Monday, February 25, 2013

ห้าปีที่เปลี่ยนไป episode 3

เรื่องถัดไป     ก้อมีความสำคัญกับชีวิตของเราไม่น้อยเช่นกัน  นั่นคือระบบรักษาพยาบาล....


จำได้ว่า สองปีแรก...กว่าๆด้วยมั้ง ที่ครอบครัวเรามีความรู้สึกแย่กับการที่หมอที่นี่ไม่รับเป็น family doctor ให้ครอบครัวเรา  เพียงคำตอบง่ายๆ สั้นๆ และห่างเหินว่า  "เต็ม ไม่รับคนไข้เพิ่ม...."

และนี่คือหนึ่งในความรู้สึกที่เรารู้สึกว่าไม่เท่าเทียมกัน  เพราะเราเป็นผู้มาใหม่ในสังคม  เลยไม่มีที่ตรงนี้ให้ครอบครัวเรา  พี่หลายคนแนะนำครอบครัวเราว่า  ไม่เป็นหรอก....หากเรามีปัญหาไม่สบาย เราก้อสามารถไปหาหมอได้  ใน clinic ที่เค้ารับคนไข้ walk in อ่ะ  เราทำได้   แต่..ยุ่นได้เคยลองดูแล้ว มันแบบเหมือนเราเป็นขาจรอ่ะ  และหมอที่ยุ่นไปหาเนี่ย  คุยกับยุ่นเร็วมาก ยุ่นว่านะ ไม่เกิน 3 นาทีเสร็จจ่ายยาเลย...เร็วจนยุ่นรู้สึกถึงความไม่ใส่ใจ และไม่ไว้ใจในการวินิจฉัยโรคอ่ะ...

ยุ่นว่านะ...มนุษย์เราทุกคนก้ออยากได้สิ่งที่เรียกว่าดีที่สุด  และเท่ากับคนอื่น        ขณะที่เพื่อนรอบๆตัวเรา ทั้งคนไทย คนจีน คนฮ่องกง เค้ามี family doctor คอยดูแลอย่างดี   รู้ประวัติสุขภาพของเรา  แต่ครอบครัวเราไม่มี.... ณ.เวลานั้น .ยุ่นรู้สึกผิดหวัง...เสียใจ....น้อยใจ ....เจ็บใจ .....โกรธ     "คุณรู้สึกว่าทำไมคนอื่นได้ แล้วคุณไม่ได้  มันช่างไม่ยุติธรรมเลย !!!!" และเมื่อจิตใจเราถูกกระทบด้วยสิ่งเหล่านี้มากๆ  ครั้งแล้วครั้งเล่า และเราลุกขึ้นต่อสู้ เรียกร้องสิทธิเหล่านั้น  เราผิดมั้ย???


ยิ่งวันที่น้องยีน ตอนอยู่เกรด 11 มั้งมีอุบัติเหตุโดนศอกเพื่อนทิ่มตาระหว่างเล่นบาสที่โรงเรียน  ตาซ้ายเขียวจนถึงฮ้อเลือดสีม่วงๆแดงๆ บวมทั้งหน้า  คนเป็นพ่อแม่  พอเห็นหน้าลูกเนี่ย...หัวใจเราแทบสลาย  และวันนั้น ครอบครัวเราต้องพยายามหา walk in clinic เพื่อพาลูกไปหาหมอ  ยุ่นจำได้ว่าเราใช้เวลาเกือบทั้งวันในการหาคลีนิค  วันนั้นเป็นวันเสาร์และฝนตกหนักมาก....และนั่นเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ยุ่นกะห่งมีความรู้สึกแย่มากๆเลย  แต่ในที่สุด เราพยายามจนสำเร็จ  และเราสามคนก้อนั่งรถเมล์พาน้องยีนไปหาหมอในวันนั้น

 ณ.นาทีนั้น เชื่อมะ  ยุ่นเข้าใจสัจจธรรมข้อที่ว่า   คนที่ไม่ได้รับสิทธิที่ควรจะได้นั้น มันเป็นอย่างไร  เพราะตอนเราอยู่ไทย  เราไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้  คือเราสามารถที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเราได้  โดยใช้เงินของเรา...แลกสิ่งเหล่านี้มา  เราจึงไม่แคร์ว่าเราจะได้สิทธิในการรักษาพยาบาลจากรัฐหรือไม่....และระบบรักษาพยาบาลของรัฐบาลเป็นอย่างไร?


แต่ที่นี่..แม้คุณจะมีเงินก้อซื้อไม่ได้   เพราะเค้าไม่รับคุณเป็นคนไข้    หากคุณไม่ได้เข้าระบบ  ที่นี่โรงพยาบาลทั้งหมด เป็นโรงพยาบาลของรัฐ  ไม่มีเอกชนแม้แต่เจ้าเดียว  หมอตาม clinic ต่างๆ ก้อทำงานให้รัฐบาล...คือพูดง่ายๆ ทุกคนต้องเข้าระบบ..จึงจะได้รับการดูแลในเรื่องสุขภาพ...


แต่เราสามารถไปหา walk in clinic ได้ แต่หมอที่เราไปเจออาจเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ  และการไปหาหมอนั้น คุณต้องยอมเสียเวลาทั้งวัน เพราะคุณไม่สามารถนัดล่วงหน้าได้  คือพูดง่ายๆ ไปนั่งรอคิวที่คลีนิคเลย  ซึ่งส่วนใหญ่ก้อต้องมีชั่วโมงขึ้น  ที่ยุ่นเคยไปก้อประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงที่นั่งรอ....


แต่เมื่อครอบครัวเราสามารถเข้าระบบรักษาพยาบาลของที่นี่ได้   ประมาณสองหรือสามปีที่แล้ว   ชีวิตเราก้อเปลี่ยนไป  ครอบครัวเรามีความสุขมาก   ซึ่งต้องยกความดีความชอบนี้ให้ห่งเต็ม 100 %  เพราะเค้าเดินหา family doctor ทั้งตึก Oakridge เลย  เพื่อหาหมอที่ต้องการรับคนไข้ใหม่  และในที่สุดความพยายามของห่งก้อชนะใจพระเจ้า...55555  นอกจากนี้เรายังเผื่อแผ่แนะนำ family doctor ท่านนี้ให้กับเพื่อนคนไทยที่เพิ่งมาอยู่แวนคูเวอร์หลายๆครอบครัว  เพราะเราไม่อยากให้ครอบครัวเพื่อนคนไทยเจอสภาพและความรู้สึกแย่ๆแบบครอบครัวเรา...



หลังจากที่ครอบครัวเรามี family doctor ยุ่นรู้สึกอุ่นใจ และรู้สึกถึงความปลอดภัยในชีวิตนะ  อาจเพราะ case ลูกชายที่เจอตอนนั้น เรารู้สึกเหมือนชีวิตเราไม่มีที่พึ่งอ่ะ  อีกทั้งตอนนี้ทั้งห่งและยุ่นก้ออายุมากขึ้นมากขึ้น ร่างกายเราก้อเริ่มทรุดโทรมลง ต้องการการดูแลเอาใจใส่  ซึ่งหลังจากที่เราได้เข้าระบบ  เราก้อสามารถใช้สิทธิและได้รับบริการจากระบบสาธารณสุขของที่นี่  ซึ่งมีลักษณะแบบการป้องกันมากกว่าการรักษา  ยุ่นว่าดีมากๆเลย


family doctor จะมีประวัติของครอบครัวเราทุกคน  ทุกสิ่งอย่างในเรื่องสุขภาพจะถูกบันทึกไว้หมด  และเวลาจะไปหาหมอเราก้อโทรนัด เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องนั่งรอนานแบบหลายๆชั่วโมง อาจมีบ้างที่รอเช่น 10-15 นาที  และเราได้รับการดูแลคอ่นข้างดี..และใส่ใจ..



เค้าจะมีเลยว่า หากเราอายุเท่านั้นเท่านี้เราต้องตรวจอะไร  เป็น list เลยนะ  และหมอก้อจะมีการ feed back และ follow up เราตลอด..หรือหากเรารู้สึกว่าเรามีอะไรผิดปกติ เราก้อปรึกษาหมอได้   เค้าจะดูว่าหากเรามีความเสี่ยงในเรื่องอะไร  เค้าก้อจะตรวจให้เราโดยละเอียด....



.เนื่องจากเราคือผู้มีรายได้น้อยในสังคม ฉะนั้น เราจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น  ทุกอย่างที่เราไปหาหมอ  ได้รับการดูแล ตรวจเช็ค ฟรีหมด  รวมถึงการต้องผ่าตัดด้วยนะ    แต่หากเราต้องกินยา เราก้อจะต้องออกเอง ในอัตราส่วนตามรายได้ของเรา เช่นหากเรามีรายได้ระดับหนึ่ง  เราต้องจ่ายเท่าไร ประมาณนี้อ่ะ  ค่ายาไม่ฟรีนะ  หรือหากรายได้เราน้อยใช่มะ  ก้ออาจต้องจ่ายเองถึงระดับหนึ่งก่อน  เช่นอาจจะ 100 เหรียญต่อปี  พอเกินจาก 100 เหรียญ รัฐก้อออกให้ ประมาณนั้น...



พูดถึงเรื่องยา  ที่นี่จะมีการใช้ยาน้อยมาก เค้าจะใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติก่อน เช่นเวลาไม่สบาย เจ็บคอ หมอจะให้กลั้วคอด้วยน้ำเกลือก่อน ดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ  ไม่ค่อยจ่ายยา  ห่งบอกเวลาคนไข้มาซื้อยาเนี่ย..หากหมอเขียนในใบสั่งว่า 20 เม็ด  คนไข้จะขอเป็น 30 เม็ดก้อไม่ได้นะ  คือต้องตามจำนวนที่หมอเขียนมาเป๊ะๆเลย.. รัฐบาลมีการควบคุมการใช้ยาค่อนข้างมาก ( ยาหมวดที่ควบคุม ต้องจ่ายตามใบสั่งเท่านั้น ) และทุกสิ่งอย่าง ประวัติคนไข้ ประวัติการใช้ยา  บันทึกในคอมพิวเตอร์หมดเลย....



และนี่ก้อเป็นด้านสาธารณสุขของแคนาดา  ซึ่งถามยุ่นในวันนี้ วัยนี้ ก้อคงต้องบอกว่าสำคัญมากในระดับหนึ่ง เพราะมันเป็นอะไรที่ใกล้ตัวยุ่นมากขึ้น  ซึ่งแน่นอนธรรมชาติของมนุษย์เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุด และยุ่นเองรู้สึกดีนะเมื่อเราได้รับสิ่งดีๆเหล่านี้จากรัฐบาล...เพราะประชาชนต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาล และรัฐบาลก้อได้นำเงินภาษีของประชาชนมาบริหารจัดการคืนความสุขให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม  




จึงอดย้อนคิดถึงบ้านเราไม่ได้   ว่าที่ผ่านมายุ่นไม่เคยสนใจว่ารัฐบาลจะให้บริการด้านสาธารณสุขกับประชาชนดีหรือไม่ อย่างไร    และยุ่นก้อเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้ แม้จะมีสิทธิที่จะใช้   เพราะยุ่นมีทางเลือกจากรายได้ที่ดีของตัวเอง.... แต่หากยุ่นไม่มีทางเลือก  ยุ่นเป็นคนจนหละ  ฉะนั้น ชั่วโมงนี้ ยุ่นจึงเข้าใจแล้วว่าระบบสาธารณสุขที่ดีต่อประชาชนในประเทศนั้นมีความสำคัญมากอย่างไร...อย่างที่ได้เคยบอกไว้ในตอนต้นว่า เจอเองแล้วจะเข้าใจ...







Thursday, February 21, 2013

ห้าปีที่เปลี่ยนไป episode 2

ตอนที่แล้ว  ยุ่นได้พูดถึงภาพรวมของสังคมแคนาดาที่ยุ่นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ 5 ปีที่อยู่ที่นี่   จากตอนนี้ไป  ยุ่นจะขอพูดถึงรายละเอียดต่างๆ ในสามเรื่องหลักๆ  คือการบริการสาธารณะ : รถเมล์หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าขนส่งมวลชน  การประกันสุขภาพ และการศึกษา


เรื่องแรกคือเรื่องขนส่งมวลชนที่รัฐบาล provide ให้ประชาชน  ซึ่งแน่นอนผังเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก... ถนนที่นี่  จะเป็น block block  เวลาไปไหนมาไหน หากเรารู้ว่าจุดที่เราจะไป อยู่ระหว่างถนนอะไร ตัดกับอะไร แค่นั้นแหละ เราก้อไปได้แล้ว...มันหาง่ายจนยุ่นไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้...

ก่อนอื่นขอเล่าถึงความเฟอะฟะของยุ่นก่อน คือทีแรกยุ่นจะมีสัญชาตญาณของการอยู่รอดแบบเมืองไทยติดตัวมามาก เช่น  ขณะที่กำลังเดินไปป้ายรถเมล์ หากเห็นรถเมล์กำลังมา  ยุ่นก้อจะวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปขึ้นรถเมล์  คือกลัวคนขับไม่จอดป้ายบ้าง ไม่รอเราบ้าง  หรือเวลาข้ามถนนก้อจะรีบวิ่งข้ามเพราะกลัวคนขับรถจะเร่งเครื่อง อะไรประมาณนี้  คนไทยคนอื่นก้ออาจไม่เป็นนะ  แต่ทีแรกยุ่นเป็นโดยไม่รู้ตัวอ่ะ...

กลับมาเรื่องบริการสาธารณะของที่นี่กันต่อ....นับตั้งแต่เราก้าวเท้าออกจากบ้าน  อึม..เอาเป็นว่าถอยหลังกลับเข้าบ้านก่อน สมมติเราจะไปที่ที่หนึ่งที่เราไม่เคยไป ไม่รู้จัก  มันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับที่นี่เลย  เพราะเราสามารถเข้า www.translink.ca เพื่อเข้าไปดู trip planner, bus schedules, schedules and maps, next buses, fares and passes...และเราสามารถเรียนรู้เส้นทางที่เราจะไปได้โดยไม่ยาก เพราะ Canada line, Sky train ,รถเมล์ และเรือข้ามฟาก ทุกอย่างเชื่อมต่อกันทั้งหมด    ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนของคนที่นี่สะดวกสบาย   ไม่ได้มีความรู้สึกลำบากมากมาย  และไม่ได้มีความจำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นเหมือนปัจจัยห้าในการดำรงชีวิต...


 เวลาที่รถเมล์จอดป้าย  คนขับจะจอดแบบชิด footpath เลย เรียกว่าเท้าผู้โดยสารไม่ต้องเหยียบพื้นถนนเลย  รถจะจอดเทียบป้าย  ความเร็วรถน่าจะประมาณ 50 กม/ ชมนะ  คนขับจะค่อยๆขับ  จอดทุกป้ายที่มีผู้โดยสารรอขึ้นและลงป้าย.... Driver license ของคนขับรถเมล์ที่นี่จะสอบยากกว่า driver license ของรถยนต์บุคคลธรรมดา   ซึ่งจากสถิติมีคนสอบผ่านภายในครั้งแรกน้อยมาก  ส่วนใหญ่ต้องมี 3-4 ครั้งขึ้นไปจึงผ่าน  ฉะนั้น license ของรถเมล์จึงต้องบอกว่ายากยิ่งนัก...


รถเมล์ทุกคันจะมีระบบ hydraulic ซึ่งจะลดตัวรถให้พื้นรถมีระดับเทียบเท่ากับพื้นถนน และคนขับจะกดให้แผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆแผ่ออกมาตรงบริเวณประตูรถ...เพื่อเป็นทางให้รถ wheelchair ของคนพิการสามารถขึ้นรถเมล์ได้  และคนขับต้องลงมาจัดการบริการเพื่อให้รถ wheelchair นั้น fix กับที่ๆจัดไว้สำหรับคนพิการในรถเมล์  ไม่ให้เคลื่อนขณะขับอ่ะ...นี่คือสิ่งที่ยุ่นรู้สึกว่ารัฐบาลใส่ใจคนในสังคมทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน  รัฐบาลไม่ได้ลืมผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ในสังคม


เด็กและผู้สูงอายุจะมีที่นั่งตรงบริเวณด้านหน้า  ทั้งรถเมล์  Canada line   Sky train  และไม่ว่าผู้สูงอายุจะเดินช้าแค่ไหน  อย่างไร คนขับรถและผู้โดยสารทุกคนในรถต้องรอคอย  คนขับรถจะหงุดหงิดหรืออารมณ์เสียใส่ไม่ได้... จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งผู้สูงอายุเหล่านี้ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเค้าเคยเป็นคนที่ทำงานและช่วยเหลือสังคมมาก่อน  วันนี้เมื่อพวกเค้าอายุมากขึ้น  ต้องการการดูแลมากขึ้น...รัฐบาลก้อมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลและให้ความสะดวกสบายกับคนเหล่านี้เช่นกัน....


ตั๋วที่ใช้ในการเดินทางแบบธรรมดาคือใบละ 2.50 เหรียญ ถ้าเป็นเด็กต่ำกว่า 18 ปี หรือผู้สูงอายุ จะเป็น 1.75 เหรียญหรือไงเนี่ย จำไม่ได้แน่ชัด...แต่เราอาจซื้อตั๋วเป็นเล่มก้อได้ ก้อจะได้ส่วนลด ซึ่งตั๋วหนึ่งใบสามารถใช้ได้กับทุกยานพาหนะ ทั้ง รถเมล์ เรือ Canada line และ sky train แต่มีกำหนดว่าหนึ่งใบ 90 นาที ฉะนั้นการเดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องมีการวางแผน  แต่หากเรามีความจำเป็นต้องใช้ประจำ เราก้อสามารถซือ้ตั๋วเดือนได้ ก้อจะประหยัดลงไปมาก  และหากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย  รัฐบาลจะให้สิทธิในการใช้ U-pass ซึ่งก้อจะถูกลงไปอีกมากเลย...รัฐบาลเข้าใจและพยายามช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายวัน หรือรายเดือนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม...


นอกจากนี้การเคารพสิทธิของคนอื่นๆในสังคมนั้น ได้ถูกปลูกฝังและปฎิบัติจนเป็น norm ของสังคม เช่นการเข้าแถวขึ้นรถเมล์ โดยเฉพาะหน้า Langara College ที่น้องยีนเรียน  เพราะใกล้บ้านเรามาก  ยุ่นจะเห็นภาพนักศึกษายืนเข้าแถวเพื่อรอขึ้นรถเมล์กันเรียบร้อย เป็นแถวยาวเลยนะ    หรือการใช้รถใช้ถนน   คนขับรถเคารพสิทธิของคนเดินถนน ในขณะเดียวกัน คนเดินถนนก้อเคารพสิทธิของคนใช้รถเช่นกัน  หากไฟด้านของใครขึ้นเขียว คือสิทธิของฝั่งนั้น อีกฝั่งต้องรอคอย เคารพสิทธิของเค้า  ไม่ใช่ว่า รถกำลังวิ่งๆอยู่ เราก้อวิ่งตัดหน้ารถ  หรือไฟของคนเดินถนนขึ้น รถก้อยังไม่ยอมหยุดให้  ยังคงเร่งเครื่องขับราวกับไม่เห็นคนเดินถนน...


หลายครั้งที่ยุ่นสังเกตุว่าไฟแดงของคนข้ามถนนขึ้น  แต่ไม่มีรถเลยนะ  คนส่วนใหญ่เค้าจะไม่ข้ามนะ  เค้าจะยืนรอจนไเขียวของคนเดินถนนขึ้น  เค้าจึงข้าม  ยุ่นซะอีกที่บางที ชอบทำผิดกฎคิดในใจว่า ข้ามได้นิ ไม่มีรถ  ไม่เป็นไร  นี่คือความมักง่ายของยุ่นที่ติดตัวมาจนแก่....แต่คนที่นี่ส่วนใหญ่เค้าจะยืนรอ...ก้อเป็นอะไรที่ยุ่นต้องเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนตามกติกาในสังคมให้มากขึ้น...


และสิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกว่าเหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี่คือการที่คนขับจอดรถให้คนเดินถนนข้าม แม้ว่าจะไม่ใช่ทางม้าลาย  อย่างหน้าบ้านยุ่นเนี่ยไม่ใช่ทางม้าลายนะ  แต่เวลาที่ยุ่นออกไป พอเท้าแตะพื้นปั๊บ  รถที่ขับมาจะชลอและหยุดให้ยุ่นข้ามเสมอ  ยิ่งเวลาหน้าหนาว ฝนตก หิมะตก หรือเราถือของนะ  ร้อยละ 100 เลยที่รถจะจอดให้คนข้าม    และความรู้สึกดีๆมันก้อเกิดขึ้นในใจเราเองนะ   ฉะนั้นพอเราเป็นคนใช้รถในวันนี้  เราก้อจะมีจิตสำนึกในการที่จะหยุดรถเพื่อให้คนเดินถนนข้ามเช่นกัน  ( อันนี้หมายถึงถนนเล็กๆในซอยนะ  ไม่ใช่ถนนใหญ่ ) มันเหมือนเราเองได้รับสิ่งที่ดีๆมา  เราก้ออยากแบ่งปันสิ่งดีๆเหล่านี้กับคนอื่นเช่นกัน  สิ่งเล็กๆน้อยๆในสังคมเหล่านี้ก้อช่วยสรรสร้างให้สังคมของเราน่าอยู่มากขึ้นเพียงแค่เราเป็นผู้ให้บ้าง และอดทนรอคอยบ้าง...


อย่างไรก้อตาม..ก้อไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปลอดภัย 100 % ยุ่นเองก้อยังคงต้องระวังตัว เพราะในสังคมทุกสังคมก้อต้องมีคนที่ไม่ทำตามกฎกติกาเช่นกัน  ยุ่นจึงสอนลูก และลูกศิษย์เสมอว่า เวลาข้ามถนนเราต้องมองซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่าไม่มีรถ หรือรถหยุดแน่นอนจึงข้ามได้  เพราะเราก้อไม่รู้หรอกว่าวันไหนเราอาจเจอพวกแหกคอกก้อได้...เราจึงควรตั้งอยู่บนความไม่ประมาท...



ในช่วงสองปีหลังนี้ ครอบครัวเราก้อมีโอกาสใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก้อสะดวกสบายมากขึ้นในเวลาที่เราไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าว หรือ shopping  แต่เราก้อต้องยอมรับกับค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างที่ตามมา  เช่นค่าเบี้ยประกัยรถยนต์ซึ่งมีอัตราค่อนข้างสูง  และหากคุณพลาดพลั้ง เกิดอุบัติเหตุ ค่าเบี้ยประกันจะขึ้นแบบอัตราก้าวกระโดด โหดสุดๆ  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะบริษัทประกันภัยรถยนต์เป็นของรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้น..คนขับรถที่นี่จึงขับรถค่อนข้างระมัดระวังมาก...


ค่าใช้จ่ายอีกตัวที่เราคงปฎิเสธไม่ได้คือค่าจอดรถ  เช่นการจอดรถใน apartment  หรือการจอดรถที่ที่ทำงานของห่ง  ก้อมีค่าจอดรถรายเดือน ทั้ง 2 ที่ รวมกันก้อตกเดือนละประมาณ 100 เหรียญ นอกจากนี้การไปตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะใน downtown ก้อคงหลีกเลี่ยงกับอัตราค่าจอดรถที่แพงๆไม่ได้ มีครั้งหนึ่งครอบครัวเราไปงาน graduate ของยีนที่จบ high school จำได้ว่าต้องวนหาที่จอดรถอยู่นานเลย  เพราะที่จอดรถใน downtown เพียง 3 ชั่วโมงประมาณ 20 เหรียญ ซึ่งวันนั้น ห่งพยายามจนได้ ประมาณ 12-15 เหรียญ หรือไงเนี่ย.. ซึ่งหลายครั้งครอบครัวเราก้อต้องคำนวณและวางแผนก่อนว่าเราจะนั่งรถเมล์หรือขับรถยนต์ส่วนตัวในการเข้า downtown.ดี.....และนี่ก้อคงเป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องการจำกัดการใช้รถยนต์โดยไม่จำเป็น  เพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษในแวนคูเวอร์นั่นเอง...


นอกจากนี้กฎกติการมารยาทที่นี่ เค้าเข้มจริง  ปรับจริง ไม่มีการต่อรอง...ป้ายห้ามจอด หรือจอดนานแค่ไหน อย่างไร คนที่นี่จะปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด  เพราะหากโดนค่าปรับเข้าไปครั้งหนึ่ง  ก้อเจ็บปวดหัวใจมากเลย   เช่น ครั้งหนึ่ง ห่งเคยไปส่งยุ่นที่ทำงาน และจอดรถในที่ห้ามจอด เพราะเราไม่เข้าใจความหมายป้าย  ปรากฎว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพียง 3 นาทีเท่านั้น  มีกระดาษสีขาวมาเสียบหน้ารถ  โดนเข้าไป 50 เหรียญ  เซ็งมากมายเลย  แค่เข้าใจผิด ไม่ให้โอกาสแก้ตัวอะไรเลย  เค้าแจ้งอย่างละเอียด ว่าให้จ่ายเงินอย่างไร   จ่ายทาง on-line ภายในวันนั้นวันนี้  หากเลยกำหนด ปรับเพิ่มเป็น 60 เหรียญ...เรียกว่าครั้งเดียวก้อเกินพอ  หลาบจำเลยแหละ...


สุดท้ายคงต้องบอกว่าการขับรถที่นี่  ยุ่นว่าขับแล้วเครียดกว่าบ้านเรานะ  จริงๆยุ่นไม่ได้เป็นคนขับนะ เป็นแค่คนนั่งเท่านั้น  แต่รู้สึกได้  อาจเพราะสัญญาณไฟจราจรมีเยอะมาก  คือขับไป block นึงก้อมีไฟแดงไฟเขียวหละ  อันนี้ก้อทำให้คนขับรถไม่สามารถขับรถเร็วได้  ความเร็วรถเค้าจำกัดไม่เกิน 50 กม / ชมนะ  ที่นี่รถไม่ติดเลยนะ  รถไหล flow สบายๆ... แต่คนขับต้องมีสมาธิในระดับหนึ่งอ่ะ  อีกทั้งการเลี้ยวขวาตรงบริเวณแยกไฟแดงไฟเขียว     ยุ่นจะไม่คุ้นเคยกับระบบที่ขับรถเราไปอยู่ตรงกลางแยกเพื่อรอเลี้ยว        เสียวสุดๆเลย

การขับรถยนต์ที่นี่ จึงมีรายละเอียดที่แตกต่าง และ serious กว่าบ้านเราเยอะ  ซึ่งยุ่นว่าเหล่านี้คือจิตสำนึกที่เค้าต้องการให้คนในสังคมเข้าใจ และร่วมกันรับผิดชอบ  เพราะเมื่อคุณไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย  นั่นไม่เพียงแต่คุณต้องดูแลชืวิตคุณ  แต่คุณยังต้องรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นๆบนท้องถนนด้วย....


และนี่ก้อคือการใช้รถใช้ถนนในแวนคูเวอร์   ซึ่งรถไม่มาก ไม่หนาแน่น  อากาศไม่เป็นมลพิษ   ปลอดภัยในระดับหนึ่ง และมีบริการสาธารณะที่สะดวกสบายสำหรับคนทุกระดับชั้นในสังคม  รวมทั้งเด็ก  ผู้สูงอายุ และคนพิการ







Tuesday, February 19, 2013

ห้าปีที่เปลี่ยนไป episode 1

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เผลอแป๊บเดียว ยุ่นกะครอบครัวได้ใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์เกือบ 5 ปีแล้ว


ช่วงสองปีแรกเป็นช่วงชีวิตของการปรับตัวในทุกๆด้าน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป วัฒนธรรมที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้กลืนเข้ากับสังคมเค้า อากาศที่ต้องปรับจากโซนร้อนมากมาเป็นหนาวพอควร....และที่สำคัญก้อคือจิตใจที่คิดถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง อาหารและความสะดวกสบายหลายๆอย่างที่ติดตัวมาหลายสิบปี จนเหมือนจะกลายเป็นนิสัยเกือบจะถาวรไปเสียแล้ว....( ติดแนวขี้เกียจ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเอง....)

แต่วันนี้เข้าปีที่ 5  ยุ่นกลับมีความรู้สึกหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่ก่อนมีคนเคยพูดว่า "คนเราอาจมีความคิดเปลี่ยนไปเมื่อเราอายุมากขึ้น." ความคิด ความเชื่อของเราเอง คนๆเดียวกันแท้ๆ  ในมุมมองเรื่องเดียวกัน แท้ๆยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ทั้งนี้ก้อคงเนื่องจากประสบการณ์ที่เราเรียนรู้มา ข้อมูล และปัจจัยหลายๆอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรา....ฉะนั้น...การที่คนในสังคมจะมีความคิดที่แตกต่างกัน ยุ่นว่ามันน่าจะเป็นเรื่องธรรมดามากๆ  การมองต่างมุมต้องมีเหตุผลเบื้องหลังความคิดที่แตกต่างเหล่านั้น  แต่สังคมบ้านเราไม่ได้สอนให้เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่น  จึงทำให้เราเกิดปัญหามากมายดังเช่นในปัจจุบัน....

อ้าว..ไปโน้นได้ไง กลับเข้าประเด็นที่อยากเล่าในวันนี้ดีกว่า คือว่าปีสองปีนี้ เหมือนกับชีวิตครอบครัวเราเริ่มนิ่ง ทำให้ยุ่นไม่ได้ต้องมานั่งนึกถึงเรื่องตัวเองเท่าไหร่หละ  คราวนี้ก้อเริ่มมองออกไปจากตัวเรา...ก้อทำให้เราเริ่มเกิดมุมมองใหม่ๆที่แตกต่างจากช่วงสองสามปีแรกที่อยู่ที่นี่....

ยุ่นและครอบครัวตอนอยู่เมืองไทย เราจัดว่าเป็นชนชั้นระดับปานกลางขึ้นไป เรามีรายได้ในระดับนึง ก้อน่าจะเรียกว่าปานกลางบวก  ชีวิตค่อนข้างสะดวกสบาย  ไม่เดือดร้อน ไม่ลำบาก และพูดตรงๆนะ ยุ่นเองไม่ค่อยสนใจหรือใส่ใจในเรื่องสวัสดิการที่ดีที่รัฐบาลควรให้กับประชาชน  คิดว่าไม่ได้มีความจำเป็นเท่าไหร่นัก  คิดแค่ว่าหากเราจ่ายไหวเราก้อจ่าย   คือคล้ายๆคิดแต่ตัวเอง ไม่ได้มองออกไปในภาพรวม... แต่ประเทศไทยไม่ได้มีแค่คนแบบเรา  ยังมีคนอื่นอีกมากมาย...ฉะนั้น การคิดแบบเราจึงไม่ถูกต้องเท่าไหร่  และอีกอย่างสังคมจะสามารถขับเคลื่อนไปได้    ต้องเป็นกลไกของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพียงคนเฉพาะกลุ่ม...

เมื่อเรามาอยู่แคนาดา จากคนที่มีฐานะสบายๆในสังคมไทย กลายมาเป็นคนที่มีรายได้น้อยของแคนาดา งานนี้แหละ อย่างที่ว่า "ต้องเจอเองจึงเข้าใจ"   ความลำบากที่เกิดขึ้นสอนและทำให้ยุ่นเรียนรู้หลายอย่าง :  อันแรกคือ ทำให้ยุ่นคิดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของยุ่นที่ immigrate จากจีนมาไทยแรกๆ  ชีวิตช่วงนั้นต้องลำบากมากๆเลย  ลำบากมากกว่ายุ่นและครอบครัวหลายสิบหลายร้อยเท่า วันนี้ทำให้เราพอจะนึกภาพความลำบากเหล่านั้นออก.... แต่พวกท่านก้ออดทนจนมีทุกวันนี้ได้  สุดยอดมาก....

สอง ความลำบากไม่เคยทำร้ายใคร ไม่ได้ให้โทษแก่ใคร แต่มันสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีศักยภาพในตัวเองสูงแค่ไหน  และสิ่งที่เรียกว่าความภาคภูมิใจนั้นมันมีความหมายเพียงใด...

และสาม..ยุ่นเริ่มเข้าใจแล้วว่าความหมายของสวัสดิการที่ดีของรัฐบาลที่ให้กับประชาชนนั้นมันสำคัญอย่างไร  เพราะครอบครัวเราได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงิน  สวัสดิการรักษาพยาบาล  ซึ่งทำให้เราไม่ต้องมานั่งกังวล นั่งเครียดในเรื่องนี้เท่าไรนัก  รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทุกคนพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนภาษา  การช่วยเหลือในด้านการเงินและด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาคนในสังคมให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้....เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศ...

รัฐบาลพยายามทำให้ทุกชนชั้นในสังคมเท่าเทียมกัน ซึ่งนั่นก้อคือความยุติธรรม  และสิ่งที่ยุ่นรับรู้และรู้สึกแม้ว่าเราจะเป็นคนจนของที่นี่ก้อคือ  เราไม่รู้สึกแตกต่าง  เราพอใจ  ทุกคนก้อพอใจ  สังคมสงบสุข ทุกคนอยู่กันแบบรู้หน้าที่และมีความรับผิดชอบ  สุดท้าย ยุ่นเกิดความรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว....

ยุ่นคิดนะว่าขนาดเราไม่ได้เกิดที่นี่  เรายังมีสิทธิทุกอย่างเหมือนคนที่เกิดที่นี่.... และรัฐบาลค่อนข้าง fair ในหลายๆเรื่อง  ยุ่นย้อนคิดว่าหากยุ่นเป็นผู้มีรายได้น้อย หรือคนจนในสังคมไทย            ยุ่นจะมีความรู้สึกแบบนี้มั้ย...เพราะยุ่นเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสในสังคมไทยมากจนเราเองก้อเคยชิน และมองข้ามคนกลุ่มใหญ่ในสังคมซึ่งพวกเค้าก้อมีเลือดเนื้อ ชีวิตและความรู้สึกเหมือนเรา  เราเองอยากสบาย อยากมีครอบครัวที่มีความสุข  อยากมีสิทธิ เสรีภาพ แล้วทำไมชาวบ้าน..รากหญ้า เค้าจะคิดแบบเราไม่ได้ ในเมื่อเค้าก้อเป็นประชาชนคนไทยที่เกิดในประเทศไทยเหมือนเราเช่นกัน....


 สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นกับยุ่นและครอบครัวณ. เวลาที่เราอยู่แคนาดา  ทำให้ยุ่นเข้าใจในเรื่องของการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น  เวลาเราเรียน เราศึกษาประวัติศาสตร์ เราก้ออาจเหมือนเข้าใจ แต่ไม่ลึกซึ้งเท่า   แต่วันนี้เมื่อเราได้เป็นคนกลุ่มนี้ในสังคม สัมผัสความจริงเหล่านี้ด้วยตนเอง  ยุ่นจึงเข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร  และยิ่งเข้าใจว่าทำไมประวัติศาสตร์ในหลายๆประเทศ  ประชาชนจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตนเอง...เพราะเราทุกคนต่างต้องการความเท่าเทียมกันทั้งนั้น....


ความยุติธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่ง  ที่จะนำสังคมไปสู่ความสงบสุขอย่างแน่นอน... : )