Sunday, October 31, 2010

สังคมมนุษย์...เหมือนกันทุกที่ในโลกนี้..

พูดถึงความรู้สึกของมนุษย์เนี่ย..เวลาเราเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง เช่นเราอยู่เมืองไทยเราก้อรู้สึกมีหลายเรื่องที่เราไม่ชอบ อยู่แล้วอึดอัด..รำคาญจิตใจ..ไม่สบายใจ ไม่ได้ดังใจ...โดยเฉพาะเรื่องการเมืองของบ้านเรา...ซึ่งมันก้อเลยทำให้บ้านเมืองเราพัฒนาไปไม่ถึงไหนสะที..เพราะเรามัวแต่ทะเลาะกัน..ไม่ได้มีความรักชาติอย่างแท้จริง..รวมไปถึงระบบการศึกษา สาธารณะสุข..ขนส่งมวลชน และอื่นๆอีกมากมาย...

แต่จริงๆแล้ว ยุ่นว่าอากาศที่อบอุ่นของเรา..หรือที่จะเรียกให้หรูก้อคือภูมิอากาศที่ดีของเรา...และภูมิประเทศที่ดีของเรา ไม่มีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด...หรือพวกภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง....อาหารการกินที่ถูกและมากมายของเรา .. ค่าแรงที่ไม่สูงมาก..ทำให้พวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสะดวกสบายในระดับหนึ่งเลยแหละ...เมื่อเทียบกับพวกประเทศที่อยู่ในแถบอากาศหนาวเย็น...ชีวิตพวกเค้าลำบากกว่าเราเยอะ...หลายเท่าตัว และเค้าก้อมีความอดทนสูงมาก..เลย...

แต่..ก้ออย่างว่าใกล้เกลือกินด่าง เราก้อยังรู้สึกว่าเมืองไทยไม่ค่อยดีเท่าไร..ต่างชาติ..อเมริกา..ญี่ปุ่น จีน..แคนาดา หรือพวกยุโรปเค้าดีกว่าเรา..

ซึ่งแต่ก่อนยุ่นก้อมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน..แต่หลังจากที่ได้มาสัมผัสชีวิตของพวก North America ซึ่งก้อคือ Canada กับอเมริกา เค้าจะมีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคลึงกันมาก...ก้อน่าจะสรุปได้ว่า...สังคมมนุษย์..มันก้อเหมือนกันทุกที่แหละ..มีดีมีเสียปะปนกันไป..เพียงแต่เวลาเราไปเที่ยวหรืออยู่แป๊บๆ เราไม่รู้หรอก...แต่พอได้อยู่สักระยะนึง...เรารู้มากขึ้น...มันก้อเหมือนๆกัน เพียงแต่เราคงต้องเลือกว่า เราชอบที่จะอยู่ในสังคมแบบไหนมากกว่า....ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียเอาเอง...

อย่างทีแรกมาแวนคูเวอร์ก้อรู้สึก..มาตรฐานชีวิตของคนที่นี่สูงกว่าบ้านเรา..อาหารการกินสะอาด..รัฐบาลควบคุมดูแลมากกว่า...อากาศก้อบริสุทธิ์กว่าบ้านเรา..ชีวิตสบายๆ ไม่เคร่งเครียด...ดูๆก้อเป็นที่ๆน่าอยู่เหมือนกัน...

แต่พอได้อยู่ไปนานๆ...เวลาเราเรียนหนังสือ..ครูที่สอนเรา ที่เป็น Canadian เค้าก้อบ่นว่ารัฐบาลให้ฟังเหมือนกัน...ตอนนี้เค้า lay off ครูออกมากมาย ตัดงบเรื่องการศึกษา ครูจบมาไม่มีงานทำเพียบ..หรืออย่างไอ้ Olympic ปีที่แล้วที่แวนคูเวอร์เป็นเจ้าภาพ ก้อแบบเอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้จ่ายมากมาย และก้อกู้เงินมาด้วย ตอนนี้เนี่ยพวกเราแต่ละคนเป็นหนี้คนละเท่านั้นเท่านี้นะ...เค้าก้อบ่นๆกัน...

หรืออย่างแถว China town โดยเฉพาะตรง Hasting street เนี่ย เป็นดงพวก homeless เลย ซึ่งก้อคือขอทานบ้านเรานั่นเอง....แบบสกปรกและดูแย่มากๆเลยในแวนคูเวอร์ ยุ่นว่าเป็นภาพที่ยุ่นเกลียดและกลัวมากเลย..ซึ่งรัฐบาลก้อแก้ไขอะไรไม่ได้ และขอโทษเงินภาษีที่เราจ่ายให้เค้า เค้าก้อมาดูแลพวก homeless ด้วย..ซึ่งส่วนใหญ่ก้อเป็นฝรั่งนะ..เอเชียไม่มี homeless นะ...เพราะคนเอเชียจะขยันทำมาหากิน... homeless เนี่ย..เค้าก้อคิดว่ารัฐบาลเลี้ยง ก้อไม่เห็นหางานหาการทำเลย..ซึ่งยุ่นไม่เห็นด้วยกับระบบคิดแบบนี้นะ...

หรือล่าสุด..โรงเรียนยีน..เด็กฝรั่งนะ เกรด 10 ถูกต่างโรงเรียนเด็กจีน..รุมทำร้ายให้คุกเข่าขอโทษเพราะไปว่าเด็กจีนตอนเล่นเกมส์ว่าเล่นเกมส์ได้ห่วยอะไรประมาณนี้ ไอ้เด็กจีนคนนี้โกรธมาก..เลยมาทำร้ายถึงโรงเรียน เล่นเอาไอ้เด็กฝรั่งคนนี้มือหักเลย...และเด็กฝรั่งก้อไม่กล้าบอกว่าใครทำร้าย เพราะกลัวว่าครั้งหน้าไอ้เด็กจีนกับพวกมันเอาตายเลย...เด็กในโรงเรียนหลายคนก้อรู้แต่ไม่กล้าปริปากบอก...นี่ก้อคือมาเฟียชัดๆ..

และอีกอย่างที่ยุ่นยังทำใจไม่ได้ก้อคือ..ที่นี่แบบเวลาเราไปหาหมอเนี่ย ฟรีหมดเลยนะ..แต่ซื้อยาเราต้องเสียเงินเอง ขึ้นกับว่าเรามีรายได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าน้อย รัฐก้อช่วย แต่มากเราก้อต้องควักเงินจ่ายเอง..อันนี้ยุ่นรับได้

แต่ที่รับไม่ได้คือ..เวลาไม่สบายหนักๆต้องเข้าโรงพยาบาล แบบมันตามคิวอ่ะ..ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราท้องจะคลอดลูกใช่มะ..แบบใกล้วันแล้ว...บางทีปวดท้องมากแต่ยังไม่มีวี่แววจะคลอด เค้าจะให้กลับบ้านก่อน..แบบต้องรอจนเหมือนกับหัวลูกเราจะโผล่ออกมาจริงๆนะ..เราถึงจะได้เข้าไปทำคลอด..แบบคิวยาวเป็นกิโลเลยอ่ะ...มีเพื่อนคนไทยคนนึงเค้าคลอดที่นี่เค้าบอก..มันเป็นอย่างนั้นเลย..เค้าไม่ให้อยู่โรงพยาบาล เค้าให้กลับบ้านก่อน จนถึงเวลาจริงๆค่อยมา..แล้วก้อคลอดเสร็จสองวันก้อต้องออกจากโรงพยาบาลนะ..เพราะมีคิวอื่นรออยู่...โรงพยาบาลไม่มีเตียงว่าง หรือที่ว่าง....นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชนก้อไม่มีอีกด้วย

หรืออย่างสามีมิสติง เค้าจะผ่าตัดมือเค้า..เนื่องจากแกมีเส้นสายลูกสาวเป็นหมอ...คิดจะผ่าก้อนัดหมอได้ผ่าอาทิตย์หน้าเลย แต่ถ้าอย่างคนทั่วไป ไม่รู้จักใครมิสบอกหกเดือนยังไม่รู้จะได้ผ่ามั้ยเลย...ซึ่งอันนี้..ยุ่นไม่ชอบอ่ะ..ทำใจไม่ได้...จริงอยู่ทุกคนเท่าเทียมกัน...แต่ก้ออีกแหละ..มันไม่จริง...ความยุติธรรมหายากจริงๆ..ยุ่นยอมจ่ายสตางค์แล้วหาหมอบ้านเรานะ...ถ้าให้เราต้องรอแบบไม่รู้วันเวลา รับไม่ได้...

อึม เข้าโรงพยาบาลที่นี่เราก้อไม่ต้องจ่ายสตางค์นะ..เพียงแต่เราต้องมีใจที่อดทนรอคอยเท่านั้น..เหมือนเวลาดูหนังฝรั่ง..แล้วเห็นเค้าเป็นคิวรอกัน..ก้อคือเหตุผลแบบนี้เลย...ตอนนี้นะ เข้าใจลึกซึ้งเลย..

อ้อ..อีกอย่าง family doctor แบบทุกครอบครัวต้องมี family doctor ไง ซึ่งครอบครัวเราก้อโทรศัพท์หา..แต่เค้าไม่รับอ่ะ เค้าบอกเต็ม..เต็ม..เซ็งมากเลย จนถึงวันนี้ครอบครัวเราก้อยังไม่มี family doctor เราก้อกินยาไอ้ที่เราเอามาจากเมืองไทยนั่นแหละ..ก้อไม่รู้สวัสดิการด้านรักษาพยาบาลเราจะทำไปทำไม..ยังไม่เคยได้ใช้เลย..สองปีที่ผ่านมา ก้อไม่ได้มีประโยชน์กับครอบครัวเราเท่าไรนัก..แต่มันเป็นกฏนะ..เราต้องทำ..ไอ้ที่ทำเนี่ย ก้อต้องจ่ายสตางค์นะค่ะ...มีมีอะไรได้มาโดยไม่ใช้เงินอย่างแน่นอน...สำหรับ North America....

และพอได้ฟังเรื่องนี้เรื่องโน้นมากเข้า..เช่น พวกคนจีนเนี่ย..อึม จีนแผ่นดินใหญ่นะ..ที่มาแวนคูเวอร์ส่วนใหญ่จะค่อนข้างรวย..สามีก้อจะส่งภรรยาและลูกมาที่แวนคูเวอร์...ซื้อบ้านมากกว่าหนึ่งหลัง..หลังนึงก้ออยู่เอง หลังสองหลังสามก้อซื้อไว้เก็งกำไร..จึงทำให้ราคาบ้านในแวนคูเวอร์สูงเอาสูงเอา..จนตอนนี้..รับไม่ได้หลังนึงเป็นล้านเหรียญ..คือสามสิบล้านบาท...ทั้งที่แต่ก่อนสองแสนกว่าเหรียญ..หรือแม้กระทั่งฝั่ง east ซึ่งราคาบ้านแต่ก่อนไม่สูงมาก..เดี๋ยวนี้ราคาก้อเหยียบเจ็ดถึงแปดแสนเหรียญเหมือนกัน..

ซึ่งตรงนี้รัฐบาลไม่ควบคุมเพราะชอบไง..แบบมีคนเอาเงินมาลงทุนในประเทศเค้าก้อชอบสิ...รัฐก้อสามารถเก็บภาษีนั่นภาษีนี่ได้เพิ่ม...แต่เค้าไม่ได้นึกถึงว่าประชาชนที่อยู่จริงๆเนี่ย จะซื้อบ้านซื้อช่องกันยังไง..ทอมบอกไม่มีทางเลยที่เด็กรุ่นใหม่หลังจากนี้จะซื้อบ้านเองได้..ราคามันแพงมั่กๆ..หรือแม้แต่ apartment ก้อยังหนักหนาสาหัสเลย...ยุ่นมองว่าราคาบ้านกับรายได้ประชากรที่หาได้มันไม่สัมพันธ์กัน...มันเป็นแค่คนกลุ่มเดียวที่เข้ามาซื้อและปั่นราคาบ้าน...แต่รัฐบาลก้อไม่สนใจที่จะแก้ปัญหา...อย่างจริงจัง..

เฮ้อ..พอได้ยินได้ฟังมากๆเข้า..ยุ่นก้อคิดว่า เฮ้อ..มันก้อเหมือนกันทุกที่เลย...รัฐบาล..ก้อไม่ได้สนใจประชาชนจริงๆ...เพียงแต่ว่าที่นี่เค้ามีการวางรากฐานมาอย่างเป็นระบบระเบียบมากกว่าเรา..และกฎเกณฑ์เค้าก้อหนักกว่าเรา..แบบทำผิดก้อปรับหนัก...คนก้ออยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ไง..และก้อมีระบบควบคุมในระดับหนึ่ง...การคอรัปชั่นก้ออาจน้อยกว่าเรา...รึปล่าวไม่รู้ !?!

แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่นหวั่นมากคือ..พวกคนจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเยอะมากๆ...และพวกคนจีนเนี่ย..ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด..ทั้งโกง ทั้งไม่ค่อยมีระเบียบ ทั้งเห็นแก่ตัวสุดๆ...และเป็นชุมชนที่ใหญ่มาก...และคุมเศรษฐกิจของที่นี่... พี่อ้อม..เรียกคนจีนพวกนี้ว่าจีนที่ยังไม่พัฒนา..ซึ่งนับวันก้อมีมากขึ้นมากขึ้นในแคนาดา..ซึ่งทำให้ยุ่นเองช่วงหลังเนี่ย...รู้สึกว่าเราไม่ใช่คนจีนแบบเค้า เราเป็นคนจีนที่อยู่ในเมืองไทย Thai Chinese ซึ่งพี่อ้อมบอกเราคือจีนที่พัฒนาแล้ว 55555 เห็นด้วยค่ะ...^^

และนี่ก้อคืออีกมุมหนึ่งในแวนคูเวอร์...ที่ยุ่นค้นพบหลังจากที่อยู่มาเกือบสองปีแล้ว...ยุ่นว่านะ..ยังไงยุ่นก้ออยากกลับไปตายที่เมืองไทยดีกว่า.. ถึงใครจะว่าแวนคูเวอร์เป็นเมืองที่น่าอยู่เมืองหนึ่งในโลก...ก้อสู้บ้านเราไม่ได้...ที่ได้อยู่กับพ่อแม่พี่น้อง..เพื่อนพ้องกันพร้อมหน้า...นั่นคือสิ่งที่ยุ่นพอใจ แค่นั้นแหละ...

เหมือนเราอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตสวยงาม....หรูหรา..มีระบบรักษาความปลอดภัยสูง..อาหารการกินอย่างดี...แต่ถ้าในบ้านหลังนั้น..แต่ละที่ แต่ละมุมในบ้าน...มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา...บ้านใหญ่หรูหลังนั้น.. ก้อเป็นบ้านธรรมดาๆหลังหนึ่งที่ไม่ได้มีความน่าอยู่อะไรมากมายในความรู้สึกของยุ่น...

Wednesday, October 20, 2010

เก็บตก 2

พอดีเพิ่งเขียนเกี่ยวกับคุมอง ก้อให้นึกถึงอีกเรื่องนึงที่อยากจะเขียนมาหลายครั้งแล้ว แต่มีอันลืมเป็นประจำ..


อันนี้ก้อเป็นสิ่งดีๆที่ได้จากมิสติงเค้าเหมือนกัน..ก้อคือแบบฝึกหัด คุมองชุด F151 ซึ่งเป็นชุดที่เด็กทั่วโลกน่าจะมีปัญหาเวลาเจอชุดนี้

สำหรับบ้านเรา ทางคุมองก้อแนะว่าให้เวลาเด็ก..และเด็กก้อจะคิดออกในที่สุด..เช่น

.......+ 5 = 9

X=

เด็กดูสักพักเด็กก้อจะรู้ว่าคำตอบคือ 4 หรือถ้าเป็นคูณ เช่น 8x.......=56

X=

สักพักเด็กก้อพอจะคิดได้ว่า 7 แต่ถ้าเริ่มยากเช่น 3x..........= 1

X=

เด็กจะเริ่มชะงักงัน อะไรคูณกับ 3 แล้วได้หนึ่ง มันไม่มี...หรือถ้ายิ่งทำไปถึงท้ายๆสามสี่แผ่นหลังของชุดนี้ เด็กจะใช้เวลาในการระลึกชาตินานมากๆ...

ซึ่งเราก้อต้องช่วย guide เด็ก...แต่ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี..

ทีแรก..มาที่ศูนย์มิสเวลาเด็กอยู่ในชุดนี้ เค้าก้อจะแจกกระดาษให้เด็กหนึ่งใบ และบอกเธอไปดูนะ..แล้วทำตาม แสดงวิธีทำด้วย...พูดแค่นี้อ่ะ..เด็กมันก้อไม่ get ........ sheet ที่ให้ก้อประมาณนี้:

Addition :

.......+3 = 8 --------- > 8-3= 5

9+.....= 12 ----------- > 12-9 = 3

Subtraction :

......-4= 10 -------------> 10-4 = 6

9-.... = 2 ---------------> 9-7 = 2


Multiplication :

.......x5 = 20 -----------> 20 หาร 5 = 4

4x......= 28 --------------> 28 หาร 4 = 7

Division :

.......หาร 7 = 3 -----------> 7x3 = 21

30 หาร ......= 5 -----------> 30 หาร 5 = 6

จริงๆยาวกว่านี้ เพราะในแต่ละ section คือ บวก ลบ คูณ หาร เค้าจะมีตัวอย่างประมาณหกตัวอย่าง แต่ยุ่นว่าไม่ต้องเยอะ สองตัวอย่างต่อหนึ่ง section ก้อพอ ถ้าเด็กเข้าใจเค้าก้อทำได้..อันนี้มิสติงเค้าบอกเค้าคิดค้นวิธีนี้เอง และมันก้อดีมาก...ยุ่นเองหลังจากหัดใช้แล้ว ก้อเห็นด้วยกับมิสติงเค้านะ..

แต่เด็กเอาแผ่นนี้ไป ก้อไม่รู้ว่ามิสให้ทำไม เด็กก้อไปเติมตัวเลขในช่องว่างแล้วมาส่งแก..บางคนเอาไปมอง จ้องอยู่ตั้งนาน..ก้อไม่รู้เรื่อง เดินกลับมาหาแกอีกครั้ง 55555

ยุ่นก้อเลยลองเอาแผ่นนี้มาดู..แล้วก้อลองปรับใช้ดู..อึม..ใช้ด้ายเลย...หากเด็กเข้าใจว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร เด็กจะสามารถทำ F151 ได้สบายๆประมาณ 7 แผ่นแรกเลย แต่รู้สึก สามแผ่นสุดท้ายมันจะเป็นแบบถอดสองชั้น...เช่น

2x.......+10 =16 อันนี้ยุ่นว่าเราน่าทำเพิ่ม..เป็น

...........+ 10 =16 --------> addition

2 x.......= 6 ---------> multiplication ข้อนี้ต้องถอดสองชั้น...

ยุ่นเลยคิดว่า sheet แผ่นนี้ของมิสติงนะ work ดี..เพราะบางทีเด็กบางคนก้อนึกภาพไม่ออกจริงๆ...เราควรมีเครื่องมือช่วย และอันนี้ก้อไม่เลวนะ...

อันนี้ก้อเป็น idea ดีๆที่ได้ระหว่างทำงานที่นี่ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ สามารถนำมาปรับใช้ในศูนย์ได้ หรือหากเพื่อนๆมีวิธีไหนที่ work กว่านี้ ก้ออยากให้ลอง share ความคิดเห็นกัน..

และก้อขอแถมท้ายด้วยเรื่องภาษาอังกฤษ วันละประโยค แบบตอนแรกคือแรกจริงๆ วันแรกวันที่สองประมาณนั้น..ที่ทำงานที่ศูนย์ มิสเค้าเรียกให้ไปจัด sheet ไอ้เราก้อลืมฟังว่าเค้าพูดว่าอะไร คือรู้ใจความแต่จำประโยคที่เค้าพูดไม่ได้ แบบบางทีแกก้อ version mandarin บางทีก้ออังกฤษ เสร็จถึงตอนเราต้องพูดว่า เรากำลังจัด sheet อ้าว..แล้วจะพูดไงเนี่ย..เค้าพูดอะไรนะ.. ทีแรกก้อแบบมั่วเลย prepare... the worksheet แบบเอาตามภาษาเรา รู้ว่าเค้าต้อง...งงกัน...คือเราพูดเองยังรู้สึกเลยว่าไม่ใช่..ทะแม่งๆไงไม่รู้..

มิสแกก้อพูด pour sheet ธรรมดา แต่พวกผู้ช่วยวัยรุ่นเค้าพูด grab the sheet.... แล้วตูจะรู้มั้ยเนี่ย..

หรืออีกเรื่อง....เด็กมาที่ศูนย์ก่อนทำ classwork ต้องแสตมป์เวลาก่อนและหลังทำงาน.. แต่พวกครูผู้ช่วยเค้าพูดกันว่า stick the time เราก้อพูดตามเค้า ทีแรกยุ่นก้อพูด stamp the time แต่ไม่มีใครพูดไง..เราก้อพูดตามเค้า ปรากฎวันก่อน มิสไม่รู้ถามยุ่นเรื่องอะไร ยุ่นก้อบอก I told him to stick the time but he forgot. แกก้อบอกอะไร stick the time เค้าเรียก stamp the time.... 55555 วัยรุ่นใช้ stick....มิสติงใช้ stamp.... ในศูนย์เดียวกันแท้ๆ...นี่ไง..แล้วเราจะไม่..งง ได้ไง... ไงก้อ..เข้าเมืองตาหลิ่วก้อหลิ่วตาตามก้อแล้วกัน...^^

เก็บตก

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์กลางเดือน เพราะฉะนั้น ยุ่นต้องทำ report ด้วยและทำงานในศูนย์ไปด้วย ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ไม่ชอบที่สุดของการทำงานคุมอง..

ตอน นี้ที่แคนาดา เค้าเปลี่ยนเป็นระบบ paperless หมดเลย คือทุกศูนย์ต้องส่งเรื่องเข้าบริษัทโดยผ่านระบบคอมหมด..ที่บ้านเราก้อมีแล้ว แต่ยุ่นยังไม่ได้ทำเลย ก้อเลยได้มาฝึกทำที่นี่ก่อน 5555

ก้อทำมาหลายเดือนแล้วหละ..ไม่ยาก.. ทีแรกมิสติงเค้าคิดว่ายุ่นใช้คอมไม่เป็น เค้าก้อถามก่อนเลยว่า สุวรรณี เธอเล่นคอมได้มั้ย?? สงสัยหน้าเราไม่ค่อยทันสมัย..

ยุ่นก้อบอกพอได้..ดูแกโล่งอกไงไม่รู้...จากนั้น แกก้อสอนเราว่าทำไง..แต่ก้อมี Jessica ซึ่งเป็นมือ key ข้อมูลเลย เร็วมาก..ถ้าเยอะๆ เร่งๆ..ต้องให้ Jessica

เมื่อ วานก้อวันศุกร์ เด็กก้อเยอะมาก..ก้อคือต้อง key มากมาย โดยหน้าที่หลัก ยุ่นต้องทำก่อน..ถ้าไม่ทัน Jessica ก้อมาช่วยได้ และเมื่อวานก้อคือไม่ทันจริงๆ..เพราะขณะที่ key เนี่ย ยุ่น focus ไม่ได้เลย เพราะมิสก้อเรียกให้ทำนั่นทำนี่ตลอด

อีกทั้งผู้ปกครองใหม่ก้อ มา..เราก้อต้องให้เด็กทำ test นักเรียนใหม่มา เราก้อต้องอธิบายว่าเด็กต้องทำอย่างไร คุยกับพ่อแม่เด็กอีกว่าดูแลลูกยังไงที่บ้าน ตรวจการบ้านไง..

ยังไม่ พอ..มีเด็กพวกระดับ H ขึ้นไป ที่ทำไม่ได้ มิสก้อบอกไปหาสุวรรณี พวกเด็กผู้ช่วย..ซึ่งส่วนใหญ่ก้อเรียนคุมองมาทั้งน้าน..บางคนตอนนี้อยู่ O ด้วย..ก้อไม่สามารถช่วยเด็กได้ Alexander ก้อมาบอก สุวรรณี เด็กคนนี้คนนั้นเค้าต้องการให้ยูช่วย...

เรียกว่าเมื่อวาน..หัวฟู.. มากเลย...งานตัวเองเนี่ยกองเต็มโต๊ะเลย และยังต้องเปิดสมุดนักเรียนใหม่อีก..คนละสองเล่ม นักเรียนใหม่ก้อมากันห้าคน ก้อสิบเล่ม..ทำไงก้อไม่เสร็จสักที.....กดดันเหมือนกันนะเนี่ย..

ยุ่น เริ่มเข้าใจที่ฝรั่งชอบลงใน ad ตอนรับสมัครงานว่าคุณต้องทำงานได้แบบ multitask.... ที่นี่เค้าใช้งานคุ้ม..แต่ยุ่นดูไอ้พวกเด็กนักเรียนผู้ช่วยก้อไม่มีอะไรนะ.. เค้าก้อแค่ตรวจงานเท่านั้น...เฮ้อ..

แต่สรุปว่า..สุดท้าย Jessica เข้ามาช่วย key คอม และยุ่นก้อเลยได้เคลียร์งานต่างๆที่ยังทำไม่เสร็จสักที..ที่นี่ต้องทำ ทุกอย่างเสร็จในวันที่เรามาทำงาน..เราไม่สามารถมาทำวันอื่นได้.. อึม..หรือพูดอีกทีก้อคือมานะมาได้..แต่เค้าไม่จ่าย สตางค์..

พอเสร็จตอนกลับบ้านขึ้นรถ มิสติงแกก้อคุยกับยุ่นว่า เฮ้อ..เหนื่อยจัง..อยากเลิกทำแล้ว...ไอ้เราก้อคิด เหนื่อยไงเนี่ย นั่งอยู่ที่โต๊ะเฉยๆ..ไม่น่าเหนื่อยเลย สอนเด็กก้อไม่ได้สอน..งานแกสบายมากเลย.. ก้อนั่งแล้วก้อคุยกับผู้ปกครองบ้าง คุยกับเด็กตอน feed back แล้วก้อขีดเส้นหน้าสมุด assign งานอ่ะ..แกทำแค่นั้นจริงๆ...

"เนี่ย เธอรู้มั้ย..คนที่จะซื้อที่ผ่านมา ในที่สุดก้อไม่ซื้อ...แล้วก้อมาต่อราคาอีก แต่ฉันไม่ให้..และนี่อีกคนที่สนใจ..ก้อหายเงียบไปเลย..เค้าบอกจะโทรมาจะโทร มาก้อไม่โทร. ฉันสังหรณ์ว่าเค้าไม่เอาแล้วหละ..เพราะที่บริษัทคุมองโทรไป เค้าก้อไม่รับสาย แล้วก้อไม่โทรกลับด้วย....เฮ้อ..ไม่รู้ฉันจะขายได้มั้ย..แล้วเธอหละ สุวรรณี เธอไม่สนใจจริงๆเหรอ ??.

กลับมาที่เราอีกแล้ว..ยุ่นก้อคิดนะ สนก้อสนนะ..แต่ราคามันสูงเกินไป..เอามาสงสัยจะนอนไม่หลับ สี่แสนเหรียญ ไม่รู้จะต่อยังไง..สองแสนสำหรับเราก้อยังสูงเลย..สำหรับการทำศูนย์แบบนี้.. สำหรับยุ่นถ้าทำศูนย์ด้วยราคานี้ มันคือธุรกิจอย่างเดียวเลย...เราคงจะทำแบบใจรักไม่ค่อยได้ คือแบบ..อยากทำศูนย์ในลักษณะ ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ถ้าสี่แสนเหรียญ เราคงเน้นเด็กเข้ามาเยอะๆ คุณภาพเอาไว้ก่อน...

ยุ่นก้อต้องตอบเลี่ยงๆว่าเรายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่..แกก้อเลยเงียบไป..

และ แกก้อยังพูดอีกว่ามีอีกศูนย์หนึ่งนะที่ Edmonton เค้าขายให้ผู้ช่วยเค้า 700,000 เหรียญเด็ก 600 กว่าคน..มันต้องราคาประมาณนี้แหละ หัวละ 1000 เหรียญ...ฉันคิดไม่แพงหรอก..ยุ่นก้อคิด ทำไมผู้ช่วยรวยจังวะ..ซื้อได้ไงเนี่ย 21 ล้านบาทไทย..แต่..เค้าคงพิจารณาเรียบร้อยแล้ว..

แล้วเมื่อวานแกก้อเพิ่งเล่าให้ฟังเพิ่มอีกว่าเพื่อนลูกสาวแกคนที่ทีแรกสนใจ เค้าขอต่อราคาเหลือครึ่งหนึ่งคือสองแสนเหรียญ แต่มิสไม่ตกลง เค้าเลยบอกเค้าจะเปิดศูนย์ใหม่เอง...สร้างเอง..เฮ้อ..หรือว่าฉันให้เค้าเลยเนี่ย..ต่อลงมาตั้งครึ่งนึง...

ยุ่นก้อไม่พูดอะไร.. no comment...

แต่ไง..สำหรับ ศูนย์มิส..ราคานี้ ยุ่นว่าขายไม่ง่ายอย่างแน่นอน..สังเกตุมีคนมาดูสี่ห้ารายแล้ว ก้อเงียบหายทุกรายไป...ยุ่นว่านะ หลังจากมาดูงานที่ศูนย์...คุยกับคุมอง รวมทั้งได้ฟังราคาของมิส...ทุกคนก้อคงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง.. เป็นธรรมดา.. และยิ่งไม่ใช่คนที่เคยทำคุมอง...จะมองไม่ออกว่าธุรกิจนี้เป็นอย่างไร...แต่ก้ออีกแหละ..ต่อให้มองออก...การลงทุนด้วยจำนวนเงินขนาดนี้..ก้อไม่หมูเหมือนกัน..

Wednesday, October 13, 2010

Volunteer ภาคสอง

หลังจากที่ได้ไปเข้าเรียน job search program ก้อได้เกิดความคิดอยากทำงาน volunteer job เพราะเหมือนเป็น culture ของคนที่นี่ และเป็นใบเบิกทางสู่การได้งานในอนาคตด้วย..

ยุ่นก้อมาหาใน web site ..บังเอิญเจอหน่วยงานหนึ่งชื่อ Boys and Girls Clubs of Greater Vancouver เค้าก้อต้องการคนช่วยดูแลเด็กทำการบ้านตอนเย็น

หน่วยงานนี้ก้อเป็น non profit organization ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดาเหมือนกัน และหากเรา volunteer แล้วเค้าถูกใจเรา ก้อมีโอกาสรับเราเข้าทำงาน..ในนั้นเค้าลงว่าอย่างนั้น

อึม..ไม่เลว..น่าลองดูสักครั้ง..

ยุ่นก้อเลยเขียน e-mail ไปบอกเค้าว่าเรามีความสนใจที่จะทำงาน volunteer ชิ้นนี้นะ..เค้าก้อตอบมาว่าขอบคุณ และบอกให้เราส่ง resumeให้เค้า และเค้าจะค่อยนัดสัมภาษณ์

ปรากฎตอนนัดสัมภาษณ์เนี่ย ตอนเค้าโทรมายุ่นไม่อยู่บ้าน ยุ่นโทรไปเค้ายังไม่มาต้อง leave message ไว้ตลอด..ก้อเป็นแบบนี้ประมาณ 3-4 รอบ จนในที่สุด ได้มีโอกาสคุยกัน..และเค้าก้อนัดสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

คนที่สัมภาษณ์ ชื่อ Emily Fraser เป็นฝรั่ง อัธยาศัย (ไม่รู้สะกดถูกมั้ย) ดีทีเดียว..เค้าก้อสัมภาษณ์ว่าทำไมอยากทำงานนี้ มีความสนใจอะไรอย่างไร คิดว่าถ้าเจอเด็กที่มีปัญหาจะแก้ปัญหาอย่างไร..ยุ่นก้อตอบไปตามที่เราคิด..คือแบบไม่ได้เตรียมคำพูดมา ตอบสดเลย แบบมันเป็น volunteer อ่ะ ได้ก้อได้ ไม่ได้ก้อไม่เป็นไร ทำให้เราไม่กดดัน และยุ่นว่าเราก้อคงตอบได้เป็นธรรมชาติของตัวเรามากที่สุด..แบบไม่ไ้ด้ท่องมาไง..5555

เค้าก้อคุยอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้น เค้าขอ reference พอดีเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว เป็น Canadian หมดเลย คนแรกก้อ Ian ครูสอนอังกฤษ คนที่สองก้อ John ครูสอนเลข คนที่สามก้อมิสติง เจ้านายเราเอง..ยุ่นก้อได้ขออนุญาตทั้งสามคนเรียบร้อยแล้ว..

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของการทำงาน volunteer ที่นี่คือ Criminal Record Check ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ดูแลเด็ก..ในประเทศนี้ต้องมีอันนี้ สำคัญมากๆ..เค้าก้อถามว่ายุ่นโอเคมั้ย..ยุ่นก้อบอกโอเค..

จากนั้นเค้าก้อกรอกชื่อเราในจดหมายที่เค้าเตรียมมา..และเราต้องถือใบนี้พร้อมหลักฐานที่แสดงตัวเรา ไปยังสถานีตำรวจเพื่อทำ criminal record check ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์...นานจัง....รู้สึกทำงานช้าเหมือนกันนะเนี่ย..

และวันนี้ 13 ตุลา ยุ่นก้อเพิ่งว่าง ก้อเลยไปสถานีตำรวจแต่เช้า เพราะหลายคนเตือนว่าอาจต้อง line up ถึงสองชั่วโมง..

ปรากฎเราก้อเตรียมเอกสารครบตาม Emily บอกแล้วนะ..มีจดหมายที่เค้าให้ บัตรแสดงว่าเป็นตัวเราสองบัตร ตัวจริงนะ..แล้วก้อเงิน 25 เหรียญ

ปรากฎ..ทางตำรวจต้องการอีกอันก้อคือ..หลักฐานที่แสดงว่าเราอยู่ที่บ้านเลขที่ๆเราแจ้งจริงๆ..ยุ่นก้องง..ไม่รู้ว่าต้องมีแบบนี้ เพราะ PR card กับ Care Card ของยุ่นไม่มีที่อยู่ไง..เค้า้ก้อบอกเอาจดหมายอะไรก้อได้ที่มีการส่งมาที่บ้านมาแสดง..

ไ้อ้เราก้อไม่ได้เอาไปเลย..ก้อไม่รู้ว่าต้องใช้แบบนี้....ส่วนพวกเพื่อนที่ไปทำ ก้อไม่มีใครเตือนเรื่องนี้ เพราะเค้ามี driver licence หรือเค้าเป็น citizen แล้ว เค้าก้อมีบัตรประชาชนไง..ก้อไม่จำเป็นใช่มะ..แต่เรายังไม่มี และไม่มี driver licence อีก..

ตำรวจคนที่ทำเค้าก้อบอก..เอางี้ คุณเดินบัญชีกับธนาคารอะไร ยุ่นก้อบอก Scotia อึม งั้นคุณไปที่สาขาตรงแถวนี้นะ..และบอกเค้าว่าคุณต้องการ print บัญชีเพื่อ prove ว่าคุณอยู่ที่ address นี้จริง..เค้าจะทำให้..

ยุ่นก้อ..เอาวะ..ไหนๆก้อมาแล้ว..ก้อเดินออกมาหา scotia bank ปรากฎหาไม่เจอ..ก้อถามคนที่เค้าเดินมาเดินไป. คนหนึ่งก้อบอกทางนี้ เดินไปก้อไม่เจอ ถามอีกคนก้ออีกทาง..ก้อไม่เจออีก..เฮ้อ..เหมือนในหนังไงไม่รู้..แบบเวลาจะทำอะไร แล้วมันติดมันขัดไปหมด..

ก้อวิ่งหาอยู่สักสิบนาทีได้..เสร็จ ตาก้อมองไปไกลๆอีกฝั่ง อ้าว..นั่นมัน logo bank scotia นี่ ตัว S เฮ้อ..เจอแล้ว.. ยุ่นก้อเข้าไปแจ้งความจำนง แต่เราไม่ได้เป็นลูกค้าสาขานี้นะ..เสร็จพนักงานมันก้อแบบหน้าตาบอกบุญไม่รับนะ..ทีแรกมันก้องงๆ อะไรเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเราอยู่บ้านตัวเอง..

ก้อเลยบอกเค้าว่าเราไม่รู้ว่ามันต้องใช้ เลยไม่ได้เตรียมมา..แต่อยากขอเอกสารตรงนี้ เพื่อยืนยัน..พนักงานก้อบอก..เค้าอาจต้องคิดสตางค์ค่า print เอกสารให้เรานะ..บอกแล้วที่นี่ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด..

เสร็จยุ่นก้อหน้าเสียนะ..อะไรเนี่ย..เราเป็นลูกค้าเดือดร้อนมา แทนที่จะช่วย กลับฉวยโอกาสเลย แต่คิดในใจนะ ไม่ได้พูดออกมา กลัวเดี๋ยวมันยิ่งไม่ทำให้..

เสร็จ เค้าคงเห็นหน้าเราไม่พอใจ เค้าก้อเดินไปคุยกับผู้จัดการสาขา ผู้จัดการเค้าก้อบอกไม่เป็นไร อึม ขอหลักฐานแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของบัญชีก้อแล้วกัน..เสร็จไอ้พนักงานคนนี้มันก้อกำชับด้วยนะว่า มันทำให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ..ครั้งหน้าไม่ได้..ไอ้เราก้อคิดในใจอีก..ฉันก้อไม่ได้อยากจะมาอีกหรอก..นี่มันจำเป็นจริงๆ..ไม่อยากงอหรอก..ชักเคือง..

เสร็จเค้าก้อทำให้แบบเสียไม่ได้..เราก้อขอบคุณตามระเบียบ แต่ผลคือไอ้บัญชีที่มีชื่อยุ่นเนี่ย ที่อยู่มันกลายเป็นที่อยู่ของ scotia สาขาที่เราเปิดบัญชี ไม่ใช่ที่อยู่ของยุ่น..

เหมือนในหนังอีกแล้ว..อะไรกันหนักหนาเนี่ย..เซ็งสุดๆเลย..

ยุ่นก้อเดินกลับไปที่สถานีตำรวจ..และไอ้ตรงบริเวณ china town เนี่ย ยุ่นก้อไม่อยากเดินเลย เพราะพวก homeless เพียบ แต่ตอนนี้ ไม่กลัวแล้ว..เกิดอารมณ์เซ็งมากกว่า..

ก้อเดินกลับมาที่ counter เอาให้ตำรวจคนเก่า เค้าก้อดีใจบอก..โอเค..แต่ยุ่นก้อบอกว่ามันยังคงใช้ไม่ได้ เพราะที่อยู่มันเป็นของ bank ตำรวจก้องง บอก..แล้วคุณไม่รู้เหรอ..ยุ่นบอก..ไม่รู้ เพราะเอกสารเราที่เค้าส่งมาที่บ้านก้อถูกต้อง แต่ไม่เข้าใจระบบคอม..ของเค้า ตำรวจบอกทำไมไม่ให้พนักงานเค้าแก้ไข ยุ่นก้อตอบเลี่ยงว่า เค้าบอกต้องแก้ไขที่สาขาที่เราเปิดบัญชี ซึ่งยุ่นคิดว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้น..

เสร็จตำรวจก้อบอก..เค้าทำเรื่องให้ไม่ไ้ด้..ต้องมาใหม่อีกครั้ง..และครั้งหน้าก่อนมาควรอ่านรายละเอียดใน web site ก่อนมา จะได้ไม่เสียเที่ยว..เฮ้อ..ไอ้เราก้อคิดว่า Emily เค้าบอกรายละเอียดทั้งหมด..ก้อน่าจะครบถ้วน เราสะเพร่าเอง..เราควรจะ double check ด้วย..

เฮ้อ..ไม่อยากเชื่อเลย..เรื่องดูง่าย ทำไมมันไม่จบสักที..ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มาใหม่ คืออาทิตย์นี้เรื่องนี้ต้องจบ..

กลับมาบ้าน...เหมือนถูกแกล้ง เชื่อมะ..ปกติ..ซองจดหมายที่มีชื่อยุ่น ชื่อฮ่ง..ฮ่งเค้าจะเก็บเป็นตั้งๆ..แต่พอดีเมื่อสองวันก่อนมีเพื่อนมานั่งที่บ้าน ฮ่งก้อ clear ทิ้งหมด..ปรากฎไม่มีเหลือเลย..ไอ้เราก้อเข้าไปค้นหาตามกล่อง..ที่ฮ่งเก็บอยู่..ปรากฎมีเหมือนกัน แต่เป็นที่อยู่ที่อยู่ห้องเก่า 304 ไม่ใช่ 123

ยุ่นก้อนึกออก อึมเรามีจดหมายจาก Vancouver School Board ที่แจ้งเรื่องผลการสอบของเรา..ก้อเลยไปดู ปรากฎที่อยู่พิมพ์ผิด คือมันต้อง west 45 แต่เค้าดันพิมพ์เป็น east 45

ไม่อยากเชื่อเลย..เหมือนถูกแกล้งไงไม่รู้..ยุ่นก้อเลยยิ่งรู้สึกว่ายุ่นต้องเอาชนะมันให้ได้..ก้อเลยตัดสินใจว่ารีบกินข้าวเที่ยงแล้วก้อก่อนไปโรงเรียน เราจะแวะที่ Scotia Bank สาขาใกล้บ้านบอกเค้า..ให้จัดการแก้ไขให้เรา...ให้มันรู้ไปว่างานนี้..เราจะทำไม่ได้จริงๆเหรอ..

ก้อเลยเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับบอกเค้า..เค้าก้อน่ารักมาก รีบดูให้ แต่ปรากฎว่ามันแก้ไขแล้ว แต่เค้าำ้ไม่เข้าใจว่าทำไมที่อยู่ที่เราได้ถึงเป็นแบบนั้น..แต่เค้าก้อพิมพ์ใบที่เป็นที่อยู่ปัจจุบัน และ stamp ตรายางให้ว่าปัจจุบันที่สุด...คือวันนี้ 13 ตุลา..

และเค้าก้อขอโทษยุ่นว่าทำให้ยุ่นไม่สะดวก..ยุ่นก้อเลยรู้สึกอารมณ์ข้างในที่ขุ่นๆ ก้อเลยดีขึ้นเลย..เพราะพนักงานเค้ามีน้ำใจ และช่วยเหลืออย่างจริงใจ..

สรุป..ก้อจบลงด้วยดี..พรุ่งนี้จะไปอีกครั้ง..และหลังจากนี้ ก้อต้องรอทางตำรวจส่งcriminal record check มา ยุ่นก้อส่งให้ทาง Boys and Girls ก้อจะได้เข้าไปทำงาน volunteer ตามที่ตั้งใจไว้...ทีแรกคิดว่าทุกอย่างจะง่ายๆราบเรียบ..แต่ก้อต้องมีการผจญภัยอีกตามเคย... ^^

Tuesday, October 12, 2010

เบื้องหลังยีน Graduate...กว่าจะได้..





เนื่องจากปีนี้ยีนเกรด 12 และจะ graduate ตอน June 2011 ก้อเลยมีไอ้โน้น ไอ้นี่ให้ต้องทำมากมายพอควร..

ล่าสุด ก้อมาอีกแล้ว ต้องไปถ่ายรูป แต่มันไม่ใช่แค่นั้น คือเค้าต้องใส่สูทถ่ายรูป..ใส่สูทในงานเลี้ยง...ก้อเรียกว่าต้องใส่สูทประมาณ 4-5 รอบก่อนจบนะ...ยีนก้อบอกว่า ยีนบอกแม่แล้วตอนกลับไทยปีที่แล้วว่าให้ตัดสูท ตัดสูท แม่ก้อไม่สนใจ

ยุ่นก้อเลยบอกว่า วันหลังต้องเน้น..กำชับนะ ถ้าพูดลอยๆ แม่จะไม่ได้สนใจ เพราะแม่ก้อเป็นพวกสมาธิสั้นเหมือนกัน..^^

แต่ก้อช่างเถอะ..ย้อนเวลากลับก้อไม่ได้ ตอนนี้ก้อคือต้องหาซื้อสูท เราก้อไปปรึกษาพี่ประเวศ พี่ประเวศก้อบอกเอาของลุงไปใส่ก่อนก้อได้ คือพี่เค้าตัวเล็ก...คิดว่ายีนน่าจะใส่ได้ ส่วนพี่ Earth ตัวใหญ่กว่ายีนมาก..ตัวใหญ่กว่าพ่อยีนด้วยอ่ะ..

แต่ปัญหาคือกางเกง..ทีแรกฮ่งก้อบอก..เอากางเกงที่ได้มาจาก Mc ที่ไปทำงาน ใส่ก้อแล้วกัน..ไอ้เราก้อ..ไงดี ลูกจบทั้งที วัยรุ่นเค้าก้ออยากดูหล่อ..นิดนึง..ปรากฎจะให้เอาไอ้โน้นมาชนไอ้นี่ ยีนก้อเลยดู ไม่ค่อย happy เท่าไร

ยุ่นก้อเลยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหาซื้อกันก่อน ลองไปดูกันว่าราคามันเป็นอย่างไร..พี่ประเวศก้อให้ idea ว่า ถ้าไปซื้อที่ Zeller ก้อดูของ Arrow เสื้อก้ออยู่ 80เหรียญ กางเกงก้อประมาณ 70 เหรียญ แล้วก้อลุงมีบัตรลด 10% วันจันทร์แรกของเดือน ...วัน senior เอาของลุงไปใช้ ก้อน่าจะเหลือประมาณ 130 กว่าๆ แต่รวมภาษีก้อประมาณ 150 เหรียญ...

ตกเป็นเงินไทยก้อประมาณ 4500-5000 บาท ลุงบอกก้อราคาไม่แพงมาก..อยู่ที่นี่จะซื้ออะไร สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ใจร้อนก้อไม่ได้ ต้องเช็คข้อมูล และทำ research ก่อน..

ปรากฎ...วันรุ่งขึ้น เราสองคนพ่อแม่ก้อไปดูที่ Zeller เพราะยีนเรียน...เสร็จ พอเข้าไปดู... Arrow ที่พี่ประเวศบอก เสื้อสูทตัวใหญ่มั่กๆ..มีสีดำแค่สองตัว..กางเกงไม่ต้องพูดถึง ใหญ่สุดๆ ไม่มี size ยีน..

เราสองคนก้อเลยเดินไปที่ The ฺBay ห้างหรูหน่อย..อยู้ข้างๆ Zeller แต่คนละกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเทียบบ้านเราก้อพวก Central ประมาณนั้น...ก้อมีสูทมากมายหลายยี่ห้อ...ดูดีมีชาติตระกูลเลยแหละ แต่ราคาเนี่ยสิ..มันก้อแบบมีชาติตระกูลมาก...ขั้นต่ำก้อ 350 เหรียญ ไม่รวมกางเกง กางเกงก้ออีก ประมาณ 100 กว่าเหรียญ

ไม่ไหว ไม่ไหว..ชุดละ 15,000 บาท ทำใจไม่ได้..วัยรุ่นใส่แพงขนาดนี้..

ก้อไปดูที่เค้า Clearance... ก้อแบบดีใจมากเลย เพราะเค้าขายทั้งชุด.. เสื้อสูทกับกางเกง รวมแล้ว 150 เหรียญ ก้อโอเค วันรุ่งขึ้นเราก้อเรียกยีนไปดูกันแล้วก้อลองกัน...ปรากฎ เสื้อเนี่ย พอใส่ได้ แต่ก้อไม่ใช่ size ยีน เพราะยีนไหล่เล็ก....กางเกงเนี่ย..ยิ่งหนัก...คือถึงจะรูดซิปปิดนะ ใส่ขึ้นมาที่เอว ก้อหล่นไปกองที่พื้นเลย ตัวใหญ่มาก เอวเนี่ย 38 -40 มั้ง ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมถึงมา clearance ขนาดฮ่งยังใส่ไม่ได้เลย...

ก้อเศร้ากัน...ไปตามระเบียบ..

ยุ่นเลยบอกยีนว่า..ไงอาทิตย์นี้เราต้องไป Richmond เราก้อไปดูกันที่ Richmond Center เพราะ size asia ที่ Richmond น่าจะมี...ก้อเข้าไปร้านแรก เด็กที่มา take care ก้อหยิบสูตรของเด็กมา Boys' ปรากฎยีนใส่แล้วดูตลกๆไงไม่รู้...ผ้าที่เค้าเอามาตัดก้อแบบดูไม่ปราณีต...แต่ราคาก้อไม่แพงนะ สมกับคุณภาพ คือเสื้อสูท รวมกางเกง ก้อประมาณ 100 เหรียญ แต่ใส่ขึ้นมาแล้วแปลกๆไงไม่รู้..

เราสองคนพ่อแม่ ไม่ approve... ยีนบอก ทำไมอ่ะ ไม่ต้องซื้อแพงหรอก..ซื้อๆไปเหอะ...ยีนใส่ไงก้อได้ ไม่ต้องหรูมากหรอก..แต่พ่อกับแม่บอก มันไม่ใช่ คือสูท มันไม่ใช่แบบนี้..ไม่ใช่ว่าถูก เราก้อจะเอา..แต่เราต้องดูว่ามันเหมาะสมกับราคาด้วย... พ่อแม่..ก้อเรื่องมากเหมือนกัน...

เสร็จก้อเดินกันอีกหลายร้าน..ส่วนใหญ่ยีนจะใส่ไม่ได้ เพราะไหล่เล็ก..แล้วก้อที่นี่เค้าขายสูทพร้อมกางเกง เสื้อพอใส่ได้ แต่กางเกงใส่ไม่ได้ตลอด..

และราคาส่วนมากก้อประมาณ 200 เหรียญ up

ก้อเดินกันนานพอควร..จนเริ่มเซ็งกันทั้งสามคน...ก้อเลยไปนั่งพัก กินอะไรรองท้องนิดหน่อย เสร็จก้อเจอร้านนึงชื่อร้าน " Tip Top Tailor" ยุ่นก้อบอก เฮ้ย... tailor น่าลองดู..แล้วรู้สึกมี promotion ด้วย

ก้อเดินเข้าไป ร้านใหญ่นะ ดูดีเลยแหละ..แบบสูททั้งร้าน...ไอ้เราก้ออ่านป้าย Promotion ไม่ละเอียด..เห็นเขียนราคาชุดละ 299.99 ก้อเลย เดินออกดีกว่า ...ส่วนฮ่งออกไปคนแรกเลย..

แต่ไอ้คนที่ไม่ยอมออกคือคุณยีน..เค้าก้อเห็น..ป้ายราคา 149.99 เค้าก้อเรียก แม่มาดูเร็ว..อันนี้น่าจะ promotion ยุ่นก้ออ่านใหม่ มันเขียนว่า ซื้อสูทราคา 149.99-299.99 ได้แถมเสื้อ shirt กับ tie โดยชิ้นนึงราคาต้องไม่เกิน 45 เหรียญ แต่หากเราเลือก shirt กับ tie เกิน 45 เราก้อจ่ายส่วนเกิน แบบเหมือนเค้าแถมของให้ 90 เหรียญ...

promotion ที่นี่ก้อต้องอ่านดีๆนะ...มันต้องตีความ..

เสร็จยุ่นก้อเรียกพนักงานบอกเค้าว่าเราสนใจ...พนักงานเค้าก้อมา take care โชคดีมากเลยที่เจอคนนี้ แบบเค้าน่ารักมาก และมีความรู้ และแนะนำค่อนข้างดี...เค้าก้อวัดตัวยีนเลยนะ...แล้วเค้าก้อบอกยีนตัวเล็ก จะหา size ลำบาก..แต่เค้าจะพยายาม..

เค้าก้อหยิบสูทดำตัวแรกมาให้ ยีนใส่พอดีเปี๊ยะเลย แบบใส่แล้ว ใช่เลย...หล่อดีเหมือนกัน ลูกเรา...^^

เสร็จ เค้าก้อหยิบมาให้ลองอีกสองตัว..โดยเค้าบอกความแตกต่างคือ size เดียวกันแต่มันจะมี short medium and long คือต่างตรงความยาวแขนและตัวเสื้อ..เพราะคนแต่ละคนก้อมีความยาวแขนไม่เหมือนกัน บางทีลำตัวได้ แต่แขนลอย หรือแขนยาวไป..ก้อต้องปรับเปลี่ยนตาม size ของลูกค้า..

เสร็จเค้าก้อให้เลือกว่าเอาตัวไหน..ยีนบอกเอาสีดำ เพราะเราต้องใช้สีดำ...ก้อปรากฎ เค้าก้อไปหยิบกางเกงมาให้ลอง..พร้อมทั้งวัดคอ..เพื่อหา shirt ให้ ซึ่งเราต้องการสีขาว...

เค้าก้อไปหาใน stock เลย เพราะไม่มี size นี้ เค้าบอก size ยีนมีน้อย..เค้า stock น้อย.. ปรากฎเค้าหยิบขึ้นมาตัวแรกเป็น size 14 1/2 คือที่ต้องการเลย เหลือตัวสุดท้าย..

คราวนี้ก้อให้ลองกางเกง ปรากฎยีนใส่ไม่ได้ เพราะแคบไป...เอวยีน 32 แต่กางเกงตัวนั้น 30 ยัดไม่ลง..เค้าเลยบอกเสียใจด้วยนะ..แต่เค้าจะหาให้ใหม่ แต่ไอ้ตัวที่เราเลือก ราคา 149.99 แบบราคาก้อดี เสื้อสูทก้อใส่แล้วดูดี..เฮ้อ..แต่ปัญหาคือกางเกงอีกแล้ว..

เค้าก้อหยิบอีกตัว ปรากฎ พ่อกับแม่ก้อมีลุ้นว่าจะใส่ได้มั้ย ..ปรากฎเสื้อก้อใส่ได้ ใหญ่กว่าเดิมนิดนึง กางเกงก้อพอดีเลย..แต่ขายาว ซึ่งเค้าตัดให้ ค่าตัดขาก้อ 7 เหรียญ...และสูทตัวนี้เป็นสีดำแบบมี stripes ซึ่งจะดูทันสมัยกว่าตัวแรก..พนักงานบอก..เป็นของ young guy...

ชุดนี้เลยลงตัว รวมทั้ง shirt ขาวก้อใส่ได้พอดิบพอดี จากนั้นก้อเลือก tie ก้อเปลี่ยนมาเปลี่ยนไปหลายเส้น...ก้อไม่รู้ว่าพนักงานหยิบราคาเท่าไร..เพราะเค้าก้อดูแต่สีเนอะ.. ว่า matching มั้ย...แต่ถ้าเป็นเราเลือกเราจะดูสีด้วย แล้วก้อ second check โดยดูราคาด้วย...อันนี้สำคัญ...

เสร็จก้อเรียบร้อย..ก่อนปิดการขายเค้าก้อมีแนะนำเทคนิคการตัดเย็บพิเศษของร้านเค้า คือการต่อผ้า ตรงกางเกง มันจะเป็นทรงนั้นตลอดเลย...ไอ้รอยที่กางเกงผู้ชายเวลาเรารีดแล้วเราต้องทำให้มันเป็นรอย แล้วเอาเตารีดทับ เค้าบอกร้านเค้ามีเทคนิคที่เราไม่ต้องใช้เตารีดทับแบบนั้น ซักเสร็จ มันก้อจะเป็นรอยแบบนั้นเลย..ตลอดกาล รู้สึกราคาค่าเทคนิค 8 เหรียญ

คุณยีนก้อบอกเค้าเลยว่าโอเค..เค้าต้องการแบบนั้น...แต่พ่อกับแม่ยังคิดกันไม่เสร็จ..แต่ก้อไม่ได้พูดอะไร เพราะเดี๋ยวจะทำให้ลูกเสียหน้า...

เสร็จถึงตอนสำคัญ จ่ายสตางค์...เค้ายิง barcode แต่ละรายการ ยุ่นเนี่ยก้อจ้อง..จอคอมแบบตาไม่กะพริบเลยอ่ะ..ลุ้นว่าเสื้อ shirt กับ tie เนี่ยมันเท่าไร ปรากฎ เสื้อ shirt 44.99....... tie ก้อ 45 พอดีเลย..

แบบทีแรกที่ยุ่นหยิบก้อแบบมี 19 เหรียญบ้าง 25 เหรียญบ้าง..มีราคาถึง 60 กว่า 70 เหรียญนะ..แต่เราก้อไม่รู้ว่าพนักงานหยิบราคาเท่าไร..แต่ตอนนี้ โล่งอก..เฮ้อ..ไม่เกิน..

รวมสนนราคาทั้งสิ้นก้อ 240 เหรียญ อันนี้คือรวมภาษี 12% ด้วยนะ...ก้อประมาณ 7000 กว่าบาทบ้านเรา แต่อันนี้รับได้ สูทดูดี..แล้วก้อของที่ได้มาก้อค่อนข้างโอเค....ก้อเรียกว่าดูดีมีชาติตระกูลพอควร...

เฮ้อ...กว่าจะหาได้...ราคานี้ก้อต้องยอมแหละ..เพื่อลูก....อ่ะนะ.. ครั้งหนึ่งในชีวิตลูก..เค้าจบเค้าก้ออยากหล่อเหมือนกัน..แต่ยังไม่จบดีนะ..เพราะยังต้องหาซื้อรองเท้าหนังอีก...ถึงจะจบบริบูรณ์....

ยังไง..ถ้ายีนประกอบร่างเสร็จเรียบร้อย..จะเอารุปยีนมาลงเป็นที่ระลึก...จะได้รู้ว่า..กว่าจะได้มา..ชุดนี้...

Friday, October 8, 2010

Calculus 12

ช่วงนี้เนื่องจากกลับไปเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นก้อคงต้องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ไปเรียนมา...^^

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการกลับมาเรียนไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือ Calculus ก้อคือ...ยุ่นเห็นภาพนะว่าจะเรียนวิชานี้วิชาโน้นไปเพื่อทำอะไร ผิดกับตอนเรียนที่เป็นเด็กๆ จำได้ว่า บางวิชาตอนอ่านหนังสือ ยากแสนยาก โครตเบื่อเลย เรียนไปทำไมเนี่ย..จะได้ใช้ตอนไหนเนี่ย...อะไรประมาณนี้..

ซึ่งไม่แปลก เพราะไอ้เด็กผู้ชายสองคนที่นั่งข้างๆ..Nick กับ Leon เค้าก้อบอกไม่รู้ทำไมต้องเรียนยากขนาดนี้ จะไ้ด้ใช้เมื่อไร ทำให้นึกภาพเราสมัยก่อน..

ด้วยเรายังเด็ก..ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน มีแต่เรียน เรียน เรียน เราจึงไม่รู้ว่าเรียนบางวิชาไปเพื่ออะไร...แล้วก้อเรียนทำไมเนี่ยมากมายหลายวิชา ทำไมไม่เรียนแต่อะไรที่เราชอบ...

แต่วันนี้หลังจากทำงานมาหลายด้าน..ทั้งด้านเภสัช...(อันนี้รู้ว่าเรียนเคมีกับชีวะ ได้ใช้ sure) อึม..ด้านโรงงานผลิตเครื่องสำอางค์ของครอบครัวตัวเอง และการมาเป็นครูคุมอง...ทำให้ตอนเรียนสองวิชานี้เนี่ย...มันเข้าใจว่าเรียนแล้วได้นำมาใช้อย่างไร..

แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่นว่าการเรียนหนังสือให้เราแน่ๆก้อคือ..การ organize หรือ manage ตัวเราอย่างไร วางแผนการเรียนหนังสืออย่างไร...และฝึกความอดทนเวลาที่เราเจออุปสรรค และแน่นอน..ฝึกให้เราสามารถ focus อะไรได้นานๆ...

เหล่านี้มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำงาน เพราะมันเป็นทักษะอันเดียวกัน...ซึ่งเราคงไม่ใช่อยู่ดีๆมีสิ่งเหล่านี้ได้ มันคงต้องมาจากการฝึกฝนและสะสม...

แต่..วันนี้ที่จะเล่าก้อคือ พอได้เรียน Calculus เนี่ย ทำให้ยุ่นเข้าใจบทเรียนคุมองอย่างกระจ่างอย่างที่บอกคือ ตอนเรียน limit ก้อทำให้รู้ว่า N 131- N170 ที่แท้เค้าจะบอกอะไรเด็ก..คือพูดจริงๆ แต่ก่อนไม่รู้ ก้อทำตามตัวอย่างไป...แค่ทำให้ได้ ทำให้เสร็จ ก้อลากเลือดแล้ว.. แต่ตอนนี้ทำแบบเข้าใจ มันสนุกมากเลย..แล้วก้อไม่ได้ยากอย่างที่คิด...

พอเสร็จก้อเรียนเรื่อง Differentiation กับการประยุกต์ใช้ ทำให้เข้าใจ L41-L110 แล้วก้อ N 171-N200 แล้วก้อ O 1-O 6 แบบเข้าใจ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ด้วย จำได้ตอนทำ L ชุดที่บอก ยุ่นก้อคิดนะทำไมคุมองต้องให้ทำเยอะขนาดนี้เนี่ย แล้วมันทำไปทำไม..ทำนะทำได้ แต่ไม่เข้าใจหลักการไง..คิดว่าเด็กก้อคงคิดเหมือนกัน..

แต่พอเรามาเรียนการประยุกต์ใช้ เราจึงเข้าใจว่าไอ้ที่คุมองให้ทำ มันคือแค่พื้นฐานที่คุณต้องแม่น..แต่เราไม่เข้าใจไงว่าใช้อย่างไร เพราะคุมองเค้าไม่เน้นโจทย์...

การนำไปใช้เช่น หากเรามีกระดาษแผ่นนึง และเราจะทำเป็นกล่องให้มีปริมาตรมากที่สุด เราต้องทำกล่องมี dimension เท่าไร..ซึ่งอยู่ที่ L90b ตรงที่ Let's try it! แต่คุมองให้ข้อเดียวไง มันเลยไม่ปิ๊ง...

แต่ที่ยุ่นเรียน เราสามารถนำไปใช้ในธุรกิจ หรือในโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่น การจะทำกระป๋องกระป๋องนึง ให้มีปริมาตรแค่นี้ โดยพื้นที่บนและล่างของกระป๋องเนี่ย ราคาต่อตารางเมตรราคานึง พื้นที่รอบกระป๋องราคาต่อตารางเมตรอีกราคานึง...ทำไงให้ต้นทุนการผลิตของเราต่ำที่สุด...

หรืออย่างจะทำประตูหน้าต่างเนี่ย...ให้ได้พื้นที่ตามที่เราต้องการ..โดยใช้ไม้มาทำเป็นขอบประตูหรือขอบหน้าต่างน้อยที่สุดเนี่ย ใช้ไม้เท่าไร..

หรือชาวสวนก้อได้ ปลูกต้นไม้ในสวน 50 ต้น ต้นนึงให้ผลผลิต 800 ผล ต้องปลูกเพิ่มกี่ต้นที่จะทำให้ได้ผลผลิตมากที่สุด... ถ้าไอ้ต้นที่เพิ่มเนี่ย จะมีผลที่ร่วง ต้นละ 10ผล อะไรทำนองนี้...

และนี่คือการประยุกต์ใช้ มันใช้ได้แทบจะทุกธุรกิจ...แต่ยุ่นว่าต้องเป็นแบบโรงงานอะไรประมาณนี้..

พอยุ่นเรียนจบเรื่องนี้...get เลย สุดยอดจริงๆคนคิด calculus เนี่ย เก่งจริงๆ..และเลยเข้าใจว่า อึม..วิศวะเนี่ยเค้าทำงานอะไร...ทำไม เค้าถึงบอกเราสามารถประหยัดต้นทุนได้...หรืออย่าง Acturial ที่ฮ่งอยากให้ยีนเรียน ทำไมต้องเก่ง Calculus.....และเวลาที่เราเรียนอะไรแบบเข้าใจเนี่ย..วิชานั้นถึงมันจะยาก แต่มันก้อสนุกนะ..

นอกจากนี้ ยังทำให้ยุ่นคิดถึงโรงงานพ่อกับแม่..ว่าหากกลับไปเมืองไทย และมีโอกาส จะเอาไอ้วิชานี้เนี่ย เค้าไปช่วยพ่อกับแม่ลดต้นทุนการผลิตบางอัน...ถ้าสามารถทำได้...จริงๆ..หากเราได้ทำงานก่อนมาเรียนอะไรที่ลึกลงไป..จะทำให้เราเห็นภาพว่าเราจะเรียนวิชาเหล่านี้ไปเพื่ออะไร...และนี่ก้อคงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของสิ่งที่ฝรั่งชอบบอก....ไปหาตัวเองก่อน..แล้วค่อยกลับมาเรียน

ยุ่นว่านะ It does work!!!!

และอยากบอกว่า Calculus เป็นวิชาที่ยากจริงๆ..แต่ในขณะเดียวกัน ก้อสนุก และน่าสนใจไม่น้อยเลย...

Saturday, October 2, 2010

การเขียน paragraph 2

สำหรับการเขียน paragraph หรือ essay ที่นี่ เค้าจะมีหลักหรือโครงสร้างประมาณนี้ ซึ่งเวลาครูตรวจจะดูว่าเรามีโครงสร้างเหล่านี้ครบมั้ย และยิ่งเป็น essay เนี่ย เห็นเค้าบอกว่าเค้าจะอ่านแค่ introduction ของเรา ถ้าไม่เข้าท่า เค้าก้อแทบจะไม่อ่านต่อเลย...

เพราะเด็กที่สอบ provincial 12 สอบทั่วประเทศ เขียน essay คนละสามเรื่อง คิดเล่นๆว่าสอบ 5000 คนก้อหมื่นห้าพันเรื่อง...ถ้าค่อยๆอ่านทุกบรรทัด คงตรวจไม่เสร็จเป็นแน่แท้...ฉะนั้น ทอมก้อพูดมีเหตุผล...

 การเขียน paragraph ในแต่ละเรื่องราวที่ยุ่นเล่าใน supporting sentences จะต้องมีการเชื่อมด้วย Coherence ที่เหมาะสม ทำให้ paragraph ที่เราเขียนเนี่ย อ่านแล้วไหลลื่น มีตัวเชื่อมต่อเวลาเราจะเล่าประเด็นต่อไป..

การเขียน paragraph มีหลายแบบเช่น description ไม่แน่ใจว่าใช่คำนี้มั้ย แบบเหมือนเล่ารายละเอียด...หรืออาจเป็นแบบเปรียบเทียบ comparison/contrast หรืออาจเป็น cause/effect ขึ้นกับว่าเราอยากเขียน style ไหน...แต่เวลาเรียนครูจะบอกเลยว่าครั้งนี้เขียนแนวนี้ ครั้งนี้เขียนแนวนั้น แต่ถ้าไม่ได้บอกก้อ free style...

นอกจากนี้ จุดสำคัญของการเขียน essay คือไม่ต้องพรรณนามากเกิน เอาให้ตรงประเด็น ใช้คำศัพท์ง่ายๆให้ผู้อ่านเข้าใจเรา ไม่ต้องไปสรรหา big word มา...คือพูดง่ายๆเราคิดไงก้อเขียนแบบนั้น แต่ให้ถูกหลัก grammar อีกทั้งในหนึ่ง paragraph ไม่ควรเขียนมากกว่า 10 ประโยค 10เนี่ยเค้าถือว่าเยอะนะ..ครูบางคนบอกหกหรือเจ็ดประโยคก้อพอแล้ว...ไม่ต้องยาว แต่ขอให้ตรงประเด็น...

ยุ่นว่าอันนี้เนี่ย..ทีแรกยุ่นทำไม่ได้นะ..เพราะไอ้เราก้อจะบรรยายอยู่นั่นแหละ กลัวเค้าไม่เข้าใจ ตอนหลังเริ่มรู้แล้วว่า เราเขียนแบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง...เลยต้องตัดประโยคที่ไม่จำเป็นออกให้หมด...5555 เพราะทีแรกคิดว่ายาวแปลว่าดี...แต่จริงๆคือเพ้อเจ้อ...

การเขียนเพียงแค่ introduction paragraph ของ Essay  มีการเขียนถึง  6  วิธีที่แตกต่างกันดังนี้ :

1. Begin with a broad , general statement of your topic and narrow it down to your thesis statement. เหมือนกับเล่าเรื่องทั่วๆไป แล้วให้มาจบลงประเด็นที่เราจะกล่าวใน essay ของเรา

2. Start with an idea or situation that is the opposite of the one you will develop. แบบเหมือนประเด็นเราจะบอกการไปหาหมอฟันเราไม่ชอบ แต่เราจะเกริ่นก่อนด้วยคนอื่นๆเค้าชอบไปหาหมอฟันเพราะอะไร แต่มาจบที่ประเด็นเราว่าเราไม่ชอบ...

3. Explain the important of your topic to the reader. ก้อแบบตรงๆคือเล่าเลยว่าประเด็นที่เราจะพูดเนี่ยสำคัญอย่างไร

4. Use an incident or brief story. ยกเรื่องหรือเหตุการณ์ที่มันเกี่ยวโยงกับประเด็นที่เราจะพูด...

5. Ask one or more questions. ถามคำถาม เช่น what is love? How do we know that we are really in love? .bra...bra...bra...แล้วก้อเข้าประเด็นเรื่องความรักในทัศนคติของเราสำคัญอย่างไร...

6. Use a quotation. แบบไปยืมคำพูดของชาวบ้านมาเกริ่นนำ intro ของเรา ซึ่งเราต้องบอกว่าเราเอามาจากไหนด้วย..เช่น เรากำลังจะเขียนว่าประสบการณ์ที่เราเรียนรู้จากครอบครัวเรา..เราก้ออาจ quote ด้วยสุภาษิตไทยที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น อะไรประมาณนี้ แล้วก้อโยงให้เข้าประเด็นที่เรากำลังจะกล่าว

และครูที่นี่เนี่ย เก่งจริงๆ สมมติเค้าให้ทำอะไรก้อตามนะ..แล้วคุณไป copy ของชาวบ้านมา หรือเอามาจาก internet นะ เค้าจะรู้เลย..แล้วขอโทษ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น ให้ตกทันที ถือว่าทุจริต....อันนี้ serious มากๆ.. เพราะฉะนั้น ไม่เหมือนโรงเรียนบ้านเรา ครูสั่งรายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ นักเรียนก้อ print จากคอมเลย บางทีก้อเป็นสิบๆหน้า ทำรูปเล่มสวยหรู..เขียนว่ารายงานโดย..สุวรรณี ประมาณนี้ แต่จริงๆสุวรรณีเอาของเค้ามาใช่มะ...แต่ที่นี่ไม่ได้ คุณเปิดได้..ศึกษาได้ แต่คุณต้องสรุปเป็นความคิดเห็นของคุณ คำพูดของคุณ และต้องมีเหตุมีผลประกอบด้วย...จึงจะเรียกว่าผลิตโดยคุณจริงๆ...

ที่้เล่ามาทั้งหมดเนี่ย เรื่องราวในการเขียน writing อ่านแล้วอาจไม่เข้าใจเท่าไร ยังไง ยุ่นจะค่อยๆยกตัวอย่างประกอบและอธิบายเป็นเรื่องๆไป...คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กไทยที่อยากจะเขียน paragraph นะ แต่ก้ออีกแหละ มันไม่ง่าย เพราะไม่มีใคร correct ให้เนอะ...เฮ้อ..อยากให้ครูบ้านเรา สอนเด็กเขียน essay ได้จังเลย..ยุ่นว่าครูไทยเราที่สอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียน ก้อยังไม่สามารถเขียนได้เลย..เพราะเราไม่มีการเรียนการสอนแบบนี้ในโรงเรียน..ยุ่นว่าเราน่าจะจ้างครูฝรั่งที่เก่งๆเนี่ย มา train ครูเราให้พอเขียนได้ เข้าใจในหลักการ และสอนเด็กๆของเราได้แล้ว....เราน่าจะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่เน้นแต่ grammar มาเป็นการอ่านทำความเข้าใจ และเขียน present ความคิดเราให้ผู้อื่นเข้าใจเราได้แล้ว...เพราะเราเก่ง grammar แต่เราใช้งานอะไรไม่ได้เลย...เฮ้อ..