Wednesday, June 19, 2013

Summer Job in Vancouver

ช่วงนี้ก้อเป็นช่วง summer ของที่นี่  เด็กนักเรียนก้อเริ่มปิดเทอมหละ หากเป็น secondary students จะเริ่มปิดประมาณ June 14 แต่พวก elementary ก้อต้องโน่นเลย สิ้นเดือน June...

ส่วนมหาลัยกะ college จะแบ่งเป็นสามภาคเรียน Sep-Dec , Jan-Apr, และ May-Aug (summer course)  ช่วง summer ส่วนใหญ่เด็ก high school มักจะลงเรียนหนึ่งหรือสองวิชา  ส่วนเด็กมหาลัย หรือ college ก้อแล้วแต่  บางคนก้อลงเรียน บางคนก้อทำงาน....

สำหรับคุณลูกชาย  ยีน summer นี้ก้อมานอกกรอบอีกแล้ว..พ่อกับแม่อยากให้ลงเรียน เพื่อว่าจะได้จบไวไว แต่ยีนบอก ยีนอยากทำงาน  เพราะการเรียนอย่างเดียวสำหรับที่นี่ ไม่มีประโยชน์  เพราะหากจบไวไว แต่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน การหางานก้อไม่ใช่เรื่องง่าย...

เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่ยอมนะ เพราะเราอยากให้เรียนด้วย ทำงานด้วย แต่ยีนบอก ยีนขอตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองสักครั้ง ขอโอกาสในการทำงาน คืออยากทำงานจริงๆ  โดยไม่ต้องเรียน เพื่อดูว่าจะทำสุดๆได้แค่ไหน...และอีกอย่างคือการทำงานครั้งนี้เนี่ย ยีนอยากทำงานแบบที่ว่าสามารถนำไปเป็น reference ได้ตอนจบ...หรือใช้ในการ transfer เข้า Business Program

แต่ไอ้ที่พูดมาเนี่ย..ยีนยังไม่มีงานเลยนะ  แม้กระทั่งการหางาน ก้อยังไม่ได้ทำ..ซึ่งสำหรับที่นี่ การหางานนั้นยากมากๆๆๆๆ  และงานที่จะทำช่วง summer เราก้อต้องเตรียมการคือสมัครกันตั้งแต่กุมภา มีนา...แต่นี่ปาเข้าไปเมษาปลายเดือนจะขึ้นพฤษภา  ค่อยมาพูดแบบนี้..พ่อกะแม่ก้อไม่เห็นด้วยแน่นอน...

ในที่สุด...ก้อเดินคนละครึ่งทาง ยีนลงทะเบียนไปก่อน แต่หากได้งานจะขอ drop ก้อบังเอิญเพื่อนยีนคนนึงแม่เค้าเปิดร้านอาหารไทย ก้อมาเรียกยีนไปสัมภาษณ์  ยีนก้อต้องส่ง resume นะ กลับมาก้อบอกน่าจะมีข่าวดี  และเค้าบอกเค้าขอ drop นะ...ซึ่งจริงๆงานที่จะทำเนี่ย มันเป็นงาน serve ในร้านอาหาร ซึ่งก้อไม่น่าจะ work มากสำหรับการจะไปเรียน business แต่..เราสองคนพ่อแม่ ก้อคงบังคับเค้าไม่ได้  และในที่สุด เราก้อตกลงกันว่าให้โอกาสยีนลองทำในสิ่งที่เค้าบอกว่าเค้าตั้งใจอยากทำ...

และเค้าก้อมีเรียกไปอีกครั้ง..และเค้าบอกว่าหากเค้ามีงานเยอะช่วง summer เค้าจะเรียกนะ...ซึ่งก้อคือไม่ได้นั่นเอง...

ก้อ..อย่างที่บอก..ยีนก้อยังไม่ได้โตอะไรมากมาย..ไอ้ตอนพูดทีแรกก้อดูดีมีหลักการ แต่ตอนปฎิบัติเนี่ย  พ่อกะแม่ก้อต้องกระตุ้น...เราก้อต้องเตือนเค้าว่าต้องหางานนะ  และเราสองคนก้อทำการ train เรื่อง job search กะลูกตัวเองเลย...

ที่นี่ การหางานจะเป็นระบบมากเลย  อย่างที่ยุ่นเคยเล่า ยุ่นเองเคยไปลง courseที่ train job searchเลยอ่ะ จะมีหลายๆบริษัท ซึ่งอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ อินเดีย ฯลฯ..และบริษัทหรือหน่วยงานเหล่านี้จะ support โดยรัฐบาล...เค้าจะ train เราประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกถึงภาพรวมของตลาดแรงงานที่นี่ การหางาน การเตรียมตัว การเขียน resume การเตรียมตัวสัมภาษณ์ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ คือให้หลักการ.. แต่สุดท้าย..คุณต้องหางานเอง  ทำเอง ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ..นั่นคือ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น....

ห่งก้อเคย train เช่นกันตอนเค้ามาแรกๆ  ของห่งจะเป็น professional กว่าที่ยุ่นเรียนมากๆ  แต่งานนี้เราสองคนผนึกกำลังกัน เพื่อ train ลูกชายตัวเองในการหางานเบื้องต้น  ยุ่นคิดว่านะ เอาหละ ในเมือ่เค้าไม่อยากเรียน อยากทำงาน ก้อเอา....อย่างน้อย ยีนก้อได้ประสบการณ์ว่าการจะหางานต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และมีการเตรียมตัวอย่างไร ..ไม่มีอะไรเสีย...เพียงแต่เค้าไม่ได้เรียนอย่างที่เราอยากให้เรียนเท่านั้น...

และการ train ก้อเริ่มขึ้น  ยุ่นก้อสอนเค้าว่าเราควรเข้าไปหางานอย่างไร  ซึ่งตรงนี้ยุ่นว่าเด็กยุคนี้เค้าใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เก่งกว่าเราอยู่แล้ว  เค้าก้อ search ของเค้า แต่เราก้อให้ web-site ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเค้า...และให้เค้าดูว่า 1. บริษัทควรอยู่ใน Vancouver และเราสามารถเดินทางไปทำงานได้ไม่ลำบากนัก 2. ประเภทของงาน อาจมีหลายประเภทที่เราสนใจ เมื่อเลือกได้แล้ว ก้อ grouping แต่ละประเภท  เพื่อการทำ resume ที่ให้เข้ากับแต่ละงานที่เราจะสมัคร...

ไอ้แค่ job search เนี่ย ก้อต้องทำกันเป็น 2-3 วันเลยนะ  ไม่ใช่ว่าทุกงานจะเหมาะกับเราไปหมด..จากนั้น ก้อเป็นหน้าที่ห่ง เพราะห่งเค้าจะเก่งเรื่องเอกสารที่เป็นทางการ คือพวก resume ก้อให้ยีนนั่งทำ resume ของตัวเองก่อน  จากนั้น ห่งก้อช่วย correct ให้เหมาะสม  นอกจากนี้ยังขึ้นกับงานที่ยีนจะสมัครด้วย  เราต้องปรับกลยุทธคือ skills ที่มีนั้น เราต้องปรับคือเค้าเรียกว่า transfer skill ให้เหมาะกับงานแต่ละอย่างที่จะสมัคร...

ยกตัวอย่าง หากเราจะทำงานในร้านอาหาร  งาน retail  งาน office    หรืองานพวกเป็นstudent camp leader ( เหล่านี้คือกลุ่มงานที่เราเลือกออกมา) เราก้อต้องดูว่า เราจะตกแต่ง resume ให้เข้ากับแต่ละ position อย่างไร  ไม่ใช่ว่าเราเล่นกีตาร์เก่ง มีความสามารถทางด้านดนตรี จะสามารถนำไปใช้กับงานร้านอาหาร retail หรือ office   หรืออย่างตัวตนของเราที่เราเป็นเช่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  อดทน รับฟังความคิดเห็นคนอื่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  เราก้อต้องจัดลำดับความสำคัญในการจะลงใน resume ของเราให้แลน่าสนใจ และเหมาะกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร...เป็นต้น

นอกจากนี้  หลายๆบริษัทก้อต้องการ cover letter ซึ่งอันนี้ยีนก้อต้องนั่งแต่งเอง และให้เหมาะกับงานที่ตัวเองจะ apply ...cover letter ไม่ใช่ resume แต่เหมือนเป็นการบอกคุณสมบัติของเราให้นายจ้างเชื่อว่าหากคุณเลือกชั้นแล้วเนี่ย ไม่ผิดหวังแน่นอน ประมาณนั้น....ยีนก้อมีแต่งไว้หลาย versions เพราะเค้ามีสมัครไปที่ Camp leader ดูแลนักเรียน...และก้อ playland (PNE) ซึ่งเค้าต้องการ cover letter และต้องการดูว่าเราจะ present ตัวเราผ่านทางตัวหนังสือให้เค้ารับเราได้อย่างไร...

ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย...ขั้นตอนก้อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ยีนต้องเรียนรู้  ก้อมีการส่ง resume ทั้งทาง on line และยีนก้อปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เค้าก้อแนะว่าให้ไปยื่นกับมือด้วยตนเอง  ซึ่งตรงนี้พ่อกะแม่ไม่เห็นด้วย แต่ยีนเค้าก้อไม่เห็นด้วยเช่นกัน  เราก้อเลยปล่อยให้เค้าทำ...ยีนออกไปยื่น resume ด้วยตัวเอง 2 วัน วันแรกไป downtown ยื่นไปประมาณ 10 กว่าที่....อีกวันหนึ่งไปที่ airport ไปยื่น 2 บริษัท  และยื่นที่ head office เลย...ยุ่นก้อว่า โอเค ไม่เลว...ไม่มีอะไรเสียหาย ลองดู...

และจากนั้นเราก้อต้องรอคอย........สักระยะหนึ่ง....

และแล้ว..วันอังคารที่ 11 มิถุนา...ขณะที่ยุ่นกำลังทำงานที่คุมอง ยีนมาตอน 4 โมง ( ยุ่นเข้าก่อนตอน 2:30) ยีนก้อมากระซิบว่า..แม่ พรุ่งนี้มีบริษัทนึงเรียกสัมภาษณ์นะ ตอน 3 โมง แล้วก้อ ZARA (ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น) เรียกสัมภาษณ์วันพฤหัส ตอนบ่ายครึ่ง..มากระซิบแบบนี้เล่นเอาแม่ดีใจ  ทำงานวันนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอ่ะ...ยิ้มหน้าบานเลย....55555

เพราะที่นี่ การส่ง resume เนี่ย โอกาสที่เค้าจะเรียกเราสัมภาษณ์เนี่ย น้อยมากหากเราไม่เข้าตากรรมการ  ครูที่สอนยุ่นหรือคนที่ train ยุ่นเค้าบอกว่า การ screen resume เค้าจะทำเร็วมาก  กวาดตาดูแบบเร็วๆ ไม่น่าสนใจ โยนลงขยะเลย...อันนี้ confirm โดยห่ง เพราะห่งบอกตอนห่งหางาน ห่งส่ง resume เยอะมากเช่นกัน แต่มีโทรมาเรียกแค่ 2-3 ราย พี่อีกคน..เคยเล่าให้ฟังว่า พี่ส่ง resume เป็นร้อยบริษัทเลยอ่ะ  ยังไม่มีใครเรียกพี่เลยอ่ะ...สำหรับยีน..เราสองคนพ่อแม่ ก้อทำใจว่า...อย่างน้อยลูกได้เรียนรู้ว่าการจะหางาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร...หากได้เรียกสัมภาษณ์ก้อถือว่าโชคดี และหากได้งานก้อถือว่าเราโชคดีมาก...

การ train ก้อไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะลูกต้องไปสัมภาษณ์อีก ฉะนั้น ห่งก้อทำหน้าที่สอนยีนว่าเราจะมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรในการสัมภาษณ์  หาข้อมูลอย่างไร พูดอย่างไรที่ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยากรับเรา...
ส่วนยุ่นก้อเป็นประมาณเสริมศรีอ่ะ  จะเสริมเมื่อลูกไม่เข้าใจประเด็น...และแนะนำบ้างหากยีนรู้สึกไม่เข้าใจ  เพราะยุ่นกะยีนจะมีนิสัยหลายๆอย่างที่คล้ายกัน และยุ่นจะค่อนข้างเข้าใจวิธีคิดของลูก...

วันนี้ที่เขียน..ยีนก้อไปสัมภาษณ์มา 2 ที่แล้ว ที่แรกเรียกรอบสอง..และเค้าก้อรับยีนนะ...แต่ดูลักษณะงานแล้ว..ยีนบอกมันไม่ใช่.....ที่ที่สอง ZARA ยีนไปสัมภาษณ์แล้วบอกรู้สึกดีมาก  ที่พ่อ train ไปคือใช่เลย  คนสัมภาษณ์ดูพอใจในสิ่งที่ยีนทำการบ้านมา...ยีนคิดว่ายีนทำดีที่สุดนะ  และรู้สึกว่าตอนคุยยีนเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติแบบนี้  happy นะ แต่ก้อไม่แน่ใจว่าเค้าจะรับหรือไม่... ยุ่นกะห่งก้อชมและให้กำลังใจเค้าว่า ดีมากลูก...ลูกทำได้ดีมาก...

วันนี้ก้อกำลังไปสัมภาษณ์ที่สนามบิน..และวันศุกร์นี้ก้อต้องไปสัมภาษณ์ที่ Student Leader Camp .....

สำหรับยุ่นกะห่ง...แม้ว่า summer นี้ลูกจะไม่ได้งาน แต่ยุ่นเชื่อว่ายีนได้เกิดการเรียนรู้ว่าหากเค้าจะหางาน เค้าต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร  นอกจากนี้ยีนยังได้ประสบการณ์ในการไปสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัว การค้นหาข้อมูลต่างๆ....ซึ่งตรงนี้  ก้อจะเป็นประโยชน์กับตัวยีนเองในอนาคต

และนี่ก้อเป็นอีกหนึ่ง summer ที่น่าจดจำ...สำหรับครอบครัวเรา...ONCE IN A SUMMER!!!





No comments:

Post a Comment