Friday, October 8, 2010

Calculus 12

ช่วงนี้เนื่องจากกลับไปเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นก้อคงต้องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ไปเรียนมา...^^

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการกลับมาเรียนไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือ Calculus ก้อคือ...ยุ่นเห็นภาพนะว่าจะเรียนวิชานี้วิชาโน้นไปเพื่อทำอะไร ผิดกับตอนเรียนที่เป็นเด็กๆ จำได้ว่า บางวิชาตอนอ่านหนังสือ ยากแสนยาก โครตเบื่อเลย เรียนไปทำไมเนี่ย..จะได้ใช้ตอนไหนเนี่ย...อะไรประมาณนี้..

ซึ่งไม่แปลก เพราะไอ้เด็กผู้ชายสองคนที่นั่งข้างๆ..Nick กับ Leon เค้าก้อบอกไม่รู้ทำไมต้องเรียนยากขนาดนี้ จะไ้ด้ใช้เมื่อไร ทำให้นึกภาพเราสมัยก่อน..

ด้วยเรายังเด็ก..ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน มีแต่เรียน เรียน เรียน เราจึงไม่รู้ว่าเรียนบางวิชาไปเพื่ออะไร...แล้วก้อเรียนทำไมเนี่ยมากมายหลายวิชา ทำไมไม่เรียนแต่อะไรที่เราชอบ...

แต่วันนี้หลังจากทำงานมาหลายด้าน..ทั้งด้านเภสัช...(อันนี้รู้ว่าเรียนเคมีกับชีวะ ได้ใช้ sure) อึม..ด้านโรงงานผลิตเครื่องสำอางค์ของครอบครัวตัวเอง และการมาเป็นครูคุมอง...ทำให้ตอนเรียนสองวิชานี้เนี่ย...มันเข้าใจว่าเรียนแล้วได้นำมาใช้อย่างไร..

แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่นว่าการเรียนหนังสือให้เราแน่ๆก้อคือ..การ organize หรือ manage ตัวเราอย่างไร วางแผนการเรียนหนังสืออย่างไร...และฝึกความอดทนเวลาที่เราเจออุปสรรค และแน่นอน..ฝึกให้เราสามารถ focus อะไรได้นานๆ...

เหล่านี้มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำงาน เพราะมันเป็นทักษะอันเดียวกัน...ซึ่งเราคงไม่ใช่อยู่ดีๆมีสิ่งเหล่านี้ได้ มันคงต้องมาจากการฝึกฝนและสะสม...

แต่..วันนี้ที่จะเล่าก้อคือ พอได้เรียน Calculus เนี่ย ทำให้ยุ่นเข้าใจบทเรียนคุมองอย่างกระจ่างอย่างที่บอกคือ ตอนเรียน limit ก้อทำให้รู้ว่า N 131- N170 ที่แท้เค้าจะบอกอะไรเด็ก..คือพูดจริงๆ แต่ก่อนไม่รู้ ก้อทำตามตัวอย่างไป...แค่ทำให้ได้ ทำให้เสร็จ ก้อลากเลือดแล้ว.. แต่ตอนนี้ทำแบบเข้าใจ มันสนุกมากเลย..แล้วก้อไม่ได้ยากอย่างที่คิด...

พอเสร็จก้อเรียนเรื่อง Differentiation กับการประยุกต์ใช้ ทำให้เข้าใจ L41-L110 แล้วก้อ N 171-N200 แล้วก้อ O 1-O 6 แบบเข้าใจ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ด้วย จำได้ตอนทำ L ชุดที่บอก ยุ่นก้อคิดนะทำไมคุมองต้องให้ทำเยอะขนาดนี้เนี่ย แล้วมันทำไปทำไม..ทำนะทำได้ แต่ไม่เข้าใจหลักการไง..คิดว่าเด็กก้อคงคิดเหมือนกัน..

แต่พอเรามาเรียนการประยุกต์ใช้ เราจึงเข้าใจว่าไอ้ที่คุมองให้ทำ มันคือแค่พื้นฐานที่คุณต้องแม่น..แต่เราไม่เข้าใจไงว่าใช้อย่างไร เพราะคุมองเค้าไม่เน้นโจทย์...

การนำไปใช้เช่น หากเรามีกระดาษแผ่นนึง และเราจะทำเป็นกล่องให้มีปริมาตรมากที่สุด เราต้องทำกล่องมี dimension เท่าไร..ซึ่งอยู่ที่ L90b ตรงที่ Let's try it! แต่คุมองให้ข้อเดียวไง มันเลยไม่ปิ๊ง...

แต่ที่ยุ่นเรียน เราสามารถนำไปใช้ในธุรกิจ หรือในโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่น การจะทำกระป๋องกระป๋องนึง ให้มีปริมาตรแค่นี้ โดยพื้นที่บนและล่างของกระป๋องเนี่ย ราคาต่อตารางเมตรราคานึง พื้นที่รอบกระป๋องราคาต่อตารางเมตรอีกราคานึง...ทำไงให้ต้นทุนการผลิตของเราต่ำที่สุด...

หรืออย่างจะทำประตูหน้าต่างเนี่ย...ให้ได้พื้นที่ตามที่เราต้องการ..โดยใช้ไม้มาทำเป็นขอบประตูหรือขอบหน้าต่างน้อยที่สุดเนี่ย ใช้ไม้เท่าไร..

หรือชาวสวนก้อได้ ปลูกต้นไม้ในสวน 50 ต้น ต้นนึงให้ผลผลิต 800 ผล ต้องปลูกเพิ่มกี่ต้นที่จะทำให้ได้ผลผลิตมากที่สุด... ถ้าไอ้ต้นที่เพิ่มเนี่ย จะมีผลที่ร่วง ต้นละ 10ผล อะไรทำนองนี้...

และนี่คือการประยุกต์ใช้ มันใช้ได้แทบจะทุกธุรกิจ...แต่ยุ่นว่าต้องเป็นแบบโรงงานอะไรประมาณนี้..

พอยุ่นเรียนจบเรื่องนี้...get เลย สุดยอดจริงๆคนคิด calculus เนี่ย เก่งจริงๆ..และเลยเข้าใจว่า อึม..วิศวะเนี่ยเค้าทำงานอะไร...ทำไม เค้าถึงบอกเราสามารถประหยัดต้นทุนได้...หรืออย่าง Acturial ที่ฮ่งอยากให้ยีนเรียน ทำไมต้องเก่ง Calculus.....และเวลาที่เราเรียนอะไรแบบเข้าใจเนี่ย..วิชานั้นถึงมันจะยาก แต่มันก้อสนุกนะ..

นอกจากนี้ ยังทำให้ยุ่นคิดถึงโรงงานพ่อกับแม่..ว่าหากกลับไปเมืองไทย และมีโอกาส จะเอาไอ้วิชานี้เนี่ย เค้าไปช่วยพ่อกับแม่ลดต้นทุนการผลิตบางอัน...ถ้าสามารถทำได้...จริงๆ..หากเราได้ทำงานก่อนมาเรียนอะไรที่ลึกลงไป..จะทำให้เราเห็นภาพว่าเราจะเรียนวิชาเหล่านี้ไปเพื่ออะไร...และนี่ก้อคงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของสิ่งที่ฝรั่งชอบบอก....ไปหาตัวเองก่อน..แล้วค่อยกลับมาเรียน

ยุ่นว่านะ It does work!!!!

และอยากบอกว่า Calculus เป็นวิชาที่ยากจริงๆ..แต่ในขณะเดียวกัน ก้อสนุก และน่าสนใจไม่น้อยเลย...

3 comments:

  1. เห็นด้วยกับพี่ยุ่นเลย เวลาที่เราเรียนรู้ในสิ่งที่อยากรู้มันจะสนุก แล้วก็ตั้งใจมาก แบบเวลาผ่านไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรียนแล้วรู้สึกว่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไม นี่ แล้วแถมยากอีกตะหากนี่ มันก็ตกนรกชัดๆ

    ทำไมพี่ยุ่นไม่ลองเปลี่ยนความคิดให้ยีนไปทำงานก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนล่ะ เก๋กับพี่เธียรอยากทำแบบนั้นนะ แต่ที่นี่มันยากเพราะ หนึ่งโอกาสที่เด็กที่นี่จะได้ทำงานโดยไม่จบป.มันน้อย สองฝืนกระแสเพื่อนฝูงและสังคมของเราเอง มันจะทำให้ปรับตัวยาก

    แต่ที่โน่นใครๆ ก็ทำกัน (อาจจะเว้นคนเอเชียด้วยกัน เหมือนที่พี่ยุ่นว่า) พี่น่าจะลองนะ

    เรื่องทำงานที่บ้าน เก๋ก็คล้ายๆ พี่ยุ่นนะ สมัยก่อนตอนที่จบใหม่ๆ แล้วไปช่วยทำโรงเลื่อย เราก็ช่วยเขาได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มองกลับไป รู้สึกว่า ถ้าตอนนี้ได้กลับไปช่วยนะ จะคนละเรื่องเลย เพราะเรามีประสบการณ์มากกว่าก่อนนั้นมากๆ

    ReplyDelete
  2. คือไงดีอ่ะ แบบทั้งพี่กับพี่ฮ่งยังทำใจไม่ได้ อีกอย่างยีนเองเค้าบอกพอเค้าเรียนจบเค้าเองก้ออยากกลับไปอยู่ไทย....ก้อเลยคงต้องเข้ามหาลัย..หรือเรียนไปทำงานไปนั่นแหละ..เพราะเด็กที่นี่จะประมาณนี้...แต่ไง..ขณะที่เค้าเรียนเนี่ย เช่นปีสองหรือปีสามไม่แน่ใจนะ เค้าสามารถเปลี่ยนคณะได้..หากเค้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่...

    อย่างที่พี่บอกไง พี่กับแฟนพี่ไม่กล้าพอที่จะเดินนอกกรอบไง..อีกอย่าง..หากจบแค่ high school พี่ก้อไม่รู้ว่าเด็กที่นี่ส่วนใหญ่ทำอะไร คิดว่าน่าจะเป็นงาน service มากกว่า..คือเราไม่ใช่คนท้องถิ่นตั้งแต่เกิด เราไม่มี net work นะ..หากอยากหางานดีหน่อย ก้อไม่ง่ายเหมือนกัน

    พี่ก้อไม่รู้นะ..แต่พวก counselor เค้าจะแนะให้เด็กที่นี่แบบ ไปเที่ยวต่างประเทศ หาประสบการณ์ แบบไปเที่ยวด้วยหางานทำด้วย ไปเอเชีย ยุโรปอะไรก้อได้ แบบพวกเค้านอกกรอบมากเลย..แต่พี่ก้บแฟนพี่ no idea ในเรื่องนี้ เราเลยไม่กล้าให้เค้าลองนะ..

    หากยีนเค้าลงหลักปักฐานที่นี่ วันหลังลูกเค้าอาจเป็นแบบนั้น..แต่สำหรับเค้า.. พ่อกับแม่ยีนยังทำใจไม่ได้.. 5555

    ReplyDelete
  3. อ่านแล้ว เลยทำให้เห็นด้วยกับการศึกษาของบ้านเค้าเลยนะ กับความคิดที่ว่า เราต้องรู้ว่า เราต้องการอะไรก่อน แล้วถึงจะไปค้นคว้า เจาะลึกหาสิ่งนั้น เพราะ หากเรารู้ว่า เราต้องการ หรือสนใจอะไร ความพยายาม อดทน ความตั้งใจ จดจ่ออยู่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันจะตามาเอง และการเรียนรู้ ก้อจะเป็นการรู้จริง นำมาใช้ได้ ไม่ใช่เป็นการเรียนเพื่อท่องจำ แล้วเอาไปสอบ เอาคะแนน เรียนให้จบ ออกมา ก้อใช้การอะไรไม่ได้
    สำหรับการศึกษาแบบตะวันตก เราคิดว่า เค้าฝึกให้เด็กของเค้าช่วยตัวเอง รู้จักคิด และค้นหาตัวเองอยู่ตลอดเวลา การได้ประสบการณ์ในโลกกว้างเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น จึงไม่ยึดติดว่า ต้องเป็นสูตรสำเร็จว่าต้องเป็นอย่างงี้ๆ บางคนอาจจะได้เจอตัวเอง แล้วกลับไปศึกษาต่อ แต่บางคนก้ออาจจะหยุดชีวิตการศึกษาอยู่แค่ High school หรือ vocational school ก้อได้
    แต่สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงนั้น เราคิดว่า พวกนี้ต้องมีความพยายาม อดทนมากกว่าคนทั่วไป และมีความคิดและvisionต่างจากคนอื่น
    ซึ่งเราคิดว่า ทั้งหมด ก้อขึ้นอยู่กับผู้เรียนเป็นสำคัญ ว่า ระหว่างทางนั้น เค้าจะหาตัวเองเจอได้เร็วหรือช้า เราเค้าตัดสินใจจะทำกับมันอย่างไรมากกว่า

    ReplyDelete