ตอนที่แล้ว ยุ่นได้พูดถึงภาพรวมของสังคมแคนาดาที่ยุ่นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ 5 ปีที่อยู่ที่นี่ จากตอนนี้ไป ยุ่นจะขอพูดถึงรายละเอียดต่างๆ ในสามเรื่องหลักๆ คือการบริการสาธารณะ : รถเมล์หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าขนส่งมวลชน การประกันสุขภาพ และการศึกษา
เรื่องแรกคือเรื่องขนส่งมวลชนที่รัฐบาล provide ให้ประชาชน ซึ่งแน่นอนผังเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก... ถนนที่นี่ จะเป็น block block เวลาไปไหนมาไหน หากเรารู้ว่าจุดที่เราจะไป อยู่ระหว่างถนนอะไร ตัดกับอะไร แค่นั้นแหละ เราก้อไปได้แล้ว...มันหาง่ายจนยุ่นไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้...
ก่อนอื่นขอเล่าถึงความเฟอะฟะของยุ่นก่อน คือทีแรกยุ่นจะมีสัญชาตญาณของการอยู่รอดแบบเมืองไทยติดตัวมามาก เช่น ขณะที่กำลังเดินไปป้ายรถเมล์ หากเห็นรถเมล์กำลังมา ยุ่นก้อจะวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปขึ้นรถเมล์ คือกลัวคนขับไม่จอดป้ายบ้าง ไม่รอเราบ้าง หรือเวลาข้ามถนนก้อจะรีบวิ่งข้ามเพราะกลัวคนขับรถจะเร่งเครื่อง อะไรประมาณนี้ คนไทยคนอื่นก้ออาจไม่เป็นนะ แต่ทีแรกยุ่นเป็นโดยไม่รู้ตัวอ่ะ...
กลับมาเรื่องบริการสาธารณะของที่นี่กันต่อ....นับตั้งแต่เราก้าวเท้าออกจากบ้าน อึม..เอาเป็นว่าถอยหลังกลับเข้าบ้านก่อน สมมติเราจะไปที่ที่หนึ่งที่เราไม่เคยไป ไม่รู้จัก มันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับที่นี่เลย เพราะเราสามารถเข้า www.translink.ca เพื่อเข้าไปดู trip planner, bus schedules, schedules and maps, next buses, fares and passes...และเราสามารถเรียนรู้เส้นทางที่เราจะไปได้โดยไม่ยาก เพราะ Canada line, Sky train ,รถเมล์ และเรือข้ามฟาก ทุกอย่างเชื่อมต่อกันทั้งหมด ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนของคนที่นี่สะดวกสบาย ไม่ได้มีความรู้สึกลำบากมากมาย และไม่ได้มีความจำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นเหมือนปัจจัยห้าในการดำรงชีวิต...
เวลาที่รถเมล์จอดป้าย คนขับจะจอดแบบชิด footpath เลย เรียกว่าเท้าผู้โดยสารไม่ต้องเหยียบพื้นถนนเลย รถจะจอดเทียบป้าย ความเร็วรถน่าจะประมาณ 50 กม/ ชมนะ คนขับจะค่อยๆขับ จอดทุกป้ายที่มีผู้โดยสารรอขึ้นและลงป้าย.... Driver license ของคนขับรถเมล์ที่นี่จะสอบยากกว่า driver license ของรถยนต์บุคคลธรรมดา ซึ่งจากสถิติมีคนสอบผ่านภายในครั้งแรกน้อยมาก ส่วนใหญ่ต้องมี 3-4 ครั้งขึ้นไปจึงผ่าน ฉะนั้น license ของรถเมล์จึงต้องบอกว่ายากยิ่งนัก...
รถเมล์ทุกคันจะมีระบบ hydraulic ซึ่งจะลดตัวรถให้พื้นรถมีระดับเทียบเท่ากับพื้นถนน และคนขับจะกดให้แผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆแผ่ออกมาตรงบริเวณประตูรถ...เพื่อเป็นทางให้รถ wheelchair ของคนพิการสามารถขึ้นรถเมล์ได้ และคนขับต้องลงมาจัดการบริการเพื่อให้รถ wheelchair นั้น fix กับที่ๆจัดไว้สำหรับคนพิการในรถเมล์ ไม่ให้เคลื่อนขณะขับอ่ะ...นี่คือสิ่งที่ยุ่นรู้สึกว่ารัฐบาลใส่ใจคนในสังคมทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน รัฐบาลไม่ได้ลืมผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ในสังคม
เด็กและผู้สูงอายุจะมีที่นั่งตรงบริเวณด้านหน้า ทั้งรถเมล์ Canada line Sky train และไม่ว่าผู้สูงอายุจะเดินช้าแค่ไหน อย่างไร คนขับรถและผู้โดยสารทุกคนในรถต้องรอคอย คนขับรถจะหงุดหงิดหรืออารมณ์เสียใส่ไม่ได้... จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งผู้สูงอายุเหล่านี้ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเค้าเคยเป็นคนที่ทำงานและช่วยเหลือสังคมมาก่อน วันนี้เมื่อพวกเค้าอายุมากขึ้น ต้องการการดูแลมากขึ้น...รัฐบาลก้อมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลและให้ความสะดวกสบายกับคนเหล่านี้เช่นกัน....
ตั๋วที่ใช้ในการเดินทางแบบธรรมดาคือใบละ 2.50 เหรียญ ถ้าเป็นเด็กต่ำกว่า 18 ปี หรือผู้สูงอายุ จะเป็น 1.75 เหรียญหรือไงเนี่ย จำไม่ได้แน่ชัด...แต่เราอาจซื้อตั๋วเป็นเล่มก้อได้ ก้อจะได้ส่วนลด ซึ่งตั๋วหนึ่งใบสามารถใช้ได้กับทุกยานพาหนะ ทั้ง รถเมล์ เรือ Canada line และ sky train แต่มีกำหนดว่าหนึ่งใบ 90 นาที ฉะนั้นการเดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องมีการวางแผน แต่หากเรามีความจำเป็นต้องใช้ประจำ เราก้อสามารถซือ้ตั๋วเดือนได้ ก้อจะประหยัดลงไปมาก และหากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย รัฐบาลจะให้สิทธิในการใช้ U-pass ซึ่งก้อจะถูกลงไปอีกมากเลย...รัฐบาลเข้าใจและพยายามช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายวัน หรือรายเดือนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม...
นอกจากนี้การเคารพสิทธิของคนอื่นๆในสังคมนั้น ได้ถูกปลูกฝังและปฎิบัติจนเป็น norm ของสังคม เช่นการเข้าแถวขึ้นรถเมล์ โดยเฉพาะหน้า Langara College ที่น้องยีนเรียน เพราะใกล้บ้านเรามาก ยุ่นจะเห็นภาพนักศึกษายืนเข้าแถวเพื่อรอขึ้นรถเมล์กันเรียบร้อย เป็นแถวยาวเลยนะ หรือการใช้รถใช้ถนน คนขับรถเคารพสิทธิของคนเดินถนน ในขณะเดียวกัน คนเดินถนนก้อเคารพสิทธิของคนใช้รถเช่นกัน หากไฟด้านของใครขึ้นเขียว คือสิทธิของฝั่งนั้น อีกฝั่งต้องรอคอย เคารพสิทธิของเค้า ไม่ใช่ว่า รถกำลังวิ่งๆอยู่ เราก้อวิ่งตัดหน้ารถ หรือไฟของคนเดินถนนขึ้น รถก้อยังไม่ยอมหยุดให้ ยังคงเร่งเครื่องขับราวกับไม่เห็นคนเดินถนน...
หลายครั้งที่ยุ่นสังเกตุว่าไฟแดงของคนข้ามถนนขึ้น แต่ไม่มีรถเลยนะ คนส่วนใหญ่เค้าจะไม่ข้ามนะ เค้าจะยืนรอจนไเขียวของคนเดินถนนขึ้น เค้าจึงข้าม ยุ่นซะอีกที่บางที ชอบทำผิดกฎคิดในใจว่า ข้ามได้นิ ไม่มีรถ ไม่เป็นไร นี่คือความมักง่ายของยุ่นที่ติดตัวมาจนแก่....แต่คนที่นี่ส่วนใหญ่เค้าจะยืนรอ...ก้อเป็นอะไรที่ยุ่นต้องเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนตามกติกาในสังคมให้มากขึ้น...
และสิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกว่าเหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี่คือการที่คนขับจอดรถให้คนเดินถนนข้าม แม้ว่าจะไม่ใช่ทางม้าลาย อย่างหน้าบ้านยุ่นเนี่ยไม่ใช่ทางม้าลายนะ แต่เวลาที่ยุ่นออกไป พอเท้าแตะพื้นปั๊บ รถที่ขับมาจะชลอและหยุดให้ยุ่นข้ามเสมอ ยิ่งเวลาหน้าหนาว ฝนตก หิมะตก หรือเราถือของนะ ร้อยละ 100 เลยที่รถจะจอดให้คนข้าม และความรู้สึกดีๆมันก้อเกิดขึ้นในใจเราเองนะ ฉะนั้นพอเราเป็นคนใช้รถในวันนี้ เราก้อจะมีจิตสำนึกในการที่จะหยุดรถเพื่อให้คนเดินถนนข้ามเช่นกัน ( อันนี้หมายถึงถนนเล็กๆในซอยนะ ไม่ใช่ถนนใหญ่ ) มันเหมือนเราเองได้รับสิ่งที่ดีๆมา เราก้ออยากแบ่งปันสิ่งดีๆเหล่านี้กับคนอื่นเช่นกัน สิ่งเล็กๆน้อยๆในสังคมเหล่านี้ก้อช่วยสรรสร้างให้สังคมของเราน่าอยู่มากขึ้นเพียงแค่เราเป็นผู้ให้บ้าง และอดทนรอคอยบ้าง...
อย่างไรก้อตาม..ก้อไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปลอดภัย 100 % ยุ่นเองก้อยังคงต้องระวังตัว เพราะในสังคมทุกสังคมก้อต้องมีคนที่ไม่ทำตามกฎกติกาเช่นกัน ยุ่นจึงสอนลูก และลูกศิษย์เสมอว่า เวลาข้ามถนนเราต้องมองซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่าไม่มีรถ หรือรถหยุดแน่นอนจึงข้ามได้ เพราะเราก้อไม่รู้หรอกว่าวันไหนเราอาจเจอพวกแหกคอกก้อได้...เราจึงควรตั้งอยู่บนความไม่ประมาท...
ในช่วงสองปีหลังนี้ ครอบครัวเราก้อมีโอกาสใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก้อสะดวกสบายมากขึ้นในเวลาที่เราไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าว หรือ shopping แต่เราก้อต้องยอมรับกับค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างที่ตามมา เช่นค่าเบี้ยประกัยรถยนต์ซึ่งมีอัตราค่อนข้างสูง และหากคุณพลาดพลั้ง เกิดอุบัติเหตุ ค่าเบี้ยประกันจะขึ้นแบบอัตราก้าวกระโดด โหดสุดๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะบริษัทประกันภัยรถยนต์เป็นของรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้น..คนขับรถที่นี่จึงขับรถค่อนข้างระมัดระวังมาก...
ค่าใช้จ่ายอีกตัวที่เราคงปฎิเสธไม่ได้คือค่าจอดรถ เช่นการจอดรถใน apartment หรือการจอดรถที่ที่ทำงานของห่ง ก้อมีค่าจอดรถรายเดือน ทั้ง 2 ที่ รวมกันก้อตกเดือนละประมาณ 100 เหรียญ นอกจากนี้การไปตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะใน downtown ก้อคงหลีกเลี่ยงกับอัตราค่าจอดรถที่แพงๆไม่ได้ มีครั้งหนึ่งครอบครัวเราไปงาน graduate ของยีนที่จบ high school จำได้ว่าต้องวนหาที่จอดรถอยู่นานเลย เพราะที่จอดรถใน downtown เพียง 3 ชั่วโมงประมาณ 20 เหรียญ ซึ่งวันนั้น ห่งพยายามจนได้ ประมาณ 12-15 เหรียญ หรือไงเนี่ย.. ซึ่งหลายครั้งครอบครัวเราก้อต้องคำนวณและวางแผนก่อนว่าเราจะนั่งรถเมล์หรือขับรถยนต์ส่วนตัวในการเข้า downtown.ดี.....และนี่ก้อคงเป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องการจำกัดการใช้รถยนต์โดยไม่จำเป็น เพื่อลดปัญหาการจราจรและมลพิษในแวนคูเวอร์นั่นเอง...
นอกจากนี้กฎกติการมารยาทที่นี่ เค้าเข้มจริง ปรับจริง ไม่มีการต่อรอง...ป้ายห้ามจอด หรือจอดนานแค่ไหน อย่างไร คนที่นี่จะปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะหากโดนค่าปรับเข้าไปครั้งหนึ่ง ก้อเจ็บปวดหัวใจมากเลย เช่น ครั้งหนึ่ง ห่งเคยไปส่งยุ่นที่ทำงาน และจอดรถในที่ห้ามจอด เพราะเราไม่เข้าใจความหมายป้าย ปรากฎว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพียง 3 นาทีเท่านั้น มีกระดาษสีขาวมาเสียบหน้ารถ โดนเข้าไป 50 เหรียญ เซ็งมากมายเลย แค่เข้าใจผิด ไม่ให้โอกาสแก้ตัวอะไรเลย เค้าแจ้งอย่างละเอียด ว่าให้จ่ายเงินอย่างไร จ่ายทาง on-line ภายในวันนั้นวันนี้ หากเลยกำหนด ปรับเพิ่มเป็น 60 เหรียญ...เรียกว่าครั้งเดียวก้อเกินพอ หลาบจำเลยแหละ...
สุดท้ายคงต้องบอกว่าการขับรถที่นี่ ยุ่นว่าขับแล้วเครียดกว่าบ้านเรานะ จริงๆยุ่นไม่ได้เป็นคนขับนะ เป็นแค่คนนั่งเท่านั้น แต่รู้สึกได้ อาจเพราะสัญญาณไฟจราจรมีเยอะมาก คือขับไป block นึงก้อมีไฟแดงไฟเขียวหละ อันนี้ก้อทำให้คนขับรถไม่สามารถขับรถเร็วได้ ความเร็วรถเค้าจำกัดไม่เกิน 50 กม / ชมนะ ที่นี่รถไม่ติดเลยนะ รถไหล flow สบายๆ... แต่คนขับต้องมีสมาธิในระดับหนึ่งอ่ะ อีกทั้งการเลี้ยวขวาตรงบริเวณแยกไฟแดงไฟเขียว ยุ่นจะไม่คุ้นเคยกับระบบที่ขับรถเราไปอยู่ตรงกลางแยกเพื่อรอเลี้ยว เสียวสุดๆเลย
การขับรถยนต์ที่นี่ จึงมีรายละเอียดที่แตกต่าง และ serious กว่าบ้านเราเยอะ ซึ่งยุ่นว่าเหล่านี้คือจิตสำนึกที่เค้าต้องการให้คนในสังคมเข้าใจ และร่วมกันรับผิดชอบ เพราะเมื่อคุณไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย นั่นไม่เพียงแต่คุณต้องดูแลชืวิตคุณ แต่คุณยังต้องรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นๆบนท้องถนนด้วย....
และนี่ก้อคือการใช้รถใช้ถนนในแวนคูเวอร์ ซึ่งรถไม่มาก ไม่หนาแน่น อากาศไม่เป็นมลพิษ ปลอดภัยในระดับหนึ่ง และมีบริการสาธารณะที่สะดวกสบายสำหรับคนทุกระดับชั้นในสังคม รวมทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ
รถเมล์ทุกคันจะมีระบบ hydraulic ซึ่งจะลดตัวรถให้พื้นรถมีระดับเทียบเท่ากับพื้นถนน และคนขับจะกดให้แผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆแผ่ออกมาตรงบริเวณประตูรถ...เพื่อเป็นทางให้รถ wheelchair ของคนพิการสามารถขึ้นรถเมล์ได้
ReplyDeleteรถที่ว่าเนี่ยเห็นโฆษณาว่าจะเอามาใช้ที่กรุงเทพ ไม่รู้ว่าแค่หลอกตอนหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่ารึป่าว
อ่านที่ยุ่นเขียนแล้วอยากไปอยู่ในสังคมที่มีระเบียบวินัยจัง มีแบบแผน ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ แต่อากาศหนาวแบบแคนาดา ขอบ๊ายบาย กลัวหนาวตายเสียก่อน
จริงๆยุ่นก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อย่างล่าสุดตอนยุ่นกลับมาแล้วไปร้านอาหารเลี้ยงต้อนรับยุ่นกับห่ง ยุ่นเข้าไปห้องน้ำก่อนกำลังรอห้องว่าง พอโสเข้าไปทีหลังไม่ได้ต่อหลังแต่เข้าไปแถวอ่างล้างมือเพื่อคุยกับเพื่อนอีกคนที่อยู่ในห้องน้ำได้ถนัดๆ ประมาณว่าเพื่อนคนนั้น(จำไม่ได้ว่าเป็นใคร)ทำธุระส่วนตัวไปคุยไปได้ๆพร้อมๆกัน ในห้องนั้นเลยมีแค่ยุ่นกับโสรอห้องว่าง ยุ่นก็หันมาว่าโสแบบดุๆ “line up” งงอยู่แป๊บนึง อะไรกันเนี่ย อยู่กันแค่สองคน ถ้ามีห้องว่างก็ให้ยุ่นเข้าก่อนอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าจะแซงเลย แต่โดนว่าไปแล้ว โกรธเหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นคนเกลียดเรื่องแซงคิวจะตาย แต่นึกได้ว่ายุ่นเพิ่งมาจากแคนาดาเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป เห็นเขียนเรื่องต่อแถวเลยยิ่งเข้าใจยุ่นเลยว่า เรื่องต่อแถวมันอยู่ในสายเลือดยุ่นแล้วล่ะ แล้วยุ่นจะหงุดหงิดมากเวลากลับมาเมืองไทย แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้วน่ะเพราะเด็กรุ่นใหม่ถูกสอนมาให้เข้าแถว
Sopida Pichatehirankanchana
จิงดิ โส ตอนเข้าห้องน้ำยุ่นพูดแบบนั้นเหรอ จำไม่ได้แล้วอ่ะ หากเพื่อนทำอะไรผิดพลาดไป และทำให้เพื่อนโสมีเคือง....ยุ่นขออภัยด้วยนะ โส...ไม่ได้ตั้งใจนะ...อาจเพราะอยู่ที่นี่มันชินอ่ะ
ReplyDeleteจิงๆยุ่นเคยมีเรื่องเกี่ยวกับคิวที่เมืองไทย ตอนที่สอบเข้าเตรียมได้แล้วนะ จำได้ตอนโน้นกำลังเข้าแถวจะซื้ออะไรกันสักอย่าง ช่วงเพิ่งสอบได้ใหม่ๆ คราวนี้นักเรียนก้อ line up กัน ยุ่นก้อหนึ่งในนั้น ปรากดว่าหน้ายุ่นสัก 2 คน มีเด็กผู้ชายคนนึงยืนอยู่ เสร็จ เพื่อนเค้ามาหลังเรา เค้าก้อจะต่อกับคิวเพื่อนเค้าที่รอเลย ไอ้ข้างหน้ายุ่นเค้าก้อไม่พูดไร แต่ยุ่นทนไม่ได้ ไม่ยอม เดินไปบอกเค้าว่า โทษนะ ช่วยไปต่อคิวใหม่ คนอื่นเค้ารอกันมาตั้งนาน มาจากไหนจะมาลัดคิว...ได้ผล ผู้ชายคนนั้นเค้าต้องไปต่อคิวข้างหลัง แต่เค้าก้อจำหน้ายุ่นได้แม่นทั้งสองคนเลย แต่ยุ่นจำเค้าไม่ได้นะ
ปรากด ตอนหลังเพิ่งมารู้ว่า ไอ้คนแรกก้อคือเพื่อนที่ 712 ชื่อ Heart อีกคนเพื่อน Heart ชือ่ Man ตอนหลังมีโอกาสรู้จักกัน เค้าบอกว่าทีแรกคิดในใจ ไอ้ผู้หญิงคนนี้ ร้ายฉิบเปงเลย กล้ามาต่อปากต่อคำกับพวกลูกเศรษฐี 55555 เค้า 2 คนแบบรวยอ่ะ ตอนหลังก้อเปนเพื่อนกัน ก้อบอกเค้าว่าเรารู้สึกอย่างนั้นจิงๆ
การมีระเบียบในสังคม ยุ่นว่ามันก้อเหมือนเราเคารพสิทธิคนอื่น และเตือนตนว่าทุกคนมีสิทธิ ความเท่าเทียมกัน ไม่มีอภิสิทธิ์ชนนะ...โส..แต่ยังไง ยุ่นก้อเกิดมาเพื่ออยุ่ไทยอ่ะ ไม่ใช่แคนาดาอ่ะ ยุ่นก้อยังอยากกลับเมืองไทยนะ แม้จะรุ้ว่าสังคมที่แคนาดาอาจดีกว่าในหลายเรื่อง แต่บ้านเรามันอบอุ่นกว่า ทั้งอากาศบวกพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง อุ่นหนาฝาคั่ง....
ก้อคงเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ครั้งหนึ่งที่ได้สัมผัส
แล้วเจอกันนะ โส
คิดถึงจ้า..
ยุ่น