และแล้ววันที่รอคอยก้อมาถึง..วันนี้ ยุ่นได้นัดกับทาง DFS ไว้ตอนสิบโมงเช้า..
ก้อไปตามนัดเลย นั่ง Canada line ไปถึงก่อนเวลา 15 นาทีตามเค้าบอก..เสร็จต้อง buzz ด้านหน้าคือเราต้องกดเบอร์ของ DFS #0100 ก่อน แล้วเค้าจึงเปิดประตูให้เข้าไปได้..
แต่พอไปด้านหน้า เป็นงง..เพราะ buzz แล้วไม่มีเสียงตอบ ต้องกดปุ่มเลือกก่อน ยุ่นก้อทำไม่เป็น เอาว่ะ..เป็นไงเป็นกัน ถามคนที่เดินเข้าไปดีกว่า พอดี เห็นฝรั่งผู้ชายท่าทางใจดีก้อเลยบอกเค้าว่าเราจะเข้าไป DFS เนี่ย ที่อยู่ตามนี้ แต่ buzz แล้วมันไม่ได้
เค้าก้อเลยทำให้..แล้วบอกให้เราพูดเอง..จากนั้น..ก้อเป็นอันเรียบร้อย..เข้าไปได้...ก้อขอบคุณเค้าตามระเบียบ..
พอเข้าไป สักพักก้อมีฝรั่งผู้หญิงสองคนเดินมากับผู้หญิงฟิลิปปินส์ แนะนำตัวว่าเค้าคือใคร และแนะนำว่าวันนี้ใครจะดูแลเรา ..ก้อเป็นฝรั่งหนึ่งคนกับผู้หญิงฟิลิปปินส์ ซึ่งเค้ามาใหม่นะ เป็นผู้ช่วย...และพวกนี้ที่เค้ามาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้เรา เค้าเป็น volunteer นะ ทำด้วยใจรัก..ไม่มีค่าจ้าง เค้าบอกเค้าทำอาทิตย์ละวัน...คือวันพุธสามชั่วโมง...เค้า enjoy กับงานนี้มาก..
จากนั้นเค้าก้อถามยุ่นก่อนว่าจะไปสมัครงานในตำแหน่งอะไร..เราก้อบอก Math Tutor จากนั้นก้อถามเราว่าเราชอบ Stlye แบบไหน ยุ่นก้อบอกยุ่นชอบแบบลำลอง..ไม่เน้นว่าต้องดูเป็น business look มาก..
เค้าก้อถาม size เรา และกะด้วยสายดา ก้อพาไปเลือก...โดยช่วยดูให้...และให้เราลองเลย...จากนั้นก้อเลือกที่เราชอบโดยเริ่มจาก Jacket ก่อน..เลือกได้สามตัว สีแดง สีน้ำตาลดำ และสีดำสลับขาว..
แล้วก้อให้เราตัดสินใจว่าเราชอบตัวไหนที่สุด เลือกได้แค่หนึ่ง...ยุ่นก้อเลือกดำสลับขาวตามที่ show ในรูปแหละ...จากนั้นก้อตามมาด้วยกางเกง เลือกมาเลือกไปไม่ชอบเลย..ก้อเลยเปลี่ยนเป็นกระโปรงดำ...แล้วก้อตามด้วย top ก้อคือเสื้อที่ใส่ข้างใน คอเต่าอ่ะ...แล้วเค้าก้อหาถุงน่องดำให้ รองเท้าอีก..พาไปเลือกทั้ง shelf เลย ปรากฏไม่มีเบอร์ เพราะเท้ายุ่นเล็ก..เบอร์ 4 ครึ่งถึง 5
แต่ที่เค้ามีตั้งแต่เบอร์หกขึ้นไป...ฝรั่งคนที่ดูแลเลยลงไปหาในห้องอะไรไม่รู้ เอาขึ้นมาเจ็ดแปดคู่ และบอกว่ายุ่นน่าลองรองเท้า boots นะ..ก้อเลยลองดู มันเป็น boots หนังยาว นิ่มมาก ใส่สบายมากๆเลย..จริงๆมีอีกคู่ที่ชอบ แต่เค้าช่วยกันดูและบอกว่าคู่นี้เหมาะกว่า
จากนั้น..ก้อพาไปเลือกเสื้อ coat เพราะอีกไม่กี่เดือนเข้า fall แล้ว อากาศจะเย็น เค้าต้องการให้เรามั่นใจ สวย แต่ก้อต้องอุ่นด้วย..ก้อเลือกมาเลือกไป ก้อได้ coat ที่เห็นนะ..
เสร็จฝรั่งคนที่ดูแลเค้าก้อบอก ดูไหล่มันใหญ่เกิน เพราะมันเป็นฟองน้ำสองตัวไง..แต่มันก้อเป็นอะไรที่เหมาะกับเรา..เค้าก้อบอกงั้นต้องบังตาด้วย scarf ผ้าพันคอ...แกก้อไปเลือกผ้าพันคอสีแดงสด..อย่างที่เห็นมา...แล้วก้อบอกให้พันแบบนี้จะช่วยให้ไหล่เราไม่เป็นที่สนใจมาก....^^
นอกจากนี้เค้าก้อหาสร้อยคอให้..แล้วก้อกำไลข้อมือ...ใส่ดูเก๋ๆ..อ๋อ..ให้กระเป๋าสะพายสีดำหนึ่งใบด้วย....ยุ่นจำได้ว่าพี่ต้อยบอกพี่เค้าได้เครื่องสำอางค์ ก้อเลยลองเกริ่นดู แต่เค้าบอกว่ายุ่นไม่ต้องแต่งหน้ามาก...ประมาณนี้นะดีแล้ว..ก้อเลยไม่ได้ให้...อดเลย...แต่เดาว่า..เพราะของที่เค้าให้เราก้อมากเหมือนกัน..เค้าน่าจะมีจำกัดว่าคนหนึ่งไม่เกินกี่ชิ้น หรืองบประมาณประมาณเท่าไร..แบบพอประมาณน่ะ..
แต่สรุปทั้งหมดออกมา...ยุ่นก้อชอบมั่กๆๆๆเลยนะ..แบบใส่ขึ้นมาแล้วดูดีมีชาติตระกูลเลย...คุณยีนทีแรกบอกดูแม่เนี่ย..ตื่นเต้นมากเลย ตอนแม่ได้รางวัลเครื่องกดน้ำดื่มที่ศูนย์จากคุมองไทยแลนด์ ไม่เห็นแม่ตื่นเต้นแบบนี้เลย...คุณชาญชัย..เลยบอกว่า...ผู้หญิงก้อแบบนี้แหละ..เค้าชอบเรื่องเสื้อผ้าความสวยงาม...ป้าต้อยก้ออาการเดียวกับแม่เหมือนกัน...55555
ถ้าให้คำนวณคร่าวๆ หากต้องไปซื้อเอง..งานนี้ก้อต้องมีมากกว่าห้าร้อยเหรียญนะ...แต่อันนี้ DFS เค้าให้เราฟรีชุดแรก..และหากเราได้งานจริงๆ...เราสามารถกลับไปได้อีกครั้ง และเราจะได้อีกสองชุด..หรือห้าชิ้น.....ยุ่นว่า..สุดยอดนะ..คนคิดโครงการนี้นะ..Cool...ool.
โหยยย....สุดยอดเลย รองเท้าบู้ทเท่สุดๆ ชอบมั่กๆๆๆ (^_^)
ReplyDeleteอย่าลืมไปเอาอีกสองชุดนะพี่ยุ่น
สวัสดี พี่Smile
ReplyDeleteพอได้อ่าน เรื่องราวทั้งหมด แล้วก้อให้ amazed จัง Surprised smileและ รู้สึกยินดี และดีใจกับพี่ด้วย ที่ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ น่าตื่นเต้น ได้เรียนรู้ และเผื่อมีโอกาสหางานทำ ถึงแม้ว่า อาจจะเป็นงานอาสาก้อตามในช่วงแรก และก้อได้แง่คิดต่างๆมากมายเลย... Thinking smile
พออ่านทั้งหมด ตั้งแต่ Volunteer work แล้ว ก้อทำให้รู้ว่า culture ในการทำงาน ความคิดของเค้าช่างต่างกับเรา(ปท.ทางตะวันออก) และนั่นอาจเป็นเหตุให้เค้าทั้ง effective และ efficient ....เราอ่านไป ก้อได้ความรู้ตามไปด้วย ดีจังนะ ที่แคนนาดาเนี่ย เค้ามีช่องทางต่างๆ ให้เราได้มีโอกาส ค้นหา แก้ไข และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ให้เราได้รู้จักตนเอง รู้จักเคารพตนเอง ไม่ต้องกลัวว่า ทำไม่ได้ ขอให้คิดเพียงว่า ถ้าเรามีความตั้งใจ มุ่งมั่น อยากทำ หลังจากนั้น ก้อขอให้ไปไคว่คว้าความฝันของเรา และก้อยังดีอีกที่มีองค์การอย่างนี้ ช่วยคนในสังคม ช่างเป็นโชคที่ดีของพี่จัง ไม่ใช่ว่า เราจะไปหาเจอง่ายๆนะ เรื่องอย่างนี้นะ เราคิดว่า เป็นช่องทางและโอกาสที่ดีมาก และอีกอย่างคือ พี่ก้อ กล้าที่จะลองทำด้วย.... เหมือนกับวันนั้น ดูหนังฮ่องกงในTV เพื่อนของพ่อนางเอกสอนนางเอก ซึ่งก้อพอสรุปได้ว่า เราจงอย่ากลัวในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่า จะเป็นเรื่องความรัก การงาน เราไม่มีทางรู้ว่า มันจะเป็นอย่างไร มันอาจต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่หากเรา ไม่รู้จักไขว่คว้า ในช่วงที่จังหวะนั้นมาถึง เราอาจจะต้องเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไรไปกับมันเลย และถึงแม้ว่า หากเราตัดสินใจได้ทำอะไรไปแล้ว และผลไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด ก้อจงอย่าเสียใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำไป เพราะอย่างน้อย เราก้อได้ลองทำ ได้ไขว่คว้าโอกาสที่เข้ามา ไม่ได้ปล่อยให้ผ่านเลยไป โดยไม่รู้ผลของมัน ..... (ไม่อยากเชื่อเลย ว่า เราจะสรุปได้ขนาดนี้ เพราะตอนดูวันนั้น ยังงงๆ Confused smileเพราะเค้าพูดถึงเรื่องความรักในเรื่อง พูดถึงเรื่องบุพเพสันนิวาส)
อีกอย่างที่อ่านแล้ว ทำให้นึกถึง ก้อคือ การทำงานของคนฝรั่ง เพราะเราก้อเคยทำงานกับฝรั่งบ้าง และทำให้เข้าใจว่า ทำไมตอนนั้น ถึงไม่เป็นที่ appreciateนัก คือทำกับฝรั่งรายแรก ทีเป็นคนอังกฤษ (ที่ดิสนียื) เราก้อไม่ค่อยได้เจอเค้าช่วงเวลาทำงาน แต่เค้าexpect ว่า เราต้องรู้งาน จึงไม่มีการสอน หรือบอก ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า เราไม่รู้งาน หรือทำงานไม่ถูกใจเค้า และไม่พ้นproด้วย หลังจากคุยกัน เค้าก้อลองให้โอกาสเราปรับปรุงตัวอีก3เดือน และก้อทำให้เรารู้ว่า ใช่ฝรั่งเค้าชอบให้เราแสดงออกความคิด ความรู้สึกของเรา ถ้าเราเงียบๆ เค้าจะอึดอัดมาก เค้าไม่รู้ว่า เราคิดยังไง พอใจ หรือไม่พอใจ เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ...ส่วนอีกคนเป็นคนอเมริกัน อันนี้ ก้อทำงานแบบแย่หน่อย (ตอนได้อยู่ซีพี)คือ ต้องไปเตรียมตัว ซื้อของเข้าบ้านให้เค้า เมื่อเค้าจะกลับมาเมืองไทย จำได้ว่า ในlist เค้าให้ซื้อ พริกหวาน แต่เราดันไปทะลึ่งถามเค้าว่า จะเอาสีอะไร ไม่แน่ใจว่า เนี่ยเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าไม่พอใจรึป่าว แต่จำได้ว่า boss อีกคนบอกว่า เป้นประเด็นนี้มั้ง ตอนแรกเราก้อไม่เข้าใจ แต่พออ่านของพี่อันนี้ เข้าใจเลย คือ เราจำได้ว่า คราวก่อนที่เราไปซื้อพริกหวานให้เค้า เค้ากำชับว่า ไม่เอาสีอะไร แต่พอคราวนี้ ไปซื้อ มันดันมีสี่นั้นเป็นหลัก สีที่เค้าไม่ชอบทาน ซึ่งตอนนั้น เราคงต้องตัดสินใจเอง แต่กลับมาถามเค้า เลยทำให้เค้าไม่พอใจ อีกอย่าง คงเป็นด้วยตำแหน่งงาน เค้าจึงมองว่า เราไม่เหมาะกับงานนี้ ซึ่งพอมามองย้อนกลับ ก้อคงเป็นจริง แต่เราก้อดีใจนะที่ออกมา เพราะเราก้อไม่ชอบงานอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเค้าอยากได้แม่บ้าน ควรจ้างแม่บ้าน แต่ไม่ใช่จ้างเราที่เป็นเลขา ไปทำงานแม่บ้าน
แต่จะว่าไปการได้อ่านงาน Search Job ของพี่คราวนี้ ก้อได้วิเคราะห์ตัวเองไปด้วยนะ และก้ออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราไปสัมภาษณ์ คงตกแน่Crying face และทำให้คิดไปว่า ที่เราเข้าใจว่า เราkeen หรือ ถนัดแล้วนั้นน่ะ เรารู้จริง หรือทำได้เชี่ยวชาญ มีประสิทธิภาพจริงมั้ย ก้อเป็นการ self-evaluate ไปในตัวเลย ......ดีจัง เราจะเก็บข้อคิดต่างๆนี้ไว้ อย่างน้อย ก้อทำให้เห็นโลกทัศน์ที่แตกต่าง การมอง ตลอดจนถึงความเข้าใจในการเรียนรู้ ที่เราเองต้องพยายามหา และเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากขึ้น และที่สำคัญ ที่เรายังขาดเสมอ คือ ความกล้าตัดสินใจ การแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆด้วยตัวเองบางที
ขอให้พี่โชคดีนะ กับประสบการณ์ใหม่ในครั้งนี้Winking smile
อ้า
@เก๋..
ReplyDeleteจะพยายามค่ะ..แต่มันไม่ง่ายนัก..แต่ไงก้อจะลองดู...สู้ สู้