สิ่งหนึ่งที่ยุ่นรู้สึกชอบและรู้สึกดีในเรื่องการเรียนที่นี่อีกเรื่องหนึ่งคือ ระบบหนังสือเรียน...ที่ไทยก้อรู้สึกจะเป็นระบบนี้ในโรงเรียน international เช่นกัน...นั่นคือระบบการยืมหนังสือเรียน..และคืนในสภาพที่ดี..
ในโรงเรียนรัฐบาล..Elementary หรือ Secondary school...อย่างยีนหรือเด็กๆที่นี่เวลาเรียนหนังสือเค้าไม่ต้องซื้อหนังสือ แต่เค้ามีระบบการยืมหนังสือ..ซึ่งเราต้องจ่ายค่ามัดจำไว้ก่อน อาจจะเล่มละ 100 เหรียญ 50เหรียญ ก้อว่าไป..พอเด็กเรียนจบปี ก้อคืนครูในสภาพดีนะค่ะ..ถ้าไม่ดีก้อจะถูกหักสตางค์ตามสภาพหนังสือ...จากนั้นครูก้อจะออกใบว่ารับหนังสือ..และทาง school board ก้อจะคืนเงินเรามาทั้งหมดที่เรามัดจำไว้
แต่ในส่วนของยุ่น เนื่องจากเป็นโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 19 มาเรียน...รัฐถือว่าคุณโตแล้ว..ทำงานไปเรียนไปได้แล้ว..จึงแตกต่างจากยีน..ยุ่นต้องมัดจำ 100 เหรียญ เรียนจบเค้าจะ charge ไป 20 เหรียญค่าเช่าหนังสือทำนองนั้น..แต่ใครไม่คืนหนังสือก้อจะถูกยึด 100 เหรียญเลย..ซึ่งหากหนังสือราคาสูงกว่า 100 เหรียญเช่นพวก Calculus หรือหนังสือ Math Science ที่แพงกว่า 100 เหรียญ ก้อมีหลายนักเรียนที่สมานะแฮบเอาไปเลย เพราะเค้ารู้สึกคุ้มกว่าไปซื้อ...แต่เค้าลืมนึกไปว่าเค้าได้หนังสือเก่า..ไม่ใช่ใหม่ ...อิ..อิ.. แต่บางคนก้อพอใจ...ซึ่งทางโรงเรียนก้อคงคำนวณค่าเสียหายในส่วนนี้ครอบคลุมไว้แล้ว..ก้อเรียกว่า Win- Win.. แต่กรณีแบบนี้มีน้อยนะ..โดยเฉพาะในโรงเรียนทั่วไปที่เด็กๆเรียน...มันเกิดกรณีนี้ในโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่มากกว่า....( เคี่ยวตามวัย)
เทียบกับบ้านเรา..เราต้องซื้อหนังสือใหม่ตลอด..แทบทุกวิชา เห็นพ่อแม่บางคนเคยเล่าให้ยุ่นฟังว่า...บางทีพี่ใช้แล้วกะให้น้องใช้ต่อ พอมารุ่นน้อง..เค้าดันเปลี่ยนหนังสือ ก้อต้องซื้อกันใหม่อีก..หรือบางทีเด็กๆก้อเรียนแบบไม่รักษาหนังสือ...ก้อไม่สามารถส่งต่อให้น้องเรียนได้ ก้อต้องซื้อกันใหม่เหมือนกัน....
จริงๆ..เรื่องนี้ก้อจะเห็นวิธีคิดที่แตกต่างกันระหว่างฝรั่งกับเราว่าจริงๆเค้าประหยัดกว่าพวกเรามากมาย..ซึ่งหากคิดออกมาเป็นงบประมาณค่าใช้จ่าย..ก้อสามารถช่วยชาติประหยัดเงินขึ้นมาได้มากมายเหมือนกัน...
นอกจากนี้ ผลทางอ้อม..ยังเป็นการฝึกเด็กๆให้มีความรับผิดชอบต่อหนังสือที่คุณเอามาเรียน ต้องรักษาในสภาพดี เพื่อให้รุ่นน้องได้เรียนกันต่อไป..เป็นก้าวแรกของฝึกเด็กให้รู้จักมีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน..
เอาเป็นว่าเราอย่าไปพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ในบ้านเราเลย...สำหรับตอนนี้ยุ่นก้อมาเรียนอังกฤษกับทอมอีกรอบ..และงานนี้ต้อง presentation มากกว่าครั้งก่อน..เค้าให้เราเลือกอ่าน Novel ที่เค้าเลือกมา หรือเราจะหาเองก้อได้ จากนั้น เค้าก้อจะให้เราขึ้นมาเล่าว่าไอ้เรื่องราวที่เราอ่านเนี่ย (อ่านแบบเป็นเล่มใหญ่นะ...ไม่ใช่เล่มบางๆ.)..มันหนุกหนานแค่ไหน ชวนคนอื่นให้มาอ่านได้อย่างไร...ไม่ใช่แค่บอกว่ามันเป็นหนังสือที่ดี น่าอ่าน..แต่คุณต้องเจาะเข้าไปในหนังสือ..ในตัวละคร ใน plot ของเรื่อง...และ present ให้คนอื่นเค้าเกิดความอยากอ่าน..55555 งานนี้..ไม่หมูอีกแล้ว..
และเพื่อเป็นการชิมลาง และให้นักเรียนคุ้นเคยกับการทำ presentation ทอมก้อให้ topic ประมาณ 40 หัวข้อ...ให้นักเรียนทุกคนเลือกกันคนละหัวข้อ..ไม่ซ้ำกัน...และกำหนดให้ขึ้นมา present หน้าห้องคนละสามนาที..และนี่ก้อคือ topic ที่ยุ่นเลือก..ครั้งนี้ก้อเป็นเรื่องเบาๆ สบายๆ..ไม่ได้จริงจังหรือซาบซึ้งเหมือนครั้งก่อนที่เพื่อนรัสเซียเค้าว่า...
Good afternoon. My name is Suwannee.
The topic I am going to speak to you today is about " My Most Embarrassing Experience."
I have called this presentation " A New Memory Chip."
We all have had our embarrassing moments. And we feel blushing, shy, uncomfortable and sometimes guilty. And today I am not embarrassed to tell you guys that I have had countless of embarrassing adventures. And this is the most embarrassing experience I have had.
I still remember the first time I took a bus in Vancouver. That day, at 41 and Victoria street, my husband and I were walking to the nearest bus stop. While we were waiting for the green light at the intersection, I saw the 41 bus that we had to get on coming from the other side of the street. In order to get on that bus, we had to cross another intersection to reach the bus stop.
As soon as the traffic light turned green, the survival instinct inside myself drove my legs to run as fast as an Olympic runner. I forgot my husband and left him behind, also I didn't see and passed through the four passengers who were lining up at the bus stop. I was the first person who got on the bus; I felt so lucky and happy, " I can do it!"
Then my husband got on the bus and sat beside me. He whispered to me what I had done a few minutes ago. I suddenly realized that I had made a silly mistake. Luckily, those four passengers were not mad at me, but surely they were annoyed. I felt so embarrassed and guilty. I kept quiet and thought why I behaved like that.
The old pictures of my 10-year experience of taking a bus when I was young appeared in my mind. I always tried to catch a bus that was never stopped at any bus stops. I always tried to get on the bus as fast as possible because the bus drivers would not wait for any passengers. I always struggled on a crowded bus that was no more room and lacked of air. And sometimes I had to hang on the bus stairs when it was a rush hour.
I soon deleted the old memories and told myself that I had to insert a NEW MEMORY CHIP into my brain. The new program was now I entered a new culture that was totally different from my hometown, I had to adapt and adjust myself to this new environment. Also, I would never ever ever forget this embarrassing moment so this ashamed behavior should not happen again.
Thank you for your attention!!
และนี่ก้อเป็นการ presentation ครั้งที่สองที่เป็นภาคภาษาอังกฤษ แบบครั้งนี้ยุ่นก้อเริ่มไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรแล้ว...เหมือนกับเรารู้เทคนิคการพูด..และเริ่มชินแล้ว..คิดว่าถ้าทอมให้พูดมากครั้งขึ้น..เราก้อคงจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ...หากยิ่งกลัวก้อทำมันเยอะๆ ในที่สุดความกลัวก้อจะหายไป..ท่าทางจะจริง..
มาปรบมือให้พี่ยุ่น :)
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ..^^
ReplyDeleteตอนแรกก้อไม่getนะว่า มันจะเป็น new memory chip ยังไง แต่สรุปแล้ว เขียนได้ประเด็นเลย ดีจัง ที่พี่ได้กลับมาเรียนกับ Tomอีก ครูคนนี้ช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษของเราได้ดีเลยนะ หัดให้เราเขียน-พูด ดีจัง ถ้าไปเรียนกับครูผู้หญิงคนนั้น คงน่าเบื่อมาก ไร้แก่นสาร.....ว่าไปแล้ว ป่านนี้ พี่ก้อคงปรับตัวเป็นคน Cannadian ไปได้มากแล้ว กลับมาเยี่ยมเมืองไทย ก้อต้องมาทำใจนะ บ้านเราอยู่มา ตั้งแต่เด็กจนแก่แล้ว ก้อยังอยู่แบบไทยๆ คิดแบบไทยๆ เราว่าจะแย่กว่าสมัยก่อนเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ....เกิดเป็นไทย ต้องทำใจ .....
ReplyDelete