไก่...

คนนึงเลยที่ทนไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด...ก้อคือฮ่ง...ที่มีเป้าหมายในชีวิตนี้... "No born again!!" (งานนี้ได้เกิดอีกหลายชาติ ชัวร์ !! )  ด้วยความที่เป็นคนชอบกินอยู่แล้ว เค้าก้อถามว่าเอางี้ดีกว่าพี่ไก่..อาหารไทยที่นี่เลยคับ..ที่แวนคูเวอร์นะ..มีเจ้าไหนที่พี่พอจะแนะนำตอนนี้บ้าง...ที่ฝีมือใกล้เคียงเมืองไทย..ผมขอตามไปชิมก่อนคับ...

และพี่ไก่ก้อไม่ทำให้ Charles ผิดหวังจริงๆ...เพราะพี่ไก่ไม่ใช่รู้ที่กินเฉพาะที่เมืองไทยนะ..ที่แวนคูเวอร์แกก้อไปตามชิมมาเหมือนกัน..แกก้อบอก..ถ้าส้มตำ..ก้อโน้นเลย Richmond ที่ศูนย์อาหารเยาฮ้นนะ..แต่จะมีกะปินิดนึงแต่ก้อเด็ด..ใช้ด้าย...หรือถ้าจะเอาแบบเป็นร้านอาหารเลยก้อต้อง "ทะเลไทย"

ว่าแล้วพี่ไก่ก้อเริ่มบรรยายรายการอาหารต่างๆ..ลาดหน้านะ..สุดยอดเลย..เส้นเนี่ยหอม.เค้าผัดได้ดีมากอ่ะ...น้ำที่ลาดเนี่ย..อร่อยมาก...แล้วก้อเย็นตาโฟนะ เหมือนเลย..ไม่ใช่สิ..อร่อยกว่าที่เมืองไทยอีก..พี่อ้อมก้อมีเสริมว่าไข่เจียวเนี่ย ร้านนี้เค้าทำเด็ดมาก..แค่ไข่เจียวของเค้ายังอร่อยเลย...^^พี่อ้อมบอกพี่ว่าพี่ทำไข่เจียวอร่อยแล้วนะ...เจอของเค้าเราชิดซ้ายเลย...

จริงเหรอ..ขนาดไข่เจียวยังอร่อย...แล้วจะเหลือเหรอ..ฮ่งกับยุ่นก้อกลืนน้ำลายกันใหญ่เลย..อย่างนี้ต้องมีตามไปชิม....แบบอยากกินอ่ะ..เย็นตาโฟจะหากินยังไง..ไม่คิดว่าที่นี่มีขาย....ซ้ำพี่ไก่ยังบอกอีกว่าร้านนี้เนี่ยคนแน่นเอี๊ยด..ศุกร์เสาร์เข้าไปไม่มีที่ ต้องรอคิวนานเลย...แม่ครัวมือเดียวที่ผัด...บางอย่างต้องรอนาน  เค้าจะถามก่อนเลยว่าจะรอไหวมั้ย....พี่ไก่บอก..พี่ก้อรอทุกครั้ง..มันทำอร่อยจริงๆ..

พี่ไก่ก้ออยากให้พี่ประเวศไปลองชิมสักครั้ง จะได้จดจำทั้งรสชาติและดูว่าเค้าใส่อะไร ยังไง..แล้วพี่จะได้มาทำให้น้องๆกินกัน..โดยเราไปซื้อวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องทำแล้วมา share กัน..แล้วก้อนั่งกินด้วยกัน..คือทุกวันนี้ก้อพยายามสรรหาเมนูต่างๆไม่ซ้ำแบบเพื่อจะไ้ด้มาทำกินกันทุกสัปดาห์...หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์..อยู่แล้ว..

พี่ประเวศบอกทำไม่ยาก...เดี๋ยวไปหาซื้อว่ามีไอ้สีแดงๆที่เค้าเรียกเต้าหู้ยี้มั้ย..ถ้ามีก้อทำได้เลย...พี่ไก่ก้อบอกน่าสนใจ...ถ้าทำเองได้ก้อดีเลย.. เพราะถ้าไปกินที่ร้าน ที่หนึ่งก้อมี 10 เหรียญนะ..

หลังจากนั้นอีกอาทิตย์กว่า พี่ประเวศก้อจัดให้ตามคำเรียกร้อง..พี่ประเวศไปหาซื้อไอ้เต้าหู้ยี้ได้จริงๆ แล้วก้อน้ำจิ้มสุกี้จากไทยด้วย... หาซื้อได้ที่ T&T ที่ๆยุ่นชอบไป shop เหมือนกัน...แต่ช่วงหลังห่างหายไปหลายเดือน..ชักคิดถึง  เดี๋ยวอาทิตย์นี้คงต้องไปสักหน่อย..

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา..พวกเราก้อตกลงกันว่าเราจะทำกินกันเอาแบบครบเครื่องเรื่องเย็นตาโฟเลย..เอาสุดๆเลยนะ...ทั้งเลือด เต้าหู้..ลูกชิ้น..ผักบุ้ง..ปลาหมึกไม่มีเอาหอยนิวซีแลนด์แทนไปก่อน..เอาแบบเหมือนต้นตำรับบ้านเราเลย..ดูว่าตกชามละเท่าไร รสชาติพอเทียบทะเลไทยได้มั้ย..ถ้าพอไหว เราจะได้มาทำกินกันที่บ้านพี่ประเวศไม่ต้องไปทะเลไทยก้อได้..มาที่บ้านเลขที่ 35 ถนน 49...ถูกและอร่อย...

     ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาคนๆเย็นตาโฟ ก้อคือ...พี่ไก่..ผู้ริเริ่มอยากทานเย็นตาโฟ..แบบไทยๆ...

  
และนี่ก้อเป็นภาพเหตุการณ์ที่พวกเราได้พิสูจน์ความอร่อยกันที่บ้านพี่ประเวศ...ขอบอก..เด็ดค่ะ...สุดยอด..มีเครื่องปรุงพร้อมสรรพ..น้ำปลา น้ำตาล พริกน้ำส้ม..ขอบอก..ไม่ใช่พริกธรรมดานะค้า Habanero สีแดงค่ะ.. พริกติดอันดับสองของโลก..ก้อแซ่บสะใจ....พี่ไก่พี่อ้อมบอก..ไม่แพ้ร้านทะเลไทย...สุดยอด สุดยอด...พี่ไก่ใส่พริก habanero เยอะมาก  จนน้องยีนอดสงสัยว่าน้าไก่รู้สรรพคุณของ habanero มั้ยคับ???  พี่ไก่กินจนเหงื่อออกสะใจไปเลย...พี่ไก่บอก..พี่ชอบ พี่ชอบ..

ส่วนพี่อ้อม..สงสัยจะหิวจนหูอื้อ...พี่ประเวศใส่ habanero ไปช้อนนึงแล้ว พี่อ้อม..ยังมีตามไปอีกช้อน..และก้อบอกพี่เป็นคนไม่ชอบทานเผ็ด..ยังไงเนี่ย..พี่ต้อยแซว....อ้อมปากกับใจไม่ตรงกันอ่ะ.....ผลก้อคือ....เผ็ดอย่าบอกใครเลย... ใช่มะ...พี่อ้อม..

                                             .. Habanero ตอนที่เป็นร่างเดิม...อันนี้สีส้ม..


                             อันนี้ หลังจากสลายร่างเดิม...และรวมตัวกับน้ำส้มสายชู... Red Habanero!!!
         

ส่วนยุ่น..ก้อน้ำชามแห้งชาม...อร่อยเหาะเหมือนกัน...ทุกคนมีโควต้าคนละสองชาม...ฮ่งตามมาทีหลังจากเลิกงานที ่London Drug กินแค่ชามเดียวเพราะระหว่างทำงานหิวเลยไปกิน Mc. Donald รองท้องก่อน...แต่พวกเราทุกคนก้อได้ละลายความอยากของตัวเองในวันนั้นลงไปได้...พอสมควร..


                                                     อย่างนี้้ก้อคือ..น้ำชาม...

   ตามด้วยแห้งอีกชาม...ความอยากไม่เคยปราณีใคร...อิ่มแปล้สมใจ..คนไทยใน Vancouver..
  
และ...งานนี้ต้องขอขอบคุณพ่อครัวหัวป่าของเรา พี่ประเวศที่กรุณาจัดให้ตามคำเรียกร้อง...ของน้องๆเสมอมา... ^^

       พี่ประเวศ...พ่อครัวหัวป่า..ของพวกเรา...."อยากกินอะไรบอก..เดี๋ยวลุงจัดให้ค๊าบบบบบ..."