อาทิตย์ที่แล้ว ได้รวบรวมเอกสารหนังสือต่างๆ บังเอิญเจอแฟ้ม Eng 11 เลยทำให้คิดถึง Tom ครูอังกฤษที่สอนการเขียน paragraph , essay พร้อมเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ paragraph หรือ essay ของเราดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาทันที..
เทคนิคที่ Tom สอนในการเขียน paragraph มีดังนี้ :
1. การใช้ similes : a comparison between two objects using like or as
Ex : Her hair was as soft as silk. My boyfriend eats like a pig. My face was as pink as a cooked lobster.
Also, one hour of treatment seems like twenty tedious hours for me.
2. การเน้น โดยการใช้เทคนิค Parallelism : words or phrases repeated for dramatic effect.
Ex: การเน้นที่ verb เช่น In English 11 we love our paragraph homework, we love our vocabulary homework, and we love our essay homework.
an adjective: We get up early for work, early for our children, and early for English 11.
3. การเน้นความแตกต่าง โดยการใช้ Juxtaposition : contrasting items placed side by side ( opposite place)
Ex: I entered the classroom and inside there were rats, poisonous snakes , and teachers.
From Beijing to Burnaby chefs are discovering the wonders of cooking rats.
4. ใช้เทคนิค Alliteration : the repetition of the first consonant.
Ex: We serve stewed rat with steamed rice. From Beijing to Burnaby,
5. ใช้เทคนิค assonance : the repetition of vowel sounds
Ex:From Beijing to Burnaby chefs are discovering the wonders of cooking rats.
และนี่คือตัวอย่างEssay ที่ มีตัวอย่างเทคนิคต่างๆ ดังนี้
Essay Topic: Boys should not learn to cook - agree or disagree
Turn Crisis to Opportunity
If you were a boy and you didn't learn how to cook, you may lose many good opportunities in your life. Boys should learn how to cook for marrying a lucky girl, finding a good job, and changing to a superior lifestyle.
A boy should learn how to cook an egg. If a boy learns how to cook an egg, he can survive when his parents kick him out of their house. He can fry eggs in the morning for 12 months a year for his girlfriend. She will marry him for his eggs. For dessert on Valentine's Day, he could scramble eggs with strawberry jam, Chinese girls will love him, Canadian girls will love him, and the girls of the world will adore him.
Learning how to cook can get a boy a job. If a boy learns how to cook ground beef and spaghetti in night school with the V.S.B, he can work in Shen Zhen, Shennan Road and earn 10,000 RMB per month. With this he can drive a Shen Zhen Ferrari, wear Shen Zhen Armani, and drink Shen Zhen Chivas Regal. A boy who learns how to cook will live the good life.
Cooking may change a boy's lifestyle. If a boy learns how to cook fresh seafood in a coconut from internet, he can be alive when he and his companions are deserted on an uninhibited island. They will love his organic seafood coconut dish. They will miss him at least three times a day. After rescue from the island, he will be very busy for demonstrating his wonderful recipe, he will be very busy for earning his living from his wonderful recipe, and he will be very famous around the world from his creative recipe.
For these three beneficial outcomes, boys should learn how to cook. Being able to cook is a life skill which helps a boy keep his beloved girl, earn a lot of money, and turn crisis to unexpected opportunity.
Sunday, April 28, 2013
Tuesday, April 16, 2013
จะเรียนอะไรดีเนี่ย ??? (หยุดคิดเพราะลูก 2)
ต่อจากตอนที่แล้ว ในตอนนี้ยุ่นขอตัดช่วงที่ลูกเรียนโยธินมาที่ high school ใน Vancouver เลย...^^
เนื่องจากยุ่นได้มีโอกาสสอนและใกล้ชิดเด็กนักเรียนหลายๆคนนอกจากลูกตัวเอง จึงทำให้ยุ่นได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพวกเด็กๆ และสิ่งเหล่านี้ทำให้ยุ่นเริ่มไม่แน่ใจในหลายๆความคิด รวมทั้งความเชื่อของตัวเราเองที่เคยมีมาแต่ก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไร??
ก้อคงต้องเริ่มจากคนใกล้ตัว คือยีน..ลูกชายตัวเองก่อน ซึ่งยุ่นคิดว่าเค้ามีลัษณะนิสัยอย่างไรนั้น เราที่เป็นพ่อแม่ก้อคงปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเค้าคือผลผลิตของการเลี้ยงดูของเรา..ยีนเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก มีความคิดเป็นของตัวเอง หลายครั้งหลายเรื่องชอบทำอะไรนอกกรอบ คิดแผลงๆ.. ซึ่งยุ่นกะห่งก้อต้องคอยตบให้เข้าที่ อยู่ในแนวที่ควรจะเป็น ( อันนี้เป็นตั้งแต่ตอนอยู่ไทยแล้ว พอมาที่นี่ อาการยิ่งชัดเจนมากขึ้น 55555)
ยุ่นว่านะ พ่อแม่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ร้อยละ90 จะเครียดเรื่องการเรียนของลูก มันจะมาเป็นช่วงๆ เช่นตอนป.6 เข้ามอ 1 ....บางคนก้อมีมอ 3 เข้ามอ 4 .(อันนี้ที่ไทย แต่หากที่นี่ตั้งแต่อนุบาล จนจบ high school ไม่ต้องกังวล เรียนที่ไหนก้อได้ ที่ใกล้บ้าน )...และที่เครียดจัดๆเลย ยุ่นว่าน่าจะตอนเข้ามหาลัย....
ที่นี่ระบบการเข้ามหาลัยมีความแตกต่างจากบ้านเราพอควร ยุ่นว่าเมื่อเทียบแล้วที่นี่มีทางเลือกมากกว่า และไม่ยากเท่า ขึ้นกับเราต้องวางแผนตัวเอง จัดระบบชีวิตให้ดี มีความสม่ำเสมอในการเรียน เพราะเค้าดูผลการเรียนตลอดทั้งปี ไม่มีระบบสอบเข้า...แต่หากเข้าไม่ได้ ก้อไม่เป็นไร เด็กสามารถไปเรียน college ได้ แล้วเก็บคะแนน transfer ไปคณะที่ตัวอยากเรียนได้ นอกจากนี้ หากเด็กไม่อยากเรียนต่อ อยากทำงานก่อน ก้อสามารถไปทำได้ ซึ่งส่วนใหญ่ คนที่นี่เค้าก้อมีความคิดแนวนี้ ทำงานเพื่อหาตัวเองก่อน บางคนก้อทำงานเพื่อหาเงินเรียนเอง.....ด้วยระบบนี้ จึงทำให้พ่อแม่ที่นี่ น่าจะมีความเครียดน้อยกว่าพ่อแม่เมืองไทย และการเรียนพิเศษจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก...
ขนาดยุ่นเองก้อรู้ทั้งรู้ว่าระบบเปิดโอกาสให้เด็กค่อนข้างมาก ยุ่นกะห่งก้อยังคงวิตกจริตในช่วงที่ลูกอยู่เกรด 12 เพราะยีนยังหาตัวเองไม่เจอ รวมทั้งเค้าเองก้อมีปัญหาส่วนตัวซึ่งเค้าไม่บอกพ่อกะแม่...ฉะนั้นความตั้งใจจึงไม่เต็มที่ อาจเรียกได้ว่าไม่มีเลยก้อได้... ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร และเป็นยาวนานมาจนถึงปี 1 ที่ college ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ยีนพูดหลายครั้งมากเลยว่า เค้าอยากทำงานก่อน เพื่อหาตัวเองว่าชอบอะไร แล้วค่อยกลับไปเรียน แต่ความคิดนี้ ทั้งพ่อกะแม่ยังไม่สามารถรับได้ อาจเพราะค่านิยมในสังคมไทยเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้น คือเรารู้สึกควรเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน จากนั้นค่อยว่าอีกที ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่นี่ เค้าจะไม่รู้สึกแปลกหากเด็กอยากค้นหาตัวเองก่อน แต่เด็กต้องจบ high school ขั้นต่ำและเมื่อพร้อมก้อสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตลอดเวลา....การจบมหาลัย ไม่ได้เป็นค่านิยมของสังคมที่นี่เท่าไรนัก....ยุ่นว่าเค้าให้ความสำคัญกับ life skill มากกว่า...
และนี่ก้อเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ยุ่นสับสนว่า วิธีคิดของยุ่น กับวิธีคิดที่ฝรั่งคิด อย่างไหนมันจะดีกว่า เหมาะสมกว่า... ยุ่นคิดว่าคงไม่มีใครผิดใครถูกหรอก...เพียงแต่ยุ่นเองคิดแล้วมันทำใจลำบากที่จะให้ลูกลองไปทำงานก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน....ยุ่นคิดว่าเรายังหัวไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น...แหะ แหะ..
จนกระทั่งปีนี้เมื่อยีนเรียนปีสอง นอกจากยีนต้องลงวิชาหลักๆ เค้ายังลงพวก elective ด้วย เพราะเป็นวิชาที่สามารถส่งคะแนน และเค้าบังคับว่าต้องเรียน elective กี่ตัวก้อว่ากันไป ตรงนี้แหละ ที่ยุ่นว่าดี และแตกต่างจากบ้านเรา
คือเด็กที่นี่ ต่อให้เข้ามหาลัยนะ ไม่ใช่ college ( จริงๆคือระบบเดียวกัน) เค้าจะต้องเรียน elective แต่บ้านเรายกตัวอย่างตอนยุ่นเรียนเภสัช ไม่แน่ใจปัจจุบันเปลี่ยนหรือยัง...ยุ่นต้องลงวิชาที่คณะกำหนดมาเลย ปีหนึ่งเรียน 1..2..3..4...ปีสอง เรียน 1..2..3...4...กี่ตัวว่าไป ตามนี้ เป็น pattern แต่ที่นี่ไม่ใช่ สมมติเราเรียนวิศวะ เค้าก้อมีตัวหลักๆที่ต้องลง อาจประมาณ 10-12 ตัว อีก 8 ตัวคุณก้อเลือกตามความชอบของคุณ (อันนี้ใน 2 ปี 20 วิชา 60 เครดิต) ซึ่งเด็กวิศวะอาจมีความสนใจตลาดหุ้น ตลาดทุน ก้อไปลงเรียนวิชาเหล่านี้ได้ ฉะนั้นจึงเป็นการเปิดมุมมองความคิดอีกด้านหนึ่งของผู้เรียน...ยุ่นว่าดีอ่ะ...เพราะบางครั้งเราก้อไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเราชอบอะไร พอเราได้เรียน เราอาจเกิดความสนใจ ซึ่งเราสามารถเรียนวิศวะ บวกกับเรื่องราวอื่นๆที่เราสนใจไปพร้อมกันได้...หรือหากเราคิดว่าเราไม่ชอบคณะที่เราเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง...เราก้อสามารถเปลี่ยนคณะได้ด้วยสำหรับที่นี่...สุดยอด....
และ..สำหรับพวกที่ค้นหาตัวเองไม่เจอ ก้อมีโอกาสที่จะได้ลองค้นหาตัวเอง เช่นลูกยุ่น ซึ่งห่งอยากให้เรียน actuarial science เพราะน่าจะเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี แต่คุณยีนบอก ยีนไม่ชอบเอาเลย เลขเรียนได้ แต่ไม่ชอบอ่ะ มันไม่ click แล้วจะรุ่งได้ไง....และสำหรับยีน ยีนอยากทำงานที่ตัวเองรักมากกว่า พ่อแม่รู้ได้ไงว่าเรียน actuarial แปลว่าจะต้องรวย มันไม่มีความเสี่ยงเลยเหรอ และทำไมต้องรวยอะไรมากมายเหรอ....อันนี้เป็นเรื่องที่บ้านเราถกเถียงกันเป็นประจำ....หลายครั้ง พ่อกะแม่ก้อเริ่มสับสนในจุดยืนของตัวเอง....55555
และในที่สุด..เราสองคนพ่อแม่ก้อต้องยอมแพ้ เพราะยีนคือผู้เรียน ไม่ใช่เรา เพราะหากเค้าไม่ยอมและไม่อยาก มันก้อคงยากที่จะไปถึงเป้าหมายได้ เราจึงตกลงกันว่าแล้วแต่เจ้าตัว และพยายามค้นหาตัวเองให้เจอให้เร็วที่สุด ก่อนที่พ่อแม่จะหมดแรง...และปีนี้พอยีนได้ลงเรียนวิชา Economic , Finance, Law , Asian Study , Psychology เค้าก้อเริ่มรู้แล้วว่าเค้าชอบวิชาเหล่านี้ และทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ในทั้งหมด ตัวที่เค้าชอบที่สุดคือ Economic และ Law เค้าบอกเป็นวิชาที่เรียนแล้วเค้ารู้สึกว่าเราเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ และเค้าจะชอบมีคำถามแปลกๆมาถามห่ง คุยกัน ถกกัน แลกเปลี่ยนกัน หรืออย่าง Asian Study ยีนก้อเรียนประวัติศาสตร์ของจีน เกาหลี และญี่ปุ่น รวมทั้งต้องวิเคราะห์เจาะลึก เค้าก้อมาเล่าประวัติศาสตร์ทั้งสามชาตินี้ให้ยุ่นกะห่งฟัง คือยุ่นไม่เคยได้เรียนอ่ะ ยุ่นฟังแล้วสนุกมากเลย ช่วงที่เล่าคือช่วง ศตวรรตที่ 20 (The 20th century was the period between January 1, 1901 and December 31, 2000.) เพราะยีนเค้าจะเล่าเหตุการณ์ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งมีการวิเคราะห์เป็นตอนๆ เป็นฉากๆ... เหมือนพวกรายการย้อนรอยอดีตมหาอำนาจในเอเชียบูรพา อะไรประมาณนั้น.... 555555 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสองคนพ่อแม่คิดว่า..อย่างน้อยเราก้อไม่น่าจะเดินผิดทาง เพราะลูกดูมีความสนใจในสิ่งที่เรียน มีการวิเคราะข้อมูล และนำมาประยุกต์ใช้....สิ่งเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นและเป็นสิ่งที่เราเองก้อพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น....
สิ่งต่อมาที่เห็นคือความสุขในการเรียนหนังสือ และความสนใจในแต่ละวิชา ซึ่งยุ่นเริ่มตระหนักว่า คนเรามีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ และเวลาที่เราได้อยู่กับอะไรที่เราชอบ เราจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า แบบ click หรือ ปิ๊งเอง...พอเค้าเรียนแล้วเค้าก้อตอบตัวเองได้ว่าเค้าอยากเรียนอะไรจะต้องไปลงเรียนอะไร และจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร....ก้อเรียกว่าสามารถตอบโจทย์ตัวเองได้
จริงอยู่ เราก้อไม่รู้หรอก หากยีนจบมาเค้าจะเป็นอย่างไร มีงานหรือมั้ย จะร่ำรวยมั้ย... แต่เรารวมทั้งตัวยีนก้อยังเชือว่าเค้าได้เรียนอะไรที่ใกล้เคียงตัวเค้ามากที่สุด เค้าคงจะสามารถค้นหาเส้นทางการเดินทางของเค้าได้เองเมื่อถึงเวลา...
อีกกรณีศึกษาที่เป็นประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ คือ :
เมื่อไม่นานนี้ ยุ่นต้องตอบคำถามลูกศิษย์ที่มาเรียนพิเศษ อยู่เกรด11 กำลังจะขึ้น 12
" หนูไม่รู้ว่าหนูจะเลือกเรียนอะไรดี ที่จะทำให้หนูหาเงินได้เยอะๆ "
คำถามนี้คนละ version กับลูกเราเลย....55555 คำถามแบบนี้ หากเป็นเด็กที่เรียนได้ดีทุกวิชา ซึ่งยุ่นว่าก้อมีมากนะในสังคมบ้านเรา เด็กเหล่านี้ก้อคงพอจะหาทางเดินให้ตัวเองได้ไม่ยากนัก เช่นเรียนหมอ ทันตะ เภสัช วิศวะ...และอีกสาขาหนึ่งที่กำลังมาแรง คือบัญชี
แต่ปัญหาคือเด็กคนนี้เค้าเรียนเลขกับยุ่นมา 3 ปีแล้ว และยุ่นเริ่มเห็นว่าจริงๆเค้าไม่ได้ถนัดพวกวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ .....วิชาเลขนั้นก้อต้องอาศัยพื้นฐานที่ดี อันนั้นก้อใช่ แต่ท้ายสุด การประยุกต์ใช้ตามความถนัดและความสามารถที่มีในตัวแต่ละคนก้อมีส่วนอย่างมาก....คือเด็กคนนี้เค้ารู้ทฤษฎีพื้นฐานหมด หากโจทย์มาตรงๆธรรมดาๆ เค้าจะทำได้ แต่หากโจทย์มาแบบต้องประยุกต์สิ่งที่เรียนมาหลายๆเรื่อง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใน high school และระดับมหาลัยอย่างแน่นอน... เค้าจะทำไม่ได้ เค้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน...ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยุ่นเริ่มเห็นเค้าชัดมากขึ้นตอนเกรด 10 ( แต่เค้าเป็นเด็กที่มีความพยายามสูงมาก เกรด 10 พยายามจนเลขได้คะแนน 92% ) แต่ เกรด 11 หลักสูตรยากขึ้นและซับซ้อนกว่าตอนเกรด 10 จึงทำให้เค้าเริ่มเห็นปัญหาในตัวเองชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าเค้าจะพยายามมากขึ้นแต่คะแนนก้อไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่เค้าคาดหวัง
เวลาเรียนที่โรงเรียน เค้าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูสอนเลย แม้ว่าหลายๆเรื่องยุ่นสอนไปก่อน เวลาไปเรียนที่โรงเรียนเค้าจะบอกว่าไม่เหมือนที่ยุ่นสอน และเค้าก้ออธิบายให้ยุ่นฟังไม่ได้ว่าไม่เหมือนอย่างไร แต่สิ่งที่ยุ่นสอนนั้น เค้าจะเข้าใจทั้งหมด แต่อาจต้องใช้เวลามากหน่อย และเวลาสอบ หากครูเปลี่ยนโจทย์นิดหน่อย เค้าก้อจะทำไม่ได้ ปัญหาที่ยุ่นกังวลเริ่มปรากฎชัดมากในเกรด 11 จนตัวเด็กเองเริ่มหวั่นไหวว่าจะทำอย่างไรในการเลือกเรียนคณะอะไรในมหาลัย....
แต่เด็กคนนี้อยากเรียนสถาปัตย์ ซึ่งต้องใช้ความสามารถทั้งทางศาสตร์และศิลป์ ศิลป์เนี่ย จากการฟังเรื่องราวผ่านตัวเค้ายุ่นว่าเค้าน่าจะโอเค แต่ศาสตร์เนี่ยสิ คือคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ยุ่นคิดว่าเค้าต้องมีปัญหาแน่นอน....ยุ่นเริ่มตั้งคำถามอื่นๆนอกจากเรื่องการมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเงิน.....ให้เค้าตอบตัวเองว่า สถาปัตย์เป็นอะไรที่เค้าอยากเรียนจริงเหรอ...มันคือตัวตนของเค้าเหรอ...เคยนั่งคิดวิเคราะห์ตัวเองมั้ยว่าแท้จริงเราชอบหรืออยากเรียนอะไรกันแน่....อยากให้เปลี่ยนน้ำหนักเรื่องเงินมาเป็นเรื่องที่ว่าเรามีความสนใจในด้านไหนเป็นพิเศษ อะไรที่เราเรียนแล้วเรารู้สึกมันใช่ เราจะมีความคิดสร้างสรรค์และเรียนได้แบบทั้งสนุกและมีความสุข...และหลังจากนั้นเงินจะตามมาเอง...
คำตอบที่เค้าตอบตัวเองคือเพื่อนๆเค้าจะลงเรียนทางด้านวิทย์ และหนูคิดว่าหนูก้อฉลาดพอที่จะเรียนได้ หรือหากไม่ได้ แม่ก้อบอกว่าแม่จะหาติวเตอร์มาสอนเลข ฟิสิกส์เพิ่มให้หนู....ยุ่นเลยสอนเค้าว่าไม่ใช่คนเรียนวิทย์แปลว่าฉลาดกว่าคนเรียนศิลป์นะ คนเรียนศิลป์ก้อมีวิธีคิดที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าพวกวิทย์ในหลายๆเรื่อง วิทย์ก้อมีมุมมองอย่างหนึ่ง ศิลป์ก้ออีกแบบหนึ่ง...ความแตกต่างเหล่านี้มันทำให้เกิดการผสมผสานในสังคมเราทุกวันนี้ คิดดูสิ..ทำไมในสังคมเราต้องมีหลากหลายอาชีพ หมอ ครู ทนายความ plumber farmer...นักธุรกิจ นักบัญชี ศิลปิน ฯลฯ ทุกๆคนต้องพึ่งพาอาศัยกันหมด ในสังคมจะมีเพียงอาชีพเดียวไม่ได้หรอก....ทุกคนทุกอาชีพมีความสำคัญเท่าๆกันหมด....ทุกคนมีคุณค่า อยู่ที่ว่าเราต้องเห็นคุณค่าในตัวเราเท่านั้น....และการเรียนพิเศษก้อคงแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ได้ ขนาดหนูเรียนเลขกับครูยุ่นอาทิตย์ละ 2 วัน ยังไม่สามารถทำคะแนนเลขที่โรงเรียนได้ดีอย่างที่อยากเลย...
และเค้าก้อมาคุยปรึกษายุ่น หลายต่อหลายยก....เรียกว่ายาวนานเป็นปีเลยแหละ...จริงๆเค้าชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ แนว artist อ่ะ แต่ก้อไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรที่จะสามารถนำความสามารถตรงนี้ออกมา ก้อคิดเอาเองว่าถาปัดน่าจะใช่ และเรียนแล้วก้อทำเงินได้มากด้วย เพราะหากไปเรียนวาดรูปเป็นศิลปิน แม่บอกว่าหนูอาจหางานลำบากมาก...หรืออาจไม่มีงานทำเลยก้อว่าได้...
เค้าเปลี่ยนอีกหลายรอบ เดี๋ยวก้อจะไปเรียน art เดี๋ยวก้อไม่เอาดีกว่าไปเรียน computer science เดี๋ยวก้อ graphic design ซึ่งเราเองก้อพอจะเข้าใจได้ เพราะเราเองก้อเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน บางช่วงตรงนั้นเราเองก้อสับสนกับชีวิตเนอะ และเราก้อไม่มีประสบการณ์อะไรเลย สิ่งต่างๆก้อได้มาจากเค้าเล่าว่า เพื่อนบอกว่า...คนนั้นคนนี้บอกว่า..พ่อบอกว่า แม่บอกว่า....และลูกชายยุ่นเองก้อเพิ่งผ่านช่วงสับสนเหล่านี้มาเช่นกัน เพียงแต่ว่า ยีนเค้าต้องเลือกสิ่งที่ใช่ก่อน... เค้าจึงอยากจะเรียนหรือทำมันให้ดี แต่เด็กคนนี้คือไม่สนใจในสิ่งที่ใช่ที่เป็นตัวเอง คิดว่าเรียนไปเดี๋ยวก้อชอบเอง ดีเอง...และยึดเอาเรื่องรายได้เป็นหลักในการกำหนดอนาคต
ยุ่นเองกลายเป็นครูที่ปรึกษาพร้อมกับเป็นติวเตอร์เลขไปด้วย... ยุ่นให้ข้อคิดน้องเค้าว่า ขอให้ตั้งโจทย์ที่ถูกต้องก่อน หากคุณตั้งโจทย์ผิด การจะเดินไปสู่เป้าหมาย มันจะผิดเพี้ยนไป คิดง่ายๆธรรมดาๆว่าหากเราไปเรียนในสิ่งที่เราไม่ถนัด แน่นอนเราก้อไม่น่าจะทำมันได้ดี เพราะเราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นตัวเราออกมา คะแนนเราเมื่อเทียบกับชาวบ้านที่เค้ามาเรียน ซึ่งคนที่มาเรียนส่วนใหญ่มักเรียนในสิ่งที่ตนชอบและถนัด เราก้อจะเป็นฐานให้เค้าเหล่านั้น เราก้อจะไม่มีกำลังใจในการเรียน และหากว่าเราพยายามจนจบ (ซึ่งเค้าบอกยุ่นว่าหากเค้าเรียนหรือเดินหน้าแล้ว เค้าจะไม่ถอยหลังเด็ดขาด ซึ่งยุ่นก้อบอกเค้าว่าถอยได้ ทำไมถอยไม่ได้ ถอยแล้วตั้งหลักใหม่ เราทำได้เสมอ อย่า serious กับชีวิตมากเกิน...) เวลาเราไปทำงาน เราก้อต้องทนทำกับงานที่เราไม่ได้ชอบเท่าไร ก้อคงทำได้นะ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่มันจะปิ๊งมั้ย...เราจะมีความสุขกับงานที่เราเลือกนี้จริงหรือ???? เพียงคำว่าเงินเท่านั้นเหรอ..ที่เราต้องการ....ทำไมจึงคิดว่าการมีเงินมากมายจะทำให้เรามีความสุขเหรอ...เงินคือคำตอบที่แท้จริงในชีวิตหนู.........จริงๆเหรอ...
เชื่อมะ...ยุ่นสอนเค้า ยุ่นก้อเครียดเนอะ ห่งบอกยุ่นเป็นนักจิตวิทยาไม่ได้ เพราะรับเรื่องของคนอื่นเข้ามาเต็มๆ 555555 ใช่ ยอมรับจริงๆ รับมาเต็ม 100 เลย ..... จนกระทั่งหลังจากที่เด็กคนนี้เรียนเคมี 11 เค้าก้อไม่ชอบ เรียนไม่รู้เรื่อง ก้อ drop ไป ชีวะซึ่งน่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่ง่ายที่สุด น้องเค้าก้อลงแบบ on line เค้าต้องอ่านเอง เค้าก้อบอกไม่สนุก อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก้อ drop อีก ฟิสิกส์ 11ยังไม่ลง เพราะลองดูสถานการณ์เลข 11 ก่อน และเลข 11 เค้าก้อพยายามนะ เข้าใจ concept หมด ฝึกทำแบบฝึกหัดแต่ละบท ก้อพอทำได้ แต่ผลสอบออกมาคะแนนไม่เป็นที่พอใจเลย...
ซึ่งยุ่นเองก้อได้บอกเค้าว่า...อย่าสรุปว่าเราไม่ฉลาดเพราะเราเรียนวิชาพวกนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่หนูถนัด หนูจึงไม่ปิ๊ง ยุ่นว่านะ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์และยอมรับจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง....นอกจากนี้พ่อแม่ต้องเข้าใจ และให้กำลังใจเค้า เพราะเด็กบางคนก้ออาจจะทนเรียนได้ แต่เด็กบางคนก้ออาจเรียนไม่ได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าเค้าโง่...
สุดท้ายและท้ายสุด....เค้าเองก้อต้องยอมรับกับความจริงในตัวเค้าเอง เพราะเค้ายิ่งเรียนเลขลึกลงไป เค้าก้อยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ทางของเค้า ซึ่งยุ่นเองได้คุยกับคุณแม่ของเด็ก เพราะยุ่นคิดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเด็ก...และเมื่อคุณแม่เข้าใจ และให้เค้าสามารถตัดสินใจในสิ่งที่เค้าอยากเรียนเอง...เค้าจึงได้คำตอบว่า เค้าจะเลือกเรียนทางด้านภาษา ซึ่งเป็นวิชาที่เค้าชอบและอยากเรียนมากกว่า....และมันเหมือนการปลดปล่อยจริงๆ เด็กดู relax มากขึ้น มีความเครียดน้อยลงจนยุ่นเองสัมผัสได้....
และนี่ก้อคือประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ ซึ่งทำให้ยุ่นได้หยุด คิด ทบทวนและคงต้องบอกว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ...เราจึงเทียบใครกับใครไม่ได้เลย...เราคงต้องสังเกตุและรอเวลาที่ความสามารถของเค้าจะ shining ออกมา ยุ่นเชื่อมั่นว่าทุกคนมีวิถีทางของตนเอง...เราซึ่งเป็นพ่อแม่ หรือครู คงต้องคอยสังเกตุ....เป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูล แนวคิด กำลังใจ ปรับความคิดของเราให้เข้ากับยุคสมัย เฝ้าดูพวกเค้าห่างๆ ( แต่อยู่ในสายตา ) และรอคอยด้วยความเข้าใจ....
.
เนื่องจากยุ่นได้มีโอกาสสอนและใกล้ชิดเด็กนักเรียนหลายๆคนนอกจากลูกตัวเอง จึงทำให้ยุ่นได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพวกเด็กๆ และสิ่งเหล่านี้ทำให้ยุ่นเริ่มไม่แน่ใจในหลายๆความคิด รวมทั้งความเชื่อของตัวเราเองที่เคยมีมาแต่ก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไร??
ก้อคงต้องเริ่มจากคนใกล้ตัว คือยีน..ลูกชายตัวเองก่อน ซึ่งยุ่นคิดว่าเค้ามีลัษณะนิสัยอย่างไรนั้น เราที่เป็นพ่อแม่ก้อคงปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเค้าคือผลผลิตของการเลี้ยงดูของเรา..ยีนเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก มีความคิดเป็นของตัวเอง หลายครั้งหลายเรื่องชอบทำอะไรนอกกรอบ คิดแผลงๆ.. ซึ่งยุ่นกะห่งก้อต้องคอยตบให้เข้าที่ อยู่ในแนวที่ควรจะเป็น ( อันนี้เป็นตั้งแต่ตอนอยู่ไทยแล้ว พอมาที่นี่ อาการยิ่งชัดเจนมากขึ้น 55555)
ยุ่นว่านะ พ่อแม่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ร้อยละ90 จะเครียดเรื่องการเรียนของลูก มันจะมาเป็นช่วงๆ เช่นตอนป.6 เข้ามอ 1 ....บางคนก้อมีมอ 3 เข้ามอ 4 .(อันนี้ที่ไทย แต่หากที่นี่ตั้งแต่อนุบาล จนจบ high school ไม่ต้องกังวล เรียนที่ไหนก้อได้ ที่ใกล้บ้าน )...และที่เครียดจัดๆเลย ยุ่นว่าน่าจะตอนเข้ามหาลัย....
ที่นี่ระบบการเข้ามหาลัยมีความแตกต่างจากบ้านเราพอควร ยุ่นว่าเมื่อเทียบแล้วที่นี่มีทางเลือกมากกว่า และไม่ยากเท่า ขึ้นกับเราต้องวางแผนตัวเอง จัดระบบชีวิตให้ดี มีความสม่ำเสมอในการเรียน เพราะเค้าดูผลการเรียนตลอดทั้งปี ไม่มีระบบสอบเข้า...แต่หากเข้าไม่ได้ ก้อไม่เป็นไร เด็กสามารถไปเรียน college ได้ แล้วเก็บคะแนน transfer ไปคณะที่ตัวอยากเรียนได้ นอกจากนี้ หากเด็กไม่อยากเรียนต่อ อยากทำงานก่อน ก้อสามารถไปทำได้ ซึ่งส่วนใหญ่ คนที่นี่เค้าก้อมีความคิดแนวนี้ ทำงานเพื่อหาตัวเองก่อน บางคนก้อทำงานเพื่อหาเงินเรียนเอง.....ด้วยระบบนี้ จึงทำให้พ่อแม่ที่นี่ น่าจะมีความเครียดน้อยกว่าพ่อแม่เมืองไทย และการเรียนพิเศษจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก...
ขนาดยุ่นเองก้อรู้ทั้งรู้ว่าระบบเปิดโอกาสให้เด็กค่อนข้างมาก ยุ่นกะห่งก้อยังคงวิตกจริตในช่วงที่ลูกอยู่เกรด 12 เพราะยีนยังหาตัวเองไม่เจอ รวมทั้งเค้าเองก้อมีปัญหาส่วนตัวซึ่งเค้าไม่บอกพ่อกะแม่...ฉะนั้นความตั้งใจจึงไม่เต็มที่ อาจเรียกได้ว่าไม่มีเลยก้อได้... ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร และเป็นยาวนานมาจนถึงปี 1 ที่ college ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ยีนพูดหลายครั้งมากเลยว่า เค้าอยากทำงานก่อน เพื่อหาตัวเองว่าชอบอะไร แล้วค่อยกลับไปเรียน แต่ความคิดนี้ ทั้งพ่อกะแม่ยังไม่สามารถรับได้ อาจเพราะค่านิยมในสังคมไทยเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้น คือเรารู้สึกควรเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน จากนั้นค่อยว่าอีกที ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่นี่ เค้าจะไม่รู้สึกแปลกหากเด็กอยากค้นหาตัวเองก่อน แต่เด็กต้องจบ high school ขั้นต่ำและเมื่อพร้อมก้อสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตลอดเวลา....การจบมหาลัย ไม่ได้เป็นค่านิยมของสังคมที่นี่เท่าไรนัก....ยุ่นว่าเค้าให้ความสำคัญกับ life skill มากกว่า...
และนี่ก้อเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ยุ่นสับสนว่า วิธีคิดของยุ่น กับวิธีคิดที่ฝรั่งคิด อย่างไหนมันจะดีกว่า เหมาะสมกว่า... ยุ่นคิดว่าคงไม่มีใครผิดใครถูกหรอก...เพียงแต่ยุ่นเองคิดแล้วมันทำใจลำบากที่จะให้ลูกลองไปทำงานก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน....ยุ่นคิดว่าเรายังหัวไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น...แหะ แหะ..
จนกระทั่งปีนี้เมื่อยีนเรียนปีสอง นอกจากยีนต้องลงวิชาหลักๆ เค้ายังลงพวก elective ด้วย เพราะเป็นวิชาที่สามารถส่งคะแนน และเค้าบังคับว่าต้องเรียน elective กี่ตัวก้อว่ากันไป ตรงนี้แหละ ที่ยุ่นว่าดี และแตกต่างจากบ้านเรา
คือเด็กที่นี่ ต่อให้เข้ามหาลัยนะ ไม่ใช่ college ( จริงๆคือระบบเดียวกัน) เค้าจะต้องเรียน elective แต่บ้านเรายกตัวอย่างตอนยุ่นเรียนเภสัช ไม่แน่ใจปัจจุบันเปลี่ยนหรือยัง...ยุ่นต้องลงวิชาที่คณะกำหนดมาเลย ปีหนึ่งเรียน 1..2..3..4...ปีสอง เรียน 1..2..3...4...กี่ตัวว่าไป ตามนี้ เป็น pattern แต่ที่นี่ไม่ใช่ สมมติเราเรียนวิศวะ เค้าก้อมีตัวหลักๆที่ต้องลง อาจประมาณ 10-12 ตัว อีก 8 ตัวคุณก้อเลือกตามความชอบของคุณ (อันนี้ใน 2 ปี 20 วิชา 60 เครดิต) ซึ่งเด็กวิศวะอาจมีความสนใจตลาดหุ้น ตลาดทุน ก้อไปลงเรียนวิชาเหล่านี้ได้ ฉะนั้นจึงเป็นการเปิดมุมมองความคิดอีกด้านหนึ่งของผู้เรียน...ยุ่นว่าดีอ่ะ...เพราะบางครั้งเราก้อไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเราชอบอะไร พอเราได้เรียน เราอาจเกิดความสนใจ ซึ่งเราสามารถเรียนวิศวะ บวกกับเรื่องราวอื่นๆที่เราสนใจไปพร้อมกันได้...หรือหากเราคิดว่าเราไม่ชอบคณะที่เราเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง...เราก้อสามารถเปลี่ยนคณะได้ด้วยสำหรับที่นี่...สุดยอด....
และ..สำหรับพวกที่ค้นหาตัวเองไม่เจอ ก้อมีโอกาสที่จะได้ลองค้นหาตัวเอง เช่นลูกยุ่น ซึ่งห่งอยากให้เรียน actuarial science เพราะน่าจะเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี แต่คุณยีนบอก ยีนไม่ชอบเอาเลย เลขเรียนได้ แต่ไม่ชอบอ่ะ มันไม่ click แล้วจะรุ่งได้ไง....และสำหรับยีน ยีนอยากทำงานที่ตัวเองรักมากกว่า พ่อแม่รู้ได้ไงว่าเรียน actuarial แปลว่าจะต้องรวย มันไม่มีความเสี่ยงเลยเหรอ และทำไมต้องรวยอะไรมากมายเหรอ....อันนี้เป็นเรื่องที่บ้านเราถกเถียงกันเป็นประจำ....หลายครั้ง พ่อกะแม่ก้อเริ่มสับสนในจุดยืนของตัวเอง....55555
และในที่สุด..เราสองคนพ่อแม่ก้อต้องยอมแพ้ เพราะยีนคือผู้เรียน ไม่ใช่เรา เพราะหากเค้าไม่ยอมและไม่อยาก มันก้อคงยากที่จะไปถึงเป้าหมายได้ เราจึงตกลงกันว่าแล้วแต่เจ้าตัว และพยายามค้นหาตัวเองให้เจอให้เร็วที่สุด ก่อนที่พ่อแม่จะหมดแรง...และปีนี้พอยีนได้ลงเรียนวิชา Economic , Finance, Law , Asian Study , Psychology เค้าก้อเริ่มรู้แล้วว่าเค้าชอบวิชาเหล่านี้ และทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ในทั้งหมด ตัวที่เค้าชอบที่สุดคือ Economic และ Law เค้าบอกเป็นวิชาที่เรียนแล้วเค้ารู้สึกว่าเราเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ และเค้าจะชอบมีคำถามแปลกๆมาถามห่ง คุยกัน ถกกัน แลกเปลี่ยนกัน หรืออย่าง Asian Study ยีนก้อเรียนประวัติศาสตร์ของจีน เกาหลี และญี่ปุ่น รวมทั้งต้องวิเคราะห์เจาะลึก เค้าก้อมาเล่าประวัติศาสตร์ทั้งสามชาตินี้ให้ยุ่นกะห่งฟัง คือยุ่นไม่เคยได้เรียนอ่ะ ยุ่นฟังแล้วสนุกมากเลย ช่วงที่เล่าคือช่วง ศตวรรตที่ 20 (The 20th century was the period between January 1, 1901 and December 31, 2000.) เพราะยีนเค้าจะเล่าเหตุการณ์ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งมีการวิเคราะห์เป็นตอนๆ เป็นฉากๆ... เหมือนพวกรายการย้อนรอยอดีตมหาอำนาจในเอเชียบูรพา อะไรประมาณนั้น.... 555555 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสองคนพ่อแม่คิดว่า..อย่างน้อยเราก้อไม่น่าจะเดินผิดทาง เพราะลูกดูมีความสนใจในสิ่งที่เรียน มีการวิเคราะข้อมูล และนำมาประยุกต์ใช้....สิ่งเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นและเป็นสิ่งที่เราเองก้อพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น....
สิ่งต่อมาที่เห็นคือความสุขในการเรียนหนังสือ และความสนใจในแต่ละวิชา ซึ่งยุ่นเริ่มตระหนักว่า คนเรามีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ และเวลาที่เราได้อยู่กับอะไรที่เราชอบ เราจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า แบบ click หรือ ปิ๊งเอง...พอเค้าเรียนแล้วเค้าก้อตอบตัวเองได้ว่าเค้าอยากเรียนอะไรจะต้องไปลงเรียนอะไร และจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร....ก้อเรียกว่าสามารถตอบโจทย์ตัวเองได้
จริงอยู่ เราก้อไม่รู้หรอก หากยีนจบมาเค้าจะเป็นอย่างไร มีงานหรือมั้ย จะร่ำรวยมั้ย... แต่เรารวมทั้งตัวยีนก้อยังเชือว่าเค้าได้เรียนอะไรที่ใกล้เคียงตัวเค้ามากที่สุด เค้าคงจะสามารถค้นหาเส้นทางการเดินทางของเค้าได้เองเมื่อถึงเวลา...
อีกกรณีศึกษาที่เป็นประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ คือ :
เมื่อไม่นานนี้ ยุ่นต้องตอบคำถามลูกศิษย์ที่มาเรียนพิเศษ อยู่เกรด11 กำลังจะขึ้น 12
" หนูไม่รู้ว่าหนูจะเลือกเรียนอะไรดี ที่จะทำให้หนูหาเงินได้เยอะๆ "
คำถามนี้คนละ version กับลูกเราเลย....55555 คำถามแบบนี้ หากเป็นเด็กที่เรียนได้ดีทุกวิชา ซึ่งยุ่นว่าก้อมีมากนะในสังคมบ้านเรา เด็กเหล่านี้ก้อคงพอจะหาทางเดินให้ตัวเองได้ไม่ยากนัก เช่นเรียนหมอ ทันตะ เภสัช วิศวะ...และอีกสาขาหนึ่งที่กำลังมาแรง คือบัญชี
แต่ปัญหาคือเด็กคนนี้เค้าเรียนเลขกับยุ่นมา 3 ปีแล้ว และยุ่นเริ่มเห็นว่าจริงๆเค้าไม่ได้ถนัดพวกวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ .....วิชาเลขนั้นก้อต้องอาศัยพื้นฐานที่ดี อันนั้นก้อใช่ แต่ท้ายสุด การประยุกต์ใช้ตามความถนัดและความสามารถที่มีในตัวแต่ละคนก้อมีส่วนอย่างมาก....คือเด็กคนนี้เค้ารู้ทฤษฎีพื้นฐานหมด หากโจทย์มาตรงๆธรรมดาๆ เค้าจะทำได้ แต่หากโจทย์มาแบบต้องประยุกต์สิ่งที่เรียนมาหลายๆเรื่อง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใน high school และระดับมหาลัยอย่างแน่นอน... เค้าจะทำไม่ได้ เค้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน...ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยุ่นเริ่มเห็นเค้าชัดมากขึ้นตอนเกรด 10 ( แต่เค้าเป็นเด็กที่มีความพยายามสูงมาก เกรด 10 พยายามจนเลขได้คะแนน 92% ) แต่ เกรด 11 หลักสูตรยากขึ้นและซับซ้อนกว่าตอนเกรด 10 จึงทำให้เค้าเริ่มเห็นปัญหาในตัวเองชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าเค้าจะพยายามมากขึ้นแต่คะแนนก้อไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่เค้าคาดหวัง
เวลาเรียนที่โรงเรียน เค้าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูสอนเลย แม้ว่าหลายๆเรื่องยุ่นสอนไปก่อน เวลาไปเรียนที่โรงเรียนเค้าจะบอกว่าไม่เหมือนที่ยุ่นสอน และเค้าก้ออธิบายให้ยุ่นฟังไม่ได้ว่าไม่เหมือนอย่างไร แต่สิ่งที่ยุ่นสอนนั้น เค้าจะเข้าใจทั้งหมด แต่อาจต้องใช้เวลามากหน่อย และเวลาสอบ หากครูเปลี่ยนโจทย์นิดหน่อย เค้าก้อจะทำไม่ได้ ปัญหาที่ยุ่นกังวลเริ่มปรากฎชัดมากในเกรด 11 จนตัวเด็กเองเริ่มหวั่นไหวว่าจะทำอย่างไรในการเลือกเรียนคณะอะไรในมหาลัย....
แต่เด็กคนนี้อยากเรียนสถาปัตย์ ซึ่งต้องใช้ความสามารถทั้งทางศาสตร์และศิลป์ ศิลป์เนี่ย จากการฟังเรื่องราวผ่านตัวเค้ายุ่นว่าเค้าน่าจะโอเค แต่ศาสตร์เนี่ยสิ คือคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ยุ่นคิดว่าเค้าต้องมีปัญหาแน่นอน....ยุ่นเริ่มตั้งคำถามอื่นๆนอกจากเรื่องการมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเงิน.....ให้เค้าตอบตัวเองว่า สถาปัตย์เป็นอะไรที่เค้าอยากเรียนจริงเหรอ...มันคือตัวตนของเค้าเหรอ...เคยนั่งคิดวิเคราะห์ตัวเองมั้ยว่าแท้จริงเราชอบหรืออยากเรียนอะไรกันแน่....อยากให้เปลี่ยนน้ำหนักเรื่องเงินมาเป็นเรื่องที่ว่าเรามีความสนใจในด้านไหนเป็นพิเศษ อะไรที่เราเรียนแล้วเรารู้สึกมันใช่ เราจะมีความคิดสร้างสรรค์และเรียนได้แบบทั้งสนุกและมีความสุข...และหลังจากนั้นเงินจะตามมาเอง...
คำตอบที่เค้าตอบตัวเองคือเพื่อนๆเค้าจะลงเรียนทางด้านวิทย์ และหนูคิดว่าหนูก้อฉลาดพอที่จะเรียนได้ หรือหากไม่ได้ แม่ก้อบอกว่าแม่จะหาติวเตอร์มาสอนเลข ฟิสิกส์เพิ่มให้หนู....ยุ่นเลยสอนเค้าว่าไม่ใช่คนเรียนวิทย์แปลว่าฉลาดกว่าคนเรียนศิลป์นะ คนเรียนศิลป์ก้อมีวิธีคิดที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าพวกวิทย์ในหลายๆเรื่อง วิทย์ก้อมีมุมมองอย่างหนึ่ง ศิลป์ก้ออีกแบบหนึ่ง...ความแตกต่างเหล่านี้มันทำให้เกิดการผสมผสานในสังคมเราทุกวันนี้ คิดดูสิ..ทำไมในสังคมเราต้องมีหลากหลายอาชีพ หมอ ครู ทนายความ plumber farmer...นักธุรกิจ นักบัญชี ศิลปิน ฯลฯ ทุกๆคนต้องพึ่งพาอาศัยกันหมด ในสังคมจะมีเพียงอาชีพเดียวไม่ได้หรอก....ทุกคนทุกอาชีพมีความสำคัญเท่าๆกันหมด....ทุกคนมีคุณค่า อยู่ที่ว่าเราต้องเห็นคุณค่าในตัวเราเท่านั้น....และการเรียนพิเศษก้อคงแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ได้ ขนาดหนูเรียนเลขกับครูยุ่นอาทิตย์ละ 2 วัน ยังไม่สามารถทำคะแนนเลขที่โรงเรียนได้ดีอย่างที่อยากเลย...
และเค้าก้อมาคุยปรึกษายุ่น หลายต่อหลายยก....เรียกว่ายาวนานเป็นปีเลยแหละ...จริงๆเค้าชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ แนว artist อ่ะ แต่ก้อไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรที่จะสามารถนำความสามารถตรงนี้ออกมา ก้อคิดเอาเองว่าถาปัดน่าจะใช่ และเรียนแล้วก้อทำเงินได้มากด้วย เพราะหากไปเรียนวาดรูปเป็นศิลปิน แม่บอกว่าหนูอาจหางานลำบากมาก...หรืออาจไม่มีงานทำเลยก้อว่าได้...
เค้าเปลี่ยนอีกหลายรอบ เดี๋ยวก้อจะไปเรียน art เดี๋ยวก้อไม่เอาดีกว่าไปเรียน computer science เดี๋ยวก้อ graphic design ซึ่งเราเองก้อพอจะเข้าใจได้ เพราะเราเองก้อเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน บางช่วงตรงนั้นเราเองก้อสับสนกับชีวิตเนอะ และเราก้อไม่มีประสบการณ์อะไรเลย สิ่งต่างๆก้อได้มาจากเค้าเล่าว่า เพื่อนบอกว่า...คนนั้นคนนี้บอกว่า..พ่อบอกว่า แม่บอกว่า....และลูกชายยุ่นเองก้อเพิ่งผ่านช่วงสับสนเหล่านี้มาเช่นกัน เพียงแต่ว่า ยีนเค้าต้องเลือกสิ่งที่ใช่ก่อน... เค้าจึงอยากจะเรียนหรือทำมันให้ดี แต่เด็กคนนี้คือไม่สนใจในสิ่งที่ใช่ที่เป็นตัวเอง คิดว่าเรียนไปเดี๋ยวก้อชอบเอง ดีเอง...และยึดเอาเรื่องรายได้เป็นหลักในการกำหนดอนาคต
ยุ่นเองกลายเป็นครูที่ปรึกษาพร้อมกับเป็นติวเตอร์เลขไปด้วย... ยุ่นให้ข้อคิดน้องเค้าว่า ขอให้ตั้งโจทย์ที่ถูกต้องก่อน หากคุณตั้งโจทย์ผิด การจะเดินไปสู่เป้าหมาย มันจะผิดเพี้ยนไป คิดง่ายๆธรรมดาๆว่าหากเราไปเรียนในสิ่งที่เราไม่ถนัด แน่นอนเราก้อไม่น่าจะทำมันได้ดี เพราะเราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นตัวเราออกมา คะแนนเราเมื่อเทียบกับชาวบ้านที่เค้ามาเรียน ซึ่งคนที่มาเรียนส่วนใหญ่มักเรียนในสิ่งที่ตนชอบและถนัด เราก้อจะเป็นฐานให้เค้าเหล่านั้น เราก้อจะไม่มีกำลังใจในการเรียน และหากว่าเราพยายามจนจบ (ซึ่งเค้าบอกยุ่นว่าหากเค้าเรียนหรือเดินหน้าแล้ว เค้าจะไม่ถอยหลังเด็ดขาด ซึ่งยุ่นก้อบอกเค้าว่าถอยได้ ทำไมถอยไม่ได้ ถอยแล้วตั้งหลักใหม่ เราทำได้เสมอ อย่า serious กับชีวิตมากเกิน...) เวลาเราไปทำงาน เราก้อต้องทนทำกับงานที่เราไม่ได้ชอบเท่าไร ก้อคงทำได้นะ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่มันจะปิ๊งมั้ย...เราจะมีความสุขกับงานที่เราเลือกนี้จริงหรือ???? เพียงคำว่าเงินเท่านั้นเหรอ..ที่เราต้องการ....ทำไมจึงคิดว่าการมีเงินมากมายจะทำให้เรามีความสุขเหรอ...เงินคือคำตอบที่แท้จริงในชีวิตหนู.........จริงๆเหรอ...
เชื่อมะ...ยุ่นสอนเค้า ยุ่นก้อเครียดเนอะ ห่งบอกยุ่นเป็นนักจิตวิทยาไม่ได้ เพราะรับเรื่องของคนอื่นเข้ามาเต็มๆ 555555 ใช่ ยอมรับจริงๆ รับมาเต็ม 100 เลย ..... จนกระทั่งหลังจากที่เด็กคนนี้เรียนเคมี 11 เค้าก้อไม่ชอบ เรียนไม่รู้เรื่อง ก้อ drop ไป ชีวะซึ่งน่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่ง่ายที่สุด น้องเค้าก้อลงแบบ on line เค้าต้องอ่านเอง เค้าก้อบอกไม่สนุก อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก้อ drop อีก ฟิสิกส์ 11ยังไม่ลง เพราะลองดูสถานการณ์เลข 11 ก่อน และเลข 11 เค้าก้อพยายามนะ เข้าใจ concept หมด ฝึกทำแบบฝึกหัดแต่ละบท ก้อพอทำได้ แต่ผลสอบออกมาคะแนนไม่เป็นที่พอใจเลย...
ซึ่งยุ่นเองก้อได้บอกเค้าว่า...อย่าสรุปว่าเราไม่ฉลาดเพราะเราเรียนวิชาพวกนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่หนูถนัด หนูจึงไม่ปิ๊ง ยุ่นว่านะ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์และยอมรับจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง....นอกจากนี้พ่อแม่ต้องเข้าใจ และให้กำลังใจเค้า เพราะเด็กบางคนก้ออาจจะทนเรียนได้ แต่เด็กบางคนก้ออาจเรียนไม่ได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าเค้าโง่...
สุดท้ายและท้ายสุด....เค้าเองก้อต้องยอมรับกับความจริงในตัวเค้าเอง เพราะเค้ายิ่งเรียนเลขลึกลงไป เค้าก้อยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ทางของเค้า ซึ่งยุ่นเองได้คุยกับคุณแม่ของเด็ก เพราะยุ่นคิดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเด็ก...และเมื่อคุณแม่เข้าใจ และให้เค้าสามารถตัดสินใจในสิ่งที่เค้าอยากเรียนเอง...เค้าจึงได้คำตอบว่า เค้าจะเลือกเรียนทางด้านภาษา ซึ่งเป็นวิชาที่เค้าชอบและอยากเรียนมากกว่า....และมันเหมือนการปลดปล่อยจริงๆ เด็กดู relax มากขึ้น มีความเครียดน้อยลงจนยุ่นเองสัมผัสได้....
และนี่ก้อคือประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ ซึ่งทำให้ยุ่นได้หยุด คิด ทบทวนและคงต้องบอกว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ...เราจึงเทียบใครกับใครไม่ได้เลย...เราคงต้องสังเกตุและรอเวลาที่ความสามารถของเค้าจะ shining ออกมา ยุ่นเชื่อมั่นว่าทุกคนมีวิถีทางของตนเอง...เราซึ่งเป็นพ่อแม่ หรือครู คงต้องคอยสังเกตุ....เป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูล แนวคิด กำลังใจ ปรับความคิดของเราให้เข้ากับยุคสมัย เฝ้าดูพวกเค้าห่างๆ ( แต่อยู่ในสายตา ) และรอคอยด้วยความเข้าใจ....
.
Saturday, April 13, 2013
BANANA vs. OREO in slang terms
เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว...จีจีนักเรียนที่ยุ่นสอนเลขมาเกือบ 4 ปี ...ว๊าว...เร็วเหมือนกันนะเนี่ย 4 ปีแล้ว...เค้ามาเล่าเรื่องที่ยุ่นฟังแล้วมีความรู้สึกตลกและน่ารักดี...
จีจีเล่าว่า...หากเด็กเอเชียที่เกิดที่นี่ หรืออยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก คือเรียกว่ากลืนเข้ากับวัฒนธรรมที่นี่..เด็กฝรั่งที่นี่เค้าจะเรียกพวกเด็กเอเชียนี้ว่า BANANA ซึ่งก้อหมายความว่าข้างนอกเหลืองแต่ข้างในขาว....ส่วนเพื่อนจีจีคนหนึ่งเค้าเป็นเด็กผิวสี เพื่อนๆก้อจะเรียกว่า OREO
in slang terms, OREO means a black person who acts like a white person.
"Black on the outside, white on the inside" and BANANA means " Yellow on the outside, white on the inside"
เราฟังเสร็จ เราก้อบอกน่ารักดี แต่จีจีบอกเพื่อนเรียกเค้าว่า Banana เค้าไม่ชอบ เพราะจริงๆก้อคือการแบ่งแยกนั่นเอง หรือ racism
เรื่องนี้จีงเป็นความรู้ใหม่สำหรับยุ่น.. และก้อต้องยอมรับว่าเค้าเข้าใจคิดคำ slang เปรียบเทียบนะ และสำหรับเราผลไม้กับคุ๊กกี้มันก้อดูน่ารักดี แต่ในความรู้สึกเด็ก หรือคนที่ถูกว่า เค้าไม่ได้รู้สึกว่าน่ารักกับเราด้วย...^^
นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก้อเป็นความรู้จาก instructor คนใหม่ที่เข้ามา take over KUMON แทน Ms. Ting..เธอชื่อ Ms. Ann Ran เธอเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่แต่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุประมาณ 20 มั้ง ก้ออยู่มา 20 ปีแล้ว แต่งงานมีครอบครัวที่นี่เรียบร้อยแล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง มิสแรนก้อแซวพวกครูผู้ช่วยสองสามคนที่เรียนคุมองว่า อยากเรียนจบเป็น completer มั้ย...เด็กๆก้อบอกไม่อยากเท่าไร เด็กอีกคนที่เพิ่งจบเป็น completer วิชาภาษาอังกฤษ (และได้ของขวัญจากคุมองเป็นนาฬิกาคลาสสิคนะ สวยน่ารักมาก ยุ่นเองยังชอบเลย พร้อมสลักชื่อบนนาฬิกาด้วย เท่ห์มากๆ...) ก้อเชียร์ว่า พยายามหน่อยนะ จะได้ได้นาฬิกา completer...แต่ไม่ work พวกผู้ช่วยอื่นๆไม่อยากจบ แต่อยากจะขอลาออก ไม่อยากเรียนต่อ... มิสแรนก้อเลยพูดติดตลกไปว่า...สงสัยพวกนี้ไม่อยากได้นาฬิกา เพราะตามธรรมเนียมจีน มันไม่เป็นมงคล...
ทุกคนก้องง..และถามว่ายังไง มิสแรนก้อเล่าว่า คนจีนจะถือมากๆหากใครให้นาฬิกาเป็นของขวัญ เพราะนั่นหมายความว่าแช่งผู้ที่ได้รับให้ตายไวไว คือพูดง่ายๆว่าคุณเหลือเวลาในชีวิตน้อยลงแระ... เพราะฉะนั้น คนจีนจึงไม่ให้นาฬิกาเป็นของขวัญซึ่งกันและกัน.....ก้อเลยทำให้ทุกคนอึ้งกิมกี่ ว่ามีความคิดแบบนี้ด้วยเหรอ...
และนี่ก้อคือต่างวัฒนธรรม ต่างความคิด.. แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ก้อมีความสำคัญในการที่เราควรจะเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมนั้นๆด้วยความเข้าใจ....:)
จีจีเล่าว่า...หากเด็กเอเชียที่เกิดที่นี่ หรืออยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก คือเรียกว่ากลืนเข้ากับวัฒนธรรมที่นี่..เด็กฝรั่งที่นี่เค้าจะเรียกพวกเด็กเอเชียนี้ว่า BANANA ซึ่งก้อหมายความว่าข้างนอกเหลืองแต่ข้างในขาว....ส่วนเพื่อนจีจีคนหนึ่งเค้าเป็นเด็กผิวสี เพื่อนๆก้อจะเรียกว่า OREO
in slang terms, OREO means a black person who acts like a white person.
"Black on the outside, white on the inside" and BANANA means " Yellow on the outside, white on the inside"
เราฟังเสร็จ เราก้อบอกน่ารักดี แต่จีจีบอกเพื่อนเรียกเค้าว่า Banana เค้าไม่ชอบ เพราะจริงๆก้อคือการแบ่งแยกนั่นเอง หรือ racism
เรื่องนี้จีงเป็นความรู้ใหม่สำหรับยุ่น.. และก้อต้องยอมรับว่าเค้าเข้าใจคิดคำ slang เปรียบเทียบนะ และสำหรับเราผลไม้กับคุ๊กกี้มันก้อดูน่ารักดี แต่ในความรู้สึกเด็ก หรือคนที่ถูกว่า เค้าไม่ได้รู้สึกว่าน่ารักกับเราด้วย...^^
นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก้อเป็นความรู้จาก instructor คนใหม่ที่เข้ามา take over KUMON แทน Ms. Ting..เธอชื่อ Ms. Ann Ran เธอเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่แต่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุประมาณ 20 มั้ง ก้ออยู่มา 20 ปีแล้ว แต่งงานมีครอบครัวที่นี่เรียบร้อยแล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง มิสแรนก้อแซวพวกครูผู้ช่วยสองสามคนที่เรียนคุมองว่า อยากเรียนจบเป็น completer มั้ย...เด็กๆก้อบอกไม่อยากเท่าไร เด็กอีกคนที่เพิ่งจบเป็น completer วิชาภาษาอังกฤษ (และได้ของขวัญจากคุมองเป็นนาฬิกาคลาสสิคนะ สวยน่ารักมาก ยุ่นเองยังชอบเลย พร้อมสลักชื่อบนนาฬิกาด้วย เท่ห์มากๆ...) ก้อเชียร์ว่า พยายามหน่อยนะ จะได้ได้นาฬิกา completer...แต่ไม่ work พวกผู้ช่วยอื่นๆไม่อยากจบ แต่อยากจะขอลาออก ไม่อยากเรียนต่อ... มิสแรนก้อเลยพูดติดตลกไปว่า...สงสัยพวกนี้ไม่อยากได้นาฬิกา เพราะตามธรรมเนียมจีน มันไม่เป็นมงคล...
ทุกคนก้องง..และถามว่ายังไง มิสแรนก้อเล่าว่า คนจีนจะถือมากๆหากใครให้นาฬิกาเป็นของขวัญ เพราะนั่นหมายความว่าแช่งผู้ที่ได้รับให้ตายไวไว คือพูดง่ายๆว่าคุณเหลือเวลาในชีวิตน้อยลงแระ... เพราะฉะนั้น คนจีนจึงไม่ให้นาฬิกาเป็นของขวัญซึ่งกันและกัน.....ก้อเลยทำให้ทุกคนอึ้งกิมกี่ ว่ามีความคิดแบบนี้ด้วยเหรอ...
และนี่ก้อคือต่างวัฒนธรรม ต่างความคิด.. แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ก้อมีความสำคัญในการที่เราควรจะเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมนั้นๆด้วยความเข้าใจ....:)
Subscribe to:
Posts (Atom)