จริงๆอยากตั้งหัวข้อว่า "ความตรงไปตรงมาของฝรั่ง" แต่บังเอิญว่าตัวอย่างที่จะยกนี้เป็นชาวเอเชียที่เกิดที่แคนาดา หรืออยู่ในแคนาดามาเป็นเวลา 30-40 ปีแล้ว... ซึ่งเราก้อคงต้องบอกว่า แนวคิดของพวกเค้าก้อคือชาวตะวันตกนั่นเอง
นับตั้งแต่ช่วงปีแรกที่มาอยุ่ที่นี่ จนถึงวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ยุ่นสัมผัสได้คือความตรงไปตรงมาของคนที่นี่ แบบคิดอย่างไรก้อพูดออกมา ไม่เสแสร้ง...ทีแรก..ยุ่นก้อไม่คุ้นนะ แต่ตอนนี้ก้อเรียกว่าค่อนข้างคุ้นเคยหละ..
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เสาร์ที่ 22 ก้อไปบ้านพี่ประเวศกะพี่ต้อย...พี่ต้อยก้อไปซื้อต้น apple กะ cherry มาปลูก...ขณะที่กำลังลงดินปลูกต้นไม้ ข้างบ้านชาวฮ่องกงแต่มาอยุ่ที่นี่ตั้งแต่สาวๆ ก้อน่าจะ 30-40 ปีแล้ว..ก้อขอเข้ามาสำรวจการปลูกต้นไม้ของพี่ต้อย พี่ต้อยบอกยินดีจ๊ะ... Angela ก้อเดินเข้ามาดูและแนะนำว่าน่าจะวางต้นไม้ตรงนี้ตรงนั้นเพราะอะไรก้อว่าไป...
เสร็จ พี่ต้อยก้อบอก Angela ไอให้ดินอยู่ถุงหนึ่งนะ คือพี่ต้อยมีดินอยู่ 2 ถุง และคิดว่าน่าจะใช้ไม่หมด และ Angela ก้อแบบมีน้ำใจมาให้คำแนะนำ และเมื่อไม่นานก้อให้ต้นไม้ป้ามาต้นนึง...ป้าก้อเลยอยากตอบแทนอะไรบ้าง...
Angela ก้อบอกว่า ขอบคุณมาก แต่อย่าเพิ่งให้ไอเลย เพราะยูเพิ่งเริ่มการปลูก ยูจะรู้ได้ไงว่าดินที่มีเนี่ยมันพอหรือเหลือ คุณเพิ่งเริ่มต้นแรก ยังมีอีก 2 ต้น หากคุณให้ชั้นแล้วดินไม่พอ คุณก้อต้องไปหาซื้อใหม่ เกิดขาดเพียงถุงเดียว คุณต้องไปซื้อใหม่ เพื่อมาลง เสียเวลา...เสียเงินเพิ่มด้วย ไม่เอา หากคุณปลูกเสร็จเรียบร้อย และเหลือเฟือ คุณไม่ได้ใช้จริงๆ ค่อยให้ชั้นได้ แต่ตอนนี้ ชั้นไม่เอา...
ยุ่นยืนอยู่ได้ฟัง..คือยุ่นชอบนะ มันตรงไปตรงมาดี และมีเหตุผลและก้อถูกต้องนะ...คือมันสบายใจทั้งผู้รับและผู้ให้อ่ะ...
ก้อคิดถึงตัวเอง..คือยุ่นเป็นคนนึงหละที่เกรงใจ ยุ่นว่ามันคงเป็นวัฒนธรรมของไทยเราที่เราติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ตอนมาที่นี่ช่วง2 ปีแรก จำได้ว่ามีวันนึงไปบ้านพี่ประเวศอีกเช่นกัน พี่เค้าถามว่า ยุ่นอยากได้พริกน้ำส้มมั้ย ผมทำให้...ในใจเนี่ย..ยุ่นอยากได้มากเลยอ่ะ แต่ปากก้อตอบออกไปว่า " ไม่เป็นไรค่ะ พี่.." พี่ประเวศก้อเป็นคนตรงอีกคนนึง ก้อเลยถามว่า ไอ้ไม่เป็นไรเนี่ย อยากได้หรือไม่อยากได้...5555 ยุ่นก้อเลยรับมุกว่า ก้ออยากได้เหมือนกันค่ะพี่...งั้นขอขวดหนึ่งนะค่ะพี่....ก้อเลยเรียกเสียงฮา หัวเราะกันทั้งคนให้คนรับ....5555
วันก่อน..มิสติงโทรมา ก้อพอดีจังหวะเดียวกับที่ยุ่นกำลังจะโทรไป เพราะยุ่นอยากทำข้าวเหนียวมะม่วงให้มิสติงกะมิสเตอร์ติง...เพราะยุ่นรู้สึกเสมอมาว่ามิสติงเป็นคนให้โอกาสยุ่นในการได้งานทำที่แวนคูเวอร์ และมิสติงเค้าจะค่อนข้างเอ็นดูยุ่นมาก...ก้อเลยนัดกันว่ายุ่นจะทำข้าวเหนียวมะม่วงให้มิสวันจันทร์นี้นะ มิสบอกงั้นเรามากินข้าวกันสักมื้อมั้ย...ยุ่นบอกไม่เป็นไร อันนี้ยุ่นหมายความอย่างนั้นจริงๆ เพราะยุ่นไม่ค่อยว่าง และรู้ว่ามิสเองเค้าก้อยุ่งๆกับการย้ายบ้าน...มิสก้อถามว่า Are you sure? เราก้อบอก Yes, I am. จากนั้น จบครั้งเดียวสำหรับคนที่นี่ ไม่มีถามต่อหรือตื้อ...ยุ่นสังเกตุเป็นแบบนี้ทุกคน...เป็น culture ของเค้า แต่ถ้าอย่างบ้านเรา สมมติยุ่นชวนเพื่อนมากินข้าว ใช่มะ เค้าบอกไม่เป็นไร ยุ่นก้อจะบอกไม่เป็นไร มาเหอะ มาเหอะ ก้อคุยกันจนเพื่อนมากินที่บ้านเรา ซึ่งเราก้อไม่แน่ใจว่าจริงๆเพื่อนเค้าอาจไม่ว่างหรือเปล่า แต่เราก้อจะอยากกินข้าวกะเพื่อน...อะไรประมาณนั้น..แต่ที่นี่..ตรงไปตรงมา ครั้งเดียวเป็นอันเข้าใจ ...และเค้าก้อคิดหรือหมายความอย่างนั้นจริงๆ...
เรื่องสุดท้าย เมื่อวาน ก้อแบบเลี้ยงส่งครูผู้ช่วย 2 คน Kathleen กะ Sarah เค้าจะลาออกจากคุมอง Kathleen เนื่องจาก schedule ของเทอจะเรียนหนักมากในเทอมหน้า จึงคิดว่าคงจะทำต่อไม่ไหว ส่วน Sarah ยุ่นก้อถามว่า Sarah จบแล้วได้งานใหม่ใช่มะ Sarah บอก ไม่ ยังไม่ได้งาน แต่ไม่อยากทำงานคุมองแล้ว ทำมา 6 ปีแล้ว มันมากเกินพอแล้ว ไม่ไหวแล้ว...และที่สำคัญคือเค้าก้อพูดต่อหน้ามิสแรนเจ้าของศูนย์นะ คือ Sarah ก้อหมายความอย่างนั้นจริงๆ คืออิ่มตัวแล้ว แม้จะยังไม่ได้งานอะไรก้อตาม แต่ต้องการหยุดทำงานนี้แล้วจริงๆ....ซึ่งยุ่นเองฟังก้อไม่รู้สึกว่าเค้าพูดไม่ดีนะ คือเค้าพูดจริงใจนะ แบบเป็นอย่างที่เค้าบอกอ่ะ และคนที่นี่เค้าก้อเข้าใจนะ เค้าไม่ได้คิดว่านี่เป็นการพูดแบบไม่ให้เกียรติ...หรือไม่สุภาพ มิสแรนเค้าก้อเข้าใจ ยุ่นว่าเป็นความตรงไปตรงมาที่ยุ่นเรียนรู้ว่า...ดีเหมือนกันอ่ะ...คือเราคิดอย่างไร เราก้อบอกไปอย่างนั้น ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ....ให้เค้าเข้าใจผิด หรือให้ตัวเราคนพูดดูดีเสมอ..
และก้อยังจำได้เลยว่า แจงเพื่อนเภสัชเคยเล่าให้ฟังว่าตอนไปที่เมกา เพื่อนต่างชาติ จำไม่ได้ว่าชาติอะไร ทำอาหารมาให้แจงกิน พอแจงกินแล้วไม่ชอบ แจงก้อบอกเค้าตรงๆเลย เพราะเค้าจะได้ไม่ต้องทำมาให้แจงกินอีก คือเค้าก้อไม่เสียของ แจงก้อไม่ต้องทนกินของที่ไม่ตัวเองไม่ชอบหรือทิ้งของที่เค้าเอามาให้เราแต่เราไม่กิน....อึม..ก้อเรียกว่า..แจงเพื่อนเรา..ก้อเป็นหนึ่งในคนตรงไปตรงมาเช่นกัน...^^
อ๋อ..น้องยีนก้อเคยเล่าให้ฟังว่า ยีนไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่นี่ แบบแม่เค้าก้อแบบอยู่ที่นี่นานมากแล้วอ่ะ คือเรียกว่าเป็นคนที่นี่เลย เพื่อนอีกคนกินอาหารที่เค้าทำไม่ลง คือเค้ารู้สึกไม่ถูกปาก แม่เพื่อนบอกไม่ต้องกิน กินไม่ได้วางไว้ ไม่ต้องฝืน...คือเค้าหมายอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชด หรืออะไรเลยนะแม่...อันนี้ก้อเป็นสิ่งที่ยีนได้เรียนรู้ว่า คนที่นี่เค้าตรงไปตรงมา พูดอย่างไรก้อหมายความว่าอย่างนั้น ยีนจะบอกยุ่นเรื่อยว่า แม่เวลาคนที่นี่เค้าพูดอะไร บอกอะไร ไม่ต้องคิดมาก คือเค้าหมายความตามนั้นจริงๆ...
และนี่ก้อคือสิ่งที่ยุ่นได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เกือบ 5 ปี มันคือความตรงไปตรงมา...และจริงใจดี เพราะเค้าพูดอย่างที่เค้าหมายความอย่างนั้น...ไม่ได้มีความคิดว่าต้องพูดเพื่อมารยาทเพื่อให้ผู้พูดรู้สึกดี แต่จริงๆเบื้องหลัง...ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด...และความจริงเหล่านี้ ก้อไม่ได้ทำร้ายจิตใจผู้ฟัง เพราะเค้าพูดด้วยโทนเสียงปกติอย่างตรงไปตรงมา...หรือพูดง่ายๆคือปากกะใจตรงกัน...:)
Wednesday, June 26, 2013
การสัมภาษณ์งาน
อาจเรียกว่าเป็น summer job ภาค 2กอ้ได้... ยุ่นจะขอเล่าประสบการณ์ในการสัมภาษณ์ของยีน ทั้ง 4 ที่ที่เค้าได้ถูกเรียกตัว
ที่แรก บริษัท ACN เป็นบริษัทที่ทำงานเชิง Net working พอเราได้ชื่อมา ก้อทำการ research ก่อนว่าบริษัททำธุรกิจทางด้านไหน อย่างไร ตำแหน่งที่จะรับไปทำหน้าที่อะไร คือเราต้องทำการบ้านไปก่อน และงานนี้ก้อต้องให้เครดิตคุณพ่อน้องยีนเต็มๆ เพราะเค้าจะ train ยีน โดยตรง และให้ ideas ต่างๆ เพื่อให้ยีนมีอะไรในหัว และไปเรียนรู้และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม...เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกงาน
ที่นี่..เค้าเรียกสัมภาษณ์ยีน 2 รอบ และเค้าก้ออยากให้ยีนทำ แต่ยีนคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเค้า เพราะต้องเป็นคนที่มี network ค่อนข้างมาก ซึ่งยีนยังไม่มีขนาดนั้น จึงคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะทำบริษัทนี้...ซึ่งเราสองคนพ่อกะแม่ก้อเห็นด้วยและเคารพในการตัดสินใจของเค้า...
บริษัทถัดไปคือ ZARA ขายเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้จัดการคนนัดสัมภาษณ์ไม่อยู่ แต่ก้อได้คุยกับผู้จัดการอีกคนนึง เค้าก้อพาเข้าไปสัมภาษณ์ในห้องทำงานของเค้า ยีนสมัครในตำแหน่ง sales associate คือยีนเค้าอยากจะรู้ว่า เค้าจะชอบงานทางด้าน sales หรือเปล่า... จากการที่ยีนได้เตรียมตัว ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ZARA ไป จึงทำให้ยีนมีความชื่อมั่นในการตอบคำถาม และคำถามที่คุณพ่อเตี๊ยมให้ คิดว่าน่าจะถาม ผู้สัมภาษณ์ก้อถามจริงๆ จึงทำให้ยีนตอบแบบสบายๆตามสไตล์ยีน คือยีนรู้สึกเป็นธรรมชาติในเวลาตอบ และตอบแบบมั่นใจ...และยีนรู้สึกว่าเค้าทำได้ดีพอสมควร ซึ่งยุ่นว่านี่คือบทเรียนที่ยีนได้รับบทที่สองว่า การเตรียมตัวพร้อม 100 % จะทำให้เรามั่นใจในการไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งตัวยีนเองก้อรู้สึกได้จากการที่เค้าถูกสัมภาษณ์...
บริษัทที่สามคือ Paradies ก้อเช่นกัน เป็น Sales Associate ที่นี่..คือเค้าต้องการคนที่ทำการบ้านไปอย่างแน่นอน เพราะทางบริษัทฯ เขียนไว้เลยว่า เค้ามีความคาดหวังอะไรจากผู้สัมภาษณ์บ้าง หากคุณไม่ทำการบ้านไป แน่นอน...คุณก้อคงไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง ฉะนั้น เราต้องค้นคว้าและอ่านข้อมูลของบริษัทให้มากที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน และที่นี่..เค้ากำหนดเลยว่า คุณต้องมาก่อนเวลา 15 นาที ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แต่งตัวอย่างไร...ยุ่นว่านี่ก้อคือจุดแรกที่เค้าจะดูเราเลยแหละ...
เค้านัดยีนสัมภาษณ์ตอน 1:30 pm แต่ยีนไปถึง 1:10 pm ก้อเดินเข้าไปถามว่าใช่ที่ที่จะสัมภาษณ์มั้ย ผู้จัดการสองคนก้อคิดว่าเป็น Eric คนที่นัดก่อนหน้ายีน น่าจะ บ่ายโมง ยีนบอกไม่ใช่ ของยีน บ่ายครึ่ง เค้าก้อเลยให้ยีนเข้ามาสัมภาษณ์เลย ผ่านไป 5นาที Eric มาถึง เค้าบอกให้รออยู่ด้านนอกก่อน...
ห่ง comment ว่าแค่อันนี้ยีนก้อได้แต้มต่อแล้ว เพราะประทับใจผู้สัมภาษณ์มาก่อนเวลานัด...
จากนั้นยีนก้อเล่าว่าคนสัมภาษณ์คือผู้จัดการสองคนนี้เลย ฝรั่งกะจีน...ก้อคุยกันไป ก้อตื่นเต้นนิดนึงนะแม่ เค้าก้อถามเยอะแยะเลย ก้อตอบไป ส่วนใหญ่ก้อเป็นคำถามที่เตรียมไป ก้อเลยตอบได้แบบสบายๆ เค้ามีถามคำถามที่พ่อถามด้วยคือ ให้บอกข้อดีของตัวเรา ยีนก้อบอกไป 3-4 ข้อ คืออดทน มี service mind แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชอบงานขาย ประมาณนี้ แล้วก้อยกตัวอย่างประกอบด้วย ตอนที่ทำ McDonald เช่นเวลาลูกค้าเป็นพวก senior จะมีปัญหาไม่เข้าใจเมนู หรือถามคำถามต่างๆ ยีนก้อค่อยๆอธิบายให้เค้าเข้าใจ และก้อจะมีการแนะนำเมนูอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น..อะไรประมาณนี้...เออ..เราฟังดูก้อเข้าท่าดี...
นอกจากนี้เค้าก้อมีให้ขายหูฟังสดเลย เค้าให้อ่าน manual และก้อลองขายหูฟังให้เค้าสองคน ยีนก้ออ่านแล้วก้อทำการขายเลย..แล้วเป็นไงค๊าบ...ไม่รู้อ่ะ แม่ แต่เค้าบอกเค้าจะซื้อหูฟังยีนนะ...อย่างนี้น่าจะโอเคนะเนี่ย....good signal....
แต่ยีนบอก..ก้อมีคำถามนึงนะ ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี คือเค้าถามว่า หากลูกค้ามาซื้อ chips ที่ร้านแค่อย่างเดียว และกำลังจะขึ้นเครื่อง ยีนจะขายอะไรเพิ่มอีก 2 อย่าง ยีนก้อคิดไม่ออก ก้อเลยบอกขายน้ำ กะ chocolate แต่..น้ำ...มันไม่ได้ ใช่มะแม่ เอาขึ้นเครื่องไม่ได้ ยุ่นก้อเลยบอกว่า ไม่เป็นไรลูก...น้ำก้อกินได้ ระหว่างรอขึ้นเครื่อง...แม่ก้อว่าโอเคนะ ใช้ได้ เค้าอยากดูว่ายีนจะแก้ปัญหาอย่างไร การตอบคำถามพวกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ไม่ต้องกังวล เค้าเข้าใจ เค้าไม่ได้จะรับพวกมืออาชีพ เค้าต้องการรับเด็กที่ดูมีแววเข้าไป train มากกว่า...เราก้อให้กำลังใจเค้า...เค้าก้อดูสบายใจขึ้น...
และที่ที่สี่ Student Leader อยู่ไกลมาก เดินทางชั่วโมงกว่า เรียกว่าเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมที่เราจะไปทำ แต่ไม่เป็นไร เราลองไปดูสนามการสัมภาษณ์กลุ่มว่าเป็นอย่างไร เป็นประสบการณ์เก็บไว้ ไม่เสียหาย ที่นี่เค้าก้อให้นั่งดู slide และมีคำถามขึ้นมา จากนั้นก้อตอบคำถามเดียวกันนี่แหละ แต่เรียงตอบทีละคน...ทั้งหมด 5 คำถาม...
หลังจากจบการสัมภาษณ์ที่ต่อเนื่อง 2 อาทิตย์ จบที่วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน....วันจันทร์ที่ 24 ยีนก้อได้รับ e-mail จาก Paradies สนามบินว่า
Congratulations! This letter will confirm Paradies offer of employment to you for the position of Part-Time Sales Associate located at Paradies Vancouver International Airport........You are currently scheduled to start on July 3, 2013.
จากการที่ยีนได้หางานในช่วง summer นี้ ยุ่นคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ลูกได้เรียนรู้ก้อคือ การหางานนั้นมีขั้นตอนต่างๆที่เราต้องเตรียมตัว ต้องเรียนรู้... เราต้องทำการบ้าน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆโดยเราไม่ได้ลงมือทำ...และสุดท้าย... " You reap what you sow !! " งานนี้ยีนเองก้อรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและภูมิใจในผลงานของตัวเอง... :)
สำหรับแม่..ก้อต้องขอชมลูกว่า Well done !!!!
ที่แรก บริษัท ACN เป็นบริษัทที่ทำงานเชิง Net working พอเราได้ชื่อมา ก้อทำการ research ก่อนว่าบริษัททำธุรกิจทางด้านไหน อย่างไร ตำแหน่งที่จะรับไปทำหน้าที่อะไร คือเราต้องทำการบ้านไปก่อน และงานนี้ก้อต้องให้เครดิตคุณพ่อน้องยีนเต็มๆ เพราะเค้าจะ train ยีน โดยตรง และให้ ideas ต่างๆ เพื่อให้ยีนมีอะไรในหัว และไปเรียนรู้และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม...เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกงาน
ที่นี่..เค้าเรียกสัมภาษณ์ยีน 2 รอบ และเค้าก้ออยากให้ยีนทำ แต่ยีนคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเค้า เพราะต้องเป็นคนที่มี network ค่อนข้างมาก ซึ่งยีนยังไม่มีขนาดนั้น จึงคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะทำบริษัทนี้...ซึ่งเราสองคนพ่อกะแม่ก้อเห็นด้วยและเคารพในการตัดสินใจของเค้า...
บริษัทถัดไปคือ ZARA ขายเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้จัดการคนนัดสัมภาษณ์ไม่อยู่ แต่ก้อได้คุยกับผู้จัดการอีกคนนึง เค้าก้อพาเข้าไปสัมภาษณ์ในห้องทำงานของเค้า ยีนสมัครในตำแหน่ง sales associate คือยีนเค้าอยากจะรู้ว่า เค้าจะชอบงานทางด้าน sales หรือเปล่า... จากการที่ยีนได้เตรียมตัว ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ZARA ไป จึงทำให้ยีนมีความชื่อมั่นในการตอบคำถาม และคำถามที่คุณพ่อเตี๊ยมให้ คิดว่าน่าจะถาม ผู้สัมภาษณ์ก้อถามจริงๆ จึงทำให้ยีนตอบแบบสบายๆตามสไตล์ยีน คือยีนรู้สึกเป็นธรรมชาติในเวลาตอบ และตอบแบบมั่นใจ...และยีนรู้สึกว่าเค้าทำได้ดีพอสมควร ซึ่งยุ่นว่านี่คือบทเรียนที่ยีนได้รับบทที่สองว่า การเตรียมตัวพร้อม 100 % จะทำให้เรามั่นใจในการไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งตัวยีนเองก้อรู้สึกได้จากการที่เค้าถูกสัมภาษณ์...
บริษัทที่สามคือ Paradies ก้อเช่นกัน เป็น Sales Associate ที่นี่..คือเค้าต้องการคนที่ทำการบ้านไปอย่างแน่นอน เพราะทางบริษัทฯ เขียนไว้เลยว่า เค้ามีความคาดหวังอะไรจากผู้สัมภาษณ์บ้าง หากคุณไม่ทำการบ้านไป แน่นอน...คุณก้อคงไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง ฉะนั้น เราต้องค้นคว้าและอ่านข้อมูลของบริษัทให้มากที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน และที่นี่..เค้ากำหนดเลยว่า คุณต้องมาก่อนเวลา 15 นาที ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แต่งตัวอย่างไร...ยุ่นว่านี่ก้อคือจุดแรกที่เค้าจะดูเราเลยแหละ...
เค้านัดยีนสัมภาษณ์ตอน 1:30 pm แต่ยีนไปถึง 1:10 pm ก้อเดินเข้าไปถามว่าใช่ที่ที่จะสัมภาษณ์มั้ย ผู้จัดการสองคนก้อคิดว่าเป็น Eric คนที่นัดก่อนหน้ายีน น่าจะ บ่ายโมง ยีนบอกไม่ใช่ ของยีน บ่ายครึ่ง เค้าก้อเลยให้ยีนเข้ามาสัมภาษณ์เลย ผ่านไป 5นาที Eric มาถึง เค้าบอกให้รออยู่ด้านนอกก่อน...
ห่ง comment ว่าแค่อันนี้ยีนก้อได้แต้มต่อแล้ว เพราะประทับใจผู้สัมภาษณ์มาก่อนเวลานัด...
จากนั้นยีนก้อเล่าว่าคนสัมภาษณ์คือผู้จัดการสองคนนี้เลย ฝรั่งกะจีน...ก้อคุยกันไป ก้อตื่นเต้นนิดนึงนะแม่ เค้าก้อถามเยอะแยะเลย ก้อตอบไป ส่วนใหญ่ก้อเป็นคำถามที่เตรียมไป ก้อเลยตอบได้แบบสบายๆ เค้ามีถามคำถามที่พ่อถามด้วยคือ ให้บอกข้อดีของตัวเรา ยีนก้อบอกไป 3-4 ข้อ คืออดทน มี service mind แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชอบงานขาย ประมาณนี้ แล้วก้อยกตัวอย่างประกอบด้วย ตอนที่ทำ McDonald เช่นเวลาลูกค้าเป็นพวก senior จะมีปัญหาไม่เข้าใจเมนู หรือถามคำถามต่างๆ ยีนก้อค่อยๆอธิบายให้เค้าเข้าใจ และก้อจะมีการแนะนำเมนูอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น..อะไรประมาณนี้...เออ..เราฟังดูก้อเข้าท่าดี...
นอกจากนี้เค้าก้อมีให้ขายหูฟังสดเลย เค้าให้อ่าน manual และก้อลองขายหูฟังให้เค้าสองคน ยีนก้ออ่านแล้วก้อทำการขายเลย..แล้วเป็นไงค๊าบ...ไม่รู้อ่ะ แม่ แต่เค้าบอกเค้าจะซื้อหูฟังยีนนะ...อย่างนี้น่าจะโอเคนะเนี่ย....good signal....
แต่ยีนบอก..ก้อมีคำถามนึงนะ ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี คือเค้าถามว่า หากลูกค้ามาซื้อ chips ที่ร้านแค่อย่างเดียว และกำลังจะขึ้นเครื่อง ยีนจะขายอะไรเพิ่มอีก 2 อย่าง ยีนก้อคิดไม่ออก ก้อเลยบอกขายน้ำ กะ chocolate แต่..น้ำ...มันไม่ได้ ใช่มะแม่ เอาขึ้นเครื่องไม่ได้ ยุ่นก้อเลยบอกว่า ไม่เป็นไรลูก...น้ำก้อกินได้ ระหว่างรอขึ้นเครื่อง...แม่ก้อว่าโอเคนะ ใช้ได้ เค้าอยากดูว่ายีนจะแก้ปัญหาอย่างไร การตอบคำถามพวกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ไม่ต้องกังวล เค้าเข้าใจ เค้าไม่ได้จะรับพวกมืออาชีพ เค้าต้องการรับเด็กที่ดูมีแววเข้าไป train มากกว่า...เราก้อให้กำลังใจเค้า...เค้าก้อดูสบายใจขึ้น...
และที่ที่สี่ Student Leader อยู่ไกลมาก เดินทางชั่วโมงกว่า เรียกว่าเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมที่เราจะไปทำ แต่ไม่เป็นไร เราลองไปดูสนามการสัมภาษณ์กลุ่มว่าเป็นอย่างไร เป็นประสบการณ์เก็บไว้ ไม่เสียหาย ที่นี่เค้าก้อให้นั่งดู slide และมีคำถามขึ้นมา จากนั้นก้อตอบคำถามเดียวกันนี่แหละ แต่เรียงตอบทีละคน...ทั้งหมด 5 คำถาม...
หลังจากจบการสัมภาษณ์ที่ต่อเนื่อง 2 อาทิตย์ จบที่วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน....วันจันทร์ที่ 24 ยีนก้อได้รับ e-mail จาก Paradies สนามบินว่า
Congratulations! This letter will confirm Paradies offer of employment to you for the position of Part-Time Sales Associate located at Paradies Vancouver International Airport........You are currently scheduled to start on July 3, 2013.
จากการที่ยีนได้หางานในช่วง summer นี้ ยุ่นคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ลูกได้เรียนรู้ก้อคือ การหางานนั้นมีขั้นตอนต่างๆที่เราต้องเตรียมตัว ต้องเรียนรู้... เราต้องทำการบ้าน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆโดยเราไม่ได้ลงมือทำ...และสุดท้าย... " You reap what you sow !! " งานนี้ยีนเองก้อรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและภูมิใจในผลงานของตัวเอง... :)
สำหรับแม่..ก้อต้องขอชมลูกว่า Well done !!!!
Wednesday, June 19, 2013
Summer Job in Vancouver
ช่วงนี้ก้อเป็นช่วง summer ของที่นี่ เด็กนักเรียนก้อเริ่มปิดเทอมหละ หากเป็น secondary students จะเริ่มปิดประมาณ June 14 แต่พวก elementary ก้อต้องโน่นเลย สิ้นเดือน June...
ส่วนมหาลัยกะ college จะแบ่งเป็นสามภาคเรียน Sep-Dec , Jan-Apr, และ May-Aug (summer course) ช่วง summer ส่วนใหญ่เด็ก high school มักจะลงเรียนหนึ่งหรือสองวิชา ส่วนเด็กมหาลัย หรือ college ก้อแล้วแต่ บางคนก้อลงเรียน บางคนก้อทำงาน....
สำหรับคุณลูกชาย ยีน summer นี้ก้อมานอกกรอบอีกแล้ว..พ่อกับแม่อยากให้ลงเรียน เพื่อว่าจะได้จบไวไว แต่ยีนบอก ยีนอยากทำงาน เพราะการเรียนอย่างเดียวสำหรับที่นี่ ไม่มีประโยชน์ เพราะหากจบไวไว แต่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน การหางานก้อไม่ใช่เรื่องง่าย...
เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่ยอมนะ เพราะเราอยากให้เรียนด้วย ทำงานด้วย แต่ยีนบอก ยีนขอตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองสักครั้ง ขอโอกาสในการทำงาน คืออยากทำงานจริงๆ โดยไม่ต้องเรียน เพื่อดูว่าจะทำสุดๆได้แค่ไหน...และอีกอย่างคือการทำงานครั้งนี้เนี่ย ยีนอยากทำงานแบบที่ว่าสามารถนำไปเป็น reference ได้ตอนจบ...หรือใช้ในการ transfer เข้า Business Program
แต่ไอ้ที่พูดมาเนี่ย..ยีนยังไม่มีงานเลยนะ แม้กระทั่งการหางาน ก้อยังไม่ได้ทำ..ซึ่งสำหรับที่นี่ การหางานนั้นยากมากๆๆๆๆ และงานที่จะทำช่วง summer เราก้อต้องเตรียมการคือสมัครกันตั้งแต่กุมภา มีนา...แต่นี่ปาเข้าไปเมษาปลายเดือนจะขึ้นพฤษภา ค่อยมาพูดแบบนี้..พ่อกะแม่ก้อไม่เห็นด้วยแน่นอน...
ในที่สุด...ก้อเดินคนละครึ่งทาง ยีนลงทะเบียนไปก่อน แต่หากได้งานจะขอ drop ก้อบังเอิญเพื่อนยีนคนนึงแม่เค้าเปิดร้านอาหารไทย ก้อมาเรียกยีนไปสัมภาษณ์ ยีนก้อต้องส่ง resume นะ กลับมาก้อบอกน่าจะมีข่าวดี และเค้าบอกเค้าขอ drop นะ...ซึ่งจริงๆงานที่จะทำเนี่ย มันเป็นงาน serve ในร้านอาหาร ซึ่งก้อไม่น่าจะ work มากสำหรับการจะไปเรียน business แต่..เราสองคนพ่อแม่ ก้อคงบังคับเค้าไม่ได้ และในที่สุด เราก้อตกลงกันว่าให้โอกาสยีนลองทำในสิ่งที่เค้าบอกว่าเค้าตั้งใจอยากทำ...
และเค้าก้อมีเรียกไปอีกครั้ง..และเค้าบอกว่าหากเค้ามีงานเยอะช่วง summer เค้าจะเรียกนะ...ซึ่งก้อคือไม่ได้นั่นเอง...
ก้อ..อย่างที่บอก..ยีนก้อยังไม่ได้โตอะไรมากมาย..ไอ้ตอนพูดทีแรกก้อดูดีมีหลักการ แต่ตอนปฎิบัติเนี่ย พ่อกะแม่ก้อต้องกระตุ้น...เราก้อต้องเตือนเค้าว่าต้องหางานนะ และเราสองคนก้อทำการ train เรื่อง job search กะลูกตัวเองเลย...
ที่นี่ การหางานจะเป็นระบบมากเลย อย่างที่ยุ่นเคยเล่า ยุ่นเองเคยไปลง courseที่ train job searchเลยอ่ะ จะมีหลายๆบริษัท ซึ่งอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ อินเดีย ฯลฯ..และบริษัทหรือหน่วยงานเหล่านี้จะ support โดยรัฐบาล...เค้าจะ train เราประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกถึงภาพรวมของตลาดแรงงานที่นี่ การหางาน การเตรียมตัว การเขียน resume การเตรียมตัวสัมภาษณ์ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ คือให้หลักการ.. แต่สุดท้าย..คุณต้องหางานเอง ทำเอง ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ..นั่นคือ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น....
ห่งก้อเคย train เช่นกันตอนเค้ามาแรกๆ ของห่งจะเป็น professional กว่าที่ยุ่นเรียนมากๆ แต่งานนี้เราสองคนผนึกกำลังกัน เพื่อ train ลูกชายตัวเองในการหางานเบื้องต้น ยุ่นคิดว่านะ เอาหละ ในเมือ่เค้าไม่อยากเรียน อยากทำงาน ก้อเอา....อย่างน้อย ยีนก้อได้ประสบการณ์ว่าการจะหางานต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และมีการเตรียมตัวอย่างไร ..ไม่มีอะไรเสีย...เพียงแต่เค้าไม่ได้เรียนอย่างที่เราอยากให้เรียนเท่านั้น...
และการ train ก้อเริ่มขึ้น ยุ่นก้อสอนเค้าว่าเราควรเข้าไปหางานอย่างไร ซึ่งตรงนี้ยุ่นว่าเด็กยุคนี้เค้าใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เก่งกว่าเราอยู่แล้ว เค้าก้อ search ของเค้า แต่เราก้อให้ web-site ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเค้า...และให้เค้าดูว่า 1. บริษัทควรอยู่ใน Vancouver และเราสามารถเดินทางไปทำงานได้ไม่ลำบากนัก 2. ประเภทของงาน อาจมีหลายประเภทที่เราสนใจ เมื่อเลือกได้แล้ว ก้อ grouping แต่ละประเภท เพื่อการทำ resume ที่ให้เข้ากับแต่ละงานที่เราจะสมัคร...
ไอ้แค่ job search เนี่ย ก้อต้องทำกันเป็น 2-3 วันเลยนะ ไม่ใช่ว่าทุกงานจะเหมาะกับเราไปหมด..จากนั้น ก้อเป็นหน้าที่ห่ง เพราะห่งเค้าจะเก่งเรื่องเอกสารที่เป็นทางการ คือพวก resume ก้อให้ยีนนั่งทำ resume ของตัวเองก่อน จากนั้น ห่งก้อช่วย correct ให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังขึ้นกับงานที่ยีนจะสมัครด้วย เราต้องปรับกลยุทธคือ skills ที่มีนั้น เราต้องปรับคือเค้าเรียกว่า transfer skill ให้เหมาะกับงานแต่ละอย่างที่จะสมัคร...
ยกตัวอย่าง หากเราจะทำงานในร้านอาหาร งาน retail งาน office หรืองานพวกเป็นstudent camp leader ( เหล่านี้คือกลุ่มงานที่เราเลือกออกมา) เราก้อต้องดูว่า เราจะตกแต่ง resume ให้เข้ากับแต่ละ position อย่างไร ไม่ใช่ว่าเราเล่นกีตาร์เก่ง มีความสามารถทางด้านดนตรี จะสามารถนำไปใช้กับงานร้านอาหาร retail หรือ office หรืออย่างตัวตนของเราที่เราเป็นเช่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี อดทน รับฟังความคิดเห็นคนอื่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เราก้อต้องจัดลำดับความสำคัญในการจะลงใน resume ของเราให้แลน่าสนใจ และเหมาะกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร...เป็นต้น
นอกจากนี้ หลายๆบริษัทก้อต้องการ cover letter ซึ่งอันนี้ยีนก้อต้องนั่งแต่งเอง และให้เหมาะกับงานที่ตัวเองจะ apply ...cover letter ไม่ใช่ resume แต่เหมือนเป็นการบอกคุณสมบัติของเราให้นายจ้างเชื่อว่าหากคุณเลือกชั้นแล้วเนี่ย ไม่ผิดหวังแน่นอน ประมาณนั้น....ยีนก้อมีแต่งไว้หลาย versions เพราะเค้ามีสมัครไปที่ Camp leader ดูแลนักเรียน...และก้อ playland (PNE) ซึ่งเค้าต้องการ cover letter และต้องการดูว่าเราจะ present ตัวเราผ่านทางตัวหนังสือให้เค้ารับเราได้อย่างไร...
ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย...ขั้นตอนก้อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ยีนต้องเรียนรู้ ก้อมีการส่ง resume ทั้งทาง on line และยีนก้อปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เค้าก้อแนะว่าให้ไปยื่นกับมือด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้พ่อกะแม่ไม่เห็นด้วย แต่ยีนเค้าก้อไม่เห็นด้วยเช่นกัน เราก้อเลยปล่อยให้เค้าทำ...ยีนออกไปยื่น resume ด้วยตัวเอง 2 วัน วันแรกไป downtown ยื่นไปประมาณ 10 กว่าที่....อีกวันหนึ่งไปที่ airport ไปยื่น 2 บริษัท และยื่นที่ head office เลย...ยุ่นก้อว่า โอเค ไม่เลว...ไม่มีอะไรเสียหาย ลองดู...
และจากนั้นเราก้อต้องรอคอย........สักระยะหนึ่ง....
และแล้ว..วันอังคารที่ 11 มิถุนา...ขณะที่ยุ่นกำลังทำงานที่คุมอง ยีนมาตอน 4 โมง ( ยุ่นเข้าก่อนตอน 2:30) ยีนก้อมากระซิบว่า..แม่ พรุ่งนี้มีบริษัทนึงเรียกสัมภาษณ์นะ ตอน 3 โมง แล้วก้อ ZARA (ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น) เรียกสัมภาษณ์วันพฤหัส ตอนบ่ายครึ่ง..มากระซิบแบบนี้เล่นเอาแม่ดีใจ ทำงานวันนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอ่ะ...ยิ้มหน้าบานเลย....55555
เพราะที่นี่ การส่ง resume เนี่ย โอกาสที่เค้าจะเรียกเราสัมภาษณ์เนี่ย น้อยมากหากเราไม่เข้าตากรรมการ ครูที่สอนยุ่นหรือคนที่ train ยุ่นเค้าบอกว่า การ screen resume เค้าจะทำเร็วมาก กวาดตาดูแบบเร็วๆ ไม่น่าสนใจ โยนลงขยะเลย...อันนี้ confirm โดยห่ง เพราะห่งบอกตอนห่งหางาน ห่งส่ง resume เยอะมากเช่นกัน แต่มีโทรมาเรียกแค่ 2-3 ราย พี่อีกคน..เคยเล่าให้ฟังว่า พี่ส่ง resume เป็นร้อยบริษัทเลยอ่ะ ยังไม่มีใครเรียกพี่เลยอ่ะ...สำหรับยีน..เราสองคนพ่อแม่ ก้อทำใจว่า...อย่างน้อยลูกได้เรียนรู้ว่าการจะหางาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร...หากได้เรียกสัมภาษณ์ก้อถือว่าโชคดี และหากได้งานก้อถือว่าเราโชคดีมาก...
การ train ก้อไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะลูกต้องไปสัมภาษณ์อีก ฉะนั้น ห่งก้อทำหน้าที่สอนยีนว่าเราจะมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรในการสัมภาษณ์ หาข้อมูลอย่างไร พูดอย่างไรที่ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยากรับเรา...
ส่วนยุ่นก้อเป็นประมาณเสริมศรีอ่ะ จะเสริมเมื่อลูกไม่เข้าใจประเด็น...และแนะนำบ้างหากยีนรู้สึกไม่เข้าใจ เพราะยุ่นกะยีนจะมีนิสัยหลายๆอย่างที่คล้ายกัน และยุ่นจะค่อนข้างเข้าใจวิธีคิดของลูก...
วันนี้ที่เขียน..ยีนก้อไปสัมภาษณ์มา 2 ที่แล้ว ที่แรกเรียกรอบสอง..และเค้าก้อรับยีนนะ...แต่ดูลักษณะงานแล้ว..ยีนบอกมันไม่ใช่.....ที่ที่สอง ZARA ยีนไปสัมภาษณ์แล้วบอกรู้สึกดีมาก ที่พ่อ train ไปคือใช่เลย คนสัมภาษณ์ดูพอใจในสิ่งที่ยีนทำการบ้านมา...ยีนคิดว่ายีนทำดีที่สุดนะ และรู้สึกว่าตอนคุยยีนเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติแบบนี้ happy นะ แต่ก้อไม่แน่ใจว่าเค้าจะรับหรือไม่... ยุ่นกะห่งก้อชมและให้กำลังใจเค้าว่า ดีมากลูก...ลูกทำได้ดีมาก...
วันนี้ก้อกำลังไปสัมภาษณ์ที่สนามบิน..และวันศุกร์นี้ก้อต้องไปสัมภาษณ์ที่ Student Leader Camp .....
สำหรับยุ่นกะห่ง...แม้ว่า summer นี้ลูกจะไม่ได้งาน แต่ยุ่นเชื่อว่ายีนได้เกิดการเรียนรู้ว่าหากเค้าจะหางาน เค้าต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร นอกจากนี้ยีนยังได้ประสบการณ์ในการไปสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัว การค้นหาข้อมูลต่างๆ....ซึ่งตรงนี้ ก้อจะเป็นประโยชน์กับตัวยีนเองในอนาคต
และนี่ก้อเป็นอีกหนึ่ง summer ที่น่าจดจำ...สำหรับครอบครัวเรา...ONCE IN A SUMMER!!!
ส่วนมหาลัยกะ college จะแบ่งเป็นสามภาคเรียน Sep-Dec , Jan-Apr, และ May-Aug (summer course) ช่วง summer ส่วนใหญ่เด็ก high school มักจะลงเรียนหนึ่งหรือสองวิชา ส่วนเด็กมหาลัย หรือ college ก้อแล้วแต่ บางคนก้อลงเรียน บางคนก้อทำงาน....
สำหรับคุณลูกชาย ยีน summer นี้ก้อมานอกกรอบอีกแล้ว..พ่อกับแม่อยากให้ลงเรียน เพื่อว่าจะได้จบไวไว แต่ยีนบอก ยีนอยากทำงาน เพราะการเรียนอย่างเดียวสำหรับที่นี่ ไม่มีประโยชน์ เพราะหากจบไวไว แต่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน การหางานก้อไม่ใช่เรื่องง่าย...
เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่ยอมนะ เพราะเราอยากให้เรียนด้วย ทำงานด้วย แต่ยีนบอก ยีนขอตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองสักครั้ง ขอโอกาสในการทำงาน คืออยากทำงานจริงๆ โดยไม่ต้องเรียน เพื่อดูว่าจะทำสุดๆได้แค่ไหน...และอีกอย่างคือการทำงานครั้งนี้เนี่ย ยีนอยากทำงานแบบที่ว่าสามารถนำไปเป็น reference ได้ตอนจบ...หรือใช้ในการ transfer เข้า Business Program
แต่ไอ้ที่พูดมาเนี่ย..ยีนยังไม่มีงานเลยนะ แม้กระทั่งการหางาน ก้อยังไม่ได้ทำ..ซึ่งสำหรับที่นี่ การหางานนั้นยากมากๆๆๆๆ และงานที่จะทำช่วง summer เราก้อต้องเตรียมการคือสมัครกันตั้งแต่กุมภา มีนา...แต่นี่ปาเข้าไปเมษาปลายเดือนจะขึ้นพฤษภา ค่อยมาพูดแบบนี้..พ่อกะแม่ก้อไม่เห็นด้วยแน่นอน...
ในที่สุด...ก้อเดินคนละครึ่งทาง ยีนลงทะเบียนไปก่อน แต่หากได้งานจะขอ drop ก้อบังเอิญเพื่อนยีนคนนึงแม่เค้าเปิดร้านอาหารไทย ก้อมาเรียกยีนไปสัมภาษณ์ ยีนก้อต้องส่ง resume นะ กลับมาก้อบอกน่าจะมีข่าวดี และเค้าบอกเค้าขอ drop นะ...ซึ่งจริงๆงานที่จะทำเนี่ย มันเป็นงาน serve ในร้านอาหาร ซึ่งก้อไม่น่าจะ work มากสำหรับการจะไปเรียน business แต่..เราสองคนพ่อแม่ ก้อคงบังคับเค้าไม่ได้ และในที่สุด เราก้อตกลงกันว่าให้โอกาสยีนลองทำในสิ่งที่เค้าบอกว่าเค้าตั้งใจอยากทำ...
และเค้าก้อมีเรียกไปอีกครั้ง..และเค้าบอกว่าหากเค้ามีงานเยอะช่วง summer เค้าจะเรียกนะ...ซึ่งก้อคือไม่ได้นั่นเอง...
ก้อ..อย่างที่บอก..ยีนก้อยังไม่ได้โตอะไรมากมาย..ไอ้ตอนพูดทีแรกก้อดูดีมีหลักการ แต่ตอนปฎิบัติเนี่ย พ่อกะแม่ก้อต้องกระตุ้น...เราก้อต้องเตือนเค้าว่าต้องหางานนะ และเราสองคนก้อทำการ train เรื่อง job search กะลูกตัวเองเลย...
ที่นี่ การหางานจะเป็นระบบมากเลย อย่างที่ยุ่นเคยเล่า ยุ่นเองเคยไปลง courseที่ train job searchเลยอ่ะ จะมีหลายๆบริษัท ซึ่งอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ อินเดีย ฯลฯ..และบริษัทหรือหน่วยงานเหล่านี้จะ support โดยรัฐบาล...เค้าจะ train เราประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกถึงภาพรวมของตลาดแรงงานที่นี่ การหางาน การเตรียมตัว การเขียน resume การเตรียมตัวสัมภาษณ์ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ คือให้หลักการ.. แต่สุดท้าย..คุณต้องหางานเอง ทำเอง ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ..นั่นคือ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น....
ห่งก้อเคย train เช่นกันตอนเค้ามาแรกๆ ของห่งจะเป็น professional กว่าที่ยุ่นเรียนมากๆ แต่งานนี้เราสองคนผนึกกำลังกัน เพื่อ train ลูกชายตัวเองในการหางานเบื้องต้น ยุ่นคิดว่านะ เอาหละ ในเมือ่เค้าไม่อยากเรียน อยากทำงาน ก้อเอา....อย่างน้อย ยีนก้อได้ประสบการณ์ว่าการจะหางานต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และมีการเตรียมตัวอย่างไร ..ไม่มีอะไรเสีย...เพียงแต่เค้าไม่ได้เรียนอย่างที่เราอยากให้เรียนเท่านั้น...
และการ train ก้อเริ่มขึ้น ยุ่นก้อสอนเค้าว่าเราควรเข้าไปหางานอย่างไร ซึ่งตรงนี้ยุ่นว่าเด็กยุคนี้เค้าใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เก่งกว่าเราอยู่แล้ว เค้าก้อ search ของเค้า แต่เราก้อให้ web-site ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเค้า...และให้เค้าดูว่า 1. บริษัทควรอยู่ใน Vancouver และเราสามารถเดินทางไปทำงานได้ไม่ลำบากนัก 2. ประเภทของงาน อาจมีหลายประเภทที่เราสนใจ เมื่อเลือกได้แล้ว ก้อ grouping แต่ละประเภท เพื่อการทำ resume ที่ให้เข้ากับแต่ละงานที่เราจะสมัคร...
ไอ้แค่ job search เนี่ย ก้อต้องทำกันเป็น 2-3 วันเลยนะ ไม่ใช่ว่าทุกงานจะเหมาะกับเราไปหมด..จากนั้น ก้อเป็นหน้าที่ห่ง เพราะห่งเค้าจะเก่งเรื่องเอกสารที่เป็นทางการ คือพวก resume ก้อให้ยีนนั่งทำ resume ของตัวเองก่อน จากนั้น ห่งก้อช่วย correct ให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังขึ้นกับงานที่ยีนจะสมัครด้วย เราต้องปรับกลยุทธคือ skills ที่มีนั้น เราต้องปรับคือเค้าเรียกว่า transfer skill ให้เหมาะกับงานแต่ละอย่างที่จะสมัคร...
ยกตัวอย่าง หากเราจะทำงานในร้านอาหาร งาน retail งาน office หรืองานพวกเป็นstudent camp leader ( เหล่านี้คือกลุ่มงานที่เราเลือกออกมา) เราก้อต้องดูว่า เราจะตกแต่ง resume ให้เข้ากับแต่ละ position อย่างไร ไม่ใช่ว่าเราเล่นกีตาร์เก่ง มีความสามารถทางด้านดนตรี จะสามารถนำไปใช้กับงานร้านอาหาร retail หรือ office หรืออย่างตัวตนของเราที่เราเป็นเช่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี อดทน รับฟังความคิดเห็นคนอื่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เราก้อต้องจัดลำดับความสำคัญในการจะลงใน resume ของเราให้แลน่าสนใจ และเหมาะกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร...เป็นต้น
นอกจากนี้ หลายๆบริษัทก้อต้องการ cover letter ซึ่งอันนี้ยีนก้อต้องนั่งแต่งเอง และให้เหมาะกับงานที่ตัวเองจะ apply ...cover letter ไม่ใช่ resume แต่เหมือนเป็นการบอกคุณสมบัติของเราให้นายจ้างเชื่อว่าหากคุณเลือกชั้นแล้วเนี่ย ไม่ผิดหวังแน่นอน ประมาณนั้น....ยีนก้อมีแต่งไว้หลาย versions เพราะเค้ามีสมัครไปที่ Camp leader ดูแลนักเรียน...และก้อ playland (PNE) ซึ่งเค้าต้องการ cover letter และต้องการดูว่าเราจะ present ตัวเราผ่านทางตัวหนังสือให้เค้ารับเราได้อย่างไร...
ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย...ขั้นตอนก้อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ยีนต้องเรียนรู้ ก้อมีการส่ง resume ทั้งทาง on line และยีนก้อปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เค้าก้อแนะว่าให้ไปยื่นกับมือด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้พ่อกะแม่ไม่เห็นด้วย แต่ยีนเค้าก้อไม่เห็นด้วยเช่นกัน เราก้อเลยปล่อยให้เค้าทำ...ยีนออกไปยื่น resume ด้วยตัวเอง 2 วัน วันแรกไป downtown ยื่นไปประมาณ 10 กว่าที่....อีกวันหนึ่งไปที่ airport ไปยื่น 2 บริษัท และยื่นที่ head office เลย...ยุ่นก้อว่า โอเค ไม่เลว...ไม่มีอะไรเสียหาย ลองดู...
และจากนั้นเราก้อต้องรอคอย........สักระยะหนึ่ง....
และแล้ว..วันอังคารที่ 11 มิถุนา...ขณะที่ยุ่นกำลังทำงานที่คุมอง ยีนมาตอน 4 โมง ( ยุ่นเข้าก่อนตอน 2:30) ยีนก้อมากระซิบว่า..แม่ พรุ่งนี้มีบริษัทนึงเรียกสัมภาษณ์นะ ตอน 3 โมง แล้วก้อ ZARA (ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น) เรียกสัมภาษณ์วันพฤหัส ตอนบ่ายครึ่ง..มากระซิบแบบนี้เล่นเอาแม่ดีใจ ทำงานวันนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอ่ะ...ยิ้มหน้าบานเลย....55555
เพราะที่นี่ การส่ง resume เนี่ย โอกาสที่เค้าจะเรียกเราสัมภาษณ์เนี่ย น้อยมากหากเราไม่เข้าตากรรมการ ครูที่สอนยุ่นหรือคนที่ train ยุ่นเค้าบอกว่า การ screen resume เค้าจะทำเร็วมาก กวาดตาดูแบบเร็วๆ ไม่น่าสนใจ โยนลงขยะเลย...อันนี้ confirm โดยห่ง เพราะห่งบอกตอนห่งหางาน ห่งส่ง resume เยอะมากเช่นกัน แต่มีโทรมาเรียกแค่ 2-3 ราย พี่อีกคน..เคยเล่าให้ฟังว่า พี่ส่ง resume เป็นร้อยบริษัทเลยอ่ะ ยังไม่มีใครเรียกพี่เลยอ่ะ...สำหรับยีน..เราสองคนพ่อแม่ ก้อทำใจว่า...อย่างน้อยลูกได้เรียนรู้ว่าการจะหางาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร...หากได้เรียกสัมภาษณ์ก้อถือว่าโชคดี และหากได้งานก้อถือว่าเราโชคดีมาก...
การ train ก้อไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะลูกต้องไปสัมภาษณ์อีก ฉะนั้น ห่งก้อทำหน้าที่สอนยีนว่าเราจะมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรในการสัมภาษณ์ หาข้อมูลอย่างไร พูดอย่างไรที่ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยากรับเรา...
ส่วนยุ่นก้อเป็นประมาณเสริมศรีอ่ะ จะเสริมเมื่อลูกไม่เข้าใจประเด็น...และแนะนำบ้างหากยีนรู้สึกไม่เข้าใจ เพราะยุ่นกะยีนจะมีนิสัยหลายๆอย่างที่คล้ายกัน และยุ่นจะค่อนข้างเข้าใจวิธีคิดของลูก...
วันนี้ที่เขียน..ยีนก้อไปสัมภาษณ์มา 2 ที่แล้ว ที่แรกเรียกรอบสอง..และเค้าก้อรับยีนนะ...แต่ดูลักษณะงานแล้ว..ยีนบอกมันไม่ใช่.....ที่ที่สอง ZARA ยีนไปสัมภาษณ์แล้วบอกรู้สึกดีมาก ที่พ่อ train ไปคือใช่เลย คนสัมภาษณ์ดูพอใจในสิ่งที่ยีนทำการบ้านมา...ยีนคิดว่ายีนทำดีที่สุดนะ และรู้สึกว่าตอนคุยยีนเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติแบบนี้ happy นะ แต่ก้อไม่แน่ใจว่าเค้าจะรับหรือไม่... ยุ่นกะห่งก้อชมและให้กำลังใจเค้าว่า ดีมากลูก...ลูกทำได้ดีมาก...
วันนี้ก้อกำลังไปสัมภาษณ์ที่สนามบิน..และวันศุกร์นี้ก้อต้องไปสัมภาษณ์ที่ Student Leader Camp .....
สำหรับยุ่นกะห่ง...แม้ว่า summer นี้ลูกจะไม่ได้งาน แต่ยุ่นเชื่อว่ายีนได้เกิดการเรียนรู้ว่าหากเค้าจะหางาน เค้าต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร นอกจากนี้ยีนยังได้ประสบการณ์ในการไปสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัว การค้นหาข้อมูลต่างๆ....ซึ่งตรงนี้ ก้อจะเป็นประโยชน์กับตัวยีนเองในอนาคต
และนี่ก้อเป็นอีกหนึ่ง summer ที่น่าจดจำ...สำหรับครอบครัวเรา...ONCE IN A SUMMER!!!
Friday, June 14, 2013
แฟ้มนักเรียน
จากวันที่ยุ่นเริ่มสอนคุมองมาถึงวันนี้ก้อเป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้ว และก้อเกือบ 5 ปีแล้วที่ยุ่นไม่ได้อยู่ที่
เมืองไทย แต่..ข่าวดีๆมากมาย ความเคลื่อนไหว พัฒนาการความก้าวหน้าของลูกศิษย์หลายๆคนก้อได้ส่งผ่านทาง facebook ให้ครูยุ่นได้ชื่นชมและชื่นใจเสมอมา ...เป็นระยะ..ระยะ...
Mar 20,2013
Chain: ครูยุ่นค่ะ เชนเรียนจบแล้วนะค่ะ : ) มีลุ้นเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่คะแนนยังไม่ออกเป็นทางการ ยังจำวันที่เพิ่งติดถาปัดเมื่อ 5 ปีก่อนได้เลย ครูยุ่นบอกว่าอีก 5 ปีเดี๋ยวกลับมารับปริญญาเชน :) ขอให้ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เลย
จริงๆก็ไม่คิดว่าจะได้ แต่ก็แอบเก็บไว้เป็นเป้าหมายอยู่เล็กๆ ปีหน้าเชนก็วางแผนต่อโทที่จุฬาต่ออีกปีค่ะ. แต่ตอนนี้อยากทำงานแล้ว : (ขอบคุณครูยุ่นอีกครั้งนะคะ ที่ทำให้เชนมีวันนี้ :)
May 14, 2013
Tan Tan : ขอบคุณครูยุ่นกับคุณอามากเลยน้ะค่ะที่พากินและพาเที่ยวในวันนี้ ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็สนุกมาก ดีใจที่สุดที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทันอยากจะบอกครุยุ่นว่า ครั้งนี้ที่เราได้เจอกันความรู้สึกมันต่างไปจากครั้งก่อนๆนิดนึง ครูยุ่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทันเลือกเรียนเลข ทันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการเป็นลูกศิษย์ของครุยุ่น ไม่ใช่การคิดเลขเป็นแค่อย่างเดียว. วันนี้ที่ทันเรียนจบสาขาคณิตศาสตร์ ก็เพราะได้ครูยุ่นเป็นหนึ่งในแรงผลักดัน แม้ตอนเด็กๆทันจะขี้เกียจไปหน่อยก็ตาม แต่ทันก็ภูมิใจทุกครั้งที่ได้พูดว่าเป็นลูกศิษย์ของครูยุ่นน้ะค่ะ และก็หวังว่าครูยุ่นจะภูมิใจในตัวของลูกศฺิษย์คนนี้เหมือนกันน้ะค่ะ
รักและเคารพเสมอค่ะ
ปล.1 ขอบคุณสำหรับของขวัญมากเลยน้ะค่ะ
ปล.2 แล้วไว้เจอกันอีกน้ะค่ะครูยุ่น
Tan Tan จบ Financial Analysis & amp; Risk Management at University of Waterloo และรับปริญญา June 14,2013
May 22 , 2013
จิงโจ้ : ครูยุ่นครับๆๆเปนไงมั่งอ่ะ สบายดีมั้ย
ตอนนี้โจ้ติดหมอจุฬาแล้วนะครับ ครูยุ่นจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่อ่ะ
บอกโจ้ด้วยนะ คิดถึงมากกกก
May 27-2013
Lin : เรียนจบแล้วนะฮาฟฟฟ ขอเชิญมาร่วมถ่ายรูปรับปริญญากันหน่อยจ้า
อรนลิน จบกายภาพบำบัด จุฬา
June 8-2013
Mint : ในที่สุดมิ้นท์ก็เรียนจบแล้วค่า ^o^ //
ขอเชิญทุกคนมาร่วมแสดงความยินดี และถ่ายภาพร่วมกันในงานพระราชทานปริญญาบัตรนะคะ
Mint จบบัญชี จุฬา
June 10, 2013
หลุยส์: ครูยุ่นน สวัสดีครับ สบายดีป่าวววววคับบ :))
หลุยส์มีคำถามอ้ะะ replenish ที่แปลว่าเติม ใช้ต่างกับ refill กับ top up ยังไงเหรอคับ แล้ว 3 คำนี้มันต่างกันยังไง ^^ ขอบคุณค๊าบบบ
June 13, 2013
New : Happy Teacher's Day ka KruYun. You are my dearest one I've never forgot. Miss you lots na ka ♥~
June 14, 2013
Pure: จบแล้วคับครูยุ่น ตอนนี้เป็น consultant อยู่ที่ Abeam Consulting คับ แต่ว่าสิ้นเดือนหน้าก็บินไปทำงานที่ญี่ปุ่นละคับ....เป็น consultant เนี่ยแหละคับ...ไปทำงานที่โน่นปีนึงเลย...ไม่มีโอกาสได้เล่าเลย 555....ใช่คับ บริษัทส่งไป
November 18, 2013
Amy : กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช
พิน : ต่อปริญญาโท ที่มหิดล
เสียงจากคุณแม่ อำไพ หาญวัฒนานุกุล
" มาช้าไปหน่อย พึ่งได้เล่น fb อ่านแล้วเหมือนเหตุการณ์พึ่งเกิด แต่ย้อนหลังไป 5 ปีแล้วนะคะ ยังจำเหตุการณ์ได้อยู่ ตอนนี้พินจบ ป.ตรีที่ มธ. แล้วต่อ ป.โทที่มหิดล กำลังทำวิทยานิพนธ์ ส่วนเอมอยู่ปี 4 แพทย์ศิริราช ผลงานจากครูยุ่น หวังว่าจะได้พบกันอีกค่ะ "
ทุกย่างก้าวที่เด็กๆเดิน...ทุกๆข่าวคราวที่ส่งมา และทุกๆความรู้สึกดีๆที่ส่งให้กับครูยุ่นเสมอมา...เป็นอะไรที่ทำให้ครูยุ่นรู้สึกมีความสุขมาก ปลื้มใจและภูมิใจในตัวนักเรียนทุกคนของครูยุ่นมากนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ ( แม้ว่าตอนนี้หลายๆคนจะโตแล้ว แต่ขอเรียกว่าเด็กๆเนอะ ) 4ever นะค่ะ...
เมืองไทย แต่..ข่าวดีๆมากมาย ความเคลื่อนไหว พัฒนาการความก้าวหน้าของลูกศิษย์หลายๆคนก้อได้ส่งผ่านทาง facebook ให้ครูยุ่นได้ชื่นชมและชื่นใจเสมอมา ...เป็นระยะ..ระยะ...
Mar 20,2013
Chain: ครูยุ่นค่ะ เชนเรียนจบแล้วนะค่ะ : ) มีลุ้นเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่คะแนนยังไม่ออกเป็นทางการ ยังจำวันที่เพิ่งติดถาปัดเมื่อ 5 ปีก่อนได้เลย ครูยุ่นบอกว่าอีก 5 ปีเดี๋ยวกลับมารับปริญญาเชน :) ขอให้ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เลย
จริงๆก็ไม่คิดว่าจะได้ แต่ก็แอบเก็บไว้เป็นเป้าหมายอยู่เล็กๆ ปีหน้าเชนก็วางแผนต่อโทที่จุฬาต่ออีกปีค่ะ. แต่ตอนนี้อยากทำงานแล้ว : (ขอบคุณครูยุ่นอีกครั้งนะคะ ที่ทำให้เชนมีวันนี้ :)
May 14, 2013
Tan Tan : ขอบคุณครูยุ่นกับคุณอามากเลยน้ะค่ะที่พากินและพาเที่ยวในวันนี้ ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็สนุกมาก ดีใจที่สุดที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทันอยากจะบอกครุยุ่นว่า ครั้งนี้ที่เราได้เจอกันความรู้สึกมันต่างไปจากครั้งก่อนๆนิดนึง ครูยุ่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทันเลือกเรียนเลข ทันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการเป็นลูกศิษย์ของครุยุ่น ไม่ใช่การคิดเลขเป็นแค่อย่างเดียว. วันนี้ที่ทันเรียนจบสาขาคณิตศาสตร์ ก็เพราะได้ครูยุ่นเป็นหนึ่งในแรงผลักดัน แม้ตอนเด็กๆทันจะขี้เกียจไปหน่อยก็ตาม แต่ทันก็ภูมิใจทุกครั้งที่ได้พูดว่าเป็นลูกศิษย์ของครูยุ่นน้ะค่ะ และก็หวังว่าครูยุ่นจะภูมิใจในตัวของลูกศฺิษย์คนนี้เหมือนกันน้ะค่ะ
รักและเคารพเสมอค่ะ
ปล.1 ขอบคุณสำหรับของขวัญมากเลยน้ะค่ะ
ปล.2 แล้วไว้เจอกันอีกน้ะค่ะครูยุ่น
Tan Tan จบ Financial Analysis & amp; Risk Management at University of Waterloo และรับปริญญา June 14,2013
May 22 , 2013
จิงโจ้ : ครูยุ่นครับๆๆเปนไงมั่งอ่ะ สบายดีมั้ย
ตอนนี้โจ้ติดหมอจุฬาแล้วนะครับ ครูยุ่นจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่อ่ะ
บอกโจ้ด้วยนะ คิดถึงมากกกก
May 27-2013
Lin : เรียนจบแล้วนะฮาฟฟฟ ขอเชิญมาร่วมถ่ายรูปรับปริญญากันหน่อยจ้า
อรนลิน จบกายภาพบำบัด จุฬา
June 8-2013
Mint : ในที่สุดมิ้นท์ก็เรียนจบแล้วค่า ^o^ //
ขอเชิญทุกคนมาร่วมแสดงความยินดี และถ่ายภาพร่วมกันในงานพระราชทานปริญญาบัตรนะคะ
Mint จบบัญชี จุฬา
June 10, 2013
หลุยส์: ครูยุ่นน สวัสดีครับ สบายดีป่าวววววคับบ :))
หลุยส์มีคำถามอ้ะะ replenish ที่แปลว่าเติม ใช้ต่างกับ refill กับ top up ยังไงเหรอคับ แล้ว 3 คำนี้มันต่างกันยังไง ^^ ขอบคุณค๊าบบบ
June 13, 2013
New : Happy Teacher's Day ka KruYun. You are my dearest one I've never forgot. Miss you lots na ka ♥~
June 14, 2013
Pure: จบแล้วคับครูยุ่น ตอนนี้เป็น consultant อยู่ที่ Abeam Consulting คับ แต่ว่าสิ้นเดือนหน้าก็บินไปทำงานที่ญี่ปุ่นละคับ....เป็น consultant เนี่ยแหละคับ...ไปทำงานที่โน่นปีนึงเลย...ไม่มีโอกาสได้เล่าเลย 555....ใช่คับ บริษัทส่งไป
November 18, 2013
Amy : กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช
พิน : ต่อปริญญาโท ที่มหิดล
เสียงจากคุณแม่ อำไพ หาญวัฒนานุกุล
" มาช้าไปหน่อย พึ่งได้เล่น fb อ่านแล้วเหมือนเหตุการณ์พึ่งเกิด แต่ย้อนหลังไป 5 ปีแล้วนะคะ ยังจำเหตุการณ์ได้อยู่ ตอนนี้พินจบ ป.ตรีที่ มธ. แล้วต่อ ป.โทที่มหิดล กำลังทำวิทยานิพนธ์ ส่วนเอมอยู่ปี 4 แพทย์ศิริราช ผลงานจากครูยุ่น หวังว่าจะได้พบกันอีกค่ะ "
ทุกย่างก้าวที่เด็กๆเดิน...ทุกๆข่าวคราวที่ส่งมา และทุกๆความรู้สึกดีๆที่ส่งให้กับครูยุ่นเสมอมา...เป็นอะไรที่ทำให้ครูยุ่นรู้สึกมีความสุขมาก ปลื้มใจและภูมิใจในตัวนักเรียนทุกคนของครูยุ่นมากนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ ( แม้ว่าตอนนี้หลายๆคนจะโตแล้ว แต่ขอเรียกว่าเด็กๆเนอะ ) 4ever นะค่ะ...
Friday, June 7, 2013
ห้องน้ำในแคนาดา
พูดถึงห้องน้ำเนี่ย...หากเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเมกา แคนาดา เราก้อคงรู้สึกว่าน่าจะสบาย ไม่มีปัญหา....แต่..ในทุกเรื่องมันมีรายละเอียดแน่นอน...^^
ถ้าจะพูดให้แคบลง ยุ่นอยากจะเล่าถึงห้องน้ำในแวนคูเวอร์มากกว่า แต่คิดว่าในแวนคูเวอร์ก้อน่าจะ represent ทั้งแคนาดาได้เช่นกัน...น่าจะระบบเดียวกัน..
ถ้าเราเป็น tourist มาเที่ยว เวลาไปห้างใหญ่ๆก้อไม่มีปัญหา เพราะเค้าก้อมีห้องน้ำของห้างให้บริการอย่างดีอยู่แล้ว หรืออย่างเราไปเที่ยวเมืองต่างๆในแคนาดา เค้าก้อมี public washroom ให้บริการอยู่แล้ว แต่ความสะอาดในแต่ละที่ ก้อขึ้นกับผู้ที่ใช้ หากผู้ใช้ห้องน้ำไม่ร่วมกันรักษาความสะอาด public washroom ก้อไม่น่าจะสะอาดได้..
ที่กล่าวมาคือห้องน้ำที่เราสามารถเข้าได้แบบไม่ต้องคิดมาก..แต่ที่ยุ่นเจอแล้วอึ้งในตอนแรกๆก้อคือ..
ห้องน้ำในที่ทำงานหรือตาม office building ต่างๆ พวกสำนักงานอะไรพวกนี้อ่ะ ไม่ใช่อยู่ดีเราจะเข้าได้ง่ายๆนะ คือบ้านเราอย่างเราไปประชุมที่คุมองสำนักงานใหญ่ หรือเราไปติดต่อบริษัทต่างๆ ตามตึกก้อมีบริการห้องน้ำรวมในแต่ละชั้น เราก้อเข้าไปใช้ได้ ใช่มะ..
แต่ที่นี่ เราต้องมีกุญแจ...ทีแรกยุ่นก้อแบบไม่รู้นะว่าต้องมีกุญแจ ตอนไปประชุมคุมอง เวลา break เข้าห้องน้ำ ก้อไปกะเพื่อนฮ่องกง Dorris เค้าก้อแบบเดี๋ยวไปขอกุญแจก่อน..ยุ่นก้องง ทำไมต้องขอ พอ Dorris ได้มา ก้อเดินไปด้วยกัน และไขเข้าห้องน้ำ บริษัทอื่นก้อมีกุญแจส่วนตัวของตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปติดต่อกะเค้า แล้วจะเข้าห้องน้ำ ก้อไปเข้าเลย เข้าไม่ได้...อันนี้เลยทำให้ยุ่นถึงบางอ้อเลย...
หรืออย่างไปหาหมอ family doctor ของยุ่น clinic เค้าอยู่ใน office building เวลาเราจะเข้าห้องน้ำก้อต้องขอกุญแจเค้า เราถึงเข้าได้นะ และทั้ง office ในนั้นก้อเหมือนกัน...กติกาเดียวกัน...
แม้กระทั่งการใช้ห้องสมุด เวลาจะเข้าห้องน้ำ ก้อต้องไปที่บรรณรักษ์อ่ะ เค้าจะมีกุญแจ สองชุด ห้องชายห้องหญิง ก้อหยิบไปไข ใช้เสร็จอย่าลืมทิ้งในห้องน้ำนะ ไม่งั้นคนอื่นใช้ห้องน้ำไม่ได้ เค้าจะติดประกาศตรงประตูก่อนเราออกว่า อย่าลืมกุญแจห้องน้ำนะค่ะ....
และอย่างพวกร้านกาแฟ ร้านอาหาร ทั่วไปในแวนคูเวอร์เค้าจะติดป้ายไว้เลยนะ "no public washroom" ก้อหมายว่าอย่าเข้าห้องน้ำของชั้นนะ ถ้าเธอไม่ใช่ลูกค้าชั้นอ่ะ...
นี่ก้อเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แตกต่างจากบ้านเรา...แต่ก้อไม่ได้มีผลต่อการมาเที่ยวแคนาดาเนอะ เพียงแต่คนที่จะมาเรียนหรือทำงานที่นี่ หากทีแรกจะเข้าห้องน้ำเค้า ไม่ต้องตกใจว่าทำไมห้องน้ำเปิดไม่ได้ ก้อต้องเดินไปขอกุญแจเจ้าหน้าที่เค้าอ่ะ เพราะทีแรกยุ่นมา ยุ่นก้อไม่เข้าใจคิดว่าพนักงานทำความสะอาดทำงานอยู่ ก้อกลั้นไว้ กลั้นไว้ จนกระทั่งตอนหลังที่บอกถึงบางอ้อ...จึงรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ก้อเป็นความรู้รอบเอว..รู้ไว้ใช่ว่า...
ถ้าจะพูดให้แคบลง ยุ่นอยากจะเล่าถึงห้องน้ำในแวนคูเวอร์มากกว่า แต่คิดว่าในแวนคูเวอร์ก้อน่าจะ represent ทั้งแคนาดาได้เช่นกัน...น่าจะระบบเดียวกัน..
ถ้าเราเป็น tourist มาเที่ยว เวลาไปห้างใหญ่ๆก้อไม่มีปัญหา เพราะเค้าก้อมีห้องน้ำของห้างให้บริการอย่างดีอยู่แล้ว หรืออย่างเราไปเที่ยวเมืองต่างๆในแคนาดา เค้าก้อมี public washroom ให้บริการอยู่แล้ว แต่ความสะอาดในแต่ละที่ ก้อขึ้นกับผู้ที่ใช้ หากผู้ใช้ห้องน้ำไม่ร่วมกันรักษาความสะอาด public washroom ก้อไม่น่าจะสะอาดได้..
ที่กล่าวมาคือห้องน้ำที่เราสามารถเข้าได้แบบไม่ต้องคิดมาก..แต่ที่ยุ่นเจอแล้วอึ้งในตอนแรกๆก้อคือ..
ห้องน้ำในที่ทำงานหรือตาม office building ต่างๆ พวกสำนักงานอะไรพวกนี้อ่ะ ไม่ใช่อยู่ดีเราจะเข้าได้ง่ายๆนะ คือบ้านเราอย่างเราไปประชุมที่คุมองสำนักงานใหญ่ หรือเราไปติดต่อบริษัทต่างๆ ตามตึกก้อมีบริการห้องน้ำรวมในแต่ละชั้น เราก้อเข้าไปใช้ได้ ใช่มะ..
แต่ที่นี่ เราต้องมีกุญแจ...ทีแรกยุ่นก้อแบบไม่รู้นะว่าต้องมีกุญแจ ตอนไปประชุมคุมอง เวลา break เข้าห้องน้ำ ก้อไปกะเพื่อนฮ่องกง Dorris เค้าก้อแบบเดี๋ยวไปขอกุญแจก่อน..ยุ่นก้องง ทำไมต้องขอ พอ Dorris ได้มา ก้อเดินไปด้วยกัน และไขเข้าห้องน้ำ บริษัทอื่นก้อมีกุญแจส่วนตัวของตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปติดต่อกะเค้า แล้วจะเข้าห้องน้ำ ก้อไปเข้าเลย เข้าไม่ได้...อันนี้เลยทำให้ยุ่นถึงบางอ้อเลย...
หรืออย่างไปหาหมอ family doctor ของยุ่น clinic เค้าอยู่ใน office building เวลาเราจะเข้าห้องน้ำก้อต้องขอกุญแจเค้า เราถึงเข้าได้นะ และทั้ง office ในนั้นก้อเหมือนกัน...กติกาเดียวกัน...
แม้กระทั่งการใช้ห้องสมุด เวลาจะเข้าห้องน้ำ ก้อต้องไปที่บรรณรักษ์อ่ะ เค้าจะมีกุญแจ สองชุด ห้องชายห้องหญิง ก้อหยิบไปไข ใช้เสร็จอย่าลืมทิ้งในห้องน้ำนะ ไม่งั้นคนอื่นใช้ห้องน้ำไม่ได้ เค้าจะติดประกาศตรงประตูก่อนเราออกว่า อย่าลืมกุญแจห้องน้ำนะค่ะ....
และอย่างพวกร้านกาแฟ ร้านอาหาร ทั่วไปในแวนคูเวอร์เค้าจะติดป้ายไว้เลยนะ "no public washroom" ก้อหมายว่าอย่าเข้าห้องน้ำของชั้นนะ ถ้าเธอไม่ใช่ลูกค้าชั้นอ่ะ...
นี่ก้อเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แตกต่างจากบ้านเรา...แต่ก้อไม่ได้มีผลต่อการมาเที่ยวแคนาดาเนอะ เพียงแต่คนที่จะมาเรียนหรือทำงานที่นี่ หากทีแรกจะเข้าห้องน้ำเค้า ไม่ต้องตกใจว่าทำไมห้องน้ำเปิดไม่ได้ ก้อต้องเดินไปขอกุญแจเจ้าหน้าที่เค้าอ่ะ เพราะทีแรกยุ่นมา ยุ่นก้อไม่เข้าใจคิดว่าพนักงานทำความสะอาดทำงานอยู่ ก้อกลั้นไว้ กลั้นไว้ จนกระทั่งตอนหลังที่บอกถึงบางอ้อ...จึงรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ก้อเป็นความรู้รอบเอว..รู้ไว้ใช่ว่า...
Subscribe to:
Posts (Atom)