และแล้วก้อเข้าใกล้เทศกาลคริสมาสอีกปีแล้ว..สำหรับปีนี้...วันที่ 21 ก้อมี party ที่มิสติงจัดเลี้ยงครูผู้ช่วย..และเหมือนเป็นงาน retirement ของมิส.....วันที่ 24 ก้อมีงานปาร์ตี้คริสมาสที่แถว UBC เป็นกลุ่มคนไทยที่นับถือคริสจัดเลี้ยง...ก้อเชิญหลายๆครอบครัวคนไทยไปจอยกัน...และช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ วันที่ 31 หรือ 1 คงจัดเลี้ยงที่บ้านพี่ประเวศแน่นอน...เย้...Happy Holiday!!!
ส่วนวันเวลาที่เหลือส่วนใหญ่เกือบสองอาทิตย์ ยุ่นก้อว่างๆอยู่บ้าน..ปิดคริสมาสนี้ครูยุ่นขอหยุดสอนพิเศษเลขเด็กๆด้วย...รู้สึกอยากว่างๆ..อยู่นิ่งๆ..ไม่ทำอะไรสักสองอาทิตย์...ขอ charge battery เพื่อลุยงานปี 2012 ต่อ....
และสิ่งที่ชอบช่วงนี้ก้อคือดูหนังคริสมาส..บอกแล้วว่าเป็นหนังที่ยุ่นชอบมาก เพราะจะมีคติสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว สังคม..อะไรประมาณนี้ ซึ่งยุ่นว่าดีมากที่ให้เด็กๆได้ดู เหมือนค่อยๆให้เด็กๆได้ซึมซับกันไปทุกๆปี...จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตสำนึก...เป็นคนดีของสังคม...ดีจากภายใน..
เมื่อวานดูไปสามเรื่อง...น่ารักทุกเรื่อง..แต่เรื่องที่ชอบมากๆก้อคือ Cancel Christmas เนื้อเรื่องเหมือน Santa ถูกให้ต้องพิสูจน์ว่างานที่เค้าต้องทำทุกคริสมาสนะยังมีประโยชน์ต่อสังคมโลก..เพราะคณะกรรมการเล็งเห็นว่าเด็กสมัยนี้้เห็นแก่ตัว.. ไม่รู้จักการให้ มีแต่การรับ..ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น..หาก Santa พิสูจน์ตนไม่ได้...คริสมาสนับแต่นี้ไป จะไม่มี Santa อีกต่อไป
จริงๆ theme ของคริสมาสคือการให้...ด้วยหัวใจหรือความรักที่บริสุทธิ์ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน..
Santa ต้องลงมาบนโลกเพื่อดัดนิสัยเด็กผู้ชายสามคนที่มีปัญหาดังกล่าว..โดยไม่แสดงตัวว่าเป็น Santa ด้วย..และก้อให้ Elf ผู้ช่วยมาหนึ่งคน..
เด็กผู้ชายคนแรก..ก้ออยู่ high school บ้านรวยมาก...เรียนโรงเรียนเอกชน..พ่อให้เงินช่วยโรงเรียนเยอะมาก..จนเด็กใช้ความรวยของพ่อทำให้ตัวเองมีอิทธิพลต่อ Principle อยากทำอะไรก้อสั่งได้..ซึ่งเด็กคนนี้ เพิ่งเสียแม่ไปเมื่อปีที่แล้ว...แม่ป่วยหนัก...หลังเสียแม่..ทั้งพ่อทั้งลูกหลงทาง..พ่อเอาแต่ทำงาน ไม่กล้าเจอลูก...ลูกก้อเหมือนเสียทั้งพ่อกับแม่สองคน...จึงมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป...และเค้ามีเพื่อนรู้ใจอีกคน..ก้อเกเรพอกัน แต่เด็กคนนี้ คล้อยตามเพื่อน ติดเพื่อนมากกว่า..แต่เค้ารักการตีกลองมาก..มีกลองชุดของตัวเอง..
เด็กอีกคนก้อเป็นลูกชายของครูอังกฤษที่มีปัญหากับเด็ก high school สองคนแรก..เด็กคนนี้ยังเล็ก..น่าจะปอห้า..ต้องนั่ง wheelchair เพราะเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ เสียพ่อเหลือแต่แม่..แต่เด็กพิการ..และกลายเป็นเด็กขี้โมโห...หงุดหงิดง่าย...แบบชีวิตเค้าเปลี่ยนไป จากเด็กที่เคยวิ่งเล่นทำอะไรได้ทุกอย่าง กลายเป็นต้องนั่งรถเข็น...ซึ่งแม่หรือครูอังกฤษ Jeanie ก้อมีความเข้าใจลูก...ไม่โกรธ..
และเรื่่องราวก้อเกิดเพราะเด็กเกเรสองคน ตั้งใจแกล้งครู แต่ไปโดนภารโรง ซึ่งโดนแกล้งประจำ จนภารโรงไม่อยากทนต่อ... Santa กับผู้ช่วยจึงมาเป็นภารโรงของโรงเรียนนี้ และได้สอดส่องพฤติกรรมเด็กสองคนนี้ จนวันหนึ่งเจอสิ่งที่เค้าทำผิดอย่างจัง..และเด็กดิ้นไม่หลุด เพราะมีหลักฐานมัดแน่นหนา..จึงมีการตกลงกันว่าจะต้องทำความดีเพื่อไถ่ถอนความผิด...
และตรงนี้แหละที่ยุ่นชอบมากของเรื่องนี้ Santa ให้เด็กสองคนนี้ ช่วยกันทำทางสำหรับรถเข็น wheelchair ให้ลูกชายครู ลืมไป..Santa กับผู้ช่วยไปเช่าห้องพักที่บ้านครู...
การสร้างทางเดิน wheelchair เด็กทั้งสองต้องใช้แรงกายของตนเองในการทำ..ซึ่งมันใช้เวลาประมาณสัปดาห์กว่าจะเสร็จสิ้น... ทุกสิ่งอย่างที่เราจะให้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินเสมอ...ระหว่างนั้น เค้าทั้งสองได้เรียนรู้การให้และได้คุ้นเคยกับเด็กชายที่เป็นลูกครู..จึงเกิดความสัมพันธ์ของเพื่อนขึ้นระหว่างกัน.....
แม้ Santa มี magic แต่เค้าก้อไม่ได้ใช้ในเรื่องเหล่านี้ เค้าต้องการให้เด็กพิสูจน์ด้วยตัวเอง..และเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง...เมื่ือสะพานทางเดินเสร็จ เค้าก้อให้เด็กผู้ชายตัวเล็กลองเข็น wheelchair ลงจากบ้าน ซึ่งมันง่ายและสบายมาก..แต่ตอนจะขึ้นบ้าน..หรือเข้าบ้าน..หากเป็นทางชัน..ก้อยังไม่ work เท่าไร..
แต่เด็กตัวเล็กก้อรู้สึกซาบซึ้ง เด็กโตสองคนก้อรู้สึกภูิมิใจในสิ่งที่เค้าสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ ไม่ใช่วันๆเอาแต่เกเรเกตุง...จากนั้น เด็กคนที่เป็นเพื่อนกับลูกคนรวยมีการเปลี่ยนแปลงความคิด อยากจะทำให้เด็กเล็กคนนี้มีความสุขโดยการอยากมอบ wheelchair คันใหม่ให้ ซึ่งราคาสูงมาก..เพราะสามารถยกล้อขึ้นกะไดได้ และมีปุ่มช่วยในการขับเคลื่อน...เค้าจึงปรึกษา Santa หรือ ภารโรงว่าจะทำไง..Santa บอกลองไปคิดดู..ในที่สุดเค้าจัดตั้งมูลนิธิขึ้นและวิ่งหาทุนด้วยตนเองกับเพื่อน..พยายามทำงาน ใช้ปัญญา ใช้ความสามารถที่ตัวเองทำได้...แต่ลูกคนรวยยังไม่ร่วม..ยังไม่ยอมเปลี่ยน...เพราะรู้สึกยังเสียหน้าอยู่..มีทิฐิ..
และหนังก้อได้แสดงให้เห็นความน่ารักของเด็กเหล่านี้ เค้าพยายามหาเงินโดยใช้แรงกายแรงสมอง..แรงใจของเค้าเอง... ดูแล้วชอบมาก..จนในที่สุดเค้าก้อสามารถหาเงินก้อนใหญ่ก้อนนี้มาซื้อรถเข็น hightech ให้น้องคนนี้ได้..โดยพยายามปิดเป็นความลับไม่ให้ครูและน้องรู้เรื่อง...ต้องการให้เป็นของขวัญชิ้นพิเศษในวันคริสมาส
สุดท้ายเจ้าเด็กคนรวยก้อได้เรียนรู้และได้ให้หมาตัวโปรดของเค้ากับเด็กชายตัวเล็ก...หมาตัวนั้นเป็นเหมือนเพื่อนที่สนิทที่สุดของเค้า แต่เค้าก้อยินดีมอบให้เป็นของขวัญวันคริสมาสกับเพื่อนตัวเล็กของเค้า...ด้วยความรักที่บริสุทธิ์...
ไม่รู้นะ..ยุ่นดูแล้วน้ำตาไหลพรากเลย..ฮื้อ...ฮื้อ...ซึ้งและรู้สึกชอบมาก..มันธรรมชาติ..น่ารัก...ดูแล้วมีความสุขกับการที่เด็กๆพยายามที่จะทำอะไรให้คนๆหนึ่งด้วยใจที่อยากให้จริงๆ...
และใจลึกๆ...ยุ่นอยากให้บ้านเรามีหนังดีๆแบบนี้ออกมาให้เยาวชนไทยดูบ้าง...เพื่อจะเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกของการเป็นคนดี...ดีแบบในรูปแบบที่เราทำได้ และเป็นธรรมชาติของตัวเด็กนั้นๆ...เราน่าจะมีการส่งเรียงความหรือ plot เรื่องการทำความดีมาประกวด..หากใครได้รับการคัดเลือก..นอกจากให้เงินรางวัล...เราน่าจะทำเป็นหนังน่ารัก น่ารัก..เป็นคติให้กับเด็กๆ...มีหลักศาสนาพุืทธก้อได้...แต่ควรเป็นอะไรที่ทำให้เข้าใจง่ายๆ....ไม่ ซับซ้อน...ใกล้เคียงกับสังคมไทยเรามากที่สุด...อย่าแต่งเสริมเกินจริง ดูให้มันเป็นธรรมชาติของพวกเรา เป็นวัฒนธรรมของเราเอง..คงสิ่งดีๆของเราไว้....ยุ่นว่าน่าจะดีกว่าละครน้ำเน่า..นางร้ายตามจีบพระเอก แย่งผู้ชายกัน อิจฉาริษยากัน...หรือในละครแทบทุกเรื่องต้องมีเกย์...ยุ่นสงสัยว่าตอนนี้สังคมไทยกำลังปลูกฝังค่านิยม หรือ trend แปลกๆให้กับเยาวชนไทยเราหรือเปล่า??
น่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลง...เริ่มใส่ input ดีๆ ใหม่ๆให้กับเด็กไทยได้แล้ว..^^
Tuesday, December 20, 2011
Friday, December 16, 2011
Mrs.Ting's last class
วันนี้ศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2011 วันสุดท้ายในปี 2011 ของการเปิดสอนคุมองที่ศุนย์ที่ยุ่นทำงานอยู่ และก้อต้องถือว่าเป็นวันสุดท้ายของการเป็นครูคุมองของมิสติง.. 24 ปีกับการเป็น instructor คุมอง..
ยังจำได้ว่าเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว..ช่วงเดือนธันวา 2008 ยุ่นโทรศัพท์ไปหามิสติงเพื่อขอทำงานคุมอง..และมิสก้อนัดไปคุย แล้วรับเลย จากนั้น ยุ่นก้อทำงานกับมิสมาเรื่อยๆ...ผ่านช่วงที่ต้องปรับตัวปรับใจอย่างแรง...มีช่วงหนึ่งหลังกลับจากไทย แล้วกลับไปทำงาน แกใช้งานตลอดเวลา จนยุ่นซึ่งเป็นคน process งานเร็วมาก..มือเป็นลิง ก้อยังทำงานไม่ทันที่แกเรียกเลย..
วันนั้น...หากวู่วาม ใจร้อน..และไม่อดทน คงลาออกไปแล้ว...ก้อคงไม่มีวันนี้ วันที่ยุ่นพิสูจน์ให้มิสติงเห็นว่า instructor จากเมืองไทยเราอดทน ทำได้ และเราทำได้ดีมากด้วย...
สองปีสิบเอ็ดเดือน...ขาดอีกแค่เดือนเดียวก้อเต็มสามปีการทำงานร่วมกับมิสติง..วันนี้...ในศูนย์...ไม่มีนักเรียนคนไหนไม่รู้จักสุวรรณี เด็กทุกคนรู้จัก..เข้าหา..ผู้ปกครอง..ให้เกียรติ...และรับฟังในสิ่งที่ยุ่นแนะนำ...แม้ว่ายุ่นจะเป็นแค่ assistant แต่....เค้าก้อให้ความไว้วางใจยุ่น..จนเรารู้สึกได้..
กลับมาเรื่องมิสติง retirement ต่อ...ยุ่นก้อคิดอยู่นานนะว่าจะให้ของขวัญอะไรมิสดี...เพราะตลอดเวลาช่วงปีกว่านี้ มิสติงดีกับยุ่นมาก..นอกจากแกจะขับรถส่งยุ่นกลับบ้านทุกวัน เวลาทำงานแกก้อให้เกียรติยุ่นมาก..เรียกว่าทำให้ครูผู้ช่วยทุกคนเกรงใจยุ่นมาก....
ยุ่นคิดว่าสำหรับมิสติง สิ่งของไม่ใช่อะไรที่มิสต้องการ..เพราะเค้ามีมากมาย เค้าฐานะก้อดีมาก..ยุ่นจึงคิดว่าน่าจะให้อะไรทีเ่ป็น good memory มากกว่า...เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า...
ก้อคิดถึงลูกศฺิษย์ยุ่นมะปรางที่เคยทำรูปภาพแบบรวมให้ ยุ่นชอบมากเลย มันมีความหมายกับยุ่นมาก..ยุ่นจึงคิดว่ามิสติงน่าจะชอบเช่นกัน..หัวอก instructor.....
ยุ่นเลยตัดสินใจเอากล้องถ่ายรูปไปที่ศูนย์ในต้นเดือนธันวา และขออนุญาตมิสถ่ายรูป...แบบก้อจัดฉากนิดหน่อย ว่าอยากได้แบบนี้แบบนั้น..แกก้อตามใจยุ่นทุกอย่าง..ทำตามคำเรียกร้อง..>.<
จากนั้น ยุ่นก้อขอคำปรึกษาจากมะปราง...มะปรางก้อบอกว่าให้ load program แล้วลองเล่นดู ไม่ยาก..ยุ่นก้อจัดการตามมะปรางบอก..ซ้อมทำอยู่สักพัก ก้อเข้าใจ..ทีแรกกะจะพิมพ์จาก printer ที่บ้าน แต่ต่อมา London Drug ที่ห่งทำงานมีรายการ promotion ยุ่นเลยไปที่โน้นอัดล้าง ซื้อกรอบ..ซื้อการ์ด..แล้วก้อจัดเต็มให้มิสติง...
วันนี้พอไปถึง ปกติยุ่นจะไปคนแรก..แต่วันนี้แกมาก่อนยุ่น เลยเห็นว่าเราถืออะไรเข้าไป..ไม่ surprise เลย...ก้อเลยทำการมอบให้มิสติงเลย ตั้งแต่ก่อนเปิดศูนย์...ไม่ได้รอเวลาหลังเลิก...
แกเห็นแล้วก้อชอบมาก...ยุ่นก้อบอกว่ายุ่นทำเองกับมือ..ศึกษาและจัดแต่ง..จนเข้าที่เข้ากรอบ..ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์..คือยุ่นไม่เก่งคอม..แต่ใจอยากทำให้จึงลองพยายามดู...แกประทับใจมาก...มิสบอกมันคือความทรงจำที่ดี ทุก shot ทุก moment มีความหมาย..สำหรับแก...แกชอบทุกรูปที่ยุ่นจัดมาก...ก้อ instructor จัดให้ instructor ก้อต้องรู้ใจอยู่แล้ว...=.=
หลังจากนั้น มิสก้อเอารูปที่ใส่กรอบตั้งโต๊ะแก..แล้วก้อ show ทุกคนที่เข้ามาที่ศูนย์ ชื่นชมกับของขวัญชิ้นนี้มากๆ...ทำเอายุ่นคนทำให้ แอบปลื้มไม่ได้ แล้วก้ออดอมยิ้มไม่ได้...รู้สึกดีใจมากเลยที่ทำของขวัญให้คนรับ แล้วเค้าประทับใจ..
นอกจากนี้...วันนี้มี instructor อีกคนนึงเป็นคนญี่ปุ่นแต่อยู่ที่แวนคูเวอร์เปิดศูนย์คุมองมาสิบกว่าปีแล้วเช่นกัน...ก้อมาแสดงความยินดีกับการ retire ของมิส...อึม..ยุ่นจำชื่อไม่ไ้ด้แน่ชัด..แต่เธอน่ารักมาก..เป็นคนที่ยุ่นเจอในงาน conference และยุ่นก้อชอบเค้ามาก...ก้อได้มีโอกาสมาเจอกันอีก..
มิสติงก้อโฆษณายุ่นให้เค้าฟังมากมาย..บังเอิญเค้ากำลังขาดครูผู้ช่วย..เค้าก้อเลยมาทาบทามยุ่นว่าหากสนใจหรือมีปัญหาที่นี่ ไปหาเค้าได้เสมอ..เค้าต้องการ chief assistant พอดีเค้าเห็นยุ่น key com ทำ report B ก้อเลยงงว่าทำได้ด้วยเหรอ....มิสติงบอกสุวรรณีทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ชั้นมีเค้า ชั้นไม่ต้องทำอะไรเลย..เค้าช่วยงานได้มากจริงๆ..นอกจากงานพวกนี้ คณิตศาสตร์ในระดับสูง เค้าก้อช่วยดูแลได้หมด...เค้าเก่งเลขมาก... J up เค้า handle ได้หมด....เลยทำให้เค้ายิ่งสนใจยุ่น...แต่ยุ่นก้อไม่สามารถไปทำกับเค้าได้ เพราะยุ่นรับปาก Ann instructor คนใหม่แล้วว่าเราจะทำกับเค้า...แต่หากเค้าต้องการให้ยุ่นไปช่วยวันที่ยุ่นไม่ได้ทำที่ศูนย์นี้ ยุ่นก้อยินดี... เค้าเลยขอเบอร์ติดต่อยุ่น..
นอกจากนี้มิสติงเค้าก้อมีเตรียมของขวัญวันคริสมาสให้ยุ่นด้วย..ต้องบอกว่าในบรรดาผู้ช่วยทั้งหมด..เค้าให้ยุ่นคนเดียว....ยุ่นจึงรู้สึกได้ว่าเค้ารักและเอ็นดูยุ่นพอควร..เค้าซื้อกระเป๋า COACH ให้ยุ่น...อย่างหรูเลยอ่ะ...แบบคนที่นี่เค้าก้อชอบยี่ห้อนี้...แต่ยุ่นก้อไม่เคยใช้ของมีแบรนด์....รู้สึกไม่ลับหน้าเรา....แต่ห่งกำชับว่าให้ถือไปวันที่มิสติงเลี้ยงคริสมาส พุธที่ 21..เพื่อเป็นการให้เกียรติเค้า...และเป็นการแสดงออกว่าเราชอบในของขวัญที่เค้าให้...
สำหรับยุ่น...วันนี้การเป็นครูผู้ช่วย..ยุ่นเองก้อได้ทำงานในหน้าที่อย่างสมบูรณ์และเต็มที่...เพราะยุ่นดูจาก feed back ช่วงคริสมาส..นอกจากเด็กให้การ์ดให้ของมิสติง...เด็กกับผู้ปกครองก้อจะให้ยุ่นด้วย...ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยุ่นไม่เคยคาดหวังว่าเค้าจะให้..เพราะเราก้อคิดว่าไม่ว่าเค้าจะให้หรือไม่ให้ เราก้อต้องทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด...และสิ่งหนึ่งที่เห็นจากผู้ปกครองมากมายเมื่อรู้ว่ามิสติง retire เค้าจะแสดงความยินดีกับมิสทุกคน และคำถามต่อจากนั้นคือสุวรรณียังอยู่ใช่มั้ย...เพียงแค่นี้ยุ่นเองก้อรู้สึกว่ายุ่นมีคุณค่าในงานที่ยุ่นทำมากๆ...และเค้าให้ความสำคัญกับเราไม่น้อยเช่นกัน...
คงต้องเห็นด้วยกับสุภาษิตไทยที่ว่า..."หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน".....
และนี่คือข้อความที่มิสติงเขียนใน card ให้ยุ่นคริสมาส 2011 นี้...
Jeng Ling 2011
ยังจำได้ว่าเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว..ช่วงเดือนธันวา 2008 ยุ่นโทรศัพท์ไปหามิสติงเพื่อขอทำงานคุมอง..และมิสก้อนัดไปคุย แล้วรับเลย จากนั้น ยุ่นก้อทำงานกับมิสมาเรื่อยๆ...ผ่านช่วงที่ต้องปรับตัวปรับใจอย่างแรง...มีช่วงหนึ่งหลังกลับจากไทย แล้วกลับไปทำงาน แกใช้งานตลอดเวลา จนยุ่นซึ่งเป็นคน process งานเร็วมาก..มือเป็นลิง ก้อยังทำงานไม่ทันที่แกเรียกเลย..
วันนั้น...หากวู่วาม ใจร้อน..และไม่อดทน คงลาออกไปแล้ว...ก้อคงไม่มีวันนี้ วันที่ยุ่นพิสูจน์ให้มิสติงเห็นว่า instructor จากเมืองไทยเราอดทน ทำได้ และเราทำได้ดีมากด้วย...
สองปีสิบเอ็ดเดือน...ขาดอีกแค่เดือนเดียวก้อเต็มสามปีการทำงานร่วมกับมิสติง..วันนี้...ในศูนย์...ไม่มีนักเรียนคนไหนไม่รู้จักสุวรรณี เด็กทุกคนรู้จัก..เข้าหา..ผู้ปกครอง..ให้เกียรติ...และรับฟังในสิ่งที่ยุ่นแนะนำ...แม้ว่ายุ่นจะเป็นแค่ assistant แต่....เค้าก้อให้ความไว้วางใจยุ่น..จนเรารู้สึกได้..
กลับมาเรื่องมิสติง retirement ต่อ...ยุ่นก้อคิดอยู่นานนะว่าจะให้ของขวัญอะไรมิสดี...เพราะตลอดเวลาช่วงปีกว่านี้ มิสติงดีกับยุ่นมาก..นอกจากแกจะขับรถส่งยุ่นกลับบ้านทุกวัน เวลาทำงานแกก้อให้เกียรติยุ่นมาก..เรียกว่าทำให้ครูผู้ช่วยทุกคนเกรงใจยุ่นมาก....
ยุ่นคิดว่าสำหรับมิสติง สิ่งของไม่ใช่อะไรที่มิสต้องการ..เพราะเค้ามีมากมาย เค้าฐานะก้อดีมาก..ยุ่นจึงคิดว่าน่าจะให้อะไรทีเ่ป็น good memory มากกว่า...เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า...
ก้อคิดถึงลูกศฺิษย์ยุ่นมะปรางที่เคยทำรูปภาพแบบรวมให้ ยุ่นชอบมากเลย มันมีความหมายกับยุ่นมาก..ยุ่นจึงคิดว่ามิสติงน่าจะชอบเช่นกัน..หัวอก instructor.....
ยุ่นเลยตัดสินใจเอากล้องถ่ายรูปไปที่ศูนย์ในต้นเดือนธันวา และขออนุญาตมิสถ่ายรูป...แบบก้อจัดฉากนิดหน่อย ว่าอยากได้แบบนี้แบบนั้น..แกก้อตามใจยุ่นทุกอย่าง..ทำตามคำเรียกร้อง..>.<
จากนั้น ยุ่นก้อขอคำปรึกษาจากมะปราง...มะปรางก้อบอกว่าให้ load program แล้วลองเล่นดู ไม่ยาก..ยุ่นก้อจัดการตามมะปรางบอก..ซ้อมทำอยู่สักพัก ก้อเข้าใจ..ทีแรกกะจะพิมพ์จาก printer ที่บ้าน แต่ต่อมา London Drug ที่ห่งทำงานมีรายการ promotion ยุ่นเลยไปที่โน้นอัดล้าง ซื้อกรอบ..ซื้อการ์ด..แล้วก้อจัดเต็มให้มิสติง...
วันนี้พอไปถึง ปกติยุ่นจะไปคนแรก..แต่วันนี้แกมาก่อนยุ่น เลยเห็นว่าเราถืออะไรเข้าไป..ไม่ surprise เลย...ก้อเลยทำการมอบให้มิสติงเลย ตั้งแต่ก่อนเปิดศูนย์...ไม่ได้รอเวลาหลังเลิก...
แกเห็นแล้วก้อชอบมาก...ยุ่นก้อบอกว่ายุ่นทำเองกับมือ..ศึกษาและจัดแต่ง..จนเข้าที่เข้ากรอบ..ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์..คือยุ่นไม่เก่งคอม..แต่ใจอยากทำให้จึงลองพยายามดู...แกประทับใจมาก...มิสบอกมันคือความทรงจำที่ดี ทุก shot ทุก moment มีความหมาย..สำหรับแก...แกชอบทุกรูปที่ยุ่นจัดมาก...ก้อ instructor จัดให้ instructor ก้อต้องรู้ใจอยู่แล้ว...=.=
หลังจากนั้น มิสก้อเอารูปที่ใส่กรอบตั้งโต๊ะแก..แล้วก้อ show ทุกคนที่เข้ามาที่ศูนย์ ชื่นชมกับของขวัญชิ้นนี้มากๆ...ทำเอายุ่นคนทำให้ แอบปลื้มไม่ได้ แล้วก้ออดอมยิ้มไม่ได้...รู้สึกดีใจมากเลยที่ทำของขวัญให้คนรับ แล้วเค้าประทับใจ..
นอกจากนี้...วันนี้มี instructor อีกคนนึงเป็นคนญี่ปุ่นแต่อยู่ที่แวนคูเวอร์เปิดศูนย์คุมองมาสิบกว่าปีแล้วเช่นกัน...ก้อมาแสดงความยินดีกับการ retire ของมิส...อึม..ยุ่นจำชื่อไม่ไ้ด้แน่ชัด..แต่เธอน่ารักมาก..เป็นคนที่ยุ่นเจอในงาน conference และยุ่นก้อชอบเค้ามาก...ก้อได้มีโอกาสมาเจอกันอีก..
มิสติงก้อโฆษณายุ่นให้เค้าฟังมากมาย..บังเอิญเค้ากำลังขาดครูผู้ช่วย..เค้าก้อเลยมาทาบทามยุ่นว่าหากสนใจหรือมีปัญหาที่นี่ ไปหาเค้าได้เสมอ..เค้าต้องการ chief assistant พอดีเค้าเห็นยุ่น key com ทำ report B ก้อเลยงงว่าทำได้ด้วยเหรอ....มิสติงบอกสุวรรณีทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ชั้นมีเค้า ชั้นไม่ต้องทำอะไรเลย..เค้าช่วยงานได้มากจริงๆ..นอกจากงานพวกนี้ คณิตศาสตร์ในระดับสูง เค้าก้อช่วยดูแลได้หมด...เค้าเก่งเลขมาก... J up เค้า handle ได้หมด....เลยทำให้เค้ายิ่งสนใจยุ่น...แต่ยุ่นก้อไม่สามารถไปทำกับเค้าได้ เพราะยุ่นรับปาก Ann instructor คนใหม่แล้วว่าเราจะทำกับเค้า...แต่หากเค้าต้องการให้ยุ่นไปช่วยวันที่ยุ่นไม่ได้ทำที่ศูนย์นี้ ยุ่นก้อยินดี... เค้าเลยขอเบอร์ติดต่อยุ่น..
นอกจากนี้มิสติงเค้าก้อมีเตรียมของขวัญวันคริสมาสให้ยุ่นด้วย..ต้องบอกว่าในบรรดาผู้ช่วยทั้งหมด..เค้าให้ยุ่นคนเดียว....ยุ่นจึงรู้สึกได้ว่าเค้ารักและเอ็นดูยุ่นพอควร..เค้าซื้อกระเป๋า COACH ให้ยุ่น...อย่างหรูเลยอ่ะ...แบบคนที่นี่เค้าก้อชอบยี่ห้อนี้...แต่ยุ่นก้อไม่เคยใช้ของมีแบรนด์....รู้สึกไม่ลับหน้าเรา....แต่ห่งกำชับว่าให้ถือไปวันที่มิสติงเลี้ยงคริสมาส พุธที่ 21..เพื่อเป็นการให้เกียรติเค้า...และเป็นการแสดงออกว่าเราชอบในของขวัญที่เค้าให้...
สำหรับยุ่น...วันนี้การเป็นครูผู้ช่วย..ยุ่นเองก้อได้ทำงานในหน้าที่อย่างสมบูรณ์และเต็มที่...เพราะยุ่นดูจาก feed back ช่วงคริสมาส..นอกจากเด็กให้การ์ดให้ของมิสติง...เด็กกับผู้ปกครองก้อจะให้ยุ่นด้วย...ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยุ่นไม่เคยคาดหวังว่าเค้าจะให้..เพราะเราก้อคิดว่าไม่ว่าเค้าจะให้หรือไม่ให้ เราก้อต้องทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด...และสิ่งหนึ่งที่เห็นจากผู้ปกครองมากมายเมื่อรู้ว่ามิสติง retire เค้าจะแสดงความยินดีกับมิสทุกคน และคำถามต่อจากนั้นคือสุวรรณียังอยู่ใช่มั้ย...เพียงแค่นี้ยุ่นเองก้อรู้สึกว่ายุ่นมีคุณค่าในงานที่ยุ่นทำมากๆ...และเค้าให้ความสำคัญกับเราไม่น้อยเช่นกัน...
คงต้องเห็นด้วยกับสุภาษิตไทยที่ว่า..."หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน".....
และนี่คือข้อความที่มิสติงเขียนใน card ให้ยุ่นคริสมาส 2011 นี้...
Suwannee & Family
Thank you for all your help in the last three years. Your patience and hard work made my job easier to do. Let's keep in touch!
Sunday, November 20, 2011
น่าอายจริงหรือที่คนไทยพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทย
เมื่อวานพวกเราได้ไปทานข้าวเพื่อเลี้ยงส่งพี่ไก่กลับไทยที่บ้านพี่ประเวศ.. พี่ไก่ได้อยู่ที่แคนาดาเกือบสิบปี และปีนี้กิ๊กลูกชายพี่ไก่กับพี่อ้อมเรียนจบมหาลัย บรรลุเป้าหมายแล้ว..ได้เวลาที่พ่อแม่ ลูก...กลับบ้านสักที...เย้..
บังเอิญในวงสนทนาก้อมีการพูดถึงเรื่องนายกหญิง ยิ่งลักษณ์ของเรา "คลิปการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายกฯ และHillary Clinton จาก
youtube พร้อมกับคำโปรยต่างๆ นานา จับความได้ว่า "นายกฯ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง
น่าอับอายแทนประเทศไทย ฯลฯ" ซึ่งตรงนี้ยุ่นเองอยากจะขอ share ด้วยความเป็นธรรม...
เพียงแค่ประโยคเริ่มต้น นายกพูดผิด welcome เป็น overcome ยุ่นว่านะความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ ละถ้าเป็นไปได้ นายกคงไม่อยากให้มันเกิดหรอก...แต่มันก้อเกิดไปแล้ว...นอกจากนี้ ก้อมีการพูดกันไปต่างๆนานาว่านายกพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง...
ยุ่นเองก้อเรียนจบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเภสัชซึ่งก้อถือว่าเป็นคณะที่อยู่ระดับแถวหน้าของบ้านเรา..แต่เอาเข้าจริง ตัวยุ่นเองก้อพูดภาษาอังกฤษไม่ดี ยิ่งการฟังเนี่ย...ต้องบอกว่าทีแรกที่มาแวนคูเวอร์เนี่ย..ฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่องเลย...แบบพอฟังจบสมองต้องรีบแปลเป็นไทย เสร็จกลับเป็นอังกฤษ แล้วพูดออกมา แบบผิดๆถูกๆ...ช่วงแรก เวลาคุยกับชาวบ้านการตอบสนองช้ามาก...
เพราะการมาอยู่และใช้ชีวิตในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษนั้น มันไม่ใช่แค่ how are you? I'm fine thank you and you. Excuse me....bra bra bra
แต่มันต้องใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เหมือนเราอยู่ไทย ใช้ไทยในชีวิตประจำวัน...เวลาไปซื้อของเอย...เค้าทอนเงินผิดเอย...เปลี่ยนของเอย...เรียนหนังสือเอย ทำงานเอย...
และก้อต้องถือว่ายุ่นโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงาน.. เพราะหากไม่ได้ทำงาน ภาษาอังกฤษคงยิ่ง.....โหลยโถย...คือถ้าหากไม่มีใครพูดกับเราเท่าไรนัก เราก้อไม่มีโอกาสได้ฝึกพูด การพูดให้ดีขึ้นมันคงเป็นไปได้ยาก..
แต่ถึงอย่างไรก้อตาม...ก้อต้องยอมรับว่าสำเนียงหรือ accent ที่เราเป็นคนไทย ยังไงก้อคงหายไปไม่ได้...มันไม่แปลก เพราะที่นี่มีคนต่างชาติเข้ามามากมาย ทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ รัสเซีย ทุกคนมี accent ของชาติตัวเองทั้งนั้น...แต่เราก้อสื่อสารกันได้...ยุ่นเองก้อไม่ได้ถูก discriminate โดย accent ไทยเลย...และพอมาอยู่ที่นี่ ก้อไม่ได้รู้สึกอายอะไร...เพราะทุกคนก้อเป็นหมดหากเราไม่ได้เกิดที่นี่ หรือเราไม่ได้อยู่ตั้งแต่เล็กๆ..มันคงยากที่เราจะมีสำเนียงแบบฝรั่ง
การมาอยู่ที่แคนาดา ทำให้ยุ่นได้ตระหนักในหลายๆเรื่อง อย่างเรื่องภาษาเนี่ย.. ยุ่นว่าเราควรเน้นที่การสื่อสารให้เข้าใจจะดีกว่า การที่เราจะวัดหรือสรุปคนๆหนึ่ง เพียงแค่สำเนียง หรือ accent ในการพูดนั้น ยุ่นว่ามันไม่ใช่...เพราะยุ่นเองก้อเคยมีความรู้สึกนึกคิดแบบนั้น คิดว่าเราต้องมี accent ที่ดี จึงทำให้ยุ่นไม่กล้าที่จะพูด...แต่ในความเป็นจริง...คนอื่นเค้าดูเราที่การทำงาน ยุ่นรู้สึกได้จากการที่ผู้ปกครองที่ศูนย์ นักเรียน..ครูผู้ช่วย และมิสติงยอมรับ เกรงใจและ respect ยุ่นในระดับหนึ่ง ทั้งที่การพูดภาษาอังกฤษของยุ่นก้อเป็นสำเนียงแบบไทยๆนี่แหละ...
จึงอยากจะพูดอย่างเป็นกลางว่า...พวกเราคนไทยไม่ต้องอายหรอกที่นายกหญิงพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ...เพราะคนไทยที่ว่านายกยิ่งลักษณ์นะ...ส่วนมากก้อมีสำเนียงเช่นนั้นเหมือนกัน..นอกเสียจากคุณไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก...หรือเกิดที่โน้น...และอยากจะบอกว่าต่างชาติเค้าเข้าใจในเรื่องของ accent และเค้าก้อไม่ได้ดูถูกหรือคิดว่ามันเป็นสิ่งน่าอาย...แต่เราคนไทยเองนั่นแหละทีีคิดกันไปเอง...ดูถูกกันเอง...ยุ่นว่าอย่างนี้มันน่าอายมากกว่า...
ให้โอกาสเค้า และดูที่การทำงานจะดีกว่า...ติเพื่อก่อ ให้เกิดประโยชน์กับบ้านเรา...อย่าติเพื่อก่อให้เกิดการแตกแยกกันอีกเลย...
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321696966&grpid=01&catid=02&subcatid=0207
Monday, April 18, 2011
Driver license in Canada
เมื่อสองเดือนก่อน ฮ่งได้มีโอกาสไปสอบใบขับขี่ที่นี่...ซึ่งกว่าจะได้ driver license ของที่นี่มา..ขอบอก..โครต...รต...ยากยิ่งนัก...
เริ่มต้นเราต้องสอบผ่าน..knowledge test ก่อน..เค้าก้อมีหนังสือมาให้อ่าน..ก้ออ่านไป..หนึ่งเล่ม..ฮ่งก้ออ่านประมาณอาทิตย์กว่าๆนะ..เค้าก้อมีกะในใจว่าเมื่อไหร่จบ เมื่อไหร่พร้อมไปสอบ...คือเราต้องจำกฎเกณฑ์ต่างๆของที่นี่...ซึ่งจริงๆมันก้อคือสากลแหละ....และเราก้อต้องจำเป็นภาษาอังกฤษ...อันนี้แหละที่ยากนิดส์นึง...นอกจากนี้..การขับรถของบ้านเรา กับที่นี่มันมีความแตกต่างหลายอย่าง..ของเรา..พอเราขับได้..กฎเกณฑ์ของเรามันก้อไม่ได้เข้มอะไรมาก ชิมิ ??? แต่ที่นี่...คนละเรื่องเลยอ่ะ...กฎก้อคือกฎ...
สอบ knowledge test หรือข้อเขียน..มีห้าสิบข้อ..ถ้าทำผ่าน 80% ก้อคือสี่สิบข้อถูกหมด..เครื่องจะหยุดอัตโนมัติ..และผ่าน..ไม่ต้องทำครบห้าสิบข้อก้อได้ในบางคน...และหลังจากนั้น...คุณก้อจะต้องสอบ road test... ซึ่งผ่านยากมาก...จากสถิติล่าสุดที่รู้มา...ตอนพี่อ้อมสอบ road test ครั้งที่สาม...ถาม examiner เค้าบอกสถิติสูงสุดสอบ 29 ครั้งถึงผ่าน...พี่อ้อม..โล่งใจ..บอกพี่ยังห่างไกล ได้อีกตั้ง 26 ครั้ง....ทำให้มีกำลังใจในการสอบ...55555
ฮ่ง..ก้อต้องไปเรียนขับรถก่อน..ถึงแม้ว่าเราจะเคยขับที่บ้านเราก้อจริง..แต่สิ่งที่แตกต่างก้อคือพวงมาลัย North America เค้าพวงมาลัยซ้าย บ้านเราแบบอังกฤษ พวงมาลัยขวา..ขอบอก..ขนาดเป็นคนนั่งนะ..ยุ่นยังงงตลอดเลย..แล้วยุ่นเป็นคนมีปัญหาเรื่องซ้ายกับขวาด้วย... นอกจากนี้การสอบก้อแตกต่างกันมาก...อย่างของเรา..ไม่รู้ตอนนี้เป็นไง..แต่จำได้ว่าแต่ก่อน..ยุ่นก้อขับในบริเวณสนามสอบที่เค้ากำหนด แบบเราคันเดียวเดี่ยวๆ...แล้วก้อหัดจอดรถ..เข้าซอง อันนี้รู้สึกเป็นอะไรที่ยากสุดของยุ่น..
แต่ที่นี่..ไม่ใช่เลย.. examiner จะนั่งรถกับเราเลย..และฮ่งบอกเค้าจะไม่พูดอะไร มือถือกระดาษประเมินผล..แล้วจดอย่างเดียว..คิดดูก้อแล้วกัน กำลังขับรถแต่มีคนเพ่งมองเราตลอดเลยอ่ะ...เพ่งมองแบบจับผิดด้วย...55555
ฮ่งสอบ road test ครั้งแรกไม่ผ่าน...แต่ครั้งที่สองผ่าน..ซึ่งต้องถือว่าเก่งพอควร...เพราะอย่างที่บอกหลายคนสอบมากกว่าสามรอบ...และพวกพี่ๆเพื่อนๆที่ผ่านกันหมดบอกว่ามันขึ้นกับดวงด้วย..
ขึ้นกับว่า examiner จะพาเราไปถนนเส้นไหน...5555 ขับสดๆกันเลย..เจอสถานการณ์สดๆ แก้สดๆ..แล้วแต่ดวงวันนั้น ขณะที่เราขับเราจะเจออะไร...และเราก้อต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เค้ากำหนด เช่น สมมติเราเข้าเขตโรงเรียน..เราต้องสังเกตุป้าย มันจะมีป้ายบอก 30km/hr ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้ฮ่งตกในครั้งแรก... เค้าพาฮ่งไปที่ที่ฮ่งไม่รู้จัก ไม่เคยไป..แล้วพอผ่านเขตโรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น (playground)..ฮ่งก้อไม่รู้..มองไม่เห็น..เพราะต้นไม้มันก้อดันบังป้ายด้วย...ที่นี่เวลาเข้าเขตสองเขตนี้ ความเร็วรถต้องเหลือ 30km/hr นั่นหมายว่า ต้องไม่เกิน 30 km/hr...และอันนี้คือกฎที่สำคัญมาก..
เพิ่มเติม..เพราะเจ้าตัวนั่งข้างๆ..ถ้าขับใน residential area ต้องไม่เกิน 40 km/hr, ใน city ต้องไม่เกิน 50 km/hr, ขับ High way ไม่เกิน 70 km/hr.
อีกอย่าง..สมมติเรากำลังจะเลี้ยวรถตรงทางแยกที่มีไฟแดงไฟเขียว..หากคนกำลังข้ามถนนเนี่ย...เราไปไม่ได้นะ..ต้องรอให้เค้าข้ามไปจนไปอีกฝั่งของถนน.. เราถึงออกรถได้...ที่นี่คนเดินถนนเค้าใช้สิทธิ์เค้าเต็มที่...หลายครั้งที่ยุ่นเห็นคนเดินถนนชี้หน้าและตะโกนด่าคนขับรถที่ทำผิดกฎและล่วงเกินสิทธิ์เค้า..เค้าไม่ยอมเลยอ่ะ..คือเราก้อต้องมีคนแบบนี้ในสังคมเพื่อควบคุมกันเองเหมือนกันนะ ยุ่นว่า...และยังไม่ทันข้ามเดือนเลย..เมื่อวาน..ฮ่งขับรถไปซื้อของกับยุ่น..กำลังคิดเส้นทางว่าจะขับไปทางไหน..ตอนติดไฟแดงที่สี่แยก ดันจอดทับเส้นขาว...ไอ้ฝรั่ง คนเดินข้ามถนน มันจ้องหน้าฮ่งตลอดวลาที่เดินข้ามถนนเลยอ่ะ..มันเหมือนกับบอกว่า.."นี่..ตอนนี้เอ็งกำลังล้ำเส้นข้านะ..คราวหน้าอย่าทำนะ!!!" ฮ่งก้อยกมือขอโทษนะ..แต่หน้ามันยังเอาเรื่องอยู่เลย..สิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราระวังมากขึ้นในครั้งต่อไป..แบบจะมามั่วๆสั่วๆไม่ได้
หรือ..อย่างทางแยกเนี่ย..ไฟเหลืองแปลว่าเตรียมหยุด..ไม่ใช่เตรียมฝ่า..ถ้าฝ่าไป..ก้อตก..แน่นอน
หรือ...เวลาถึงทางแยกใช่มะ..ถ้าเห็นป้าย stop มันหมายว่าต้องหยุดจริงๆ..( fully stop = ไม่มีการเคลื่อนของรถเลย) หลังเส้นขาวด้วย..แล้วก้อนับ 1..2..3 แล้วค่อยโผล่หน้าออกไปดูว่า..สี่แยกเนี่ยมีรถมามั้ย..และถ้าจะเลี้ยว..หรือเปลี่ยนเลนส์ต้องทำ shoulder check (ต้องหันหัวไปมองกระจกหลังที่คนข้างหลังนั่ง...ไม่ใช่มองกระจกหูช้างเท่านั้น) ถ้าไม่ทำ..ก้อตก...
และที่นี่..เวลาตรงสี่แยกใช่มะ..ถ้ามี stop คือเราต้องให้ทางเอกไปก่อน..จากนั้นเราค่อยไป..แต่ถ้าไม่มี stop เราต้องแค่ชลอ...หยุดไม่ได้นะ..ฮ่งบอก ถ้าเหยียบเบรค..หยุด..ตกเลย..ต้องชลอและค่อยๆดู..และถ้าเราเป็นฝั่งไม่มี stop sign เราต้องไป..แต่ถ้าเราเลี้ยวเราก้อให้อีกฝั่งตรงข้ามที่ไม่มี stop เหมือนเราไปก่อน...มันเป็นอะไรที่เค้ารู้ว่าใครได้สิทธ์ก่อน..
ปัญหามันจะอยู่ตรงสี่แยกเนี่ยแหละ...เพราะของบ้านเรา ใครไวใครได้ แต่ที่นี่ถ้าเป็น 3 ways stop ก้อคือใครมาก่อนก้อไปก่อน..แต่ถ้าเกิดมาพร้อมกันทั้งสามคัน..เค้าก้อจะใช้กฎ Yield of Right...ให้คันขวาของเราไปก่อน..เชื่อมะ..ฮ่งบอก..ตอนนี้ฮ่งยัง..งงเลยว่า..ตอนขับอ่ะ..ใครมาก่อนกันแน่เนี่ย..5555 ไม่ต้องถามยุ่นเลยนะ..ว่างงแค่ไหน..ซุปเปอร์งงเลยอ่ะ..
หรือบางทีขับไปบน high way และป้ายบอก 80 km/hr ก้อคือต้องตามนั้น มากกว่าไม่ได้แน่..แต่ที่แปลกคือน้อยกว่าก้อไม่ได้....ทำเอาพวกเราก้องง..งง..มากเลย..เค้าบอกว่าถ้าภายใต้ good condition คือถนนว่าง ไม่มีรถ..แล้วยังทะลึ่งขับ 50 km/hr ตกนะค้า.....ขอบอก เหตุผลคือคุณอ่านป้ายแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์....แต่ในชีวิตจริง..เวลาขับ..ฮ่งบอก..ห้ามขับเกินที่กำหนด..แต่ขับต่ำกว่าได้..แต่คนเราอย่างว่าเนอะ..เวลาเห็นถนนโล่ง เราก้อใส่เลย..อันนี้ต้องระวังนะค้า..ถ้าเกิน speed limit ...ตำรวจจะตามมาในไม่ช้า...
หรือขับๆอยู่ได้ยินเสียง ambulance คือมีรถฉุกเฉินมาแน่ๆ..รถบนถนนทุกคันที่ได้ยินเสียงต้องหยุดหมด..ถ้าเราอยู่กลางถนนให้พยายามชิดข้างทางจอด..เพื่อให้ ambulance เลือกว่าเค้าจะไปทางไหน...ทีแรกฮ่งกับยุ่นไม่รู้กฎข้อนี้เลย..และไม่เคยสังเกตุ..พอฮ่งต้องไปสอบ..ทำให้รู้..และสังเกตุบนถนนเวลานั่งรถเมล์...เออ..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย..แล้วที่นี่รถ Ambulance มันวิ่งเยอะมากเลย..อาทิตย์หนึ่งบางทีออกไปข้างนอกนะ..เจอสามสี่วันเลยอ่ะ..
นอกจากนั้น เวลาจอดรถอีก..ถ้าจอดแบบหัวรถกำลังขึ้นเขา...ล้อรถต้องหันออกนอกถนน..แต่ถ้าจอดหัวรถกำลังลงเขา..ล้อรถต้องหันเข้า footpath...ที่ Vancouver มันเป็นเมืองแบบมีเนินเขาเยอะไง..ที่มันเดี๋ยวก้อสูงบ้างต่ำบ้าง...เพราะฉะนั้น..เป็นอะไรที่ทุกคนต้องรู้ และต้องทำ..ฮ่งบอกอันนี้เค้าให้ฮ่งทำอันแรกเลย...เพื่อนบางคนบอก..ขับๆไป มันให้จอดรถ..เค้าก้อลืมเรื่องนี้...แบบมันให้จอดตอนเป็นขาขึ้นของเขา...แต่เค้าไม่ได้นึกถึง ก้อจอดแบบล้อตรงอย่างสวยงาม..ปรากฎตกค่ะ..
และก้อมีอีกที่ยุ่นกลัวมากเลยก้อคือ..เวลาถึงทางแยกไฟแดงไฟเขียว..ถ้าเราเป็นคันแรกหรือคันที่สองที่ต้องเลี้ยวเนี่ย..ถ้าสี่แยกนั้นไม่มีไฟเขียวเลี้ยว..มันมีจังหวะนึงใช่มะ..เราต้องไปรอกลางถนน..เพื่อรอเลี้ยว....เสียวไส้มากเลยอ่ะ..ไม่เคยทำตอนอยู่ไทยเลย..และชีวิตนี้ก้อไม่รู้ว่าเค้ามีการทำแบบนี้..เพราะตอนอยู่ไทยขืนทำแบบนั้น..อาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้....แต่ที่นี่มันคือเราต้องทำ..มันเป็นกติกา...เราต้องไปรอกลางถนน...คือเรียกว่าเค้าไว้ใจในฝีมือการขับรถของคนที่นี่มาก..ว่าไม่มีมั่วแบบบ้านเรา...แต่ยุ่นก้อยังรู้สึกไม่ไว้ใจเค้าอยู่ดี...เพราะเราเรียนรู้มาแบบนี้...แต่ที่นี่เค้าขับรถกันไม่เร็ว...ช้าๆ ค่อยๆไป ไม่เร่งรีบ..
เท่าที่ฟังเนี่ย..มันจึงไม่หมูในการผ่านแน่นอน..และ..ถ้ายิ่งเราผิดกฎที่เป็นกฎหลักสำคัญ กฎเดียวก้อไม่ผ่าน..แต่ถ้าพวกเล็กๆน้อยๆ..เค้าอาจพอทำเนา...อันนี้ฮ่งบอกนะ..ครั้งที่สอง..ฮ่งก้อผ่านฉลุย..ครั้งแรก examiner เป็นเอเชีย...ครั้งสองเป็นฝรั่ง....ท่าทางฮ่งน่าจะถูกกับฝรั่งนะ...
อันนี้แค่ขับรถส่วนบุคคลนะ..หมายถึงว่าเราขับรถส่วนตัวนะ..แต่ถ้าใครที่ขับพวกรถเมล์..การสอบจะยากกว่านี้ขึ้นไปอีก ไม่ใช่แบบนี้..มันมีระดับความยากมากขึ้น ขึ้นกับความรับผิดชอบต่อชีวิตคนที่ไปกับเราหรือที่เราต้องเกี่ยวข้อง....ยิ่่งถ้าต้องขับรถ truck อันนี้ก้อยากเหมือนกัน..มันสลับกับของเราเลย....และไม่ใช่อยู่ดีก้อไปสอบได้นะ..คุณต้องไปเรียน..กับ instructor ที่ก้อต้องผ่านการสอบ ต้องมีใบรับรอง certificate...ยุ่นก้อเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเค้าจึงเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างต้อง professional.... เค้าถึงบอกไง..เรียนรู้ได้ไม่มีวันสิ้นสุด..
ฟังแล้วทำให้ยุ่นไม่อยากไปสอบเลย..เพราะก่อนสอบก้อต้องไปเรียนก้อหลายตังส์นะ..ครั้งนึงเรียนสองชั่วโมง 60-80 เหรียญ เรียนกี่ครั้งก้อคูณไป..วันสอบ..เราก้อต้องเช่ารถ..instructor อีก..ค่าเช่าอีก 100-120 เหรียญ...ยังมีค่าสอบ 50 เหรียญ ถ้าสอบได้ก้อเสียเพิ่มอีก 31 เหรียญค่า fee...แต่ถ้าสอบตก..ก้อ ค่าเช่ารถบวก 50เหรียญ ก้อเกือบ 200 เหรียญ..หายไปอีกแล้ว... ค่าโน้นค่านี่..เฮ้อ..เงินทั้งน้าน..ประเทศนี้...
อันนี้ก้อเล่าผ่านความรู้สึกฮ่ง..แต่คิดว่าอีกไม่นาน ยุ่นก้อคงต้องไปสอบเหมือนกัน..และจะมา confirm ความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง..ว่า..."ใช่เลย!!!! โครต...รต...ยากเลย..."
Wednesday, April 6, 2011
My Presentation 2
และแล้ว..วันที่นักเรียนต้อง presentation หนังสือที่ตัวเองเลือกอ่านก้อมาถึง..
ทอมเค้ามีเอาหนังสือมาให้เลือกหลายเรื่องอยู่..มีแนวรัก...สืบสวน..ผจญภัย..ชีวิต แล้วก้อตลกฮาฮา..แล้วแต่ใครจะเลือกเล่มไหน..แต่ปัญหาคือไอ้เล่มที่ยุ่นอยากได้ เราต้องรอคิวเพราะมีการยืมยาว..ซึ่งไม่รู้เมื่อไร..จึงต้องตัดสินใจเอาเล่มที่มีในห้องสมุดตอนนั้น ซึ่งก้อคือ Treasure Island...
หลังจากที่ยุ่นได้ใช้ความพยายามในการอ่านประมาณเกือบ 100 หน้า..ให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวที่เราชอบเลย..อ่านแล้วเบื่อมากๆ..เพราะมันเป็นแนวผจญภัย...ยุ่นว่าเด็กผู้ชายน่าจะชอบมากกว่า..และอีกอย่างภาษาที่เค้าใช้ ก้อจะเป็นแสลงของพวกโจรสลัด..เข้าใจยากมากๆ...เลย delete ทำการหาเอง..โดยไปยืนอ่านที่ shelf ในห้องสมุด..ยืนหาจนเจอเล่มที่เราอ่านไปสักสิบกว่าหน้าแล้วมันน่าสนใจ..ก้อเลยเลือก The Walk ของ Richard Paul Evans....
การ presentation ทอมมีตารางให้ present วันละ 5 คน ก้ออยู่ประมาณ 6 วัน..ก้อค่อยๆฟังกันไป..และสำหรับการมาบอกเล่าหนังสือที่เราอ่าน ( ไม่ใช่ภาษาของเรา) และมาบอกเล่าเป็นภาษาที่ไม่ใช่ของเราอีก..มันก้อไม่ง่ายนัก มีนักเรียนหลายคนถามว่าจะ presentation อย่างไรที่จะให้คนอื่นเค้ารู้เรื่องที่เราอ่านในเวลาไม่เกินสิบนาที พร้อมใส่ความคิดเห็น..ของเราว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบเรื่องนี้..จะทำได้ไง..( ลืมบอกไปนักเรียนในห้องส่วนใหญ่เป็นประชาชนชาวจีน..มีไทยหนึ่ง สเปนหนึ่ง ตะวันออกกลางหนึ่ง อินเดียหนึ่ง ) และแ่ต่ละชาติก้ออย่างที่บอกมันมีสำเนียงของตัวเองในการพูดภาษาอังกฤษ...ซึ่งหากเราไม่ใช่ฝรั่ง..เราจะฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก..
ทอมก้อไม่ได้สาธิตให้ดู..แต่ก้อพูดคร่าวๆว่าเป็นแนวนี้...สรุป ทุกคนไปงมหาทางกันเอง..
วันแรก..สี่คนแรก..เรียกว่าเป็นผู้เสียสละมาก..เพราะไม่มีทิศทาง..และก้อพูดกันไปคนละ 15-20 นาที...คนฟังก้อฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง..แต่ยุ่นรู้เลยว่ามันยากในการที่เราจะ present ออกมาจริงๆ..
ทอมเค้าก้อแนะว่าเหมือนเราเขียน essay บอกความรู้สึกว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบหนังสือเรื่องนี้ เค้าให้ทุกคนทำ book review จากนั้นก้อเอาไอ้ book review เนี่ย..มาเรียบเรียงเป็น essay
ยุ่นก้อเลยลองดู..วันที่ยุ่น present เป็นวันที่สี่...และจริงๆยุ่นได้เป็นคิวสุดท้าย.. ปรากฎคิว 1 2 3 มาสาย ยุ่นเลยกลายเป็นคนที่สอง..คนแรกเป็นผู้ชายจีนอายุมากแล้วเหมือนกัน....หนังสือที่เค้าเลือกเป็นแนวสืบสวน..ฟังไม่เข้าใจเลย..เค้าพูดประมาณ 25 นาที ถูกทอมเตือนเรื่องเวลาเกินสองรอบ...
จากนั้นก้อเป็นยุ่น...ก้อประมาณนี้นะ..ใช้เวลาประมาณหกนาทีกว่าๆ...คิดว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป..
Good afternoon. My name is Suwannee.
Today I’m going to tell you about the novel I read “The Walk”
When we face with miserable moment, it’s not easy to accept the pain and pass through it. In Richard Paul Evans “The Walk” is a story about a simple man that could be any man we meet on the street. Unexpectedly, one day his life is collapsed in a very short time. What he has lost and finally what he has found. We truly don’t know about him until this book is opened, “The Walk.”
The story sets in 2005. Alan Chistoffersen a Seattle advertising executive whose life is perfect: he’s happily married to his childhood sweetheart, McKale, also he’s very successful in his career. He and his friend, Kyle, own an advertising company when Alan is only 28 years old. Within less than six weeks, his life changes from fulfillment to nothing. His wife has a serious accident- throw from a horse and she’s paralyzed. He spends three weeks at her side and leaves his business in Kyle’s hand. When he comes back to his company, he finds out that Kyle has betrayed him. Kyle takes all his clients and employees with him and opens another new company. Moreover, his car is repossessed, his house is foreclosed and his wife’s medical bill is more than a quarter million dollars that makes him panic. The worse thing follows, a few days later his wife has a urinary infection that has spread to her blood stream. She dies soon and Alan is left alone with his misery. He’s tempted by his darkest thoughts and decides to end his problems with a bottle of pills. At that moment, a voice stops him. “Life is not yours to take.” In spite of hopeless, he leaves everything behind him and decides to take a walk from Seattle to Spokane. The people he meets along his way and the lessons they share with him make him find himself, change his thoughts and finally save his life.
Another character that I was impressed in this story is Ally- a young waitress Alan meets on his journey. She works in a roadside diner and has very tough life herself. However, she is concerned other’s people’s feeling, she's friendly, generous, and she is an optimistic and a strong woman who looks for the good in life. She gives Alan the food of thought, “The thing is, the only real sign of life is growth. And growth requires pain. So to choose life is accept pain. Some people go to such lengths to avoid pain that they give up on life. They bury their heart, or they drug or drink themselves numb until they don't feel anything anymore. The irony is, in the end their escape becomes more painful than what they're avoiding."
Also she encourages Alan in not giving up living, “You know, [McKale] is not really gone. She’s still a part of you. What part of you is your choice. She can be a spring of gratitude and joy, or she can be a fountain of bitterness and pain. It’s entirely up to you.” To me, this is a very powerful part in this book that I admire.
I do like “The Walk” because it is a simple and contemporary novel that we can easily understand the characters and situations. Also, at the beginning of each chapter, there are two or three lines of Alan’s diary that is like a hook which makes me eager to know what will happen next. For example:
- The reason we start things is rarely the reason we continue them. OR
- Often the simplest of decisions carry the direst of consequences
Moreover, the meaning behind this story gives me some good thinking that we are all on walk. We don’t know what lies ahead of us. However, there are people we’ve yet to meet who are waiting for our path to intersect with theirs, so they can complete their own journeys and we can complete ours. Also, we should look for beauty in everyone we meet, and we will find the good parts inside them. Furthermore, in one’s life, we have chances to meet both happiness and sadness. However, when we face with miserable moment, although it’s painful, we learn from it and we grow up. It’s our choice how to look through the problem. We can be victims of the circumstance or master of our own fate. We can apply this inspiration to our real life. The walk is a wonderful book I highly recommend everyone to read and I give the walk 8 marks.
Thank you for your attention!!!
เมื่อเทียบกับลุงคนแรก ของยุ่นแบบสั้นกระชับ จนทุกคนน่าจะงง...พอเดินลงมา..ผู้หญิงสเปนที่นั่งหน้าสุดเค้าก้อยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ยุ่น...และตอนช่วงพัก..เค้าก้อหันหลังมาชมยุ่นเสียงดังเลย...( เค้านั่งหน้าห้องสุด ยุ่นนั่งหลังห้องสุด ) " Your presentation is very good!" ยุ่นก้อยิ้มกว้าง ดีใจนะ..ก้อขอบคุณเค้า..เพื่อนคนจีนที่นั่งข้างยุ่นก้อชมเรา..แหม..เรารู้สึกตัวมันจะลอยๆไงไม่รุ้..แต่ก้อรู้สึกดีนะ..
อาจเพราะเวลา present ยุ่นจะพูดช้าและชัดเจน..คิดว่าทำให้คนฟังฟังรู้เรื่อง อีกอย่างเรื่องที่เราเลือกก้อแบบไม่สลับซับซ้อน..และเราใช้ศัพท์ง่ายๆ..ให้พวกเค้าฟังเข้าใจ...จริงๆเรื่องที่ยุ่นเลือกเนี่ย..ไม่ใช่เรื่องที่ทอมแนะนำ..เป็นเรื่องธรรมดามาก..ของเพื่อนๆ..เป็นแนวสืบสวนเอย...แนวผจญภัยเอย...คิดดูสิ ศัพท์แสงมันก้อคงยาก...เรื่องก้อเข้าใจยาก... ส่วนของยุ่น..คนฟังคงฟังรู้เรื่องมากกว่า...ถือว่าโชคดีไป...เพราะฉะนั้น การเลือกเรื่องง่ายๆ....ไม่ซับซ้อน..ก้อมีชัยไปกว่าครึ่ง...55555
และนี่ก้อเป็นการสอบอันสุดท้ายของ Communication 11 ...
ทอมเค้ามีเอาหนังสือมาให้เลือกหลายเรื่องอยู่..มีแนวรัก...สืบสวน..ผจญภัย..ชีวิต แล้วก้อตลกฮาฮา..แล้วแต่ใครจะเลือกเล่มไหน..แต่ปัญหาคือไอ้เล่มที่ยุ่นอยากได้ เราต้องรอคิวเพราะมีการยืมยาว..ซึ่งไม่รู้เมื่อไร..จึงต้องตัดสินใจเอาเล่มที่มีในห้องสมุดตอนนั้น ซึ่งก้อคือ Treasure Island...
หลังจากที่ยุ่นได้ใช้ความพยายามในการอ่านประมาณเกือบ 100 หน้า..ให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวที่เราชอบเลย..อ่านแล้วเบื่อมากๆ..เพราะมันเป็นแนวผจญภัย...ยุ่นว่าเด็กผู้ชายน่าจะชอบมากกว่า..และอีกอย่างภาษาที่เค้าใช้ ก้อจะเป็นแสลงของพวกโจรสลัด..เข้าใจยากมากๆ...เลย delete ทำการหาเอง..โดยไปยืนอ่านที่ shelf ในห้องสมุด..ยืนหาจนเจอเล่มที่เราอ่านไปสักสิบกว่าหน้าแล้วมันน่าสนใจ..ก้อเลยเลือก The Walk ของ Richard Paul Evans....
การ presentation ทอมมีตารางให้ present วันละ 5 คน ก้ออยู่ประมาณ 6 วัน..ก้อค่อยๆฟังกันไป..และสำหรับการมาบอกเล่าหนังสือที่เราอ่าน ( ไม่ใช่ภาษาของเรา) และมาบอกเล่าเป็นภาษาที่ไม่ใช่ของเราอีก..มันก้อไม่ง่ายนัก มีนักเรียนหลายคนถามว่าจะ presentation อย่างไรที่จะให้คนอื่นเค้ารู้เรื่องที่เราอ่านในเวลาไม่เกินสิบนาที พร้อมใส่ความคิดเห็น..ของเราว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบเรื่องนี้..จะทำได้ไง..( ลืมบอกไปนักเรียนในห้องส่วนใหญ่เป็นประชาชนชาวจีน..มีไทยหนึ่ง สเปนหนึ่ง ตะวันออกกลางหนึ่ง อินเดียหนึ่ง ) และแ่ต่ละชาติก้ออย่างที่บอกมันมีสำเนียงของตัวเองในการพูดภาษาอังกฤษ...ซึ่งหากเราไม่ใช่ฝรั่ง..เราจะฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก..
ทอมก้อไม่ได้สาธิตให้ดู..แต่ก้อพูดคร่าวๆว่าเป็นแนวนี้...สรุป ทุกคนไปงมหาทางกันเอง..
วันแรก..สี่คนแรก..เรียกว่าเป็นผู้เสียสละมาก..เพราะไม่มีทิศทาง..และก้อพูดกันไปคนละ 15-20 นาที...คนฟังก้อฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง..แต่ยุ่นรู้เลยว่ามันยากในการที่เราจะ present ออกมาจริงๆ..
ทอมเค้าก้อแนะว่าเหมือนเราเขียน essay บอกความรู้สึกว่าทำไมชอบหรือไม่ชอบหนังสือเรื่องนี้ เค้าให้ทุกคนทำ book review จากนั้นก้อเอาไอ้ book review เนี่ย..มาเรียบเรียงเป็น essay
ยุ่นก้อเลยลองดู..วันที่ยุ่น present เป็นวันที่สี่...และจริงๆยุ่นได้เป็นคิวสุดท้าย.. ปรากฎคิว 1 2 3 มาสาย ยุ่นเลยกลายเป็นคนที่สอง..คนแรกเป็นผู้ชายจีนอายุมากแล้วเหมือนกัน....หนังสือที่เค้าเลือกเป็นแนวสืบสวน..ฟังไม่เข้าใจเลย..เค้าพูดประมาณ 25 นาที ถูกทอมเตือนเรื่องเวลาเกินสองรอบ...
จากนั้นก้อเป็นยุ่น...ก้อประมาณนี้นะ..ใช้เวลาประมาณหกนาทีกว่าๆ...คิดว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป..
Good afternoon. My name is Suwannee.
Today I’m going to tell you about the novel I read “The Walk”
When we face with miserable moment, it’s not easy to accept the pain and pass through it. In Richard Paul Evans “The Walk” is a story about a simple man that could be any man we meet on the street. Unexpectedly, one day his life is collapsed in a very short time. What he has lost and finally what he has found. We truly don’t know about him until this book is opened, “The Walk.”
The story sets in 2005. Alan Chistoffersen a Seattle advertising executive whose life is perfect: he’s happily married to his childhood sweetheart, McKale, also he’s very successful in his career. He and his friend, Kyle, own an advertising company when Alan is only 28 years old. Within less than six weeks, his life changes from fulfillment to nothing. His wife has a serious accident- throw from a horse and she’s paralyzed. He spends three weeks at her side and leaves his business in Kyle’s hand. When he comes back to his company, he finds out that Kyle has betrayed him. Kyle takes all his clients and employees with him and opens another new company. Moreover, his car is repossessed, his house is foreclosed and his wife’s medical bill is more than a quarter million dollars that makes him panic. The worse thing follows, a few days later his wife has a urinary infection that has spread to her blood stream. She dies soon and Alan is left alone with his misery. He’s tempted by his darkest thoughts and decides to end his problems with a bottle of pills. At that moment, a voice stops him. “Life is not yours to take.” In spite of hopeless, he leaves everything behind him and decides to take a walk from Seattle to Spokane. The people he meets along his way and the lessons they share with him make him find himself, change his thoughts and finally save his life.
Another character that I was impressed in this story is Ally- a young waitress Alan meets on his journey. She works in a roadside diner and has very tough life herself. However, she is concerned other’s people’s feeling, she's friendly, generous, and she is an optimistic and a strong woman who looks for the good in life. She gives Alan the food of thought, “The thing is, the only real sign of life is growth. And growth requires pain. So to choose life is accept pain. Some people go to such lengths to avoid pain that they give up on life. They bury their heart, or they drug or drink themselves numb until they don't feel anything anymore. The irony is, in the end their escape becomes more painful than what they're avoiding."
Also she encourages Alan in not giving up living, “You know, [McKale] is not really gone. She’s still a part of you. What part of you is your choice. She can be a spring of gratitude and joy, or she can be a fountain of bitterness and pain. It’s entirely up to you.” To me, this is a very powerful part in this book that I admire.
I do like “The Walk” because it is a simple and contemporary novel that we can easily understand the characters and situations. Also, at the beginning of each chapter, there are two or three lines of Alan’s diary that is like a hook which makes me eager to know what will happen next. For example:
- The reason we start things is rarely the reason we continue them. OR
- Often the simplest of decisions carry the direst of consequences
Moreover, the meaning behind this story gives me some good thinking that we are all on walk. We don’t know what lies ahead of us. However, there are people we’ve yet to meet who are waiting for our path to intersect with theirs, so they can complete their own journeys and we can complete ours. Also, we should look for beauty in everyone we meet, and we will find the good parts inside them. Furthermore, in one’s life, we have chances to meet both happiness and sadness. However, when we face with miserable moment, although it’s painful, we learn from it and we grow up. It’s our choice how to look through the problem. We can be victims of the circumstance or master of our own fate. We can apply this inspiration to our real life. The walk is a wonderful book I highly recommend everyone to read and I give the walk 8 marks.
Thank you for your attention!!!
เมื่อเทียบกับลุงคนแรก ของยุ่นแบบสั้นกระชับ จนทุกคนน่าจะงง...พอเดินลงมา..ผู้หญิงสเปนที่นั่งหน้าสุดเค้าก้อยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ยุ่น...และตอนช่วงพัก..เค้าก้อหันหลังมาชมยุ่นเสียงดังเลย...( เค้านั่งหน้าห้องสุด ยุ่นนั่งหลังห้องสุด ) " Your presentation is very good!" ยุ่นก้อยิ้มกว้าง ดีใจนะ..ก้อขอบคุณเค้า..เพื่อนคนจีนที่นั่งข้างยุ่นก้อชมเรา..แหม..เรารู้สึกตัวมันจะลอยๆไงไม่รุ้..แต่ก้อรู้สึกดีนะ..
อาจเพราะเวลา present ยุ่นจะพูดช้าและชัดเจน..คิดว่าทำให้คนฟังฟังรู้เรื่อง อีกอย่างเรื่องที่เราเลือกก้อแบบไม่สลับซับซ้อน..และเราใช้ศัพท์ง่ายๆ..ให้พวกเค้าฟังเข้าใจ...จริงๆเรื่องที่ยุ่นเลือกเนี่ย..ไม่ใช่เรื่องที่ทอมแนะนำ..เป็นเรื่องธรรมดามาก..ของเพื่อนๆ..เป็นแนวสืบสวนเอย...แนวผจญภัยเอย...คิดดูสิ ศัพท์แสงมันก้อคงยาก...เรื่องก้อเข้าใจยาก... ส่วนของยุ่น..คนฟังคงฟังรู้เรื่องมากกว่า...ถือว่าโชคดีไป...เพราะฉะนั้น การเลือกเรื่องง่ายๆ....ไม่ซับซ้อน..ก้อมีชัยไปกว่าครึ่ง...55555
และนี่ก้อเป็นการสอบอันสุดท้ายของ Communication 11 ...
Wednesday, March 23, 2011
ความอยากรู้อยากเห็นเกือบเป็นเรื่อง..
เมื่อวานวันอังคารที่ 22 มีนาคม 2011 ยุ่นได้เจอเรื่องราวตื่นเต้นเป็นครั้งที่สองในชีวิต...ตื่นเต้นแบบแนวอาชญากรรม...
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอ..ตอนนั้นทำงานเป็น detail ยา จำไม่ได้ว่าอยู่เชริงหรือดีทแฮล์ม...ตอนนั้น ขณะที่กำลังติดไฟแดงอยู่..รอขึ้นทางด่วน...ตรงหน้าช่องสาม ถนนเพชรบุรีตัดใหม่...ยุ่นอยู่ช่องขวาสุด...ตอนนั้นรถที่สวนมาอีกด้านคือ bus lane ว่าง...เราก้อฟังเพลงเพลินๆอยู่..มองไปด้านหน้า..ช่วงนั้นก้อน่าจะประมาณทุ่มนะ...เห็นมอเตอร์ไซด์คันนึง..ขับมามีคนนั่งซ้อนท้าย..แล้วเค้าก้อจอดตรงด้านข้างรถคันหน้ายุ่น...คือหน้ายุ่นเลยอ่ะ..ยกปืนขึ้นมา แล้วยิงคนขับรถข้างหน้า...
ปั๊ง...ปั๊ง..ปั๊ง..
ตอนนั้นจำได้ว่าตกใจมากเลย...งง...ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเค้าแสดงหนัง..แต่เห็นมีเลือด แล้วมอเตอร์ไซด์ก้อหายไปอย่างรวดเร็ว..ยุ่นรีบเบี่ยงออก แล้วขึ้นทางด่วนกลับบ้าน...ขาเนี่ย..สั่นตลอดเลย...คือเห็นต่อหน้าต่อตาสดๆเลย..
รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า...เชือดไก่ให้ลิงดู..คนตายเป็นหนี้บ่อนการพนันประมาณนั้น...ทุกวันนี้ นึกขึ้นมาทีไร..ให้เสียวสยองไงไม่รู้..
เมื่อวาน..ก้อเป็นอีกวันที่เจอเหตุการณ์แนวนี้อีกครั้งนึง...แต่ยังไม่หวาดเสียวเท่า..
ช่วงหลังห่งกับยุ่นก้อไม่ค่อยเดินห้างกันเ่ท่าไร โดยเฉพาะที ่Oakridge Mall แถวบ้าน เรายิ่งไม่ค่อยเดิน เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร..บวกกับของค่อนข้างแพง...แต่เมื่อวานก้อไม่รุ้ยังไง...อยู่ดีๆสองคนก้อออกไปเดินเล่น..
ห่งกินกาแฟที่ศูนย์อาหารเสร็จ เราก้อเดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ..ตอนนั้นก้อประมาณสี่โมงกว่านะ...ก้อผ่านร้าน Gap ร้านเครื่องสำอางค์..แล้วก้อร้านเพชร ชื่อ Montecristo เสร็จยุ่นก้อเห็นผู้ชายคนนึงมองเข้าไปในร้านพร้อมกับพูดอะไรไม่รุ้..เราก้อมองตามตาเค้า..ก้อเห็น security หญิงนอนบนพื้น นิ้วกำลังนวดขมับพร้อมหลับตา...ยุ่นก้อสงสัยทำไมเค้าลงไปนอน เค้าเป็นอะไรมั้ย...มองเข้าไปในร้านก้อเห็นฝรั่งอีกคนนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆ...ก้อคิดว่ารึว่าเค้ารอรถพยาบาลมา..
เสร็จ..เราก้อผ่านอีกส่วนนึงของร้าน Montecrito คือร้านนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน..มีประตูทางเข้าหันหน้าชนกันอยู่ด้านใน...ประตูไม่ได้้ออกมาด้านหน้า..คือเวลาเดินเข้า เราเข้าด้านข้าง...ยุ่นก้อเห็นอีกร้าน ผู้หญิงที่นั่งตรงโต๊ะ เค้ากำลังเก็บของ..พร้อมล๊อคกุญแจ..ปากก้อขมุบขมิบบอกเราว่าอะไรไม่รู้...อ่านปากไม่เข้าใจ...เค้าก้อทำหน้าเลิ่กลั่กนะ...
ยุ่นก้ับห่งก้อกำลังตีความว่ามันเกิดอะไรขึ้น..เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที..ก้อมีผู้ชายสองคนออกจากร้าน..แต่งตัวดีเลย ดูดีมีชาติตระกูล..อายุในราวยี่สิบกว่านะ...สองคนก้อแบบรีบเดินมากๆเลย..ยุ่นเห้นคนขวาหน้าแบบแขกๆใส่เสื้อลายสก๊อต...อีกคนไม่ทันสังเกตุ แต่ห่งสังเกตุอีกคนเค้าบอกมีถุงกระดาษสีขาวและมือปืนด้วย..
พอเสร็จ..ผู้หญงในร้านพร้อม security หญิงที่ลงไปนอนนะ..วิ่งออกมา..และตะโกนดังลั่นว่า Robber Robber!!! ไอ้สองคนน้นก้อวิ่ง ผู้หญิงพวกนั้นก้อวิ่งตาม..ยุ่นก้ออยากตามนะ..แต่ห่งไม่ให้ไป..สักพัก..ยุ่นบอกห่งขอไปดูหน่อยนะ..และเราก้อเดินไปดูกัน..
ปรากฎตรงประตูทางออกของห้าง..มีตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งทับและคร่อมผู้ชายคนนึง..และตำรวจอีกคนยืนเอาขาเหยียบปืนอยู่..และยุ่นก้อเห็นผู้ชายฝรั่ง...นั่งอยู่ข้างๆร้องไห้ใหญ่เลย หน้าตาแดงก่ำ..แต่เรารู้สึกว่าเราไม่เห็นคนนี้เดินออกจากร้านนะ..คือรู้สึกสองคนที่เดินออกมามันไม่ใช่ฝรั่งอ่ะ..
เสร็จ..ก้อสังเกตุ เลยรู้ว่าฝรั่งไม่ใช่เป็นโจร คือน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย..อาจเดินเข้ามาช่วยสกัดหรือไงเนี่ย เลยโดนปืนทุบหลังหัว..และโจรอีกคนที่ใส่เสื้อลายสก๊อตหนีไปได้เพราะมีรถ Chevrolet Astro van สีเขียวมาจอดรออยู่..สรุปจับได้คนเดียว..
งานนี้นอกจากมีสองไทยมุง..ยังมีจีนมุง แขกมุงแล้วก้อฝรั่งมุงด้วย..แป๊บเดียวตำรวจมาตรึม..บอกให้ผู้ชุมนุมการมุงสลายตัว..ทำเอา multinational มุง ต้องถอยร่นลงมาอีกหน่อย..แต่ก้อยังคงการมุงอย่างหนาแน่น..เพราะมนุษย์เรา..อย่างว่าต่อมอยากรู้อยากเห็นมันทำงานของมันเสมอ...55555
และที่รู้ๆ...ร้านนี้ถูกปล้นเป็นครั้งที่สองในรอบหกเดือน...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..ไม่ได้มีร้านเดียวนะ..ร้านเพชรนะ..ใน mall นี้มีสามร้านใหญ่ๆเลยอ่ะ...เพียงแต่ร้านนี้อาจไม่ได้อยู่ใกล้กับอีกสองร้านซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกันเลย...ก้อไม่เข้าใจทำไมโจรมันชอบร้านนี้...แต่โชคดีที่ไม่โจรไม่ใช้ปืนยิงผู้คนในห้างหรือจับคนในห้างเป็นตัวประกัน...
และก้อโชคดีอีกอย่าง..เพราะหากยุ่นมีความอยากรู้มากเกินเหตุ..ยุ่นอาจยืนอยู่หน้าร้านนานเกิน..ซึ่งหากโจรเดินออกมา..เราอาจไม่ปลอดภัยได้..แต่ห่งบอกระยะที่เรายืนตอนนั้นกับที่โจรออกมามันก้อไม่เกินสิบเมตร..ก้อเรียกว่า..ได้อยู่ในเหตุกาณ์ที่เรียกว่าแนวอาชญากรรมถึงสองครั้ง..แบบจังๆ...เฮ้อ...โชคดี ที่ไม่เจอลูกหลง...
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอ..ตอนนั้นทำงานเป็น detail ยา จำไม่ได้ว่าอยู่เชริงหรือดีทแฮล์ม...ตอนนั้น ขณะที่กำลังติดไฟแดงอยู่..รอขึ้นทางด่วน...ตรงหน้าช่องสาม ถนนเพชรบุรีตัดใหม่...ยุ่นอยู่ช่องขวาสุด...ตอนนั้นรถที่สวนมาอีกด้านคือ bus lane ว่าง...เราก้อฟังเพลงเพลินๆอยู่..มองไปด้านหน้า..ช่วงนั้นก้อน่าจะประมาณทุ่มนะ...เห็นมอเตอร์ไซด์คันนึง..ขับมามีคนนั่งซ้อนท้าย..แล้วเค้าก้อจอดตรงด้านข้างรถคันหน้ายุ่น...คือหน้ายุ่นเลยอ่ะ..ยกปืนขึ้นมา แล้วยิงคนขับรถข้างหน้า...
ปั๊ง...ปั๊ง..ปั๊ง..
ตอนนั้นจำได้ว่าตกใจมากเลย...งง...ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเค้าแสดงหนัง..แต่เห็นมีเลือด แล้วมอเตอร์ไซด์ก้อหายไปอย่างรวดเร็ว..ยุ่นรีบเบี่ยงออก แล้วขึ้นทางด่วนกลับบ้าน...ขาเนี่ย..สั่นตลอดเลย...คือเห็นต่อหน้าต่อตาสดๆเลย..
รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า...เชือดไก่ให้ลิงดู..คนตายเป็นหนี้บ่อนการพนันประมาณนั้น...ทุกวันนี้ นึกขึ้นมาทีไร..ให้เสียวสยองไงไม่รู้..
เมื่อวาน..ก้อเป็นอีกวันที่เจอเหตุการณ์แนวนี้อีกครั้งนึง...แต่ยังไม่หวาดเสียวเท่า..
ช่วงหลังห่งกับยุ่นก้อไม่ค่อยเดินห้างกันเ่ท่าไร โดยเฉพาะที ่Oakridge Mall แถวบ้าน เรายิ่งไม่ค่อยเดิน เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร..บวกกับของค่อนข้างแพง...แต่เมื่อวานก้อไม่รุ้ยังไง...อยู่ดีๆสองคนก้อออกไปเดินเล่น..
ห่งกินกาแฟที่ศูนย์อาหารเสร็จ เราก้อเดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ..ตอนนั้นก้อประมาณสี่โมงกว่านะ...ก้อผ่านร้าน Gap ร้านเครื่องสำอางค์..แล้วก้อร้านเพชร ชื่อ Montecristo เสร็จยุ่นก้อเห็นผู้ชายคนนึงมองเข้าไปในร้านพร้อมกับพูดอะไรไม่รุ้..เราก้อมองตามตาเค้า..ก้อเห็น security หญิงนอนบนพื้น นิ้วกำลังนวดขมับพร้อมหลับตา...ยุ่นก้อสงสัยทำไมเค้าลงไปนอน เค้าเป็นอะไรมั้ย...มองเข้าไปในร้านก้อเห็นฝรั่งอีกคนนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆ...ก้อคิดว่ารึว่าเค้ารอรถพยาบาลมา..
เสร็จ..เราก้อผ่านอีกส่วนนึงของร้าน Montecrito คือร้านนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน..มีประตูทางเข้าหันหน้าชนกันอยู่ด้านใน...ประตูไม่ได้้ออกมาด้านหน้า..คือเวลาเดินเข้า เราเข้าด้านข้าง...ยุ่นก้อเห็นอีกร้าน ผู้หญิงที่นั่งตรงโต๊ะ เค้ากำลังเก็บของ..พร้อมล๊อคกุญแจ..ปากก้อขมุบขมิบบอกเราว่าอะไรไม่รู้...อ่านปากไม่เข้าใจ...เค้าก้อทำหน้าเลิ่กลั่กนะ...
ยุ่นก้ับห่งก้อกำลังตีความว่ามันเกิดอะไรขึ้น..เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที..ก้อมีผู้ชายสองคนออกจากร้าน..แต่งตัวดีเลย ดูดีมีชาติตระกูล..อายุในราวยี่สิบกว่านะ...สองคนก้อแบบรีบเดินมากๆเลย..ยุ่นเห้นคนขวาหน้าแบบแขกๆใส่เสื้อลายสก๊อต...อีกคนไม่ทันสังเกตุ แต่ห่งสังเกตุอีกคนเค้าบอกมีถุงกระดาษสีขาวและมือปืนด้วย..
พอเสร็จ..ผู้หญงในร้านพร้อม security หญิงที่ลงไปนอนนะ..วิ่งออกมา..และตะโกนดังลั่นว่า Robber Robber!!! ไอ้สองคนน้นก้อวิ่ง ผู้หญิงพวกนั้นก้อวิ่งตาม..ยุ่นก้ออยากตามนะ..แต่ห่งไม่ให้ไป..สักพัก..ยุ่นบอกห่งขอไปดูหน่อยนะ..และเราก้อเดินไปดูกัน..
ปรากฎตรงประตูทางออกของห้าง..มีตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งทับและคร่อมผู้ชายคนนึง..และตำรวจอีกคนยืนเอาขาเหยียบปืนอยู่..และยุ่นก้อเห็นผู้ชายฝรั่ง...นั่งอยู่ข้างๆร้องไห้ใหญ่เลย หน้าตาแดงก่ำ..แต่เรารู้สึกว่าเราไม่เห็นคนนี้เดินออกจากร้านนะ..คือรู้สึกสองคนที่เดินออกมามันไม่ใช่ฝรั่งอ่ะ..
เสร็จ..ก้อสังเกตุ เลยรู้ว่าฝรั่งไม่ใช่เป็นโจร คือน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย..อาจเดินเข้ามาช่วยสกัดหรือไงเนี่ย เลยโดนปืนทุบหลังหัว..และโจรอีกคนที่ใส่เสื้อลายสก๊อตหนีไปได้เพราะมีรถ Chevrolet Astro van สีเขียวมาจอดรออยู่..สรุปจับได้คนเดียว..
งานนี้นอกจากมีสองไทยมุง..ยังมีจีนมุง แขกมุงแล้วก้อฝรั่งมุงด้วย..แป๊บเดียวตำรวจมาตรึม..บอกให้ผู้ชุมนุมการมุงสลายตัว..ทำเอา multinational มุง ต้องถอยร่นลงมาอีกหน่อย..แต่ก้อยังคงการมุงอย่างหนาแน่น..เพราะมนุษย์เรา..อย่างว่าต่อมอยากรู้อยากเห็นมันทำงานของมันเสมอ...55555
และที่รู้ๆ...ร้านนี้ถูกปล้นเป็นครั้งที่สองในรอบหกเดือน...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..ไม่ได้มีร้านเดียวนะ..ร้านเพชรนะ..ใน mall นี้มีสามร้านใหญ่ๆเลยอ่ะ...เพียงแต่ร้านนี้อาจไม่ได้อยู่ใกล้กับอีกสองร้านซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกันเลย...ก้อไม่เข้าใจทำไมโจรมันชอบร้านนี้...แต่โชคดีที่ไม่โจรไม่ใช้ปืนยิงผู้คนในห้างหรือจับคนในห้างเป็นตัวประกัน...
และก้อโชคดีอีกอย่าง..เพราะหากยุ่นมีความอยากรู้มากเกินเหตุ..ยุ่นอาจยืนอยู่หน้าร้านนานเกิน..ซึ่งหากโจรเดินออกมา..เราอาจไม่ปลอดภัยได้..แต่ห่งบอกระยะที่เรายืนตอนนั้นกับที่โจรออกมามันก้อไม่เกินสิบเมตร..ก้อเรียกว่า..ได้อยู่ในเหตุกาณ์ที่เรียกว่าแนวอาชญากรรมถึงสองครั้ง..แบบจังๆ...เฮ้อ...โชคดี ที่ไม่เจอลูกหลง...
Monday, March 7, 2011
To Preserve and Exercise Power
ยุ่นอยากบอกว่า...เวลาที่เราเรียนอะไรแล้วเราชอบ..มันจะมีแรงผลักดันให้เราสร้างผลงานของเราเอง...อย่าง writing นี้ เป็นอะไรที่ยุ่นเขียนจากความรู้สึกชอบในการอ่านหนังสือเล่มนี้ เรามีความเห็นในมุมมองของเรา....และเราก้อทำการค้นคว้าเตรียมตัวในการสอบของเราเอง...ซึ่งใช้เวลาไม่น้อย ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นในวันอาทิตย์..แต่สี่ชั่วโมงที่ค้นคว้านั้น...มีความสุขนะ...และมีพลังในการทำงานโดยไม่เหนื่อยเลย...ยุ่นว่านี่แหละคือการเรียนหนังสือที่ถูกต้อง...คิดว่าหากทอมได้อ่านแล้ว เค้าน่าจะรู้ว่าเรา in กับ The Crucible แค่ไหน...เพื่อนๆลองสัมผัสดูนะ...
และนี่ก้อคือ Writing ที่ทอมให้สอบ ยุ่นเลือกคำถามที่ว่า :
Write an essay explaining three reasons why you either liked or disliked this play?
และนี่ก้อคือคำตอบของยุ่น:
The fact that people are tragic victims of a testing of government’s authority is true in any society and at any time in human history. “The Crucible” is a mirror that Arthur Miller uses to reflect the anticommunist hysteria inspired by Senator Joseph McCarthy’s “witch-hunts” in the United States in 1953. I like this classic play; Miller shows us three different relationships in the society: a relationship between husband and wife in their family, a relationship between townspeople and neighbors in their village, and a relationship between the government and people in their country.
The bond linking John and Elizabeth Proctor is John's faith in his wife's virtue. John has a hidden sin that he has had an affair with Abigail when she was a servant in his house. John feels guilty about it. However, when Elizabeth wants him to have a public confession, he hesitates to reveal it because of his reputation. Finally, he exposes his relationship with Abigail in the court, and he knows that it’s too late to stop Abigail and the girls from their lies, so he is arrested and accused of being a witch. Although he has a chance to save his life, he chooses to die and feels he has finally purged his guilt for his failure to stop the trials when he had a chance. As his wife says, “‘He have his goodness now. God forbid I take it from him!’” John needs Elizabeth's love and forgiveness. The love and faith that he gives to his wife makes him a principled man and eventually makes his decision to be an honest father of his sons.
Taking others’ benefits and being honest to their neighbors are two contrasting connections of the townspeople in Salem. They accept and become active in the hysterical climate, so everyone lives in fear and under pressure. This also gives a chance to some greedy, cunning and power-hungry people like Abigail, Parris and Putnum who use the religious conviction to scapegoat and take revenge their enemies for their own benefits. On the other hand, many innocent poeple are very brave to die for the truth and they don’t accuse others. John Proctor is the tragic hero who is offered the opportunity to make a public confession, but he refuses to give the false confession that would dishonor his friends. He’s a person of great integrity and chooses to protect his name rather than live with a lie for the rest of his life. Luckily, there are many principled people like Proctor who sacrifice their lives that lead to the revolution in many countries in the world.
It's a very strict alliance between the court and townspeople in "The Crucible" which is set in a theocratic society. Everything and everyone belongs to either God or the Devil. The court that conducts the witch trials belongs to God and uses their power to judge people in the way they want, without any hard evidence to prove the guilt. People like Danforth and Hathorne, who have the highest authority in the society, use the state power to pressure, force and scapegoat the innocent people such as John Proctor or Giles Corey who go against the court and become enemies of the court. Finally, they are accused of being witches and are executed. This is the way that many governments in many countries want their people to live in terror so the governments can have a political control of their people.
"The Crucible" is a tragic and allergorical play which gives posterity one of the most dreadful lessons in human history. Although this is a real event that happened more than three hundred years ago, it still happens many times over in human history such as the McCarthyism in the United States or anticommunist mania in many countries in the world. Sometimes the government's policies, unjust trials, and some sly people in the society can make all the society chaotic; everyone lives in horror and suspicion, and innocents' lives are destroyed. Then it is discovered that the government only wants to preserve and exercise their power to people. This kind of event still happens but in different situations as long as humans are humans.
และคะแนนก้อถูกส่งกลับมาแล้ว...ทอมรู้สึกประทับใจในการเขียน writing เรื่องนี้ของนักเรียนมาก....ในส่วนของยุ่น ทอมเขียนสั้นๆว่า " Excellent Writing , Suwannee! " ให้คะแนน 18/20 ยุ่นรู้สึกดีใจจัง..ครั้งก่อนที่เรียน Eng 11...ทอมให้ 14 / 20 แปลว่าเราก้อมีพัฒนาการนะเนี่ย !!!
และนี่ก้อคือ Writing ที่ทอมให้สอบ ยุ่นเลือกคำถามที่ว่า :
Write an essay explaining three reasons why you either liked or disliked this play?
และนี่ก้อคือคำตอบของยุ่น:
The fact that people are tragic victims of a testing of government’s authority is true in any society and at any time in human history. “The Crucible” is a mirror that Arthur Miller uses to reflect the anticommunist hysteria inspired by Senator Joseph McCarthy’s “witch-hunts” in the United States in 1953. I like this classic play; Miller shows us three different relationships in the society: a relationship between husband and wife in their family, a relationship between townspeople and neighbors in their village, and a relationship between the government and people in their country.
The bond linking John and Elizabeth Proctor is John's faith in his wife's virtue. John has a hidden sin that he has had an affair with Abigail when she was a servant in his house. John feels guilty about it. However, when Elizabeth wants him to have a public confession, he hesitates to reveal it because of his reputation. Finally, he exposes his relationship with Abigail in the court, and he knows that it’s too late to stop Abigail and the girls from their lies, so he is arrested and accused of being a witch. Although he has a chance to save his life, he chooses to die and feels he has finally purged his guilt for his failure to stop the trials when he had a chance. As his wife says, “‘He have his goodness now. God forbid I take it from him!’” John needs Elizabeth's love and forgiveness. The love and faith that he gives to his wife makes him a principled man and eventually makes his decision to be an honest father of his sons.
Taking others’ benefits and being honest to their neighbors are two contrasting connections of the townspeople in Salem. They accept and become active in the hysterical climate, so everyone lives in fear and under pressure. This also gives a chance to some greedy, cunning and power-hungry people like Abigail, Parris and Putnum who use the religious conviction to scapegoat and take revenge their enemies for their own benefits. On the other hand, many innocent poeple are very brave to die for the truth and they don’t accuse others. John Proctor is the tragic hero who is offered the opportunity to make a public confession, but he refuses to give the false confession that would dishonor his friends. He’s a person of great integrity and chooses to protect his name rather than live with a lie for the rest of his life. Luckily, there are many principled people like Proctor who sacrifice their lives that lead to the revolution in many countries in the world.
It's a very strict alliance between the court and townspeople in "The Crucible" which is set in a theocratic society. Everything and everyone belongs to either God or the Devil. The court that conducts the witch trials belongs to God and uses their power to judge people in the way they want, without any hard evidence to prove the guilt. People like Danforth and Hathorne, who have the highest authority in the society, use the state power to pressure, force and scapegoat the innocent people such as John Proctor or Giles Corey who go against the court and become enemies of the court. Finally, they are accused of being witches and are executed. This is the way that many governments in many countries want their people to live in terror so the governments can have a political control of their people.
"The Crucible" is a tragic and allergorical play which gives posterity one of the most dreadful lessons in human history. Although this is a real event that happened more than three hundred years ago, it still happens many times over in human history such as the McCarthyism in the United States or anticommunist mania in many countries in the world. Sometimes the government's policies, unjust trials, and some sly people in the society can make all the society chaotic; everyone lives in horror and suspicion, and innocents' lives are destroyed. Then it is discovered that the government only wants to preserve and exercise their power to people. This kind of event still happens but in different situations as long as humans are humans.
และคะแนนก้อถูกส่งกลับมาแล้ว...ทอมรู้สึกประทับใจในการเขียน writing เรื่องนี้ของนักเรียนมาก....ในส่วนของยุ่น ทอมเขียนสั้นๆว่า " Excellent Writing , Suwannee! " ให้คะแนน 18/20 ยุ่นรู้สึกดีใจจัง..ครั้งก่อนที่เรียน Eng 11...ทอมให้ 14 / 20 แปลว่าเราก้อมีพัฒนาการนะเนี่ย !!!
Friday, March 4, 2011
ทำไมฝรั่งเค้าชอบให้อ่านหนังสือ (นอกเวลา)????
สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกว่าแตกต่างในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษของบ้านเรากับที่นี่อย่างเห็นได้ชัดเจนก้อคือ เรื่องการอ่านหนังสือนอกเวลา...ในวิชาภาษาอังกฤษ
จำได้ตอนนั้นอยู่เตรียม ม.ศ. 4-5 พวกเราก้อต้องอ่านหนังสือนอกเวลา...ยุ่นจำเรื่องไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร..แต่รู้ว่ายุ่นอ่านแบบเพื่อสอบจริงๆ...ครูไม่ได้พูดอะไร...ก้อบอกมีหนังสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอ่านมา...ตอนนั้น ก้อไปหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน..อ่านจบหนึ่งรอบเพื่อให้รู้เค้าโครงก่อน...จากนั้นค่อยลงมืออ่านภาคภาษาอังกฤษแบบจริงจัง...แล้วเวลาสอบก้อคล้ายๆกับถามตอบ multiple choice นะ..ก้อรู้สึกทำได้ คะแนนดีด้วยมั้ง....แต่ก้อดูสิ..ภาษาอังกฤษยุ่นก้อยังใช้การไม่ค่อยได้..55555
แต่มาเรียนที่นี่...ถ้าเป็น Eng 11 กับ 12 เค้าบังคับว่าต้องอ่านแน่นอน โดยทางโรงเรียนกำหนดเรื่องมาเลย...แต่ communication เนี่ย..ยุ่นว่าขึ้นกับครูนะ..เพราะก่อนนั้นเคยลง communication 11 ครู Ruth ไม่ได้ให้อ่าน แต่เรียนกับทอมสองครั้งแล้ว..เค้าชอบให้อ่าน..ตอน Eng 11 อ่านเรื่อง " Lord of the Flies" มาครั้งนี้ communication 11 ทอมเลือกให้หนึ่งเรื่อง คือ " The Crucible" และเราต้องหาเองอีกเรื่อง ซึ่งยุ่นไปหาในห้องสมุดได้เรื่อง " The Walk" มา...
ชอบวิธีการสอนของทอมเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา..เค้าจะให้ความสำคัญและมีวิธีการไกด์นำเราให้อ่านอย่างไร...และเค้าชอบให้อ่านในห้อง และคุยกันแสดงความคิดเห็นกัน...เค้าจะชี้ให้เรามองในประเด็นต่างๆ...ซึ่งน่าสนใจ..และทำให้เราคิด วิเคราะห์ เข้าใจตัวละครมากขึ้น... สนุกและอยากติดตามเรื่องที่เราอ่าน...
และสุดท้าย...พออ่านจบเนี่ย...เค้าไม่ได้สอบแบบบ้านเรา..แต่เค้าสอบแบบเราแบบต้องออกความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับหนังสือที่เราอ่าน...โดยการวิเคราะห์ซึ่งเค้าจะแนะว่าควรมีสามประเด็น..แล้วก้อพยายามเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอให้ได้ ประมาณนั้น...
เรื่องที่ทอมเลือกมาแต่ละเรื่อง พูดจริงๆว่าเด็ดขาดมากเลย..อย่างเรื่อง Lord of the Flies เนี่ย...เป็นหลักสูตรของ BC ยีนก้อต้องอ่านเล่มนี้เหมือนกัน...เป็นเรื่องแบบเด็กอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่ไม่ตายและไปติดอยู่ในเกาะด้วยกัน....เด็กๆจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเลย..ไม่มีพ่อแม่..กฎหมาย..ไม่มีกฎระเบียบ...ซึ่งคนเขียนเรื่องได้สะท้อนให้เห็นความดีและความเลวที่อยู่ในตัวมนุษย์ผ่านตัวละครเด็กเหล่านี้.....เวลาอ่านไปเนี่ย...ก้อต้องคิดตามไปด้วย..เพราะทอมเค้าจะมีคำถามที่ไม่เหมือนเวลาเราเรียนตอนเด็กๆ...มาถาม..เช่น..ตัวละครตัวนี้พูดแบบนี้...พวกคุณคิดว่าอย่างไร..ทำไม...
หรือทำไมคนนี้ทำแบบนี้ เพราะอะไร....คิดอย่างไร...แล้วเราก้อ discuss กัน
พูดจริงๆนะ ยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ถูกฝึกคิดแบบนี้...แต่ช่วงหลังก้อเริ่มสนุก..เพราะพอเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตอนหลังเราก้อเพลิดเพลิน....ซึ่งเค้าต้องการให้เราได้อรรถรสแบบนี้ และถ่ายทอดความรู้สึกความคิดเห็นของเราออกมาเป็นตัวหนังสือ...ซึ่งเด็กที่นี่เค้าเรียนแบบนี้ตั้งแต่เกรดห้า...และต้องเขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่า...ทำไมฝรั่งเค้าถึงคิดได้เก่งกว่าพวกเรา...สำหรับเค้า...ทุกความคิดเห็นไม่มีถูกหรือผิด....ทุกคนแสดงออกได้ โดยเอาเหตุผลมา support และนี่ก้อคงเป็นเหตุที่ทำให้เค้าเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น...และวิเคราะห์เก่งกว่าพวกเอเชีย...
สำหรับ Communication 11 นี้ทอมเลือก The Crucible.... ตอนแรกไม่ชอบเลย..เค้าให้อ่านพร้อมกันในห้อง มันแบบเป็นบทละครอ่ะ..ภาษาก้อใช้แบบยากเหมือนกัน...บางอันก้อแบบภาษาโบราณอ่านก้อไม่เข้าใจ....แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีสี่ตอน...พอถึงตอนสามเนี่ย...ยุ่นชอบมากๆๆๆๆเลย..สนุกมาก...มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาช่วง คศ 1692 เรียกว่าเป็นยุคล่าแม่มด.. " Witch hunt"
สังคมสมัยนั้นก้อเชื่อถือเรื่องศาสนามาก..เชื่อถือในพระเจ้ามาก เพราะฉะนั้นใครที่ทำผิดศีลธรรม ก้อเหมือนเป็น devil หรือ witchcraft และรัฐซึ่งก้อคือพระจ้านั่นเอง จะมาทำหน้าที่ล่าแม่มด...ซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่ไม่ดีในสังคมหรือคนที่เล็งที่จะเอาเปรียบคนอื่น...ใช้ไอ้เรื่องแม่มดเนี่ยมาใส่ร้ายคนอื่นที่เป็นศัตรูกับตัวเอง...ซึ่งเค้าเรียกว่า scapegoat - ใส่ร้ายป้ายสี...ว่าเป็นแม่มด...และคนบริสุทธิ์ก้อถูกแขวนคอมากมาย....กับระบบการตัดสิน...หรือการดำเนินการของรัฐที่ไม่ยุติธรรม..ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกขึ้นต่อต้าน และเกิดการปฎิรูปการปกครองมาเป็นแบบทุกวันนี้...
ตัวละครที่ Miller เขียนก้อเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ...ในหมู่บ้านเล็กๆใน Salem...Massachuletts ซึ่งพระเอก...ก้อถูกกล่าวหาว่าเป็น witchcraft และในตอนท้ายของเรื่อง...เค้าก้อเลือกที่จะยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศของเค้า...มากกว่าที่จะเป็นคนขี้ขลาด...สารภาพว่าเค้าเป็นพวกแม่มด...และหักหลังเพื่อนๆที่ยอมตาย......เพราะคนที่ถูกแขวนคอนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์...
เรื่องนี้ Arthur Miller เค้าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการเสียดสี ลัทธิการล่าคอมมิวนิสต์ของ Senator Joseph McCarthy's วุฒิสมาชิกของอเมริกา...ซึ่งช่วงนั้นอเมริกาก้อเป็นยุคที่รัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่กันแบบหวาดระแวงว่าวันดีคืนนี้ ประชาชนคนบริสุทธิ์ก้ออาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์...และถูกฆ่าตายได้...
แบบเรียนแล้วหนุกมากเลย...พอเรียนจบครูก้อไปหาหนังมาให้ดูอีก..พอดูเข้าไป ยุ่นก้อเลยยิ่ง in เลย...รู้สึกชอบเรื่องนี้มาก...และรู้สึกมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทุกยุคทุกสมัย..แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ .....และเกิดในทุกๆประเทศรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย....
และอีกเรื่องยุ่นก้อต้องอ่านและสรุปของยุ่นเอง...สำหรับ The Crucible วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก้อจะสอบ writing โดยมีคำถามมาให้เราแสดงความคิดเห็นเป็นหนึ่ง essay ส่วน..The Walk ที่เราเลือกเอง.....เราก้อต้องเขียนออกมาเป็นความคิดเห็นของเราว่าทำไมเราชอบเรื่องนี้ หรือเราได้อะไรจากเรื่องนี้อีกหนึ่ง essay แต่อันนี้เราต้องทำ presentation เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นรู้สึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย....
ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไมฝรั่งถึงชอบอ่านหนังสือ..เพราะเค้าปูกันมาแต่เด็ก...และดูหนังสือที่เค้าเลือกมาให้อ่านสิ...อ่านแล้วมันต้องคิดนะ...อย่างเรื่อง The Crucible เนี่ย ยุ่นรู้สึกว่าเพื่อนๆทั้งชั้นชอบกันทุกคน...แค่นี้ยุ่นก้อว่าครูก้อทำหน้าที่ของเค้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...การเลือกหนังสือมาให้เด็กอ่าน...การสอน...แนะนำ..และชี้ประเด็นให้เด็กติดตามเรื่องนั้นๆ...สิ่งเหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการเป็นครูเช่นกัน.....
ยุ่นจำไม่ได้ว่ายุ่นได้อ่านหนังสือนอกเวลาเป็นภาษาไทยมั้ย...เพราะยุ่นอาจไม่ไ้ด้ประทับใจอะไรมาก เลยจำไม่ได้...แต่ยุ่นว่าแม้กระทั่งหนังสือนอกเวลาในวิชาภาษาไทย...เราก้อควรฝึกให้เด็กไทยอ่านตั้งแต่เด็ก...ควรมีหนังสือหลากหลายอรรถรส หลายแบบ ให้เด็กได้อ่าน ได้คิด ได้เปิดโลกของเค้า...และเราควรฝึกการอ่านแบบเน้นการวิเคราะห์...ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สอบๆ...อย่างเดียว...ยุ่นว่า...ถ้าเราทำได้นะ....บ้านเราน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ...และเป็นกำลังสมองที่สำคัญของชาติในอนาคต......โอมเพี้ยง...
จำได้ตอนนั้นอยู่เตรียม ม.ศ. 4-5 พวกเราก้อต้องอ่านหนังสือนอกเวลา...ยุ่นจำเรื่องไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร..แต่รู้ว่ายุ่นอ่านแบบเพื่อสอบจริงๆ...ครูไม่ได้พูดอะไร...ก้อบอกมีหนังสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอ่านมา...ตอนนั้น ก้อไปหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน..อ่านจบหนึ่งรอบเพื่อให้รู้เค้าโครงก่อน...จากนั้นค่อยลงมืออ่านภาคภาษาอังกฤษแบบจริงจัง...แล้วเวลาสอบก้อคล้ายๆกับถามตอบ multiple choice นะ..ก้อรู้สึกทำได้ คะแนนดีด้วยมั้ง....แต่ก้อดูสิ..ภาษาอังกฤษยุ่นก้อยังใช้การไม่ค่อยได้..55555
แต่มาเรียนที่นี่...ถ้าเป็น Eng 11 กับ 12 เค้าบังคับว่าต้องอ่านแน่นอน โดยทางโรงเรียนกำหนดเรื่องมาเลย...แต่ communication เนี่ย..ยุ่นว่าขึ้นกับครูนะ..เพราะก่อนนั้นเคยลง communication 11 ครู Ruth ไม่ได้ให้อ่าน แต่เรียนกับทอมสองครั้งแล้ว..เค้าชอบให้อ่าน..ตอน Eng 11 อ่านเรื่อง " Lord of the Flies" มาครั้งนี้ communication 11 ทอมเลือกให้หนึ่งเรื่อง คือ " The Crucible" และเราต้องหาเองอีกเรื่อง ซึ่งยุ่นไปหาในห้องสมุดได้เรื่อง " The Walk" มา...
ชอบวิธีการสอนของทอมเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา..เค้าจะให้ความสำคัญและมีวิธีการไกด์นำเราให้อ่านอย่างไร...และเค้าชอบให้อ่านในห้อง และคุยกันแสดงความคิดเห็นกัน...เค้าจะชี้ให้เรามองในประเด็นต่างๆ...ซึ่งน่าสนใจ..และทำให้เราคิด วิเคราะห์ เข้าใจตัวละครมากขึ้น... สนุกและอยากติดตามเรื่องที่เราอ่าน...
และสุดท้าย...พออ่านจบเนี่ย...เค้าไม่ได้สอบแบบบ้านเรา..แต่เค้าสอบแบบเราแบบต้องออกความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับหนังสือที่เราอ่าน...โดยการวิเคราะห์ซึ่งเค้าจะแนะว่าควรมีสามประเด็น..แล้วก้อพยายามเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอให้ได้ ประมาณนั้น...
เรื่องที่ทอมเลือกมาแต่ละเรื่อง พูดจริงๆว่าเด็ดขาดมากเลย..อย่างเรื่อง Lord of the Flies เนี่ย...เป็นหลักสูตรของ BC ยีนก้อต้องอ่านเล่มนี้เหมือนกัน...เป็นเรื่องแบบเด็กอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่ไม่ตายและไปติดอยู่ในเกาะด้วยกัน....เด็กๆจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเลย..ไม่มีพ่อแม่..กฎหมาย..ไม่มีกฎระเบียบ...ซึ่งคนเขียนเรื่องได้สะท้อนให้เห็นความดีและความเลวที่อยู่ในตัวมนุษย์ผ่านตัวละครเด็กเหล่านี้.....เวลาอ่านไปเนี่ย...ก้อต้องคิดตามไปด้วย..เพราะทอมเค้าจะมีคำถามที่ไม่เหมือนเวลาเราเรียนตอนเด็กๆ...มาถาม..เช่น..ตัวละครตัวนี้พูดแบบนี้...พวกคุณคิดว่าอย่างไร..ทำไม...
หรือทำไมคนนี้ทำแบบนี้ เพราะอะไร....คิดอย่างไร...แล้วเราก้อ discuss กัน
พูดจริงๆนะ ยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ถูกฝึกคิดแบบนี้...แต่ช่วงหลังก้อเริ่มสนุก..เพราะพอเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตอนหลังเราก้อเพลิดเพลิน....ซึ่งเค้าต้องการให้เราได้อรรถรสแบบนี้ และถ่ายทอดความรู้สึกความคิดเห็นของเราออกมาเป็นตัวหนังสือ...ซึ่งเด็กที่นี่เค้าเรียนแบบนี้ตั้งแต่เกรดห้า...และต้องเขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ...ยุ่นจึงไม่แปลกใจว่า...ทำไมฝรั่งเค้าถึงคิดได้เก่งกว่าพวกเรา...สำหรับเค้า...ทุกความคิดเห็นไม่มีถูกหรือผิด....ทุกคนแสดงออกได้ โดยเอาเหตุผลมา support และนี่ก้อคงเป็นเหตุที่ทำให้เค้าเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น...และวิเคราะห์เก่งกว่าพวกเอเชีย...
สำหรับ Communication 11 นี้ทอมเลือก The Crucible.... ตอนแรกไม่ชอบเลย..เค้าให้อ่านพร้อมกันในห้อง มันแบบเป็นบทละครอ่ะ..ภาษาก้อใช้แบบยากเหมือนกัน...บางอันก้อแบบภาษาโบราณอ่านก้อไม่เข้าใจ....แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันมีสี่ตอน...พอถึงตอนสามเนี่ย...ยุ่นชอบมากๆๆๆๆเลย..สนุกมาก...มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกาช่วง คศ 1692 เรียกว่าเป็นยุคล่าแม่มด.. " Witch hunt"
สังคมสมัยนั้นก้อเชื่อถือเรื่องศาสนามาก..เชื่อถือในพระเจ้ามาก เพราะฉะนั้นใครที่ทำผิดศีลธรรม ก้อเหมือนเป็น devil หรือ witchcraft และรัฐซึ่งก้อคือพระจ้านั่นเอง จะมาทำหน้าที่ล่าแม่มด...ซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่ไม่ดีในสังคมหรือคนที่เล็งที่จะเอาเปรียบคนอื่น...ใช้ไอ้เรื่องแม่มดเนี่ยมาใส่ร้ายคนอื่นที่เป็นศัตรูกับตัวเอง...ซึ่งเค้าเรียกว่า scapegoat - ใส่ร้ายป้ายสี...ว่าเป็นแม่มด...และคนบริสุทธิ์ก้อถูกแขวนคอมากมาย....กับระบบการตัดสิน...หรือการดำเนินการของรัฐที่ไม่ยุติธรรม..ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกขึ้นต่อต้าน และเกิดการปฎิรูปการปกครองมาเป็นแบบทุกวันนี้...
ตัวละครที่ Miller เขียนก้อเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ...ในหมู่บ้านเล็กๆใน Salem...Massachuletts ซึ่งพระเอก...ก้อถูกกล่าวหาว่าเป็น witchcraft และในตอนท้ายของเรื่อง...เค้าก้อเลือกที่จะยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศของเค้า...มากกว่าที่จะเป็นคนขี้ขลาด...สารภาพว่าเค้าเป็นพวกแม่มด...และหักหลังเพื่อนๆที่ยอมตาย......เพราะคนที่ถูกแขวนคอนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์...
เรื่องนี้ Arthur Miller เค้าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการเสียดสี ลัทธิการล่าคอมมิวนิสต์ของ Senator Joseph McCarthy's วุฒิสมาชิกของอเมริกา...ซึ่งช่วงนั้นอเมริกาก้อเป็นยุคที่รัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่กันแบบหวาดระแวงว่าวันดีคืนนี้ ประชาชนคนบริสุทธิ์ก้ออาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์...และถูกฆ่าตายได้...
แบบเรียนแล้วหนุกมากเลย...พอเรียนจบครูก้อไปหาหนังมาให้ดูอีก..พอดูเข้าไป ยุ่นก้อเลยยิ่ง in เลย...รู้สึกชอบเรื่องนี้มาก...และรู้สึกมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทุกยุคทุกสมัย..แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ .....และเกิดในทุกๆประเทศรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย....
และอีกเรื่องยุ่นก้อต้องอ่านและสรุปของยุ่นเอง...สำหรับ The Crucible วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก้อจะสอบ writing โดยมีคำถามมาให้เราแสดงความคิดเห็นเป็นหนึ่ง essay ส่วน..The Walk ที่เราเลือกเอง.....เราก้อต้องเขียนออกมาเป็นความคิดเห็นของเราว่าทำไมเราชอบเรื่องนี้ หรือเราได้อะไรจากเรื่องนี้อีกหนึ่ง essay แต่อันนี้เราต้องทำ presentation เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นรู้สึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย....
ยุ่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไมฝรั่งถึงชอบอ่านหนังสือ..เพราะเค้าปูกันมาแต่เด็ก...และดูหนังสือที่เค้าเลือกมาให้อ่านสิ...อ่านแล้วมันต้องคิดนะ...อย่างเรื่อง The Crucible เนี่ย ยุ่นรู้สึกว่าเพื่อนๆทั้งชั้นชอบกันทุกคน...แค่นี้ยุ่นก้อว่าครูก้อทำหน้าที่ของเค้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...การเลือกหนังสือมาให้เด็กอ่าน...การสอน...แนะนำ..และชี้ประเด็นให้เด็กติดตามเรื่องนั้นๆ...สิ่งเหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการเป็นครูเช่นกัน.....
ยุ่นจำไม่ได้ว่ายุ่นได้อ่านหนังสือนอกเวลาเป็นภาษาไทยมั้ย...เพราะยุ่นอาจไม่ไ้ด้ประทับใจอะไรมาก เลยจำไม่ได้...แต่ยุ่นว่าแม้กระทั่งหนังสือนอกเวลาในวิชาภาษาไทย...เราก้อควรฝึกให้เด็กไทยอ่านตั้งแต่เด็ก...ควรมีหนังสือหลากหลายอรรถรส หลายแบบ ให้เด็กได้อ่าน ได้คิด ได้เปิดโลกของเค้า...และเราควรฝึกการอ่านแบบเน้นการวิเคราะห์...ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สอบๆ...อย่างเดียว...ยุ่นว่า...ถ้าเราทำได้นะ....บ้านเราน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ...และเป็นกำลังสมองที่สำคัญของชาติในอนาคต......โอมเพี้ยง...
Sunday, February 27, 2011
อ.ยิ่งศักดิ์ VS นักเรียนการเรือน
เมื่อวานวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011 ที่บ้านลุงประเวศอีกแล้ว...แต่วันนี้พวกเรานักเรียนการเรือนสามคน...พี่ต้อย พี่อ้อมแล้วก้อยุ่นมีนัดเรียนทำกับข้าวกับอาจารย์ยิ่งศักดิ์ 2 ซึ่งอาจารย์ได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลขณะที่อาศัยในต่างแดน... เนื่องจากอาจารย์ไม่อยากเป็นเป้าสายตาของนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ...พวกเราในแวนคูเวอร์...จึงรู้จักอาจารย์ในนาม.."พี่ทิพย์ฤดี...หรือพี่ทิพ"...นั่นเอง^^
และวันนี้ก้อต้องถือว่าบรรยากาศในแวนคูเวอร์เป็นใจมากเลย...เพราะนี่ก้อเข้าหน้า spring แล้ว แต่เมื่อวาน...หิมะตกตั้งแต่เช้าจรดดึกเลย...แต่หิมะก้อหิมะเหอะ...ไม่สามารถที่จะขวางความอยากกินอาหารไทยของพวกเราได้หรอก...สู้ตายค่ะ...
และแล้ว..ประมาณเกือบห้าโมงเย็น...พี่ทิพก้อขับรถมาถึงบ้านพี่ประเวศ แต่ตอนนี้ลุงยังทำงานอยู่ยังไม่กลับ...วันนี้หน้าที่การต้อนรับก้อเป็นของพวกพี่ต้อยและน้องๆ...พี่ทิพขึ้นมาพร้อมถุงยักษ์อันหนักอึ้ง...อาหารที่ยุ่นเห็นในถุงนั้น...สำหรับครอบครัวยุ่น...น่าจะยังชีพทั้งครอบครัวเราได้สี่ห้าวัน...
พี่ทิพ..ประเดิมด้วย...ปาท่องโก้...แบบหวาน...โดยพี่ทิพใช้เครื่องทำขนมปังประยุกต์ทำ...อร่อยมากๆเลยอ่ะ..คือไงอ่ะ..ไม่มัน อึม...ไม่อมน้ำมัน...บวกกลิ่นและรส..ทำให้คิดถึงปาท่องโก้ที่บ้านเราเลย...
จากนั้น...พี่ทิพก้อสาธิตการทำข้าวมันไก่ พี่ทิพบอกง่ายๆ..ไม่ยุ่งยาก...เอาไก่ทั้งหมดที่ซื้อมา..ล้างแล้วก้อใส่หม้อใส่น้ำจนท่วมไก่...จากนั้น...เห็นพี่ทิพโยนขิงหั่นลงไป...หลายชิ้นอยู่...จากนั้นก้อต้มไป...เราก้อเตรียมรายการต่อไป
พี่ทิพก้อเทแป้งข้าวเหนียว...ต้องมีสามถุงนะ....ใส่น้ำอุ่นๆลงไป...จากนั้นก้อนวด...คนที่รับผิดชอบการนวดแป้งนี้คือพี่อ้อม....แต่เนื่องจากพี่อ้อมไม่ใช่คนธรรมดานะค่ะ...พี่เค้าอยู่วังมาก่อน...การนวดนั้นไม่สามารถทำเพียงลำพังได้...จึงต้องมียุ่นช่วยจับยึดภาชนะ...หรือโถแป้งไว้...สองคนรวมแรงแข็งขัน...ทั้งยึดโถ ทั้งนวดแป้งในแบบฉบับของชาววัง...จึงทำให้แป้งที่เราเอามาทำถั่วแปบนั้น...เนียนแบบไม่อยากเชื่อตาตัวเองเลย...แม้กระทั่งอาจารย์ยิ่งศักดิ์ผู้มีประสบการณ์ในการทำอาหารมายาวนาน...ก้อตะลึงในวิธีการนวดแป้งซึ่งต้องใช้ manpower ถึงสองคนอย่างมาก...
จากนั้น...พี่ทิพก้อเอาเม็ดสาคูใส่ในกาละมังอีกใบนึง...ก้อต้องมีสองถุงนะยุ่นว่า...จากนั้นก้อใส่น้ำอุ่นเหมือนเดิม..ให้ปริ่มๆพอท่วม....และทิ้งไว้ อันนี้ก้อ...เปลือกนอกของสาคูไส้หมูไง...เล่นไม่ยาก..ไม่ยาก..
ต่อไป..พี่ทิพก้อเตรียมไส้ของสาคู...โดยเอาน้ำตาลอ้อยหลายก้อนนะ...แปดแท่งได้ โยนลงในกะทะ..อ้อ..ใส่น้ำนิดหน่อยด้วย...จากนั้น...ยุ่นกับพี่อ้อมก้อสลับกันคนเคี่ยวไป...ให้น้ำตาลข้นเหนียวก่อน...
เนื่องจากพี่อ้อม...เคี่ยวน้ำตาลไป จดสูตรอาจารย์ไป..ตอนไปจดสูตรลืมเปลี่ยนไม้ให้ยุ่น จึงทำให้น้ำตาลกะทะแรกของเราไหม้อย่างรวดเร็ว...อาจารย์เลยเททิ้งหมดเลย...และเราก้อเริ่มกันใหม่น้ำตาลอ้อยกะทะที่สอง..พี่ทิพเตรียมน้ำตาลอ้อยมาเยอะมากๆเลย....และก้อใช้หมดเลย...
รอบสอง....นักเรียนระวังมากๆเลยค่ะ...พอน้ำตาลได้ที่แล้ว...พี่ทิพก้อเอาหัวไช่โป้วสับ ที่ผสมกับหอมแดงกับกระเทียมสับ....ที่พี่ทิพเตรียมมาจากบ้าน...ใส่ลงในกะทะน้ำตาล....จังหวะนี้โชคดีที่อาจารย์มีความไวสมกับเป็นยิ่งศักดิ์2 เพราะี่พี่อ้อมเรา เกือบคว้ากาละมังแป้งข้าวเหนียวที่เพิ่งนวดเสร็จใส่ลงไป...เพราะอาจารย์บอกเอาได้แล้วได้แล้ว ใส่เลย..ใส่เลย...อาจารย์ไม่บอกว่าใส่อะไรไง...555555 นักเรียนก้อเลยหยิบผิดหยิบถูก...เกือบได้ทำน้ำตาลกะทะสามแล้ว...
พอใส่ลงไป..น้ำตาลที่ข้นก้อรัดไอ้หัวไช่โป้วที่ใส่ลงไป...และเราก้อต้องคนไปเรื่อยๆจนแห้ง..จากนั้นก้อปรุงรสตามชอบ....ซึ่งก้อคือภาพที่เห็นจากวีดีโอ.......( เสียดายที่ VDO มันใหญ่เกินลงไม่ได้ แต่เข้าไปดูใน my vedio- P Tip & her students ได้ )......และเคล็ดลับเด็ดของอาจารย์ยิ่งศักดิ์ก้อคือ "อยากใส่อะไรก้อใส่ลงไป...ไม่ต้องคิดมาก!!!" เท่าที่จำได้อาจารย์ใส่เกลือ พริกไท น้ำตาล แล้วก้อถั่วลิสงบด ไม่ต้องละเอียดนะ...ใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน...
จากนั้นเมื่อเข้าที่ทุกอย่างแล้ว....ก้อยกทั้งกะทะเนี่ยไปหลังบ้านแช่เย็นในหิมะเลย....ไม่ต้องใช้ตู้เย็น...เย้....อันนี้เพื่อให้ไส้สาคู..มันเย็นและเหนียวพอที่จะปั้นเป็นก้อนได้ง่าย...
หลังจากนั้น...พี่ทิพก้อเอากระเทียมกับขิงใส่เพิ่มลงในน้ำซุปไก่อีก...จากนั้นก้อซาวข้าว...แล้วเอาน้ำซุปที่ได้จากการต้มไก่เนี่ย...( ไม่ต้องช้อนฟองทิ้ง...วิตะมินอยู่ตรงนี้ ) ค่อยๆใส่ลงในข้าวที่ซาวเสร็จแล้ว..ก้อใส่น้ำซุปไก่ในปริมาณน้ำเหมือนเราหุงข้าวปกติแหละ...ขิงเอย...กระเทียมเอย...ก้อใส่ลงไปในหม้อข้าวด้วย...จากนั้นก้อไปตั้งหม้อหุงข้าว...
แล้วพี่ทิพก้อมาทำถั่วแปบ...ก้อเอาถั่วสีเหลืองๆ..ที่เราใช้ทำเต้าส่วนนะ....พี่ทิพน่าจะใช้เยอะนะ..หลายถุงอยู่ ต้มกับน้ำจนถั่วนิ่ม...แต่ไม่บาน...จากนั้น...ก้อเอาตะแกรงสะเด็ดน้ำออก...ล้างด้วยน้ำธรรมดา...สะเด็ดให้แห้ง...จากนั้นพี่ทิพก้อปรุงผสมถั่วแปบบนตะแกรงเลย....ใส่มะพร้าวอบแห้ง น้ำตาล เกลือ ปรุงรสตามชอบใจ...อยากใส่อะไรก้อใส่ลงไป..ไม่ต้องคิดมาก...
จากนั้น...พี่ทิพก้อมาหั่นไก่ที่สุก...เรียงใส่จานสวยงาม..และน้ำซุปที่เหลือ พี่ทิพก้อใส่ฟักลงไป..ทำน้ำซุปสำหรับซดตอนกินข้าวมันไก่ด้วย...และพวกเรานักเรียนการเรือนก้อเบรค...ขอพักกินข้าวมันไก่กันก่อน...
เนื่องจากคอร์สนี้เป็นคอร์สของนักเรียนการเรือนที่มีปัญหาในเรื่องการทำกับข้าวมากถึงมากที่สุด...นักเรียนที่มาเรียนจึงเป็นนักเรียนที่คัดมาแล้วว่าต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน...อาจารย์จึงจัดคอร์สพิเศษขึ้นมาให้ และพี่ต้อยผู้รับผิดชอบการตักข้าวมันไก่จากหม้อหุงข้าว...ซึ่งวันนี้พี่ต้อยก้อประเดิมด้วยหม้อใหม่เอี่ยมเลย...พี่ต้อยก้อไม่กล้าคน..ทำให้ข้าวที่ตักออกมาในชุดแรกแข็งไปนิดนึง...อาจารย์เกิดสงสัย เปิดหม้อเช็คดู.. จึงได้แนะนำนักเรียนว่าต้องคนข้าวในหม้อให้ทั่วถึงกันก่อนจึงค่อยตักเสริฟ....อาจารย์เชื่อแล้วว่า..นักเรียนรุ่นนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจริงๆ...สมคำร่ำลือ...หรืออย่างยุ่น...พอล้างมือเสร็จ..จะมาปั้นแป้ง...ก้อถามอาจารย์ว่าล้างมือแล้วมือเปียกปั้นได้มั้ยค่ะ...อาจารย์ปวดหัวมากกับคำถามของนักเรียน...คือมันเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม...นักเรียนกลุ่มนี้มีอะไรแปลกๆ...คิดมากเกินไป...อาจารย์จึงให้ข้อคิดว่า " อยากทำอะไรก้อทำไป อย่าคิดมาก....."
และพอเรากินข้าวมันไก่กันเสร็จ...ต้องขอบอกว่า...สุดยอด...หรือ VISIT (=เยี่ยม) โดยเฉพาะน้ำจิ้มเนี่ย..พี่ทิพทำมาจากบ้าน...อันนี้พวกเราไม่ได้เห็นกรรมวิธี...อันนี้นักเรียนการเรือน..ก้อตัวใครตัวมัน..ต้องไปค้นคว้ากันเอง...เพราะพี่ทิพบอกสูตรน้ำจิ้มก้อง่ายๆ : ต้มน้ำตาลให้ละลาย แล้วใส่ซีอิ้วหวานนิดนึง เต้าเจี๊ยว...แล้วปรุงรส แต่อย่าใส่เกลือนะ ไม่ได้...ต้องไปลองลุยกันเองนะค่ะ..นักเรียน
และเมื่อเรา enjoy ข้าวมันไก่กันเรียบร้อยแล้ว...พวกเราก้อลุย...ขนมถั่วแปบ..บวกกับสาคูไส้หมู...กันอีกสองรายการ...ซึ่งก้อไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด...และตอนนี้ยุ่นก้อพอจะได้ไอเดียแล้วว่าทำไง..คิดว่าทำได้นะ..แต่จะอร่อยหรือไม่..อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...ไม่รับประกัน... ^^
ส่งท้าย..ก่อนกลับบ้านอาจารย์ยิ่งศักดิ์ได้จัดขนมถั่วแปบกับสาคูไส้หมูให้แต่ละครอบครัว..เพื่อไปอร่อยต่อกันที่บ้าน ทีแรกมีผู้เสนอว่าใครอยากได้แป้งที่เหลือ...ปรากฎว่าทั้งพี่อ้อมและยุ่น...พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..พวกเราขอที่มันเป็นอาหารสำเร็จรูปแล้ว..ที่อยู่ในรูปวัตถุดิบ..เราไม่ต้องการ..เพราะเกรงว่ามันจะไม่ได้แปรรูปหากมันไปอยู่ในตู้เย็นบ้านเรา....ซึ่งทำให้อาจารย์ยิ่งศักดิ์ลังเลในการที่จะให้ certificate กับนักเรียนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก...555555555
..วันนี้ก้อเป็นอีกวันที่สนุกมากเลย...ทั้งฮา...ทั้งอิ่ม..ทั้งอร่อย...รวมทั้งได้สาระความรู้ในการทำอาหารด้วย....คุ้มมากๆเลยค่ะ..ต้องขอขอบคุณพี่ทิพ..มากเลยนะค่ะ...ที่ได้สอนเคล็ดลับในการทำอาหาร...ง่ายๆ แล้วก้ออร่อย...พี่ทิพสามารถ organize ทุกอย่างในเวลาไม่นาน...และได้อาหารมากมายและอร่อยมากๆเลยค่ะ....แล้วก้อขอขอบคุณพี่ต้อยกับพี่ประเวศที่เอื้อเฟื้อสถานที่กับพวกน้องๆเสมอมา...ยังไง..พวกเราก้อยังชอบอาหารของพี่ประเวศเสมอนะค่ะ...ยังไงก้อจะไปทานที่บ้านลุงเสมอนะค่ะ.....และสุดท้ายขอขอบคุณ...คุณสามีที่ถ่ายวีดีโอชุดนี้ไว้ It's a good memory!!!... ^^
Saturday, February 19, 2011
FACEBOOK MAKES OUR WORLD SMALLER
เมื่อเดือนที่แล้ว กุมภาพันธ์ 2011 โสภิดา add ยุ่นเข้ากลุ่มเภสัชจุฬารุ่นเรา...ทำให้ยุ่นได้ chat กับเพื่อนๆมากมายทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ทั้งๆที่ตอนอยู่ไทยกลับไม่ได้เจอหรือคุยกับใครเลย ได้รู้ความเคลื่อนไหว ข่าวคราวของเพื่อนๆ... ก้อต้องขอบคุณเทคโนโลยี่ที่ทำให้โลกเราไร้พรมแดน..ทำให้เราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก..VISIT VISIT!!!!
Thank you for the high technology that makes me reach many many.....old friends of mine. I can add friends from 60 to 99 in a couple days. AWESOME!!!!
และอยู่ดีๆวันหนึ่งขณะที่หิมะกำลังตก...ยุ่นนั่งมองหิมะ..แล้วก้อแต่งกลอนอันนี้ออกมา...มันก้อไม่ค่อยสละสลวยเท่าไร..แต่อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับ...หน้านี้...
ตั้งแต่จบเภสัชมาปีสามหนึ่ง
ทุกคนบึ่งทำงานตามหาฝัน
กระจายตัวแยกย้ายหน้่าที่กัน
รู้ตัวพลันใกล้เลขห้าตาฟ่าฟาง
แล้วอยู่ดีโสภิดาก้อ add ยุ่น
มาเจอรุ่นฟาร์มาเฟรนด์แบบเป็นฟลุ๊ค
นั่งmouth กันเมามันไม่ต้องลุก
ติดเฟสบุคติดคอมงอมแงมเลย
แต่ดีใจไม่ได้เป็นแค่เพียงยุ่น
ที่หมกมุ่นในเฟสบุคสุขใจหลาย
สวย โส เจี๊ยบ เล็ก วิอีกมากมาย
ทั้งฝ่ายชายตึ๋งนิวัชและม่อนซัง
ภาพอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากฉาก
ไม่ลำบากเพราะวิไลเค้าจัดให้
ซ้ำตั้งใจอยู่นานไม่ร้างไกล
ใครเหงาใจเข้ามามีฮาเอย...
Thank you for the high technology that makes me reach many many.....old friends of mine. I can add friends from 60 to 99 in a couple days. AWESOME!!!!
และอยู่ดีๆวันหนึ่งขณะที่หิมะกำลังตก...ยุ่นนั่งมองหิมะ..แล้วก้อแต่งกลอนอันนี้ออกมา...มันก้อไม่ค่อยสละสลวยเท่าไร..แต่อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับ...หน้านี้...
ตั้งแต่จบเภสัชมาปีสามหนึ่ง
ทุกคนบึ่งทำงานตามหาฝัน
กระจายตัวแยกย้ายหน้่าที่กัน
รู้ตัวพลันใกล้เลขห้าตาฟ่าฟาง
แล้วอยู่ดีโสภิดาก้อ add ยุ่น
มาเจอรุ่นฟาร์มาเฟรนด์แบบเป็นฟลุ๊ค
นั่งmouth กันเมามันไม่ต้องลุก
ติดเฟสบุคติดคอมงอมแงมเลย
แต่ดีใจไม่ได้เป็นแค่เพียงยุ่น
ที่หมกมุ่นในเฟสบุคสุขใจหลาย
สวย โส เจี๊ยบ เล็ก วิอีกมากมาย
ทั้งฝ่ายชายตึ๋งนิวัชและม่อนซัง
ภาพอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากฉาก
ไม่ลำบากเพราะวิไลเค้าจัดให้
ซ้ำตั้งใจอยู่นานไม่ร้างไกล
ใครเหงาใจเข้ามามีฮาเอย...
Thursday, February 17, 2011
เคมีเกือบเป็นเรื่อง...
วันนี้ก้อมีเรื่องราวเด็ดๆ...ของคุณยีนมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว..
อาทิตย์ก่อน...วันอังคารยีนก้อมาบอกว่า...แม่เดี๋ยวพฤหัสนี้ยีนต้องไปเล่นกีตาร์..ตามห้องเรียนในโรงเรียน แบบเดินสายเล่นทุกห้อง....พอพวกนักเรียนฟังแล้ว...ก้อจะมีการ donate เงินเพื่อช่วยงาน graduate ของเกรด 12 หรืออย่างบางคนเค้าเป็นแฟนกัน...ผู้ชายมันก้อจะให้เราเล่นเพลงนี้ให้หญิงฟัง..แล้วก้อบริจาคเงิน..ประมาณนี้...งานนี้ยีนเป็น volunteerนะแม่.. ยีนชอบ...ครั้งนี้...ก้อช่วยกันกับเพื่อนหาเงินได้ประมาณ 500-600 เหรียญ...ก้อรู้สึกเค้าก้อภูมิใจในผลงานที่ทำ...เราพ่อแม่ฟังแล้วก้อรู้สึกดี..
ยุ่นก้อถาม.อ้าวแล้วไหนบอกสอบเคมีไม่ใช่เหรอ..แล้วไปทำแบบนี้ได้เหรอ..ยีนบอกได้ ไม่ต้องห่วง..บอกครูแล้ว ครูให้ไปสอบอาทิตย์หน้า...เราสองคนพ่อแม่ก้อไว้ใจไม่ได้คิดอะไร..ก้อไม่รู้จะเช็คยังไง..เด็กมันก้อโตแล้ว..
เสร็จ..เมื่อวันพุธนี้..ครูเคมีก้อโทรสายตรงเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก้อไม่อยู่ทั้งคู่..ครูฝากข้อความว่า..ยีนไม่ได้สอบเคมีวันพฤหัสก่อน..เห็นบอกไปเล่นกีตาร์ พฤติกรรมรับไม่ได้ ให้ผู้ปกครองติดต่อกลับด่วน...
ไอ้เราสองคนก้อตกใจ..ไงเนี่ย..วันก่อนก้อมีถามแล้วก้อบอกว่าเรียบร้อยไม่มีปัญหา..แล้วนี่ทำไง..ตอนนี้ยีนก้ออยู่ที่โรงเรียน...และวันนี้ก้อคือวันที่ต้องไปสอบเคมีที่ยังไม่ได้สอบด้วย...
ยุ่นก้อติดต่อยีนทางมือถือ..สอบถามความจริง..ยีนบอก..ครูเคมีโกรธมาก...ไม่ให้สอบ..เพราะเค้าบอกเค้าบอกวันสอบนี้มาเป็นสัปดาห์และนี่คือสอบใหญ่...เค้าไม่คุยด้วย..
ยุ่นก้อบอก..อ้าวแล้วทำไมบอกแม่ว่าบอกครูแล้ว..ยีนบอก..วันนั้นไปรอแต่ไม่เจอครู..ก้อฝากเพื่อนบอกในห้องสอบ.....คิดว่าไม่น่ามีปัญหา.....แต่ครูบอกกีตาร์ที่ไปเล่นเนี่ยเป็นเรื่องไม่สำคัญ...แต่แม่ก้อรู้..มันมีความหมายสำหรับยีน..
ยุ่นก้อเลย lecture ไปหนึ่งยกเพราะรับไม่ได้ในความไม่เคารพครู...ไม่เห็นความสำคัญของครู..เพราะอย่างไรก้อตามคุณต้องขออนุึญาตเค้าก่อน..ไม่ใช่คิดว่าเรื่องของตัวเองสำคัญกว่าการสอบ..ก้อเลยบอกว่าพยายามไปคุยกับครูให้ครูใจอ่อน..เรียนผูกต้องเรียนแก้..
ในขณะเดียวกันฮ่งก้อโทรหาครู แต่ครูไม่สะดวกคุย...ครูบอกจะติดต่อกลับมาช่วงเย็น..
เฮ้อ..ยุ่นก้อแบบเครียดเลย..เพราะหากตัวเคมีมีปัญหา ก้อคือไม่จบเกรด12 ไง...เราก้อเซ็งกับพฤติกรรมลูกวัยรุ่นของเราจัง...บ้าดนตรีจนเป็นเรื่อง...
ปรากฎก้อต้องรอคอยอย่างเีดียว..ตอนสี่โมงเย็น...ยีนโทรกลับบ้านบอกพ่อว่าได้สอบเคมีเรียบร้อยแล้ว..ช่วยบอกแม่ให้ด้วย..เดี๋ยวกลับบ้านจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง..
พอยีนกลับมา...ฮ่งก้อบอกว่าครูเคมีก้อโทรมา..และอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกฟัง..ครูยังบอกอีกว่ารู้สึกช่วงหลังยีนมีความสนใจในการเรียนลดลง...อยากให้ทางบ้านกวดขันหน่อย....
.จากนั้น..พอยุ่นกลับถึงบ้าน.....ยีนเจอยุ่นก้อเข้ามาเล่าให้ฟังว่า..แม่..วันนี้ตอนสอบเคมี..ครูก้อให้ยีนออกไปนอกห้องนั่งสอบคนเดียว...เพื่อนๆก้อเรียนในห้องกัน
แม่เชื่อมะ..เป็นข้อสอบเคมีที่ยากมากๆๆๆๆเลย..คือยีนทำไม่ได้เลยอ่ะ multiple choice นะ..ยีนก้อทำทำมันไปตามหน้าที่...พอถึงข้อสอบชุดหลังที่เขียนอธิบาย...ยีนทำไม่ได้เลย..ก้อเลยไม่ทำ ปล่อยว่าง..เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร...มันไปไม่ถูกเลย...
ยุ่นก้อทำหน้าไม่ถูก...จะด่าไงดีเนี่ย..เริ่มไม่ถูกเหมือนกัน...ก้อเลยยังไม่พูดอะไร...ได้แต่ถามว่า..มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ...ไม่อยากเชื่อ...ครูออกข้อสอบให้เด็กทำไม่ได้เลยเหรอ...
ยีนก้อไม่สนใจที่ยุ่นถาม..ก้อเล่าต่อ..แล้วยีนก้อเดินไปส่งข้อสอบ...ครูเค้าเห็นกระดาษเปล่า..เค้าก้อหัวเราะ...แล้วก้อบอกว่าให้ไปสอบใหม่..เพราะครูหยิบข้อสอบผิดฉบับ...มันเป็นเคมีอีกชุดหนึ่งคือที่นี่จะมีแบบ advance ด้วยไง...เค้าหยิบชุดนั้นให้ยีนทำ...คือยีนไม่ได้เรียนอันนี้ไง...
ยีนก้อเลยต้องนั่งทำข้อสอบอีกชุดหลังเลิกเรียนต่อ...แต่ชุดนี้ยีนพอทำได้..ค่อยยังชั่ว...คงผ่านนะแม่..ไม่ตก...สบายใจได้..
ยุ่นก้อเลยยิ้ม..และบอกว่าครูแกล้งรึปล่าว...แต่ครูเค้าก้อยังเอ็นดูยีนนะเนี่ย..ให้สอบใหม่..แต่วันหลังอย่าทำตัวแบบนี้อีก..ไม่น่ารักเลยจริงๆ...
ยีนก้อตอบแบบจ๋อยๆยอมรับผิดว่า....คับแม่...
อาทิตย์ก่อน...วันอังคารยีนก้อมาบอกว่า...แม่เดี๋ยวพฤหัสนี้ยีนต้องไปเล่นกีตาร์..ตามห้องเรียนในโรงเรียน แบบเดินสายเล่นทุกห้อง....พอพวกนักเรียนฟังแล้ว...ก้อจะมีการ donate เงินเพื่อช่วยงาน graduate ของเกรด 12 หรืออย่างบางคนเค้าเป็นแฟนกัน...ผู้ชายมันก้อจะให้เราเล่นเพลงนี้ให้หญิงฟัง..แล้วก้อบริจาคเงิน..ประมาณนี้...งานนี้ยีนเป็น volunteerนะแม่.. ยีนชอบ...ครั้งนี้...ก้อช่วยกันกับเพื่อนหาเงินได้ประมาณ 500-600 เหรียญ...ก้อรู้สึกเค้าก้อภูมิใจในผลงานที่ทำ...เราพ่อแม่ฟังแล้วก้อรู้สึกดี..
ยุ่นก้อถาม.อ้าวแล้วไหนบอกสอบเคมีไม่ใช่เหรอ..แล้วไปทำแบบนี้ได้เหรอ..ยีนบอกได้ ไม่ต้องห่วง..บอกครูแล้ว ครูให้ไปสอบอาทิตย์หน้า...เราสองคนพ่อแม่ก้อไว้ใจไม่ได้คิดอะไร..ก้อไม่รู้จะเช็คยังไง..เด็กมันก้อโตแล้ว..
เสร็จ..เมื่อวันพุธนี้..ครูเคมีก้อโทรสายตรงเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก้อไม่อยู่ทั้งคู่..ครูฝากข้อความว่า..ยีนไม่ได้สอบเคมีวันพฤหัสก่อน..เห็นบอกไปเล่นกีตาร์ พฤติกรรมรับไม่ได้ ให้ผู้ปกครองติดต่อกลับด่วน...
ไอ้เราสองคนก้อตกใจ..ไงเนี่ย..วันก่อนก้อมีถามแล้วก้อบอกว่าเรียบร้อยไม่มีปัญหา..แล้วนี่ทำไง..ตอนนี้ยีนก้ออยู่ที่โรงเรียน...และวันนี้ก้อคือวันที่ต้องไปสอบเคมีที่ยังไม่ได้สอบด้วย...
ยุ่นก้อติดต่อยีนทางมือถือ..สอบถามความจริง..ยีนบอก..ครูเคมีโกรธมาก...ไม่ให้สอบ..เพราะเค้าบอกเค้าบอกวันสอบนี้มาเป็นสัปดาห์และนี่คือสอบใหญ่...เค้าไม่คุยด้วย..
ยุ่นก้อบอก..อ้าวแล้วทำไมบอกแม่ว่าบอกครูแล้ว..ยีนบอก..วันนั้นไปรอแต่ไม่เจอครู..ก้อฝากเพื่อนบอกในห้องสอบ.....คิดว่าไม่น่ามีปัญหา.....แต่ครูบอกกีตาร์ที่ไปเล่นเนี่ยเป็นเรื่องไม่สำคัญ...แต่แม่ก้อรู้..มันมีความหมายสำหรับยีน..
ยุ่นก้อเลย lecture ไปหนึ่งยกเพราะรับไม่ได้ในความไม่เคารพครู...ไม่เห็นความสำคัญของครู..เพราะอย่างไรก้อตามคุณต้องขออนุึญาตเค้าก่อน..ไม่ใช่คิดว่าเรื่องของตัวเองสำคัญกว่าการสอบ..ก้อเลยบอกว่าพยายามไปคุยกับครูให้ครูใจอ่อน..เรียนผูกต้องเรียนแก้..
ในขณะเดียวกันฮ่งก้อโทรหาครู แต่ครูไม่สะดวกคุย...ครูบอกจะติดต่อกลับมาช่วงเย็น..
เฮ้อ..ยุ่นก้อแบบเครียดเลย..เพราะหากตัวเคมีมีปัญหา ก้อคือไม่จบเกรด12 ไง...เราก้อเซ็งกับพฤติกรรมลูกวัยรุ่นของเราจัง...บ้าดนตรีจนเป็นเรื่อง...
ปรากฎก้อต้องรอคอยอย่างเีดียว..ตอนสี่โมงเย็น...ยีนโทรกลับบ้านบอกพ่อว่าได้สอบเคมีเรียบร้อยแล้ว..ช่วยบอกแม่ให้ด้วย..เดี๋ยวกลับบ้านจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง..
พอยีนกลับมา...ฮ่งก้อบอกว่าครูเคมีก้อโทรมา..และอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกฟัง..ครูยังบอกอีกว่ารู้สึกช่วงหลังยีนมีความสนใจในการเรียนลดลง...อยากให้ทางบ้านกวดขันหน่อย....
.จากนั้น..พอยุ่นกลับถึงบ้าน.....ยีนเจอยุ่นก้อเข้ามาเล่าให้ฟังว่า..แม่..วันนี้ตอนสอบเคมี..ครูก้อให้ยีนออกไปนอกห้องนั่งสอบคนเดียว...เพื่อนๆก้อเรียนในห้องกัน
แม่เชื่อมะ..เป็นข้อสอบเคมีที่ยากมากๆๆๆๆเลย..คือยีนทำไม่ได้เลยอ่ะ multiple choice นะ..ยีนก้อทำทำมันไปตามหน้าที่...พอถึงข้อสอบชุดหลังที่เขียนอธิบาย...ยีนทำไม่ได้เลย..ก้อเลยไม่ทำ ปล่อยว่าง..เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร...มันไปไม่ถูกเลย...
ยุ่นก้อทำหน้าไม่ถูก...จะด่าไงดีเนี่ย..เริ่มไม่ถูกเหมือนกัน...ก้อเลยยังไม่พูดอะไร...ได้แต่ถามว่า..มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ...ไม่อยากเชื่อ...ครูออกข้อสอบให้เด็กทำไม่ได้เลยเหรอ...
ยีนก้อไม่สนใจที่ยุ่นถาม..ก้อเล่าต่อ..แล้วยีนก้อเดินไปส่งข้อสอบ...ครูเค้าเห็นกระดาษเปล่า..เค้าก้อหัวเราะ...แล้วก้อบอกว่าให้ไปสอบใหม่..เพราะครูหยิบข้อสอบผิดฉบับ...มันเป็นเคมีอีกชุดหนึ่งคือที่นี่จะมีแบบ advance ด้วยไง...เค้าหยิบชุดนั้นให้ยีนทำ...คือยีนไม่ได้เรียนอันนี้ไง...
ยีนก้อเลยต้องนั่งทำข้อสอบอีกชุดหลังเลิกเรียนต่อ...แต่ชุดนี้ยีนพอทำได้..ค่อยยังชั่ว...คงผ่านนะแม่..ไม่ตก...สบายใจได้..
ยุ่นก้อเลยยิ้ม..และบอกว่าครูแกล้งรึปล่าว...แต่ครูเค้าก้อยังเอ็นดูยีนนะเนี่ย..ให้สอบใหม่..แต่วันหลังอย่าทำตัวแบบนี้อีก..ไม่น่ารักเลยจริงๆ...
ยีนก้อตอบแบบจ๋อยๆยอมรับผิดว่า....คับแม่...
Tuesday, February 15, 2011
My presentation 1 ( Tom's class )
สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกชอบและรู้สึกดีในเรื่องการเรียนที่นี่อีกเรื่องหนึ่งคือ ระบบหนังสือเรียน...ที่ไทยก้อรู้สึกจะเป็นระบบนี้ในโรงเรียน international เช่นกัน...นั่นคือระบบการยืมหนังสือเรียน..และคืนในสภาพที่ดี..
ในโรงเรียนรัฐบาล..Elementary หรือ Secondary school...อย่างยีนหรือเด็กๆที่นี่เวลาเรียนหนังสือเค้าไม่ต้องซื้อหนังสือ แต่เค้ามีระบบการยืมหนังสือ..ซึ่งเราต้องจ่ายค่ามัดจำไว้ก่อน อาจจะเล่มละ 100 เหรียญ 50เหรียญ ก้อว่าไป..พอเด็กเรียนจบปี ก้อคืนครูในสภาพดีนะค่ะ..ถ้าไม่ดีก้อจะถูกหักสตางค์ตามสภาพหนังสือ...จากนั้นครูก้อจะออกใบว่ารับหนังสือ..และทาง school board ก้อจะคืนเงินเรามาทั้งหมดที่เรามัดจำไว้
แต่ในส่วนของยุ่น เนื่องจากเป็นโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 19 มาเรียน...รัฐถือว่าคุณโตแล้ว..ทำงานไปเรียนไปได้แล้ว..จึงแตกต่างจากยีน..ยุ่นต้องมัดจำ 100 เหรียญ เรียนจบเค้าจะ charge ไป 20 เหรียญค่าเช่าหนังสือทำนองนั้น..แต่ใครไม่คืนหนังสือก้อจะถูกยึด 100 เหรียญเลย..ซึ่งหากหนังสือราคาสูงกว่า 100 เหรียญเช่นพวก Calculus หรือหนังสือ Math Science ที่แพงกว่า 100 เหรียญ ก้อมีหลายนักเรียนที่สมานะแฮบเอาไปเลย เพราะเค้ารู้สึกคุ้มกว่าไปซื้อ...แต่เค้าลืมนึกไปว่าเค้าได้หนังสือเก่า..ไม่ใช่ใหม่ ...อิ..อิ.. แต่บางคนก้อพอใจ...ซึ่งทางโรงเรียนก้อคงคำนวณค่าเสียหายในส่วนนี้ครอบคลุมไว้แล้ว..ก้อเรียกว่า Win- Win.. แต่กรณีแบบนี้มีน้อยนะ..โดยเฉพาะในโรงเรียนทั่วไปที่เด็กๆเรียน...มันเกิดกรณีนี้ในโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่มากกว่า....( เคี่ยวตามวัย)
เทียบกับบ้านเรา..เราต้องซื้อหนังสือใหม่ตลอด..แทบทุกวิชา เห็นพ่อแม่บางคนเคยเล่าให้ยุ่นฟังว่า...บางทีพี่ใช้แล้วกะให้น้องใช้ต่อ พอมารุ่นน้อง..เค้าดันเปลี่ยนหนังสือ ก้อต้องซื้อกันใหม่อีก..หรือบางทีเด็กๆก้อเรียนแบบไม่รักษาหนังสือ...ก้อไม่สามารถส่งต่อให้น้องเรียนได้ ก้อต้องซื้อกันใหม่เหมือนกัน....
จริงๆ..เรื่องนี้ก้อจะเห็นวิธีคิดที่แตกต่างกันระหว่างฝรั่งกับเราว่าจริงๆเค้าประหยัดกว่าพวกเรามากมาย..ซึ่งหากคิดออกมาเป็นงบประมาณค่าใช้จ่าย..ก้อสามารถช่วยชาติประหยัดเงินขึ้นมาได้มากมายเหมือนกัน...
นอกจากนี้ ผลทางอ้อม..ยังเป็นการฝึกเด็กๆให้มีความรับผิดชอบต่อหนังสือที่คุณเอามาเรียน ต้องรักษาในสภาพดี เพื่อให้รุ่นน้องได้เรียนกันต่อไป..เป็นก้าวแรกของฝึกเด็กให้รู้จักมีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน..
เอาเป็นว่าเราอย่าไปพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ในบ้านเราเลย...สำหรับตอนนี้ยุ่นก้อมาเรียนอังกฤษกับทอมอีกรอบ..และงานนี้ต้อง presentation มากกว่าครั้งก่อน..เค้าให้เราเลือกอ่าน Novel ที่เค้าเลือกมา หรือเราจะหาเองก้อได้ จากนั้น เค้าก้อจะให้เราขึ้นมาเล่าว่าไอ้เรื่องราวที่เราอ่านเนี่ย (อ่านแบบเป็นเล่มใหญ่นะ...ไม่ใช่เล่มบางๆ.)..มันหนุกหนานแค่ไหน ชวนคนอื่นให้มาอ่านได้อย่างไร...ไม่ใช่แค่บอกว่ามันเป็นหนังสือที่ดี น่าอ่าน..แต่คุณต้องเจาะเข้าไปในหนังสือ..ในตัวละคร ใน plot ของเรื่อง...และ present ให้คนอื่นเค้าเกิดความอยากอ่าน..55555 งานนี้..ไม่หมูอีกแล้ว..
และเพื่อเป็นการชิมลาง และให้นักเรียนคุ้นเคยกับการทำ presentation ทอมก้อให้ topic ประมาณ 40 หัวข้อ...ให้นักเรียนทุกคนเลือกกันคนละหัวข้อ..ไม่ซ้ำกัน...และกำหนดให้ขึ้นมา present หน้าห้องคนละสามนาที..และนี่ก้อคือ topic ที่ยุ่นเลือก..ครั้งนี้ก้อเป็นเรื่องเบาๆ สบายๆ..ไม่ได้จริงจังหรือซาบซึ้งเหมือนครั้งก่อนที่เพื่อนรัสเซียเค้าว่า...
Good afternoon. My name is Suwannee.
The topic I am going to speak to you today is about " My Most Embarrassing Experience."
I have called this presentation " A New Memory Chip."
We all have had our embarrassing moments. And we feel blushing, shy, uncomfortable and sometimes guilty. And today I am not embarrassed to tell you guys that I have had countless of embarrassing adventures. And this is the most embarrassing experience I have had.
I still remember the first time I took a bus in Vancouver. That day, at 41 and Victoria street, my husband and I were walking to the nearest bus stop. While we were waiting for the green light at the intersection, I saw the 41 bus that we had to get on coming from the other side of the street. In order to get on that bus, we had to cross another intersection to reach the bus stop.
As soon as the traffic light turned green, the survival instinct inside myself drove my legs to run as fast as an Olympic runner. I forgot my husband and left him behind, also I didn't see and passed through the four passengers who were lining up at the bus stop. I was the first person who got on the bus; I felt so lucky and happy, " I can do it!"
Then my husband got on the bus and sat beside me. He whispered to me what I had done a few minutes ago. I suddenly realized that I had made a silly mistake. Luckily, those four passengers were not mad at me, but surely they were annoyed. I felt so embarrassed and guilty. I kept quiet and thought why I behaved like that.
The old pictures of my 10-year experience of taking a bus when I was young appeared in my mind. I always tried to catch a bus that was never stopped at any bus stops. I always tried to get on the bus as fast as possible because the bus drivers would not wait for any passengers. I always struggled on a crowded bus that was no more room and lacked of air. And sometimes I had to hang on the bus stairs when it was a rush hour.
I soon deleted the old memories and told myself that I had to insert a NEW MEMORY CHIP into my brain. The new program was now I entered a new culture that was totally different from my hometown, I had to adapt and adjust myself to this new environment. Also, I would never ever ever forget this embarrassing moment so this ashamed behavior should not happen again.
Thank you for your attention!!
และนี่ก้อเป็นการ presentation ครั้งที่สองที่เป็นภาคภาษาอังกฤษ แบบครั้งนี้ยุ่นก้อเริ่มไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรแล้ว...เหมือนกับเรารู้เทคนิคการพูด..และเริ่มชินแล้ว..คิดว่าถ้าทอมให้พูดมากครั้งขึ้น..เราก้อคงจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ...หากยิ่งกลัวก้อทำมันเยอะๆ ในที่สุดความกลัวก้อจะหายไป..ท่าทางจะจริง..
Friday, February 11, 2011
เปลี่ยนไปตามวัย...
ช่วงนี้ยุ่นก้อมาลงเรียนภาษาอังกฤษอีก...ที่จริงยุ่นต้องเรียน Communication 12 หรือไม่ก้อ English12 แต่ปรากฎ Eng 12 เวลาไม่ลงตัวกับการทำงานของยุ่น เลยลง Communication 12 เข้าไปเรียนวันแรก..งงและเซ็งมากเลย ครูสอนแบบนี้ไม่เรียนดีกว่าเสียเวลา
ครูเป็นครูผู้หญิง..ฝรั่ง..แบบเธอเข้ามาก้อแจก sheet short story สี่ห้าหน้าเสร็จก้อบอก..ทุกคนอ่านไป..แล้วเขียน essay ตอบคำถามข้อห้า...ไม่พูดไม่จาอะไร จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆ...ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก้อเบรค 10นาทีตามระเบียบ...เข้ามาแจก sheet อีกแผ่น บอกให้เชื่อมประโยคที่ให้..เขียนบนกระดานหนึ่งประโยคเป็นตัวอย่าง เสร็จให้นักเรียนทำเอง..แล้วก้อตอบคำถามอีกข้อหนึ่งโดยเขียนเป็น paragraph มาส่ง...จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆอ่านหนังสือของตัวเอง...ให้มันได้อย่างนั้น..แล้วนักเรียนจะได้อะไรมั้ยเนี่ย...นักเรียนก้อนั่งมองตากันปริบๆ
เฮ้ย..สอนแบบนี้ เล่นไม่ยากเลย..แต่ยุ่นไม่อยากเรียนเลยอ่ะ...ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ..แต่คิดว่าคงไม่ได้เรียนรู้อะไรแน่เลยสองเดือนครึ่งที่จะถึงนี้..เลยตัดสินใจ..
รุ่งขึ้น..ไปรอพบ Tom ครูที่สอนอังกฤษ 11 แต่ครั้งนี้เค้าสอน Communication 11 แล้วก้อบอก Tom ว่าเราอยากเรียนกับเค้า..อังกฤษเราไม่ได้แตะมาเป็นปีแล้ว ลืมหมด..ทอมก้อโอเค อนุญาต..เสร็จยุ่นก้อลงไปคุยกับ office ว่ายุ่นเรียน 12 เนี่ย วันแรก ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รอดแน่ ขอเปลี่ยนเป็น Communication11
ทีแรกเค้าไม่ให้..เพราะเช็คคะแนนเรา..เราเคยเรียน Communication 11 แล้วได้ 80% เค้าก้อบอกถือว่าดี..ทำไมจะลงอีก..แต่เราก้อยืนกรานว่าอังกฤษเราอ่อนจริงๆ..อยากเรียนอีกรอบ..เค้าก้อให้หัวหน้าเซ็นว่าให้เรียน...และยุ่นก้อต้องให้ทอมมา confirm อีกครั้งว่าเราจะย้ายจริง...ถ้าเป็นกรณีแบบนี้..คนอื่นก้อเสียอีกยี่สิบเหรียญ คือเหมือนลงทะเบียนใหม่อีกวิชา...แต่ครั้งนี้ยุ่นโชคนี้อ่ะ..เค้าย้ายยุ่นไป class ทอมโดยไม่เสียสตางค์...เพื่อนๆบอก..ฟลุ๊คมาก ปกติเค้าต้องเสียอีกยี่สิบเหรียญ...แต่ถึงเสียยุ่นก้อยอมนะ..คือกะว่าไงเปลี่ยนครูแน่นอน..ไม่อยากเสียเวลาแล้วไม่ได้ความรู้..เสียตังค์เพิ่มอีกหน่อยไม่เป็นไร..
แต่ทอมก้อมีบอกว่า..คุณอาจได้เรียนในสิ่งที่คุณรู้แล้ว.ซึ่งยุ่นก้อบอก..ยุ่นต้องการทบทวนความรู้..ไม่มีปัญหา..เป็นอันผ่านไปได้ด้วยดี..
วันก่อนทอมป่วยหนักไม่มาสามวัน...วันที่สามมีสอบ writing เป็นครูผู้หญิงอีกคนมาแทน..เค้าเช็คชื่อ..ส่วนใหญ่ในห้องก้อเป็นประชาชนชาวจีน..ก้อใช้ชื่อแบบฝรั่งอ่ะ..เช่น Amy..Micheal..Erica...Terisa...Tommy...Riko...Simon ประมาณนั้น เค้าก้อเรียกไป...พอมาถึงชื่อยุ่น คือยุ่นรู้เลยว่าต้องเป็นเรา เพราะครูทุกคนจะหยุดประมาณสามวินาทีก่อน...ตรง Last name มันยาวมากไง.. Takviriyanun..ที่นี่ last name เค้าสั้นๆทั้งนั้น...แล้วก้อชื่ออีก Suwannee ก้อไม่เหมือนชาวบ้านเค้าอีก...ตอนแรกที่มาเข้าเรียน class John ครูเลข เค้าเช็คชื่อครั้งแรก...ครูถามว่ามาจากพม่าเหรอ....แหม..John เกือบใช่เลย..มันใกล้กันมากเลย..เพื่อนบ้านพม่าอ่ะ.....ไทยแลนด์...
กลับมาห้องเรียนภาษาอังกฤษต่อ...ครูผู้หญิงเค้าก้อเรียกชื่อยุ่น Suwannee แล้วเค้าก้อแบบชอบมาก..เค้าบอก You guy have the coolest name in this class! คือมัน cool ที่นี่แหละครู ที่ไทยเนี่ยเค้าเรียกชื่อโหล...55555
อย่างที่บอกไง..ทีแรกก่อนมา ยุ่นก้อพยายามจะสรรหาชื่อโน้นชื่อนี้ เพราะคิดว่าชื่อเราฝรั่งจะจำไม่ได้ พูดไม่ได้.....สุดท้าย..ไม่ได้เปลี่ยน..เพราะหาชื่อโดนใจตัวเองไม่ได้.. สุวรรณีเนี่ยดีสุด.....แต่ปรากฎมาอยู่ที่นี่...เป็นชื่อที่ใครๆเรียกแล้วเค้าจะบอกว่าชื่อเรา Cool ครูผู้ช่วยที่ศูนย์พวกวัยรุ่นก้อบอก... Suwannee ไอชอบชื่อยูนะ...มันเพราะแล้วเวลาเขียนก้อ cool...ไม่อยากเชื่อเลย...คือส่วนตัว..ยุ่นก้อโอเคกับชื่อนี้นะ..เพราะพ่อแม่ตั้งมาให้แต่เด็ก..มันคือตัวเราไปแล้ว...และไม่เคยคิดอยากเปลี่ยน...แต่ไม่เคยรู้สึกเท่ห์ไง...เพราะเรียนตั้งแต่เล็กจนโต..ไม่เคยอยู่ห้องไหนแล้วไม่มีเพื่อนชื่อสุวรรณี..และก้อสุวรรณาเลย.....ก้อเพิ่งมารู้สึกว่าชื่อเราเนี่ยกิ๊บเก๋....ก้อตอนอยู่แคนาดาเนี่ยแหละ...^^
อย่างที่ศูนย์คุมองเนี่ย...ผู้ปกครองใหม่ทุกคนจะเรียกชื่อ สุวรรณีแบบลื่นเลยอ่ะ..เพราะมิสติงเรียกยุ่นตลอด..เมื่อวานมีผู้ปกครองเพิ่งพาลูกมาสมัคร..นั่งตรงเก้าอี้ข้างมิสชั่วโมงเดียว..มิสบอกเสร็จแล้วให้สุวรรณีอธิบายว่าดูแลลูกอย่างไรที่บ้าน..ผู้ปกครองเรียกชื่อยุ่นถูกเฉยเลย..เรียกแบบหนิทหนมด้วยนะ...คิดดู..มิสเรียกเยอะจนทุกคนจำได้หมดเลย...เพราะฉะนั้น สรุปว่าชื่อนี้ไม่ยากเกินเรียก..
อึม..แต่เมื่อวานตอนหลังเลิกเรียนและต้องไปทำงานที่ศูนย์ต่อ..ยุ่นได้ืำทำเรื่องที่น่าละอายใจเล็กๆ..เรื่องนึง..แต่เป็นเรื่องที่น่าจะอภัยให้ได้..ไม่ร้ายแรง..
คือปกติ..ยุ่นจะมีตั๋วเดือนรถเมล์ไง..ซึ่งใช้ได้ทุกเมื่อ..ปรากฎเมื่อวาน..ฮ่งยืมไป..และยุ่นก้อใช้ตั๋วเป็นใบใบ ที่มีเวลาแค่ 90 นาที...ซึ่งยุ่นไปเรียนหนังสือเนี่ยก้อ 2 ชั่วโมงสิบนาที..ต้องเปิดตั๋วอีกใบแน่นอนหากจะขึ้นรถเมล์...
เมื่อวานครูปล่อยเร็ว พอเรียนเสร็จก้อยังไม่ถึงเวลาทำงาน....ก้อเลยเข้าไปค้นหาหนังสือที่ต้องการในห้องสมุดหน่อย..เพลินไปนิด.. ปรากฎเหลือบดูนาฬิกาอีกที..ตายหละ..จะสามครึ่งแล้ว..ไปทำงานสายแล้วเราวันนี้....พอออกจากห้องสมุดปั๊บ..เป็นป้ายรถเมล์ไง..รถเมล์ก้อมาพอดี..ก้อวิ่งขึ้นเลย..จะได้เร็วหน่อย...ไม่ต้องเดินให้เสียเวลา..สองป้ายรถเมล์ไง..เดินก้อมีสิบนาที..
กะให้ถึงศูนย์ทันสามครึ่งอย่างเดียว...เรื่องอื่นลืมคิด....เรื่องตั๋วรถเมล์หรือเรื่องเงิน....พอขึ้นไปอยู่หน้าคนขับ ตรงจุดที่เราต้องหยอดบัตร..แม่เจ้า..วันนี้เราไม่มีตั๋วเดือนนี่หว่า..ตอนนั้นเนี่ย...ใจรู้ทั้งรู้ว่าบัตรในกระเป๋าเสื้อโค๊ทที่กำลังควักเนี่ย หมดเวลาชัวร์..ก้อยังคงควักมันออกมา..แล้วแกล้งใส่ลงเครื่อง..ทำเป็นไม่รู้เรื่อง..แกล้งโง่...เพราะความงกที่ไม่อยากเสียสตางค์ 2 เหรียญกว่าก้อหกเจ็ดสิบบาท...และก้อกำลังเจ็บใจตัวเองว่าขึ้นมาทำไมเนี่ย..เดินซะก้อหมดเรื่อง...
และแน่นอน..เครื่องมันไม่โกหก..มันก้อส่งเสียงว่าหมดเวลา..คนขับก้อดึง ticket ไปและถามว่า Is this today's ticket? ยุ่นก้อบอก Yes, but I forgot. และก้อกำลังกะว่าเราจะทำไงต่อดีเนี่ย..จะควักเงินเหรอ.......อึม..ไม่คุ้ม..เอาไงดีเนี่ย...คนขับจะว่าเรามั้ยเนี่ย...จะทำหน้ายังไงดี..จะพูดกับเค้ายังไง..
เล่าตอนนี้ให้ฮ่งฟัง..ฮ่งบอก..ไม่ต้องจ่ายเงิน..ลงป้ายหน้าเลย..เรียกว่าเดินน้อยลงไปหนึ่งป้ายด้วย....แล้วยุ่นก้อไม่ต้องเสียเงินด้วย..เห็นหลายคนเค้าก้อทำ....หน้าไม่แตกหรอก..เค้าจำหน้ายุ่นไม่ได้หรอก...( ไอ้ที่แนะนำเนี่ย..มันไม่ได้เกิดกับตัวเองไง..แนะไงก้อแนะได้...แต่ตอนอยู่ในสถานการณ์ซิ...)
แต่....โชคดี..เจอคนขับใจดี..แล้วก้อหล่อด้วยอ่ะ...คือเพิ่งเห็นความหล่อหลังจากเค้าดูตั๋วยุ่นว่าเป็นของวันนี้จริงๆ..เค้าก้อโบกมือว่าไปนั่ง ไม่เป็นไร..ไม่ต้องจ่ายสตางค์...ทีแรกมัวแต่คิดเรื่องอื่น...ลืมดูหน้าคนขับ...
วันนี้โชคดีจังเจอคนขับทั้งหล่อทั้งใจดี..อย่างนี้ก่อนลง...สุวรรณีต้องให้กำลังใจคนขับสักหน่อย..คือจริงๆขึ้นไปอยู่บนรถแค่สองป้ายรถเมล์เอง.....รวมเวลารถติดไฟแดงด้วย...แค่สามนาทีเท่านั้นเอง...
พอถึงป้ายลง....ยุ่นก้อเดินไปหน้ารถ..ตั้งใจลงตรงประตูด้านหน้าเลย....ปกติทั่วไปผู้โดยสารต้องลงประตูหลัง...และยุ่นก้อยิ้มหวานเล็กน้อย พร้อมกับบอกเค้าว่า.. .."Thank you so much!"...^^
คนขับก้อยิ้มตอบ.."You're welcome." ^-^
ก้อเรียกว่าจบลงด้วยดีอีกเรื่องหนึ่ง...เพราะบางทีถ้าเจอคนขับที่เจ้าระเบียบ..เค้าก้อมี lecture เรานะ...ก้อได้อายและหน้าแตกจริงๆ...และสงสัย..อาจจะหยิบสตางค์ขึ้นมาจ่ายด้วยหลังโดนด่า...
เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดกับตัวยุ่น ทำให้เดี๋ยวนี้เวลายุ่นเห็นบางคนทำอะไรผิดเนี่ย..ยุ่นจะคิดอีกมุมหนึ่งว่า จริงๆเค้าอาจมีเหตุผลอย่างอื่น..หรือแบบเราไง..คือไม่ได้ตั้งใจ....แต่มันเผลอไผล...ก้อจะพยายามมองสองด้านอย่างที่ฮ่งมักจะสอน...ซึ่งแต่ก่อน..พอเจอปั๊บ..จะมองด้านเดียวว่าเค้าไม่ควรทำ..มันผิด..แต่เดี๋ยวนี้..ทั้งประสบการณ์ที่มากขึ้น วัยที่เปลี่ยนไป...มุมมองและวิธีคิดยุ่นก้อเปลี่ยนไป...:)))
"In order for there to be growth, there must be change."
ครูเป็นครูผู้หญิง..ฝรั่ง..แบบเธอเข้ามาก้อแจก sheet short story สี่ห้าหน้าเสร็จก้อบอก..ทุกคนอ่านไป..แล้วเขียน essay ตอบคำถามข้อห้า...ไม่พูดไม่จาอะไร จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆ...ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก้อเบรค 10นาทีตามระเบียบ...เข้ามาแจก sheet อีกแผ่น บอกให้เชื่อมประโยคที่ให้..เขียนบนกระดานหนึ่งประโยคเป็นตัวอย่าง เสร็จให้นักเรียนทำเอง..แล้วก้อตอบคำถามอีกข้อหนึ่งโดยเขียนเป็น paragraph มาส่ง...จากนั้นครูก้อนั่งเฉยๆอ่านหนังสือของตัวเอง...ให้มันได้อย่างนั้น..แล้วนักเรียนจะได้อะไรมั้ยเนี่ย...นักเรียนก้อนั่งมองตากันปริบๆ
เฮ้ย..สอนแบบนี้ เล่นไม่ยากเลย..แต่ยุ่นไม่อยากเรียนเลยอ่ะ...ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ..แต่คิดว่าคงไม่ได้เรียนรู้อะไรแน่เลยสองเดือนครึ่งที่จะถึงนี้..เลยตัดสินใจ..
รุ่งขึ้น..ไปรอพบ Tom ครูที่สอนอังกฤษ 11 แต่ครั้งนี้เค้าสอน Communication 11 แล้วก้อบอก Tom ว่าเราอยากเรียนกับเค้า..อังกฤษเราไม่ได้แตะมาเป็นปีแล้ว ลืมหมด..ทอมก้อโอเค อนุญาต..เสร็จยุ่นก้อลงไปคุยกับ office ว่ายุ่นเรียน 12 เนี่ย วันแรก ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รอดแน่ ขอเปลี่ยนเป็น Communication11
ทีแรกเค้าไม่ให้..เพราะเช็คคะแนนเรา..เราเคยเรียน Communication 11 แล้วได้ 80% เค้าก้อบอกถือว่าดี..ทำไมจะลงอีก..แต่เราก้อยืนกรานว่าอังกฤษเราอ่อนจริงๆ..อยากเรียนอีกรอบ..เค้าก้อให้หัวหน้าเซ็นว่าให้เรียน...และยุ่นก้อต้องให้ทอมมา confirm อีกครั้งว่าเราจะย้ายจริง...ถ้าเป็นกรณีแบบนี้..คนอื่นก้อเสียอีกยี่สิบเหรียญ คือเหมือนลงทะเบียนใหม่อีกวิชา...แต่ครั้งนี้ยุ่นโชคนี้อ่ะ..เค้าย้ายยุ่นไป class ทอมโดยไม่เสียสตางค์...เพื่อนๆบอก..ฟลุ๊คมาก ปกติเค้าต้องเสียอีกยี่สิบเหรียญ...แต่ถึงเสียยุ่นก้อยอมนะ..คือกะว่าไงเปลี่ยนครูแน่นอน..ไม่อยากเสียเวลาแล้วไม่ได้ความรู้..เสียตังค์เพิ่มอีกหน่อยไม่เป็นไร..
แต่ทอมก้อมีบอกว่า..คุณอาจได้เรียนในสิ่งที่คุณรู้แล้ว.ซึ่งยุ่นก้อบอก..ยุ่นต้องการทบทวนความรู้..ไม่มีปัญหา..เป็นอันผ่านไปได้ด้วยดี..
วันก่อนทอมป่วยหนักไม่มาสามวัน...วันที่สามมีสอบ writing เป็นครูผู้หญิงอีกคนมาแทน..เค้าเช็คชื่อ..ส่วนใหญ่ในห้องก้อเป็นประชาชนชาวจีน..ก้อใช้ชื่อแบบฝรั่งอ่ะ..เช่น Amy..Micheal..Erica...Terisa...Tommy...Riko...Simon ประมาณนั้น เค้าก้อเรียกไป...พอมาถึงชื่อยุ่น คือยุ่นรู้เลยว่าต้องเป็นเรา เพราะครูทุกคนจะหยุดประมาณสามวินาทีก่อน...ตรง Last name มันยาวมากไง.. Takviriyanun..ที่นี่ last name เค้าสั้นๆทั้งนั้น...แล้วก้อชื่ออีก Suwannee ก้อไม่เหมือนชาวบ้านเค้าอีก...ตอนแรกที่มาเข้าเรียน class John ครูเลข เค้าเช็คชื่อครั้งแรก...ครูถามว่ามาจากพม่าเหรอ....แหม..John เกือบใช่เลย..มันใกล้กันมากเลย..เพื่อนบ้านพม่าอ่ะ.....ไทยแลนด์...
กลับมาห้องเรียนภาษาอังกฤษต่อ...ครูผู้หญิงเค้าก้อเรียกชื่อยุ่น Suwannee แล้วเค้าก้อแบบชอบมาก..เค้าบอก You guy have the coolest name in this class! คือมัน cool ที่นี่แหละครู ที่ไทยเนี่ยเค้าเรียกชื่อโหล...55555
อย่างที่บอกไง..ทีแรกก่อนมา ยุ่นก้อพยายามจะสรรหาชื่อโน้นชื่อนี้ เพราะคิดว่าชื่อเราฝรั่งจะจำไม่ได้ พูดไม่ได้.....สุดท้าย..ไม่ได้เปลี่ยน..เพราะหาชื่อโดนใจตัวเองไม่ได้.. สุวรรณีเนี่ยดีสุด.....แต่ปรากฎมาอยู่ที่นี่...เป็นชื่อที่ใครๆเรียกแล้วเค้าจะบอกว่าชื่อเรา Cool ครูผู้ช่วยที่ศูนย์พวกวัยรุ่นก้อบอก... Suwannee ไอชอบชื่อยูนะ...มันเพราะแล้วเวลาเขียนก้อ cool...ไม่อยากเชื่อเลย...คือส่วนตัว..ยุ่นก้อโอเคกับชื่อนี้นะ..เพราะพ่อแม่ตั้งมาให้แต่เด็ก..มันคือตัวเราไปแล้ว...และไม่เคยคิดอยากเปลี่ยน...แต่ไม่เคยรู้สึกเท่ห์ไง...เพราะเรียนตั้งแต่เล็กจนโต..ไม่เคยอยู่ห้องไหนแล้วไม่มีเพื่อนชื่อสุวรรณี..และก้อสุวรรณาเลย.....ก้อเพิ่งมารู้สึกว่าชื่อเราเนี่ยกิ๊บเก๋....ก้อตอนอยู่แคนาดาเนี่ยแหละ...^^
อย่างที่ศูนย์คุมองเนี่ย...ผู้ปกครองใหม่ทุกคนจะเรียกชื่อ สุวรรณีแบบลื่นเลยอ่ะ..เพราะมิสติงเรียกยุ่นตลอด..เมื่อวานมีผู้ปกครองเพิ่งพาลูกมาสมัคร..นั่งตรงเก้าอี้ข้างมิสชั่วโมงเดียว..มิสบอกเสร็จแล้วให้สุวรรณีอธิบายว่าดูแลลูกอย่างไรที่บ้าน..ผู้ปกครองเรียกชื่อยุ่นถูกเฉยเลย..เรียกแบบหนิทหนมด้วยนะ...คิดดู..มิสเรียกเยอะจนทุกคนจำได้หมดเลย...เพราะฉะนั้น สรุปว่าชื่อนี้ไม่ยากเกินเรียก..
อึม..แต่เมื่อวานตอนหลังเลิกเรียนและต้องไปทำงานที่ศูนย์ต่อ..ยุ่นได้ืำทำเรื่องที่น่าละอายใจเล็กๆ..เรื่องนึง..แต่เป็นเรื่องที่น่าจะอภัยให้ได้..ไม่ร้ายแรง..
คือปกติ..ยุ่นจะมีตั๋วเดือนรถเมล์ไง..ซึ่งใช้ได้ทุกเมื่อ..ปรากฎเมื่อวาน..ฮ่งยืมไป..และยุ่นก้อใช้ตั๋วเป็นใบใบ ที่มีเวลาแค่ 90 นาที...ซึ่งยุ่นไปเรียนหนังสือเนี่ยก้อ 2 ชั่วโมงสิบนาที..ต้องเปิดตั๋วอีกใบแน่นอนหากจะขึ้นรถเมล์...
เมื่อวานครูปล่อยเร็ว พอเรียนเสร็จก้อยังไม่ถึงเวลาทำงาน....ก้อเลยเข้าไปค้นหาหนังสือที่ต้องการในห้องสมุดหน่อย..เพลินไปนิด.. ปรากฎเหลือบดูนาฬิกาอีกที..ตายหละ..จะสามครึ่งแล้ว..ไปทำงานสายแล้วเราวันนี้....พอออกจากห้องสมุดปั๊บ..เป็นป้ายรถเมล์ไง..รถเมล์ก้อมาพอดี..ก้อวิ่งขึ้นเลย..จะได้เร็วหน่อย...ไม่ต้องเดินให้เสียเวลา..สองป้ายรถเมล์ไง..เดินก้อมีสิบนาที..
กะให้ถึงศูนย์ทันสามครึ่งอย่างเดียว...เรื่องอื่นลืมคิด....เรื่องตั๋วรถเมล์หรือเรื่องเงิน....พอขึ้นไปอยู่หน้าคนขับ ตรงจุดที่เราต้องหยอดบัตร..แม่เจ้า..วันนี้เราไม่มีตั๋วเดือนนี่หว่า..ตอนนั้นเนี่ย...ใจรู้ทั้งรู้ว่าบัตรในกระเป๋าเสื้อโค๊ทที่กำลังควักเนี่ย หมดเวลาชัวร์..ก้อยังคงควักมันออกมา..แล้วแกล้งใส่ลงเครื่อง..ทำเป็นไม่รู้เรื่อง..แกล้งโง่...เพราะความงกที่ไม่อยากเสียสตางค์ 2 เหรียญกว่าก้อหกเจ็ดสิบบาท...และก้อกำลังเจ็บใจตัวเองว่าขึ้นมาทำไมเนี่ย..เดินซะก้อหมดเรื่อง...
และแน่นอน..เครื่องมันไม่โกหก..มันก้อส่งเสียงว่าหมดเวลา..คนขับก้อดึง ticket ไปและถามว่า Is this today's ticket? ยุ่นก้อบอก Yes, but I forgot. และก้อกำลังกะว่าเราจะทำไงต่อดีเนี่ย..จะควักเงินเหรอ.......อึม..ไม่คุ้ม..เอาไงดีเนี่ย...คนขับจะว่าเรามั้ยเนี่ย...จะทำหน้ายังไงดี..จะพูดกับเค้ายังไง..
เล่าตอนนี้ให้ฮ่งฟัง..ฮ่งบอก..ไม่ต้องจ่ายเงิน..ลงป้ายหน้าเลย..เรียกว่าเดินน้อยลงไปหนึ่งป้ายด้วย....แล้วยุ่นก้อไม่ต้องเสียเงินด้วย..เห็นหลายคนเค้าก้อทำ....หน้าไม่แตกหรอก..เค้าจำหน้ายุ่นไม่ได้หรอก...( ไอ้ที่แนะนำเนี่ย..มันไม่ได้เกิดกับตัวเองไง..แนะไงก้อแนะได้...แต่ตอนอยู่ในสถานการณ์ซิ...)
แต่....โชคดี..เจอคนขับใจดี..แล้วก้อหล่อด้วยอ่ะ...คือเพิ่งเห็นความหล่อหลังจากเค้าดูตั๋วยุ่นว่าเป็นของวันนี้จริงๆ..เค้าก้อโบกมือว่าไปนั่ง ไม่เป็นไร..ไม่ต้องจ่ายสตางค์...ทีแรกมัวแต่คิดเรื่องอื่น...ลืมดูหน้าคนขับ...
วันนี้โชคดีจังเจอคนขับทั้งหล่อทั้งใจดี..อย่างนี้ก่อนลง...สุวรรณีต้องให้กำลังใจคนขับสักหน่อย..คือจริงๆขึ้นไปอยู่บนรถแค่สองป้ายรถเมล์เอง.....รวมเวลารถติดไฟแดงด้วย...แค่สามนาทีเท่านั้นเอง...
พอถึงป้ายลง....ยุ่นก้อเดินไปหน้ารถ..ตั้งใจลงตรงประตูด้านหน้าเลย....ปกติทั่วไปผู้โดยสารต้องลงประตูหลัง...และยุ่นก้อยิ้มหวานเล็กน้อย พร้อมกับบอกเค้าว่า.. .."Thank you so much!"...^^
คนขับก้อยิ้มตอบ.."You're welcome." ^-^
ก้อเรียกว่าจบลงด้วยดีอีกเรื่องหนึ่ง...เพราะบางทีถ้าเจอคนขับที่เจ้าระเบียบ..เค้าก้อมี lecture เรานะ...ก้อได้อายและหน้าแตกจริงๆ...และสงสัย..อาจจะหยิบสตางค์ขึ้นมาจ่ายด้วยหลังโดนด่า...
เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดกับตัวยุ่น ทำให้เดี๋ยวนี้เวลายุ่นเห็นบางคนทำอะไรผิดเนี่ย..ยุ่นจะคิดอีกมุมหนึ่งว่า จริงๆเค้าอาจมีเหตุผลอย่างอื่น..หรือแบบเราไง..คือไม่ได้ตั้งใจ....แต่มันเผลอไผล...ก้อจะพยายามมองสองด้านอย่างที่ฮ่งมักจะสอน...ซึ่งแต่ก่อน..พอเจอปั๊บ..จะมองด้านเดียวว่าเค้าไม่ควรทำ..มันผิด..แต่เดี๋ยวนี้..ทั้งประสบการณ์ที่มากขึ้น วัยที่เปลี่ยนไป...มุมมองและวิธีคิดยุ่นก้อเปลี่ยนไป...:)))
"In order for there to be growth, there must be change."
Tuesday, February 8, 2011
เย็นตาโฟรสเด็ด...
เมื่อประมาณกลางเดือนที่แล้ว พี่ไก่สามีพี่อ้อมบินกลับมาแวนคูเวอร์...หลังจากกลับไปเที่ยวบ้านเราประมาณเกือบสองเดือน...พวกเราืั้ทั้งสามครอบครัวก้อเลยนัดกินข้าวกันที่บ้านพี่ประเวศอีกตามเคย...
อาหารที่พวกเราทั้งสามครอบครัว...ชอบทานกันก้อคือข้าวต้มร้อนๆ..แล้วก้อกับข้าว..แบบเจเจ...ผักกาดดอง..ผัดผัก..กาหนาไฉ่...ไข่ลุ้ย...( ของยุ่น...ไข่คนของพี่ต้อย..หรือไข่โช้งเช้งของพี่อ้อม..) ชื่อต่างกันแต่ออกมาหน้าตาไข่และรสชาติเหมือนกันทั้งสามบ้านเลย... หมูซีอิ้ว..แนวๆนี้อ่ะ...ก้อกินกันคุยกันไปเรื่อยๆ..จนข้าวต้มหม้อยักษ์หมดจึงเลิกกิน...เรียกว่าไม่หมดไม่เลิก..เพื่อนๆคงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมยุ่นถึงดูอุดมสมบูรณ์ขึ้น...^^
วันนี้ เนื่องจากพี่ไก่เพิ่งกลับจากไทย..ทำให้พี่เค้าคุยเรื่องอาหารของเมืองไทยมากมายว่าพี่เค้ากลับไปกินที่โน้นที่นี่ อร่อยเด็ดแค่ไหน..ทำให้คนไทยที่ไม่ได้กลับบ้านที่นั่งร่วมวง..คิดถึงอาหารไทยแบบ original...ของเรา จนน้ำลายไหล เอากระดาษซับแทบไม่ทัน...แล้วก้อจิตเกิดเลย...แบบอยากสุดๆเลยอ่ะ....พี่ไก่นะพี่ไก่...
คนนึงเลยที่ทนไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด...ก้อคือฮ่ง...ที่มีเป้าหมายในชีวิตนี้... "No born again!!" (งานนี้ได้เกิดอีกหลายชาติ ชัวร์ !! ) ด้วยความที่เป็นคนชอบกินอยู่แล้ว เค้าก้อถามว่าเอางี้ดีกว่าพี่ไก่..อาหารไทยที่นี่เลยคับ..ที่แวนคูเวอร์นะ..มีเจ้าไหนที่พี่พอจะแนะนำตอนนี้บ้าง...ที่ฝีมือใกล้เคียงเมืองไทย..ผมขอตามไปชิมก่อนคับ...
และพี่ไก่ก้อไม่ทำให้ Charles ผิดหวังจริงๆ...เพราะพี่ไก่ไม่ใช่รู้ที่กินเฉพาะที่เมืองไทยนะ..ที่แวนคูเวอร์แกก้อไปตามชิมมาเหมือนกัน..แกก้อบอก..ถ้าส้มตำ..ก้อโน้นเลย Richmond ที่ศูนย์อาหารเยาฮ้นนะ..แต่จะมีกะปินิดนึงแต่ก้อเด็ด..ใช้ด้าย...หรือถ้าจะเอาแบบเป็นร้านอาหารเลยก้อต้อง "ทะเลไทย"
ว่าแล้วพี่ไก่ก้อเริ่มบรรยายรายการอาหารต่างๆ..ลาดหน้านะ..สุดยอดเลย..เส้นเนี่ยหอม.เค้าผัดได้ดีมากอ่ะ...น้ำที่ลาดเนี่ย..อร่อยมาก...แล้วก้อเย็นตาโฟนะ เหมือนเลย..ไม่ใช่สิ..อร่อยกว่าที่เมืองไทยอีก..พี่อ้อมก้อมีเสริมว่าไข่เจียวเนี่ย ร้านนี้เค้าทำเด็ดมาก..แค่ไข่เจียวของเค้ายังอร่อยเลย...^^พี่อ้อมบอกพี่ว่าพี่ทำไข่เจียวอร่อยแล้วนะ...เจอของเค้าเราชิดซ้ายเลย...
จริงเหรอ..ขนาดไข่เจียวยังอร่อย...แล้วจะเหลือเหรอ..ฮ่งกับยุ่นก้อกลืนน้ำลายกันใหญ่เลย..อย่างนี้ต้องมีตามไปชิม....แบบอยากกินอ่ะ..เย็นตาโฟจะหากินยังไง..ไม่คิดว่าที่นี่มีขาย....ซ้ำพี่ไก่ยังบอกอีกว่าร้านนี้เนี่ยคนแน่นเอี๊ยด..ศุกร์เสาร์เข้าไปไม่มีที่ ต้องรอคิวนานเลย...แม่ครัวมือเดียวที่ผัด...บางอย่างต้องรอนาน เค้าจะถามก่อนเลยว่าจะรอไหวมั้ย....พี่ไก่บอก..พี่ก้อรอทุกครั้ง..มันทำอร่อยจริงๆ..
พี่ไก่ก้ออยากให้พี่ประเวศไปลองชิมสักครั้ง จะได้จดจำทั้งรสชาติและดูว่าเค้าใส่อะไร ยังไง..แล้วพี่จะได้มาทำให้น้องๆกินกัน..โดยเราไปซื้อวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องทำแล้วมา share กัน..แล้วก้อนั่งกินด้วยกัน..คือทุกวันนี้ก้อพยายามสรรหาเมนูต่างๆไม่ซ้ำแบบเพื่อจะไ้ด้มาทำกินกันทุกสัปดาห์...หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์..อยู่แล้ว..
พี่ประเวศบอกทำไม่ยาก...เดี๋ยวไปหาซื้อว่ามีไอ้สีแดงๆที่เค้าเรียกเต้าหู้ยี้มั้ย..ถ้ามีก้อทำได้เลย...พี่ไก่ก้อบอกน่าสนใจ...ถ้าทำเองได้ก้อดีเลย.. เพราะถ้าไปกินที่ร้าน ที่หนึ่งก้อมี 10 เหรียญนะ..
หลังจากนั้นอีกอาทิตย์กว่า พี่ประเวศก้อจัดให้ตามคำเรียกร้อง..พี่ประเวศไปหาซื้อไอ้เต้าหู้ยี้ได้จริงๆ แล้วก้อน้ำจิ้มสุกี้จากไทยด้วย... หาซื้อได้ที่ T&T ที่ๆยุ่นชอบไป shop เหมือนกัน...แต่ช่วงหลังห่างหายไปหลายเดือน..ชักคิดถึง เดี๋ยวอาทิตย์นี้คงต้องไปสักหน่อย..
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา..พวกเราก้อตกลงกันว่าเราจะทำกินกันเอาแบบครบเครื่องเรื่องเย็นตาโฟเลย..เอาสุดๆเลยนะ...ทั้งเลือด เต้าหู้..ลูกชิ้น..ผักบุ้ง..ปลาหมึกไม่มีเอาหอยนิวซีแลนด์แทนไปก่อน..เอาแบบเหมือนต้นตำรับบ้านเราเลย..ดูว่าตกชามละเท่าไร รสชาติพอเทียบทะเลไทยได้มั้ย..ถ้าพอไหว เราจะได้มาทำกินกันที่บ้านพี่ประเวศไม่ต้องไปทะเลไทยก้อได้..มาที่บ้านเลขที่ 35 ถนน 49...ถูกและอร่อย...
ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาคนๆเย็นตาโฟ ก้อคือ...พี่ไก่..ผู้ริเริ่มอยากทานเย็นตาโฟ..แบบไทยๆ...
และนี่ก้อเป็นภาพเหตุการณ์ที่พวกเราได้พิสูจน์ความอร่อยกันที่บ้านพี่ประเวศ...ขอบอก..เด็ดค่ะ...สุดยอด..มีเครื่องปรุงพร้อมสรรพ..น้ำปลา น้ำตาล พริกน้ำส้ม..ขอบอก..ไม่ใช่พริกธรรมดานะค้า Habanero สีแดงค่ะ.. พริกติดอันดับสองของโลก..ก้อแซ่บสะใจ....พี่ไก่พี่อ้อมบอก..ไม่แพ้ร้านทะเลไทย...สุดยอด สุดยอด...พี่ไก่ใส่พริก habanero เยอะมาก จนน้องยีนอดสงสัยว่าน้าไก่รู้สรรพคุณของ habanero มั้ยคับ??? พี่ไก่กินจนเหงื่อออกสะใจไปเลย...พี่ไก่บอก..พี่ชอบ พี่ชอบ..
ส่วนพี่อ้อม..สงสัยจะหิวจนหูอื้อ...พี่ประเวศใส่ habanero ไปช้อนนึงแล้ว พี่อ้อม..ยังมีตามไปอีกช้อน..และก้อบอกพี่เป็นคนไม่ชอบทานเผ็ด..ยังไงเนี่ย..พี่ต้อยแซว....อ้อมปากกับใจไม่ตรงกันอ่ะ.....ผลก้อคือ....เผ็ดอย่าบอกใครเลย... ใช่มะ...พี่อ้อม..
.. Habanero ตอนที่เป็นร่างเดิม...อันนี้สีส้ม..
อันนี้ หลังจากสลายร่างเดิม...และรวมตัวกับน้ำส้มสายชู... Red Habanero!!!
ส่วนยุ่น..ก้อน้ำชามแห้งชาม...อร่อยเหาะเหมือนกัน...ทุกคนมีโควต้าคนละสองชาม...ฮ่งตามมาทีหลังจากเลิกงานที ่London Drug กินแค่ชามเดียวเพราะระหว่างทำงานหิวเลยไปกิน Mc. Donald รองท้องก่อน...แต่พวกเราทุกคนก้อได้ละลายความอยากของตัวเองในวันนั้นลงไปได้...พอสมควร..
อย่างนี้้ก้อคือ..น้ำชาม...
ตามด้วยแห้งอีกชาม...ความอยากไม่เคยปราณีใคร...อิ่มแปล้สมใจ..คนไทยใน Vancouver..
และ...งานนี้ต้องขอขอบคุณพ่อครัวหัวป่าของเรา พี่ประเวศที่กรุณาจัดให้ตามคำเรียกร้อง...ของน้องๆเสมอมา... ^^
พี่ประเวศ...พ่อครัวหัวป่า..ของพวกเรา...."อยากกินอะไรบอก..เดี๋ยวลุงจัดให้ค๊าบบบบบ..."
อาหารที่พวกเราทั้งสามครอบครัว...ชอบทานกันก้อคือข้าวต้มร้อนๆ..แล้วก้อกับข้าว..แบบเจเจ...ผักกาดดอง..ผัดผัก..กาหนาไฉ่...ไข่ลุ้ย...( ของยุ่น...ไข่คนของพี่ต้อย..หรือไข่โช้งเช้งของพี่อ้อม..) ชื่อต่างกันแต่ออกมาหน้าตาไข่และรสชาติเหมือนกันทั้งสามบ้านเลย... หมูซีอิ้ว..แนวๆนี้อ่ะ...ก้อกินกันคุยกันไปเรื่อยๆ..จนข้าวต้มหม้อยักษ์หมดจึงเลิกกิน...เรียกว่าไม่หมดไม่เลิก..เพื่อนๆคงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมยุ่นถึงดูอุดมสมบูรณ์ขึ้น...^^
วันนี้ เนื่องจากพี่ไก่เพิ่งกลับจากไทย..ทำให้พี่เค้าคุยเรื่องอาหารของเมืองไทยมากมายว่าพี่เค้ากลับไปกินที่โน้นที่นี่ อร่อยเด็ดแค่ไหน..ทำให้คนไทยที่ไม่ได้กลับบ้านที่นั่งร่วมวง..คิดถึงอาหารไทยแบบ original...ของเรา จนน้ำลายไหล เอากระดาษซับแทบไม่ทัน...แล้วก้อจิตเกิดเลย...แบบอยากสุดๆเลยอ่ะ....พี่ไก่นะพี่ไก่...
คนนึงเลยที่ทนไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด...ก้อคือฮ่ง...ที่มีเป้าหมายในชีวิตนี้... "No born again!!" (งานนี้ได้เกิดอีกหลายชาติ ชัวร์ !! ) ด้วยความที่เป็นคนชอบกินอยู่แล้ว เค้าก้อถามว่าเอางี้ดีกว่าพี่ไก่..อาหารไทยที่นี่เลยคับ..ที่แวนคูเวอร์นะ..มีเจ้าไหนที่พี่พอจะแนะนำตอนนี้บ้าง...ที่ฝีมือใกล้เคียงเมืองไทย..ผมขอตามไปชิมก่อนคับ...
และพี่ไก่ก้อไม่ทำให้ Charles ผิดหวังจริงๆ...เพราะพี่ไก่ไม่ใช่รู้ที่กินเฉพาะที่เมืองไทยนะ..ที่แวนคูเวอร์แกก้อไปตามชิมมาเหมือนกัน..แกก้อบอก..ถ้าส้มตำ..ก้อโน้นเลย Richmond ที่ศูนย์อาหารเยาฮ้นนะ..แต่จะมีกะปินิดนึงแต่ก้อเด็ด..ใช้ด้าย...หรือถ้าจะเอาแบบเป็นร้านอาหารเลยก้อต้อง "ทะเลไทย"
ว่าแล้วพี่ไก่ก้อเริ่มบรรยายรายการอาหารต่างๆ..ลาดหน้านะ..สุดยอดเลย..เส้นเนี่ยหอม.เค้าผัดได้ดีมากอ่ะ...น้ำที่ลาดเนี่ย..อร่อยมาก...แล้วก้อเย็นตาโฟนะ เหมือนเลย..ไม่ใช่สิ..อร่อยกว่าที่เมืองไทยอีก..พี่อ้อมก้อมีเสริมว่าไข่เจียวเนี่ย ร้านนี้เค้าทำเด็ดมาก..แค่ไข่เจียวของเค้ายังอร่อยเลย...^^พี่อ้อมบอกพี่ว่าพี่ทำไข่เจียวอร่อยแล้วนะ...เจอของเค้าเราชิดซ้ายเลย...
จริงเหรอ..ขนาดไข่เจียวยังอร่อย...แล้วจะเหลือเหรอ..ฮ่งกับยุ่นก้อกลืนน้ำลายกันใหญ่เลย..อย่างนี้ต้องมีตามไปชิม....แบบอยากกินอ่ะ..เย็นตาโฟจะหากินยังไง..ไม่คิดว่าที่นี่มีขาย....ซ้ำพี่ไก่ยังบอกอีกว่าร้านนี้เนี่ยคนแน่นเอี๊ยด..ศุกร์เสาร์เข้าไปไม่มีที่ ต้องรอคิวนานเลย...แม่ครัวมือเดียวที่ผัด...บางอย่างต้องรอนาน เค้าจะถามก่อนเลยว่าจะรอไหวมั้ย....พี่ไก่บอก..พี่ก้อรอทุกครั้ง..มันทำอร่อยจริงๆ..
พี่ไก่ก้ออยากให้พี่ประเวศไปลองชิมสักครั้ง จะได้จดจำทั้งรสชาติและดูว่าเค้าใส่อะไร ยังไง..แล้วพี่จะได้มาทำให้น้องๆกินกัน..โดยเราไปซื้อวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องทำแล้วมา share กัน..แล้วก้อนั่งกินด้วยกัน..คือทุกวันนี้ก้อพยายามสรรหาเมนูต่างๆไม่ซ้ำแบบเพื่อจะไ้ด้มาทำกินกันทุกสัปดาห์...หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์..อยู่แล้ว..
พี่ประเวศบอกทำไม่ยาก...เดี๋ยวไปหาซื้อว่ามีไอ้สีแดงๆที่เค้าเรียกเต้าหู้ยี้มั้ย..ถ้ามีก้อทำได้เลย...พี่ไก่ก้อบอกน่าสนใจ...ถ้าทำเองได้ก้อดีเลย.. เพราะถ้าไปกินที่ร้าน ที่หนึ่งก้อมี 10 เหรียญนะ..
หลังจากนั้นอีกอาทิตย์กว่า พี่ประเวศก้อจัดให้ตามคำเรียกร้อง..พี่ประเวศไปหาซื้อไอ้เต้าหู้ยี้ได้จริงๆ แล้วก้อน้ำจิ้มสุกี้จากไทยด้วย... หาซื้อได้ที่ T&T ที่ๆยุ่นชอบไป shop เหมือนกัน...แต่ช่วงหลังห่างหายไปหลายเดือน..ชักคิดถึง เดี๋ยวอาทิตย์นี้คงต้องไปสักหน่อย..
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา..พวกเราก้อตกลงกันว่าเราจะทำกินกันเอาแบบครบเครื่องเรื่องเย็นตาโฟเลย..เอาสุดๆเลยนะ...ทั้งเลือด เต้าหู้..ลูกชิ้น..ผักบุ้ง..ปลาหมึกไม่มีเอาหอยนิวซีแลนด์แทนไปก่อน..เอาแบบเหมือนต้นตำรับบ้านเราเลย..ดูว่าตกชามละเท่าไร รสชาติพอเทียบทะเลไทยได้มั้ย..ถ้าพอไหว เราจะได้มาทำกินกันที่บ้านพี่ประเวศไม่ต้องไปทะเลไทยก้อได้..มาที่บ้านเลขที่ 35 ถนน 49...ถูกและอร่อย...
ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาคนๆเย็นตาโฟ ก้อคือ...พี่ไก่..ผู้ริเริ่มอยากทานเย็นตาโฟ..แบบไทยๆ...
และนี่ก้อเป็นภาพเหตุการณ์ที่พวกเราได้พิสูจน์ความอร่อยกันที่บ้านพี่ประเวศ...ขอบอก..เด็ดค่ะ...สุดยอด..มีเครื่องปรุงพร้อมสรรพ..น้ำปลา น้ำตาล พริกน้ำส้ม..ขอบอก..ไม่ใช่พริกธรรมดานะค้า Habanero สีแดงค่ะ.. พริกติดอันดับสองของโลก..ก้อแซ่บสะใจ....พี่ไก่พี่อ้อมบอก..ไม่แพ้ร้านทะเลไทย...สุดยอด สุดยอด...พี่ไก่ใส่พริก habanero เยอะมาก จนน้องยีนอดสงสัยว่าน้าไก่รู้สรรพคุณของ habanero มั้ยคับ??? พี่ไก่กินจนเหงื่อออกสะใจไปเลย...พี่ไก่บอก..พี่ชอบ พี่ชอบ..
ส่วนพี่อ้อม..สงสัยจะหิวจนหูอื้อ...พี่ประเวศใส่ habanero ไปช้อนนึงแล้ว พี่อ้อม..ยังมีตามไปอีกช้อน..และก้อบอกพี่เป็นคนไม่ชอบทานเผ็ด..ยังไงเนี่ย..พี่ต้อยแซว....อ้อมปากกับใจไม่ตรงกันอ่ะ.....ผลก้อคือ....เผ็ดอย่าบอกใครเลย... ใช่มะ...พี่อ้อม..
.. Habanero ตอนที่เป็นร่างเดิม...อันนี้สีส้ม..
อันนี้ หลังจากสลายร่างเดิม...และรวมตัวกับน้ำส้มสายชู... Red Habanero!!!
ส่วนยุ่น..ก้อน้ำชามแห้งชาม...อร่อยเหาะเหมือนกัน...ทุกคนมีโควต้าคนละสองชาม...ฮ่งตามมาทีหลังจากเลิกงานที ่London Drug กินแค่ชามเดียวเพราะระหว่างทำงานหิวเลยไปกิน Mc. Donald รองท้องก่อน...แต่พวกเราทุกคนก้อได้ละลายความอยากของตัวเองในวันนั้นลงไปได้...พอสมควร..
อย่างนี้้ก้อคือ..น้ำชาม...
ตามด้วยแห้งอีกชาม...ความอยากไม่เคยปราณีใคร...อิ่มแปล้สมใจ..คนไทยใน Vancouver..
และ...งานนี้ต้องขอขอบคุณพ่อครัวหัวป่าของเรา พี่ประเวศที่กรุณาจัดให้ตามคำเรียกร้อง...ของน้องๆเสมอมา... ^^
พี่ประเวศ...พ่อครัวหัวป่า..ของพวกเรา...."อยากกินอะไรบอก..เดี๋ยวลุงจัดให้ค๊าบบบบบ..."
Subscribe to:
Posts (Atom)