เมื่อวานวันเสาร์ บังเอิญฮ่งต้องทำงานที่ London Drug ยีนก้อดูหนังเรื่อง Avatarกับเพื่อนๆ แล้ว...พอดี Dorris ชวนยุ่นให้ไปดูเป็นเพื่อนเค้า...ยุ่นก้อเลยตกลงไปดูกับ Dorris กับลูกสาวเค้า Nikki พวกเค้ามารับยุ่นที่บ้านประมาณบ่ายโมงกว่าเกือบครึ่ง..
Dorris พายุ่นไปดูที่ Richmond ก้อไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนกัน แต่ไกลเพราะห่างจาก Oakridge ที่ยุ่นอยู่ไปอีก 15 กิโลเมตร...แต่ขับรถแป๊บเดียวก้อถึง... Dorris บอกค้าเรียก Silver city เป็นโรงหนังที่มีระบบแสงสีเสียงและภาพดีที่สุดในแวนคูเวอร์...
ไปถึง Dorris เค้าบอกเค้าซื้อตั๋วมาเีรีัยบร้อยแล้ว เพียงแต่เราจะเอารอบไหนก้อไปบอกที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก้อเสียเงินเพิ่มอีกคนละ 3 เหรียญค่าแว่นตา เพราะเรื่องนี้เป็นระบบสามมิติ...ทั้งหมดค่าตั๋วก้ออยู่คนละ 15 เหรียญแต่ยังไม่รวมภาษี รวมแล้วก้อราวๆ 17 เหรียญต่อคน...ก้อเรียกว่าแพงกว่าบ้านเราสามสี่เท่า... ประมาณ 500 บาท...
ฮ่งและ Dorris พูดเหมือนกันว่า Avatar เป็นหนังที่ตอนนี้ดังมากๆ ใครๆก้อพูดถึง และตอนนี้ทำรายได้ถล่มทลายแซง Titanic เรียบร้อยแล้ว...ยีนก้อบอกสนุกมากๆเลย....เลยทำให้ยุ่นเองก้ออยากดูไม่น้อยเหมือนกัน...
โรงหนังที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา ของเราซื้อตั๋วตามรอบเข้าไปตามเวลา เพราะโรงหนังจะเปิดตามเวลาของรอบที่เราซื้อ และที่นั่งจะมีหลายราคา แบบมีที่นั่งด้านหลังที่พิเศษหน่อย นั่งสบาย กว้างใหญ่....เข้าไปสักพักก้อมีหนังตัวอย่างฉายให้ดูไปเรื่อยๆ...
แต่ที่นี่เราเลือกรอบสองโมงสี่สิบ เราไปถึงสองโมง ซื้อเสร็จ เราต้องไปเข้าแถวเพื่อจะเข้าไปในโรง ใครเข้าก่อนก้อมีสิทธิ์เลือกที่นั่งก่อน ที่นั่งราคาเดียวหมดทั้งโรง...ไม่มีที่ไหนแพงกว่าที่ไหน first comes first serves.... เราก้อต้องไปยืนเข้าแถวกันประมาณเกือบยี่สิบนาที แถวเนี่ยยาวเลยแหละ...พอสองโมงยี่สิบเค้าก้อเปิดประตูให้เข้า...ใครมาก่อนก้อได้ที่อย่างที่ใจต้องการ..และก้อนั่งในโรงหนังนั่งแหละ ไม่มีหนังตัวอย่างนะ เพราะเค้าฉายสองโมงสี่สิบก้อสี่สิบเปี๊ยะ...
ยุ่นก้อนั่งดูว่าคนเค้าทำอะไร อย่างไรกันบ้าง...บ้างก้อนั่งคุยกัน..บ้างก้อลุกขึ้นไปซื้อขนม..pop corn - coke อะไรประมาณนี้ แต่ต้องมีคนจองที่นะ...คนก้อทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ บางครอบครัวมาพ่อแม่ลูก หลังๆที่นั่งเกือบเต็ม ก้อต้องแยกกันนั่ง บางคนไม่มีที่ก้อเอาลูกนั่งตักตัวเอง...ทั้งๆที่ก้อซื้อตั๋วให้ลูกนะ..คือเค้าจะมีตั๋วเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กถ้าต่ำกว่า 18 ปี จะราคาถูกกว่านิดหน่อย...สักพักคนก้อเต็มโรง..ไม่มีที่ว่างเลย...ไม่น่าเชื่อเลย..เพราะเรื่องนี้ก้อเข้ามาเป็นเดือนแล้ว..
พอสองโมงสี่สิบ หนังตัวอย่างก้อมาเลย ก้อเพลิดเพลินไป พอสักพักเค้าก้อบอกให้ผู้ชมใส่แว่น พอเราใส่แว่นเท่านั้นแหละ มันรู้สึกภาพที่เห็นเนี่ยมันมีแนวลึกเป็นสามมิติจริงๆ...ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ...ตระการตาจริงๆ...เหมือนคนแสดงมาแสดงให้เราเห็นสดๆเลย...ทำให้หนังสนุกขึ้นมาไม่น้อย... ยุ่นรู้สึกว่าคนคิดหนังสามมิติเนี่ย เก่งมากๆเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ดูหนังสามมิติที่สวยงาม และเทคนิคดีแบบนี้ ตอนอยู่ไทยเคยครั้งนึง ใส่แว่นกระดาษ ดูแล้วก้อเฉยๆนะ แต่ครั้งนี้ยอมรับว่าสุดยอด...
ทั้งเรื่องราวของเรื่องนี้ การดำเนินเรื่อง บวกกับความคิดสร้างสรรค์ imagination และก้อเทคนิคสามมิติที่ดีมากๆ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูมากๆเรื่องนี้ ยุ่นประทับใจและชอบมากๆเลย ให้ห้าดาวเลย... หลังดูจบ คนดูก้อปรบมือให้ด้วยนะ...ยีนบอกเรื่องนี้มีคนเข้าไปดูมากกว่าหนึ่งรอบ...เพราะมันทั้งสนุกและตระการตาจริงๆ...ยุ่นเองยังอยากดูอีกรอบเลย...แต่ยีนบอกตอนยีนดูไม่ได้ดูสามมิติ พอรู้ว่าแม่ดูสามมิติแล้วมันสนุกมาก ยีนก้ออยากดูแบบสามมิติด้วย...ส่วนฮ่งยังไม่ได้ดูเลย...เค้าบอกอาทิตย์หน้า ไม่ได้ทำงานคงต้องไปดูให้ได้เลย... 55555 พลาดไม่ได้ เสียดายแย่...
ก้อไม่รู้ว่าบ้านเรา Avatar ได้เข้าหรือยัง แต่คิดว่าน่าจะเข้าแล้ว คิดว่าเพื่อนๆหลายๆคนก้อคงได้ดูแล้ว...เราก้อคงต้องยอมรับนะว่า ฝรั่งเนี่ยเค้าสร้างสรรค์จริงๆ เค้าไม่หยุดที่จะคิด หรือสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่....ถ้าหากใครยังไม่ดู ก้ออยากให้ดูนะ...ยุ่นว่าดูแล้วน่าจะชอบนะ...
Sunday, January 31, 2010
Saturday, January 16, 2010
ทัน แทม ทีน ทา
เมื่อวานวันศุกร์ที่ 15 มกรา 2010 เป็นวันที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณลี่ คุณแม่ของทันทัน แทมแทม ทีนทีนแล้วก้อทาทา สี่สาวของครูยุ่น ซึ่งเรียนคุมองกับครุยุ่นตั้งแต่เดือนที่สามที่เปิดศูนย์...และเรียนยาวนานเกือบห้าปี สี่คนสองวิชา........
คุณลี่โทรมาจากฝั่ง East ของแคนาดา เพราะคุณลี่ไปอยู่ทางด้านโตรอนโต..รู้สึกดีใจมากๆเลย เพราะคิดถึงและไม่ได้เจอกันนานมากๆแล้ว...ล่าสุดเจอคุณลี่กับทันทันที่เมืองไทยสองปีที่แล้ว...
ทัน แทม ทีน ทา เรียนคุมองกับครูุ่ยุ่นจนถึงนาทีสุดท้ายที่อยู่เมืองไทย จากนั้นก้อบินมาอยู่ที่แคนาดา เพราะคุณลี่ apply เรื่อง citizen แคนาดาเหมือนครอบครัวเราเช่นกัน คุณลี่มาก่อนครอบครัวเราเกือบสองปี จำได้ว่าตอนที่เด็กๆมาแคนาดา ทาทายังเล็กอยู่เลย..น่าจะประะถมสามหรือสี่ ทีนน่าจะประถมหกหรือมอหนึ่ง ภาพในความทรงจำของครูยุ่น สี่สาวยังเป็นเด็กๆ แต่วันนี้ได้เห็นรูปที่คุณลี่ post ใน facebook ทุกคนโตเป็นสาวหมดแล้ว ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร..
ที่ยุ่นบอกดีใจเพราะถึงแม้นว่าเราจะไม่ได้สอนคุมองเด็กๆแล้ว ตั้งเกือบสี่ปี แต่ครอบครัวคุณลี่ยังระลึกถึงเราเสมอ...นอกจากนี้คุณลี่ก้อมีข่าวดีเรื่องการได้ promoteเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Loreal และได้กลับมารับตำแหน่งที่เมืองไทย รู้สึกเป็นข่าวดีสุดๆเลย...
คุณลี่บอกทาทายังคิดถึงครุยุ่นอยู่เลย และคุณลี่อยากให้เด็กๆอยู่ใกล้ครูยุ่น เผื่อครูยุ่นจะช่วยทำให้เค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น...ฟังแล้วชื่นใจไงไม่รู้ เจ็ดปีที่เราทำคุมองเนี่ยมันไม่สูญเปล่าจริงๆ....ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำที่ดีของทั้งครูยุ่นและครอบครัว
Kittananthawongs...
ตอนนี้ทันทันก้อเรียนมหาลัยใน Waterloo ปีหนึ่ง เกี่ยวกับทางด้าน Business แทมมี่ก้อกำลังจะเข้ามหาลัยในปีหน้าเหมือนยีน แทมมี่สนใจทางด้าน Art และทำได้ค่อนข้างดี ทีนทีนมีความสามารถทางด้าน dance คุณลี่ก้อให้เรียนเพิ่มเติม ทีนเต้นได้ดีมากๆ สำหรับการเรียนเด็กๆทุกคนทำได้ค่อนข้างดี....ฟังแล้วมันภูมิใจ ชื่นใจในลูกศิษย์ของตัวเอง.....ยังไงไม่รู้
และอีกไม่นาน มีนาคมที่จะถึงนี้ ครอบครัวครุยุ่นจะบินไป Toronto ตามคำเชิญของคุณลี่ และนี่ก้อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอสามสาว แทม ทีน ทา มาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว...แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจจะได้เจอทันทันมั้ย เพราะทันทันอยู่ที่ Waterloo..
และเมื่อวานก้อเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่ยุ่นรู้สึกดีใจ และมีความสุข....อีกวันหนึ่ง...
คุณลี่โทรมาจากฝั่ง East ของแคนาดา เพราะคุณลี่ไปอยู่ทางด้านโตรอนโต..รู้สึกดีใจมากๆเลย เพราะคิดถึงและไม่ได้เจอกันนานมากๆแล้ว...ล่าสุดเจอคุณลี่กับทันทันที่เมืองไทยสองปีที่แล้ว...
ทัน แทม ทีน ทา เรียนคุมองกับครูุ่ยุ่นจนถึงนาทีสุดท้ายที่อยู่เมืองไทย จากนั้นก้อบินมาอยู่ที่แคนาดา เพราะคุณลี่ apply เรื่อง citizen แคนาดาเหมือนครอบครัวเราเช่นกัน คุณลี่มาก่อนครอบครัวเราเกือบสองปี จำได้ว่าตอนที่เด็กๆมาแคนาดา ทาทายังเล็กอยู่เลย..น่าจะประะถมสามหรือสี่ ทีนน่าจะประถมหกหรือมอหนึ่ง ภาพในความทรงจำของครูยุ่น สี่สาวยังเป็นเด็กๆ แต่วันนี้ได้เห็นรูปที่คุณลี่ post ใน facebook ทุกคนโตเป็นสาวหมดแล้ว ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร..
ที่ยุ่นบอกดีใจเพราะถึงแม้นว่าเราจะไม่ได้สอนคุมองเด็กๆแล้ว ตั้งเกือบสี่ปี แต่ครอบครัวคุณลี่ยังระลึกถึงเราเสมอ...นอกจากนี้คุณลี่ก้อมีข่าวดีเรื่องการได้ promoteเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Loreal และได้กลับมารับตำแหน่งที่เมืองไทย รู้สึกเป็นข่าวดีสุดๆเลย...
คุณลี่บอกทาทายังคิดถึงครุยุ่นอยู่เลย และคุณลี่อยากให้เด็กๆอยู่ใกล้ครูยุ่น เผื่อครูยุ่นจะช่วยทำให้เค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น...ฟังแล้วชื่นใจไงไม่รู้ เจ็ดปีที่เราทำคุมองเนี่ยมันไม่สูญเปล่าจริงๆ....ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำที่ดีของทั้งครูยุ่นและครอบครัว
Kittananthawongs...
ตอนนี้ทันทันก้อเรียนมหาลัยใน Waterloo ปีหนึ่ง เกี่ยวกับทางด้าน Business แทมมี่ก้อกำลังจะเข้ามหาลัยในปีหน้าเหมือนยีน แทมมี่สนใจทางด้าน Art และทำได้ค่อนข้างดี ทีนทีนมีความสามารถทางด้าน dance คุณลี่ก้อให้เรียนเพิ่มเติม ทีนเต้นได้ดีมากๆ สำหรับการเรียนเด็กๆทุกคนทำได้ค่อนข้างดี....ฟังแล้วมันภูมิใจ ชื่นใจในลูกศิษย์ของตัวเอง.....ยังไงไม่รู้
และอีกไม่นาน มีนาคมที่จะถึงนี้ ครอบครัวครุยุ่นจะบินไป Toronto ตามคำเชิญของคุณลี่ และนี่ก้อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอสามสาว แทม ทีน ทา มาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว...แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจจะได้เจอทันทันมั้ย เพราะทันทันอยู่ที่ Waterloo..
และเมื่อวานก้อเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่ยุ่นรู้สึกดีใจ และมีความสุข....อีกวันหนึ่ง...
Thursday, January 14, 2010
feed back จาก Damian
วันนี้เป็นวันพฤหัส ยุ่นไม่ได้รับผิดชอบ Junior แต่เนื่องจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Damian กับ Gabriel ไม่ได้มาเรียน แต่มาวันนี้แทน สุวรรณีจึงต้องรับหน้าที่ดูแลสองหนุ่มตามเคย
หลังจากที่ได้ดูสองหนุ่มนี้เป็นเวลาหลายครั้ง ทำให้เกิดความคุ้นเคยและสนิทกัน นอกจากนี้ยุ่นเริ่มเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กผู้ชายสองคนนี้มากขึ้นทุกวัน...
วันนี้ Damian คนพี่ การบ้านครบถ้วนเรียบร้อยทั้งเลขทั้งอังกฤษ อ๋อ..เค้าไม่ได้ทำอังกฤษหนึ่งวัน เค้าหยิบออกมาและจัดการทำเองโดยไม่ต้องบอก หลังจากนั้นเค้าก้อทำเลขและอังกฤษของวันอังคาร Damian ทำเร็วมาก สมาธิดีมากๆด้วย แบบตั้งหน้าตั้งตาทำ..ไม่คุยเล่น ยุ่นยังอดอมยิ้มในความน่ารักของเค้าไม่ได้เลย..
หลังจากเสร็จงานวันอังคาร คุณแม่ยังไม่มารับเค้า ยุ่นก้อถามเค้าว่าจะทำงานของวันพุธกับพฤหัสเลยมั้ย..เค้าก้อถามยุ่นว่าคิดอย่างไร ยุ่นก้อบอก มีเวลาก้อทำดีกว่า Damian ก้อตั้งใจทำจนเสร็จหมด เรียกว่าเคลียร์งานทุกอย่างจนจบเรียบร้อยถึงวันพฤหัสทั้งสองวิชาเลย...หลังจากทำเสร็จ เค้าก้อพูดว่า " Today... I am really surprised myself!" ยุ่นก้อตอบเค้าว่า " So am I." และยังมีการเล่าให้ฟังว่าคุณยายของเค้ามาจากอินเดีย เพิ่งกลับ และ Damian ร้อยลูกปัดเป็นสายสร้อยให้ยายเป็นทีระลึกด้วย เค้าบอกเค้าทำเป็นนะ....ยุ่นยังชมเลยว่าุคุณยายน่าจะชอบของขวัญของ Damian มาก...
พูดถึงคุณน้องชาย วันนี้ไม่รู้เป็นไง ไม่ได้ทำการบ้านมาเลย ซ้ำการบ้านหายไปสองสามชุด ก้อเลยให้เค้าทำเท่าที่มีมา คือเคลียร์การบ้านทั้งหมด Gabriel เค้าเหมือนรู้ว่าเค้าผิด ก้อนั่งทำเลขของสัปดาห์ก่อน สี่ชุด บวกของวันอังคารเป็นห้าชุด ทำอังกฤษ ของเก่าสองชุด บวกของวันอังคารอีกหนึ่งชุด รวมหมดก้อแปดชุด ก้อไม่คิดว่าเค้าจะทำได้ แต่เค้าก้อทำได้หมดเลย...ไม่บ่นสักคำเลย...แต่ยุ่นรู้ว่าเค้าเหนื่อย แต่ก้อลงโทษให้เค้าทำจนหมด...
ขณะที่ทำเค้าก้อน่ารักมาก... Gabriel ก้อเป็นเด็กที่ฉลาดมากอีกคนหนึ่ง มีการเรียนรู้ที่ดีเหมือนพี่ชายเค้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือเวลาทำงานเค้าจะนิ่งกว่า Damian จะซนกว่า แต่ถ้าพูดกับเค้าจริงจังเค้าก้อจะรับฟังและทำตาม Gabriel สามารถทำงานที่ค้างจนหมด และเค้าสัญญาว่าอาทิตย์หน้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก การบ้านจะทำครบอย่างแน่นอน...นี่คือคำสัญญาของเด็กอนุบาลนะค่ะ...
พอเค้าทั้งคู่ทำงานเสร็จ ยุ่นก้อคุยกับเค้าสองคนว่า
"You guys are very smart. If both of you do the homework everyday, you will be very very good at math."
Damian : I know... that why Kumon works for students!! You have to do your homework everyday.
เฮ้อ...Damian... คุณรู้ทุกเรื่องเลย...แบบรู้เยอะมากๆ...พูดคุยราวกับผู้ใหญ่เลย...
หลังจากทำงานเรียบร้อยทั้งคู่ ทั้งสองคนก้อ feed back กับมิสติง... แล้วกลับบ้าน... ตอนเลิกศูนย์มิสติงคุยกับยุ่นว่า
มิสติง : Suwannee, you know today there is a student told me " Ms.Ting Suwannee is a good teacher and I like her."
สุวรรณี : Really?? Who is that student?
มิสติง : Damian the Indian boy.
ร้ายมากๆเลยนะเนี่ย... รู้จักมา feed back กับมิสติงด้วย... ยุ่นอดยิ้มและอดเอ็นดูในความน่ารักและช่างพูดของเค้าไม่ได้... ^-^
หลังจากที่ได้ดูสองหนุ่มนี้เป็นเวลาหลายครั้ง ทำให้เกิดความคุ้นเคยและสนิทกัน นอกจากนี้ยุ่นเริ่มเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กผู้ชายสองคนนี้มากขึ้นทุกวัน...
วันนี้ Damian คนพี่ การบ้านครบถ้วนเรียบร้อยทั้งเลขทั้งอังกฤษ อ๋อ..เค้าไม่ได้ทำอังกฤษหนึ่งวัน เค้าหยิบออกมาและจัดการทำเองโดยไม่ต้องบอก หลังจากนั้นเค้าก้อทำเลขและอังกฤษของวันอังคาร Damian ทำเร็วมาก สมาธิดีมากๆด้วย แบบตั้งหน้าตั้งตาทำ..ไม่คุยเล่น ยุ่นยังอดอมยิ้มในความน่ารักของเค้าไม่ได้เลย..
หลังจากเสร็จงานวันอังคาร คุณแม่ยังไม่มารับเค้า ยุ่นก้อถามเค้าว่าจะทำงานของวันพุธกับพฤหัสเลยมั้ย..เค้าก้อถามยุ่นว่าคิดอย่างไร ยุ่นก้อบอก มีเวลาก้อทำดีกว่า Damian ก้อตั้งใจทำจนเสร็จหมด เรียกว่าเคลียร์งานทุกอย่างจนจบเรียบร้อยถึงวันพฤหัสทั้งสองวิชาเลย...หลังจากทำเสร็จ เค้าก้อพูดว่า " Today... I am really surprised myself!" ยุ่นก้อตอบเค้าว่า " So am I." และยังมีการเล่าให้ฟังว่าคุณยายของเค้ามาจากอินเดีย เพิ่งกลับ และ Damian ร้อยลูกปัดเป็นสายสร้อยให้ยายเป็นทีระลึกด้วย เค้าบอกเค้าทำเป็นนะ....ยุ่นยังชมเลยว่าุคุณยายน่าจะชอบของขวัญของ Damian มาก...
พูดถึงคุณน้องชาย วันนี้ไม่รู้เป็นไง ไม่ได้ทำการบ้านมาเลย ซ้ำการบ้านหายไปสองสามชุด ก้อเลยให้เค้าทำเท่าที่มีมา คือเคลียร์การบ้านทั้งหมด Gabriel เค้าเหมือนรู้ว่าเค้าผิด ก้อนั่งทำเลขของสัปดาห์ก่อน สี่ชุด บวกของวันอังคารเป็นห้าชุด ทำอังกฤษ ของเก่าสองชุด บวกของวันอังคารอีกหนึ่งชุด รวมหมดก้อแปดชุด ก้อไม่คิดว่าเค้าจะทำได้ แต่เค้าก้อทำได้หมดเลย...ไม่บ่นสักคำเลย...แต่ยุ่นรู้ว่าเค้าเหนื่อย แต่ก้อลงโทษให้เค้าทำจนหมด...
ขณะที่ทำเค้าก้อน่ารักมาก... Gabriel ก้อเป็นเด็กที่ฉลาดมากอีกคนหนึ่ง มีการเรียนรู้ที่ดีเหมือนพี่ชายเค้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือเวลาทำงานเค้าจะนิ่งกว่า Damian จะซนกว่า แต่ถ้าพูดกับเค้าจริงจังเค้าก้อจะรับฟังและทำตาม Gabriel สามารถทำงานที่ค้างจนหมด และเค้าสัญญาว่าอาทิตย์หน้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก การบ้านจะทำครบอย่างแน่นอน...นี่คือคำสัญญาของเด็กอนุบาลนะค่ะ...
พอเค้าทั้งคู่ทำงานเสร็จ ยุ่นก้อคุยกับเค้าสองคนว่า
"You guys are very smart. If both of you do the homework everyday, you will be very very good at math."
Damian : I know... that why Kumon works for students!! You have to do your homework everyday.
เฮ้อ...Damian... คุณรู้ทุกเรื่องเลย...แบบรู้เยอะมากๆ...พูดคุยราวกับผู้ใหญ่เลย...
หลังจากทำงานเรียบร้อยทั้งคู่ ทั้งสองคนก้อ feed back กับมิสติง... แล้วกลับบ้าน... ตอนเลิกศูนย์มิสติงคุยกับยุ่นว่า
มิสติง : Suwannee, you know today there is a student told me " Ms.Ting Suwannee is a good teacher and I like her."
สุวรรณี : Really?? Who is that student?
มิสติง : Damian the Indian boy.
ร้ายมากๆเลยนะเนี่ย... รู้จักมา feed back กับมิสติงด้วย... ยุ่นอดยิ้มและอดเอ็นดูในความน่ารักและช่างพูดของเค้าไม่ได้... ^-^
Wednesday, January 13, 2010
ต่างเชื้อชาติ.. ต่างวัฒนธรรม..
แวนคูเวอร์ถือว่าเป็นเมืองที่มีประชาชนหลายเชื้อชาติมาก เรียกว่า multinational จริงๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเีดีย เวียดนาม ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ฟิลิปปินส์ มาเลเซียก้อมี มีไทยแซมนิดหน่อย... เรียกว่าเวลาเดินตามท้องถนน หรือเดินในห้าง หรือนั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน จะมีหลากหลายหน้าตา หลายเชื้อชาติให้เราเห็น ซึ่งจะแตกต่างจากบ้านเรา ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย คนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนรุ่นอากงอาหม่า เรียกว่าชาติอื่นๆเราจะเห็นน้อย และดูไม่แตกต่าง...เท่าไรนัก
การที่คนหลายๆเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน แน่นอนแต่ละเชื้อชาติก้อต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของที่นี่ แต่อย่างไรก้อตาม แต่ละเชื้อชาติก้อยังยึดหลัก และมีแนวคิด หรือพฤติกรรมที่ถูกปลูกฝังมาในรูปแบบของเค้า...
ยกตัวอย่างการให้ของขวัญในช่วงพิเศษต่างๆของปี..ญี่ปุ่นจะถือว่าการให้ของขวัญด้วยมือทั้งสองของผู้ให้เป็นมารยาทที่ต้องทำ...หรือคนจีนเค้าจะไม่ให้นาฬิกาเป็นของขวัญเลย เพราะคำว่านาฬิกาในภาษาจีนออกเสียงเหมือนคำว่า "จุดจบ" ในภาษาจีน เค้าจึงไม่ให้นาฬิกาเพราะถือว่าเป็นความหมายที่ไม่ดี
หรืออย่างพวกตะวันออกกลาง เ้ค้าจะมีการแลกเปลี่ยนของขวัญในมูลค่าที่เท่ากัน...แต่ทางตะวันตก..การให้ของขวัญจะถือเป็นอะไรที่พิเศษ ...บางครั้งเพื่อนที่สนิทหรือคนในครอบครัวก้อจะมีการให้ของขวัญซึ่งกันและกัน....หรือบางทีหากเราไปเยี่ยมบ้านเค้า..จะเป็นการสุภาพมากหากเราจะให้ของขวัญกับเจ้าของบ้าน เช่น ดอกไม้ chocolate หรือไวน์
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกเชื้อชาติเลย โดยเฉพาะชาวเอเชีย เช่นคนจีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมทั้งไทยเราด้วย ฝรั่งน้อยมาก..ก้อคือการอยากให้ลูกเรียนเก่ง...มากๆ และมุ่งเน้นให้ลูกเข้าสู่ประตูมหา'ลัย..แต่พวกฝรั่ง ถ้าจบ high school สำหรับเค้าคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..จะเรียนอะไร ทำอะไร ก้อคิดเอง ทำเอง หาเงินเรียนเอง...อันนี้คือความเหมือนระหว่างเอเชียกับเอเชีย แต่เป็นความแตกต่างระหว่างเอเชียกับตะวันตก
หรือแม้กระทั่งพวกเกาหลีก้อเช่นกัน เค้าไม่ได้เรียนคุมองนะ แต่จากการบอกเล่าของเพื่อนชาวเกาหลีของยีน ที่เกาหลีเนี่ย จะเรียนหนักมากๆ เรียนกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืนเลย...นอกจากนี้ พวกเด็กผู้หญิงเกาหลี พอปิดเทอมแล้วเปิดเทอมมา ส่วนใหญ่หน้าตาจะเปลี่ยนไป เช่นปิดเทอมแรกกลับมา จมูกอาจจะโด่งขึ้น ปิดเทอมครั้งที่สองกลับมา ตาอาจโตและหวานขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติของสาวเกาหลี คือเค้าจะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ เพื่อขอรางวัลจากพ่อแม่เป็นการทำศัลยกรรมให้ตัวเองสวยขึ้น....แต่พวกผู้ชายจะไม่ค่อยทำ จะเป็นที่พวกผู้หญิงมากกว่า...นี่ก้อเป้นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกขยันเรียนเพื่อเข้ามหา'ลัยให้ได้ ในมุมมองของพ่อแม่เกาหลี..เลยกลายเป็นค่านิยมในหมู่วัยรุ่นกาหลี...ปัจจุบัน
สำหรับยุ่น..เราก้อเป็นคนไทยในแคนาดา ก้อเรียกว่าชนกลุ่มน้อยนะ..ชนกลุ่มใหญ่ส่วนมากก้อคือชาวจีน..กับชาวอินเดีย..คนจีนเนี่ยก้อเป็นอะไรที่ยุ่นไม่ชอบจริงๆเลย..อย่างการรอคิวขึ้นรถเมล์..แบบคนอื่นเค้ายืนรอกันเรียบร้อย..พี่แกบางทีมาก้อมาตัดหน้าเฉยเลย..ยุ่นก้อเคยโดนนะ แต่เค้าเป็นคนแก่นะ..ก้อเลยไม่อยากว่าเค้า แต่พวกฝรั่งนะ จะด่าเลย..คือฝรั่งก้อมีมากนะที่ไม่ชอบคนจีน..
นอกจากนี้ พวกคนจีนเค้าเข้ามาหมู่มาก..ก้อเป็นธรรมดาที่มีชุมชนของเค้าช่วยเหลือกัน..และหาช่องทางหรือช่องว่างของกฏหมายในการโกงเงินรัฐบาล..เช่น..มีครอบครัวจีนมากมายที่เข้ามาคือเค้าอยู่ด้วยกัน แต่ทำเรื่องเอกสารเป็นแบบหย่าร้างกัน เพื่อรัฐบาลจะได้ช่วยเหลือทางการเงินของ Single Mum ซึ่งอันนี้ก้อจะได้เงินช่วยเหลือค่อนข้างมาก...แต่อันนี้ก้อคือการโกงเค้า ซึ่ง Iku เล่าให้ฟังและเค้าบอก เค้าไม่ชอบวิธีการแบบนี้..
หรืออย่างได้คุยกับพี่อ้อม คนไทยที่อยู่ที่นี่ เค้าก้อบอก..พวกคนจีนนะที่ไปเรียนด้วยกัน เค้าจับกลุ่มช่วยเหลือกัน และกันไม่ให้ชาติอื่นได้งานเลย เค้าบอกแต่พวกตัวเอง คือรักพวกพ้องตัวเอง.. คือเค้าไม่ช่วยเราเลย..เค้าแบ่งแยก..พวกเราคนไทยที่นี่ก้อทั้งน้อย อีกอย่างพวกเราก้อมักต่างคนต่างอยู่..
ยุ่นก้อเลยขอยกคำของหลวงพี่ธวัชชัย ที่วัดพุทธปัญญานันทาราม ที่พี่ต้อยเพิ่งพาครอบครัวเราไปวัดเมื่อบ่ายนั้น... บอกพี่อ้อมว่า เห็นด้วยค่ะ และ...หลวงพี่ก้อบอกว่า "คนไทยเรารวมกันเราแย่ แต่ที่แน่ๆแยกกันเรารอด" ก้อเลยเรียกเสียงฮาในวงอาหารของพวกเราหกคนไทยที่นั่งทานข้าวที่บ้านพี่ต้อย...และทุกคนก้อยอมรับความจริงในข้อนี้....
จริงๆไม่ใช่แค่จีนนะที่เค้ารักกัน ฟิลิปปินส์เนี่ยเค้าก้อรักกันมาก..อย่างฮ่งเนี่ยสนใจอยากลองทำงานเภสัชที่ทำงานในห้อง lab ซึ่งเพื่อนร่วมงานฟิลิปปินส์สองคนเค้าทำกัน พอสอบถามรายละเอียด เค้าบอกเค้าไม่รับ เค้ารับแต่คนฟิลิปปินส์...เพราะเพื่อนคนนึงที่ทำเค้าจะลาคลอดในเดือนสองเดือนนี้ ฮ่งก้อลองถามดู เผื่อมีอะไรที่เราพอจะทำเพิ่มได้...เค้ากันเลย..รักษาตำแหน่งไว้สำหรับคนในประเทศเค้าเท่านั้น....หรืออย่างพม่าที่มาที่นี่เนี่ย เวลาใครมาคนนึง เค้าก้อแห่กันไปรับที่สนามบินเลยนะ แล้วก้อช่วยเหลือกัน...
แต่สำหรับยุ่นกับฮ่งที่เรามาแวนคูเวอร์...สำหรับครอบครัวเรา..เราก้อโชคดีนะที่ได้รับการช่วยเหลือจากพี่ประเวศกับพี่ต้อย..ซึ่งเราสองคนก้อคิดว่าหากมีคนไทยที่เข้ามาอยู่แวนคูเวอร์ใหม่...และอยากได้คำแนะนำ..ปรึกษา เราสองคนก้อยินดีช่วยเหลือในสิ่งที่เรารู้นะ..เพราะเรารู้ว่าช่วงเวลานั้น มันกดดัน..เศร้า..และทุกข์ทรมานอย่างไร..และที่ผ่านๆมา..ยุ่นเองก้อได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนคนจีนที่รู้จักที่นี่เช่นกัน เค้าก้อแนะนำสิ่งดีๆกับเรา...อีกทั้งเพิ่งรู้จักไม่นาน เค้าก้อยังเลี้ยงข้าวเราด้วย..เพราะฉะนั้นครอบครัวเราจึงคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นใครที่เรารู้จัก และเป็นเพื่อนกับเรา ชาติอะไรก้อแล้วแต่...ถ้ามีโอกาสที่ช่วยกันได้ เราก้อยินดี..เพราะยุ่นรู้สึกว่า..มันเป็นอะไรที่ดีนะเวลาเห็นคนอื่นมีความสุข..และเราก้อจะได้มีเพื่อนมากขึ้นมากขึ้นในประเทศนี้...
และนี่ก้อคงเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและลักษณะเด่นของแต่ละเชื้อชาติ..ซึ่งคงเปลี่ยนแปลงได้ยาก..แต่เราก้อสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นได้...
การที่คนหลายๆเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน แน่นอนแต่ละเชื้อชาติก้อต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของที่นี่ แต่อย่างไรก้อตาม แต่ละเชื้อชาติก้อยังยึดหลัก และมีแนวคิด หรือพฤติกรรมที่ถูกปลูกฝังมาในรูปแบบของเค้า...
ยกตัวอย่างการให้ของขวัญในช่วงพิเศษต่างๆของปี..ญี่ปุ่นจะถือว่าการให้ของขวัญด้วยมือทั้งสองของผู้ให้เป็นมารยาทที่ต้องทำ...หรือคนจีนเค้าจะไม่ให้นาฬิกาเป็นของขวัญเลย เพราะคำว่านาฬิกาในภาษาจีนออกเสียงเหมือนคำว่า "จุดจบ" ในภาษาจีน เค้าจึงไม่ให้นาฬิกาเพราะถือว่าเป็นความหมายที่ไม่ดี
หรืออย่างพวกตะวันออกกลาง เ้ค้าจะมีการแลกเปลี่ยนของขวัญในมูลค่าที่เท่ากัน...แต่ทางตะวันตก..การให้ของขวัญจะถือเป็นอะไรที่พิเศษ ...บางครั้งเพื่อนที่สนิทหรือคนในครอบครัวก้อจะมีการให้ของขวัญซึ่งกันและกัน....หรือบางทีหากเราไปเยี่ยมบ้านเค้า..จะเป็นการสุภาพมากหากเราจะให้ของขวัญกับเจ้าของบ้าน เช่น ดอกไม้ chocolate หรือไวน์
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกเชื้อชาติเลย โดยเฉพาะชาวเอเชีย เช่นคนจีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมทั้งไทยเราด้วย ฝรั่งน้อยมาก..ก้อคือการอยากให้ลูกเรียนเก่ง...มากๆ และมุ่งเน้นให้ลูกเข้าสู่ประตูมหา'ลัย..แต่พวกฝรั่ง ถ้าจบ high school สำหรับเค้าคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..จะเรียนอะไร ทำอะไร ก้อคิดเอง ทำเอง หาเงินเรียนเอง...อันนี้คือความเหมือนระหว่างเอเชียกับเอเชีย แต่เป็นความแตกต่างระหว่างเอเชียกับตะวันตก
หรือแม้กระทั่งพวกเกาหลีก้อเช่นกัน เค้าไม่ได้เรียนคุมองนะ แต่จากการบอกเล่าของเพื่อนชาวเกาหลีของยีน ที่เกาหลีเนี่ย จะเรียนหนักมากๆ เรียนกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืนเลย...นอกจากนี้ พวกเด็กผู้หญิงเกาหลี พอปิดเทอมแล้วเปิดเทอมมา ส่วนใหญ่หน้าตาจะเปลี่ยนไป เช่นปิดเทอมแรกกลับมา จมูกอาจจะโด่งขึ้น ปิดเทอมครั้งที่สองกลับมา ตาอาจโตและหวานขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติของสาวเกาหลี คือเค้าจะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ เพื่อขอรางวัลจากพ่อแม่เป็นการทำศัลยกรรมให้ตัวเองสวยขึ้น....แต่พวกผู้ชายจะไม่ค่อยทำ จะเป็นที่พวกผู้หญิงมากกว่า...นี่ก้อเป้นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกขยันเรียนเพื่อเข้ามหา'ลัยให้ได้ ในมุมมองของพ่อแม่เกาหลี..เลยกลายเป็นค่านิยมในหมู่วัยรุ่นกาหลี...ปัจจุบัน
สำหรับยุ่น..เราก้อเป็นคนไทยในแคนาดา ก้อเรียกว่าชนกลุ่มน้อยนะ..ชนกลุ่มใหญ่ส่วนมากก้อคือชาวจีน..กับชาวอินเดีย..คนจีนเนี่ยก้อเป็นอะไรที่ยุ่นไม่ชอบจริงๆเลย..อย่างการรอคิวขึ้นรถเมล์..แบบคนอื่นเค้ายืนรอกันเรียบร้อย..พี่แกบางทีมาก้อมาตัดหน้าเฉยเลย..ยุ่นก้อเคยโดนนะ แต่เค้าเป็นคนแก่นะ..ก้อเลยไม่อยากว่าเค้า แต่พวกฝรั่งนะ จะด่าเลย..คือฝรั่งก้อมีมากนะที่ไม่ชอบคนจีน..
นอกจากนี้ พวกคนจีนเค้าเข้ามาหมู่มาก..ก้อเป็นธรรมดาที่มีชุมชนของเค้าช่วยเหลือกัน..และหาช่องทางหรือช่องว่างของกฏหมายในการโกงเงินรัฐบาล..เช่น..มีครอบครัวจีนมากมายที่เข้ามาคือเค้าอยู่ด้วยกัน แต่ทำเรื่องเอกสารเป็นแบบหย่าร้างกัน เพื่อรัฐบาลจะได้ช่วยเหลือทางการเงินของ Single Mum ซึ่งอันนี้ก้อจะได้เงินช่วยเหลือค่อนข้างมาก...แต่อันนี้ก้อคือการโกงเค้า ซึ่ง Iku เล่าให้ฟังและเค้าบอก เค้าไม่ชอบวิธีการแบบนี้..
หรืออย่างได้คุยกับพี่อ้อม คนไทยที่อยู่ที่นี่ เค้าก้อบอก..พวกคนจีนนะที่ไปเรียนด้วยกัน เค้าจับกลุ่มช่วยเหลือกัน และกันไม่ให้ชาติอื่นได้งานเลย เค้าบอกแต่พวกตัวเอง คือรักพวกพ้องตัวเอง.. คือเค้าไม่ช่วยเราเลย..เค้าแบ่งแยก..พวกเราคนไทยที่นี่ก้อทั้งน้อย อีกอย่างพวกเราก้อมักต่างคนต่างอยู่..
ยุ่นก้อเลยขอยกคำของหลวงพี่ธวัชชัย ที่วัดพุทธปัญญานันทาราม ที่พี่ต้อยเพิ่งพาครอบครัวเราไปวัดเมื่อบ่ายนั้น... บอกพี่อ้อมว่า เห็นด้วยค่ะ และ...หลวงพี่ก้อบอกว่า "คนไทยเรารวมกันเราแย่ แต่ที่แน่ๆแยกกันเรารอด" ก้อเลยเรียกเสียงฮาในวงอาหารของพวกเราหกคนไทยที่นั่งทานข้าวที่บ้านพี่ต้อย...และทุกคนก้อยอมรับความจริงในข้อนี้....
จริงๆไม่ใช่แค่จีนนะที่เค้ารักกัน ฟิลิปปินส์เนี่ยเค้าก้อรักกันมาก..อย่างฮ่งเนี่ยสนใจอยากลองทำงานเภสัชที่ทำงานในห้อง lab ซึ่งเพื่อนร่วมงานฟิลิปปินส์สองคนเค้าทำกัน พอสอบถามรายละเอียด เค้าบอกเค้าไม่รับ เค้ารับแต่คนฟิลิปปินส์...เพราะเพื่อนคนนึงที่ทำเค้าจะลาคลอดในเดือนสองเดือนนี้ ฮ่งก้อลองถามดู เผื่อมีอะไรที่เราพอจะทำเพิ่มได้...เค้ากันเลย..รักษาตำแหน่งไว้สำหรับคนในประเทศเค้าเท่านั้น....หรืออย่างพม่าที่มาที่นี่เนี่ย เวลาใครมาคนนึง เค้าก้อแห่กันไปรับที่สนามบินเลยนะ แล้วก้อช่วยเหลือกัน...
แต่สำหรับยุ่นกับฮ่งที่เรามาแวนคูเวอร์...สำหรับครอบครัวเรา..เราก้อโชคดีนะที่ได้รับการช่วยเหลือจากพี่ประเวศกับพี่ต้อย..ซึ่งเราสองคนก้อคิดว่าหากมีคนไทยที่เข้ามาอยู่แวนคูเวอร์ใหม่...และอยากได้คำแนะนำ..ปรึกษา เราสองคนก้อยินดีช่วยเหลือในสิ่งที่เรารู้นะ..เพราะเรารู้ว่าช่วงเวลานั้น มันกดดัน..เศร้า..และทุกข์ทรมานอย่างไร..และที่ผ่านๆมา..ยุ่นเองก้อได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนคนจีนที่รู้จักที่นี่เช่นกัน เค้าก้อแนะนำสิ่งดีๆกับเรา...อีกทั้งเพิ่งรู้จักไม่นาน เค้าก้อยังเลี้ยงข้าวเราด้วย..เพราะฉะนั้นครอบครัวเราจึงคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นใครที่เรารู้จัก และเป็นเพื่อนกับเรา ชาติอะไรก้อแล้วแต่...ถ้ามีโอกาสที่ช่วยกันได้ เราก้อยินดี..เพราะยุ่นรู้สึกว่า..มันเป็นอะไรที่ดีนะเวลาเห็นคนอื่นมีความสุข..และเราก้อจะได้มีเพื่อนมากขึ้นมากขึ้นในประเทศนี้...
และนี่ก้อคงเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและลักษณะเด่นของแต่ละเชื้อชาติ..ซึ่งคงเปลี่ยนแปลงได้ยาก..แต่เราก้อสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นได้...
Wednesday, January 6, 2010
ยีน
พูดถึงเด็กคนอื่นมากมาย ไม่ค่อยได้เล่าถึงลูกชายของตัวเองเลย...ยีน สิรปารย์ ตากวิริยะนันท์ แต่ที่นี่ ยีนจะกลายเป็น middle name ของเค้าไปแล้ว เพราะครูเขียนใน report card ว่า Siraparn Gene Takviriyanan
ยีนมาเรียนที่นี่ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนมาแรกๆก้อต้องสอบข้อสอบของทาง Vancouver School Board ก่อน ก้อจะมีเลข กับอังกฤษ เลขเนี่ยยีนก้อค่อนข้างใช้ได้ ถ้าจำไม่ผิดของเกรด 10 ผิดข้อเดียว เลยไม่ต้องเรียน เค้าให้ข้ามไปเรียน math 11 เลย
ส่วนอังกฤษ ก้อเรียกว่าพอใช้ได้ เพราะเด็กที่มาที่นี่ส่วนใหญ่แรกๆทุกคนต้องเรียน ESL Class ( คือเค้าจะมี ESL , transition และ regular) ขึ้นกับพื้นฐานอังกฤษของเรา แต่ยีนหลังสอบเสร็จได้เรียน Eng 10 transition ก้อเรียกว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน คือยุ่นเองก้อดูเค้าแบบเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ตั้งใจ แต่ผลออกมาก้อเป็นที่น่าพอใจ..
ปีที่แล้วยีนเรียนเกรด 10 ทุกวิชา มีแต่เลขเท่านั้นที่เรียนเกรด 11...... และปีนี้เค้าเรียนเกรด 11 วิชาอังกฤษ Social พวกวิชาที่ต้องมีอังกฤษเป็นพื้น...ยีนได้ขึ้นมาเรียน regular class แล้ว..เรียกว่าเหมือนธรรมดาของเด็กที่นี่ทุกอย่าง ...ส่วน math ก้อเรียนของเกรด 12......ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ เพราะปีหน้าตอนเกรด 12 เค้าสามารถเรียนวิชาของมหาลัยได้ โดยไม่ต้องเสียค่าหน่วยกิตด้วย...ถือว่าเป็นสิ่งที่เราทำได้ และยังอยู่ในช่วงอายุ 18 ปีที่รัฐบาลให้เรียนฟรี...แต่ถ้าเราเรียนในมหาลัย เราก้อต้องเสียค่าหน่วยกิตเหมือนคน Canadian คือเค้าคิด 25%ของราคาปกติ ..ก้อเรียกว่าสามารถช่วยพ่อแม่ประหยัดค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นได้ด้วย...
ปีที่แล้วการเรียนของเค้าอยู่ในขั้นปานกลาง ไม่ดีมากและก้อไม่แย่มาก ยีนเป็นคนที่มีหลักการในตัวเองสูงมาก คือยึดมั่นการเดินสายกลาง เค้าจะไม่เรียนหนักไป เบาไปก้อไม่ได้ แต่ในสายตาของยุ่น ยุ่นรู้สึกว่าเรียนเบามาก...เค้าจะพอใจในเกรดที่ได้..สบายๆทั้งปี คะแนนก้อออกมาสบายๆตามสไตล์คุณยีน ก้อได้ B ได้ C ประมาณนี้ รู้สึกโดยรวมได้ เกรดสามหน่อยๆ... ซึ่งเค้าเองเค้าพอใจสำหรับผลงานปีแรก..นี่เป็นคำพูดของยีน ที่ยึดมั่นการเดินทางสายกลางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า...รู้สึกจะนำมาประยุกต์ใช้ผิดทาง
แต่ปีนี้เกรด 11 ยุ่นก้อบอกเค้าเลยว่า ผลการเรียนต้องมีการพัฒนา ต้องดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเริ่มมีการลงโทษ...ปีนี้อาจด้วยเค้าโตขึ้น และเพื่อนที่คบก้อเปลี่ยนกลุ่ม และกลุ่มนี้ก้อมีการช่วยเหลือกันดี อาจเริ่มมีการคุยเรื่องการเข้ามหาลัย ทำให้ยีนมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คือยังไง...พ่อกับแม่ก้อรอคอยการเปลี่ยนแปลงของลูก..ไม่ว่าจะเมื่อไร อย่างไร..เราก้อรอได้
ปีนี้คณิตศาสตร์บังเอิญได้ครูดี ถูกใจเค้า เป็นครูที่เก่งมาก และออกข้อสอบยาก แต่เค้าชอบสไตล์นี้ เค้าบอกเวลาเพื่อนบอกครูีคนไหนดี พอเค้าไปเรียนเค้าไม่ชอบ แต่ครูที่ทุกคนบอกไม่ดี เวลายีนเรียน ยีนจะชอบ ไม่รู้เป็นไง ก้อเลยบอกเค้าว่าลองเรียนและตัดสินใจเอง ไม่ต้องเชื่อคนอื่น..เพราะแต่ละคนมีวิธีการ และการรับรู้แตกต่างกัน..
จึงเป็นโชคดีของเค้าที่เค้าได้ครูเลข ครูเคมี ครูสังคม ที่เค้าชอบ..และผลออกมาเทอมหนึ่งคะแนนเลข ฟิสิกส์ เคมี อยุ่ในเกณฑ์ดีมาก A กับ B คือตัวเค้าเองเค้าก้อรู้สึกงง แต่ยุ่นก้อถามเค้าว่าคิดว่าทำไมถึงได้คะแนนดี เค้าบอกเพราะเค้าอ่านและทำความเข้าใจ อย่างฟิสิกส์กับเคมีเนี่ย สอบครั้งแรกคะแนนเรียกว่าแย่มากๆเลย แต่เค้าพยายามอ่าน ทำความเข้าใจ จนตอนหลังได้คะแนน top ของห้อง..ยุ่นก้อเลยเตือนสติเค้าว่า นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำไมยีนถึงได้คะแนนดี..
และดูเค้าก้อมีความภูมิใจในตัวเองมากขึ้น...แต่ก่อนเค้าบอกยุ่นเสมอว่าเค้าไม่ชอบเลข แต่ยุ่นก้อบอกเค้าเสมออีกว่าเค้าเก่งเลข เค้าบอกไม่จริงเค้าไม่เก่ง (ไม่รู้เพราะถูกครูยุ่นเคี่ยวเข็นให้ทำคุมองมากไปเลยต่อต้านรึปล่าว??? ) แต่ปีนี้ เจอ Irany ครูเลขคนนี้ ทำให้ยีนเปลี่ยนความคิดเรื่องนี้ไปมาก เค้ารู้สึกว่าเค้าชอบเลขและเค้าก้อทำได้ดี..อย่างที่เค้าไม่เคยคิดมาก่อน..
นอกจากนี้ ยีนก้อยังช่วยติวเลขให้เพื่อนที่เรียน math 11 ด้วย ขณะเดียวกันเพื่อนก้อติวอังกฤษให้ยีน เพราะเพื่อนที่เค้าสนิทจะเกิดที่นี่ ก้อจะมีภาษาอังกฤษที่แข็งแรงกว่า ก้อเรียกว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลที่ดีต่อกัน...
และนี่ก้อเป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องปรับตัวและใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์ แต่ยีนจะปรับตัวได้ค่อนข้างเร็วและดีกว่าพ่อแม่มาก...โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ น่าจะก้าวหน้ากว่าพ่อ แม่มากมายเลย...
ยีนมาเรียนที่นี่ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนมาแรกๆก้อต้องสอบข้อสอบของทาง Vancouver School Board ก่อน ก้อจะมีเลข กับอังกฤษ เลขเนี่ยยีนก้อค่อนข้างใช้ได้ ถ้าจำไม่ผิดของเกรด 10 ผิดข้อเดียว เลยไม่ต้องเรียน เค้าให้ข้ามไปเรียน math 11 เลย
ส่วนอังกฤษ ก้อเรียกว่าพอใช้ได้ เพราะเด็กที่มาที่นี่ส่วนใหญ่แรกๆทุกคนต้องเรียน ESL Class ( คือเค้าจะมี ESL , transition และ regular) ขึ้นกับพื้นฐานอังกฤษของเรา แต่ยีนหลังสอบเสร็จได้เรียน Eng 10 transition ก้อเรียกว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน คือยุ่นเองก้อดูเค้าแบบเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ตั้งใจ แต่ผลออกมาก้อเป็นที่น่าพอใจ..
ปีที่แล้วยีนเรียนเกรด 10 ทุกวิชา มีแต่เลขเท่านั้นที่เรียนเกรด 11...... และปีนี้เค้าเรียนเกรด 11 วิชาอังกฤษ Social พวกวิชาที่ต้องมีอังกฤษเป็นพื้น...ยีนได้ขึ้นมาเรียน regular class แล้ว..เรียกว่าเหมือนธรรมดาของเด็กที่นี่ทุกอย่าง ...ส่วน math ก้อเรียนของเกรด 12......ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ เพราะปีหน้าตอนเกรด 12 เค้าสามารถเรียนวิชาของมหาลัยได้ โดยไม่ต้องเสียค่าหน่วยกิตด้วย...ถือว่าเป็นสิ่งที่เราทำได้ และยังอยู่ในช่วงอายุ 18 ปีที่รัฐบาลให้เรียนฟรี...แต่ถ้าเราเรียนในมหาลัย เราก้อต้องเสียค่าหน่วยกิตเหมือนคน Canadian คือเค้าคิด 25%ของราคาปกติ ..ก้อเรียกว่าสามารถช่วยพ่อแม่ประหยัดค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นได้ด้วย...
ปีที่แล้วการเรียนของเค้าอยู่ในขั้นปานกลาง ไม่ดีมากและก้อไม่แย่มาก ยีนเป็นคนที่มีหลักการในตัวเองสูงมาก คือยึดมั่นการเดินสายกลาง เค้าจะไม่เรียนหนักไป เบาไปก้อไม่ได้ แต่ในสายตาของยุ่น ยุ่นรู้สึกว่าเรียนเบามาก...เค้าจะพอใจในเกรดที่ได้..สบายๆทั้งปี คะแนนก้อออกมาสบายๆตามสไตล์คุณยีน ก้อได้ B ได้ C ประมาณนี้ รู้สึกโดยรวมได้ เกรดสามหน่อยๆ... ซึ่งเค้าเองเค้าพอใจสำหรับผลงานปีแรก..นี่เป็นคำพูดของยีน ที่ยึดมั่นการเดินทางสายกลางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า...รู้สึกจะนำมาประยุกต์ใช้ผิดทาง
แต่ปีนี้เกรด 11 ยุ่นก้อบอกเค้าเลยว่า ผลการเรียนต้องมีการพัฒนา ต้องดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเริ่มมีการลงโทษ...ปีนี้อาจด้วยเค้าโตขึ้น และเพื่อนที่คบก้อเปลี่ยนกลุ่ม และกลุ่มนี้ก้อมีการช่วยเหลือกันดี อาจเริ่มมีการคุยเรื่องการเข้ามหาลัย ทำให้ยีนมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คือยังไง...พ่อกับแม่ก้อรอคอยการเปลี่ยนแปลงของลูก..ไม่ว่าจะเมื่อไร อย่างไร..เราก้อรอได้
ปีนี้คณิตศาสตร์บังเอิญได้ครูดี ถูกใจเค้า เป็นครูที่เก่งมาก และออกข้อสอบยาก แต่เค้าชอบสไตล์นี้ เค้าบอกเวลาเพื่อนบอกครูีคนไหนดี พอเค้าไปเรียนเค้าไม่ชอบ แต่ครูที่ทุกคนบอกไม่ดี เวลายีนเรียน ยีนจะชอบ ไม่รู้เป็นไง ก้อเลยบอกเค้าว่าลองเรียนและตัดสินใจเอง ไม่ต้องเชื่อคนอื่น..เพราะแต่ละคนมีวิธีการ และการรับรู้แตกต่างกัน..
จึงเป็นโชคดีของเค้าที่เค้าได้ครูเลข ครูเคมี ครูสังคม ที่เค้าชอบ..และผลออกมาเทอมหนึ่งคะแนนเลข ฟิสิกส์ เคมี อยุ่ในเกณฑ์ดีมาก A กับ B คือตัวเค้าเองเค้าก้อรู้สึกงง แต่ยุ่นก้อถามเค้าว่าคิดว่าทำไมถึงได้คะแนนดี เค้าบอกเพราะเค้าอ่านและทำความเข้าใจ อย่างฟิสิกส์กับเคมีเนี่ย สอบครั้งแรกคะแนนเรียกว่าแย่มากๆเลย แต่เค้าพยายามอ่าน ทำความเข้าใจ จนตอนหลังได้คะแนน top ของห้อง..ยุ่นก้อเลยเตือนสติเค้าว่า นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำไมยีนถึงได้คะแนนดี..
และดูเค้าก้อมีความภูมิใจในตัวเองมากขึ้น...แต่ก่อนเค้าบอกยุ่นเสมอว่าเค้าไม่ชอบเลข แต่ยุ่นก้อบอกเค้าเสมออีกว่าเค้าเก่งเลข เค้าบอกไม่จริงเค้าไม่เก่ง (ไม่รู้เพราะถูกครูยุ่นเคี่ยวเข็นให้ทำคุมองมากไปเลยต่อต้านรึปล่าว??? ) แต่ปีนี้ เจอ Irany ครูเลขคนนี้ ทำให้ยีนเปลี่ยนความคิดเรื่องนี้ไปมาก เค้ารู้สึกว่าเค้าชอบเลขและเค้าก้อทำได้ดี..อย่างที่เค้าไม่เคยคิดมาก่อน..
นอกจากนี้ ยีนก้อยังช่วยติวเลขให้เพื่อนที่เรียน math 11 ด้วย ขณะเดียวกันเพื่อนก้อติวอังกฤษให้ยีน เพราะเพื่อนที่เค้าสนิทจะเกิดที่นี่ ก้อจะมีภาษาอังกฤษที่แข็งแรงกว่า ก้อเรียกว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลที่ดีต่อกัน...
และนี่ก้อเป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องปรับตัวและใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์ แต่ยีนจะปรับตัวได้ค่อนข้างเร็วและดีกว่าพ่อแม่มาก...โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ น่าจะก้าวหน้ากว่าพ่อ แม่มากมายเลย...
Monday, January 4, 2010
เรื่องน่ารัก น่ารักของ Damian
เมื่อวานก้อเป็นวันแรกที่เริ่มกลับไปทำงาน ก้อรู้สึกดีนะ แบบหยุดนานมากๆๆ เริ่มเบื่อ คือวันๆก้อไม่รู้จะทำอะไรดี ทั้ง shopping อ่านหนังสือ เดินเล่น ดูหนัง ฟังเพลง เขียน blogger อย่างเยอะ ก้อแล้ว ก้อยังเบื่อเลย..รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีประโยชน์ไงไม่รู้..
เนื่องจากเมื่อวานเป็นอังคารแรกที่เปิดเรียนหลังจากหยุดมานาน การบ้านนักเรียนสามอาทิตย์ เรียกว่าครูผู้ช่วยลงบันทึกกันหน้ามืดเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Junior ที่คริสตี้ดูแล ให้เห็นใจเค้ามากๆเลย..เพราะมีเค้ารับผิดชอบคนเดียว
ยุ่นก้อเลยลงไปช่วยเค้า และก้อเหมือนดวงสมพงษ์กับ Damian ยังไงไม่รู้ ได้เจอกันอีกแล้ว...คือเวลาพี่น้องคู่นี้มา Damian กับ Gabiel มิสติงก้อจะเรียกให้ยุ่นดูแลสองพี่น้องคู่นี้
แต่วันนี้คริสตี้เค้าบอกเค้าไหว ให้ยุ่นช่วยดู Damian ก้อเลยเอาเค้ามานั่งด้วยกัน จริงๆ Damian เป็นเด็กที่ค่อนข้างฉลาด แต่เนื่องจากไม่มีวินัยที่บ้าน และพ่อกับแม่ก้อจะไม่เข้มงวดเลย ทำให้เค้าเป็นเด็กไม่เรียบร้อย...แต่ครั้งนี้ การบ้านเลขของเค้าทำครบหมดเลย...เป็นที่อัศจรรย์มาก แต่อังกฤษเนื่องจากที่ยุ่นจัดการบ้านผิด และมิสติงไม่ได้เมลไป เค้าไม่ได้ทำแม้แต่ฉบับเดียว ก้อต้องรายงานครูอังกฤษตามระเบียบ
ขณะที่ Damian นั่งทำเลขระดับ 3A ชุด 81 ซึ่งเป็นบวกสาม เช่น 5+3 เค้าก้อจะใช้ดินสอขีดไปนับไป 5 แล้ว 6 7 8 แล้วก้อตอบ 8 ทำแบบนี้สองสามข้อ ยุ่นเห็นก้อบอกให้พยายามไม่ทำแบบนี้ ลองนั่งนึกดู แล้วค่อยๆเขียน เค้าบอกเค้าทำไม่ได้ ตอนนี้เค้ารู้สึกเค้าคล่องบวกสอง ทำไมให้ทำบวกสามหละ...ให้กลับไปบวกสองไม่ได้เหรอ..
ยุ่นก้อบอกเค้าว่าก้อเพราะ you นะเก่งมากไง เลยต้องทำบวกสามแล้ว เดี่ยวก้อคล่องแหละ ทีแรกก้อจะช้านิดนึง..เสร็จลายมือเค้าก้อแบบแย่มากๆ ยุ่นก้อบอกเค้าว่า Nice handwriting please.
เค้าก้อพยายามนะ ทำช้าลง พอเสร็จ อยู่ดีๆเค้าก้อจับหลักบวกสามได้ เค้าก้อตั้งใจทำมากเลย แบบดูแล้วเขียนคำตอบได้ คือสมาธิเริ่มมาไง ก้อเลยโอเค เค้าก้อเขียนเรียบร้อยและค่อยๆทำ และทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนเสร็จและถูกหมดด้วย...ยุ่นก้อชมเค้าว่า Damian เธอเก่งมากเลยนะ ถ้าเธอทำการบ้านทุกๆวัน เธอจะยิ่งเก่งกว่านี้อีก..ลายมือวันนี้ก้อสวยด้วย awesome!!! ที่นี่เค้าชอบคำนี้ ถ้าแปลเป็นไทยน่าจะแปลว่า เจ๋ง!! อะไรประมาณนี้ เป็นคำที่วัยรุ่นชอบใช้กันมาก..
เท่านั้นแหละ ธรรมชาติของเด็กจะชอบคำชม...เค้าก้อตั้งใจมากๆเลย..น่ารักสุดๆ หลังจากนั้นก้อให้ทำอังกฤษ เค้าตั้งใจทำ เขียนเรียบร้อยมาก และทำถูกหมด ยุ่นก้อบอกเค้าว่าถ้าครั้งหน้ายังดีแบบนี้จะให้รางวัล ยางลบการ์ตูนหนึ่งก้อน เป็นสิ่งที่เค้ารอคอยมานานแล้ว...แต่ยุ่นยังไม่ให้เค้า... Damian ยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง..
และวันนี้เป็นวันแรกในรอบสามเดือนที่เค้าเรียนมา ที่เค้าทำงานเสร็จเร็วมาก และผิดแค่สองข้อ..ไม่เคยเลยตั้งแต่มาเรียน..เค้าก้อนั่งรอพ่อกับแม่เค้าในห้องเรียน และยุ่นก้อกำชับเค้าว่าอย่าส่งเสียงดัง ซึ่งเค้าก้อนั่งรออย่างเรียบร้อย ไม่ส่งเสียงเลย..แปลว่าเค้ายังจำเรื่องที่ถูกลงโทษครั้งที่แล้วได้...
ยุ่นคิดว่าจริงๆเค้าเป็นเด็กที่ใช้ได้เลย รู้กติกาพอควร เพราะหลังจากที่เค้าโดนลงโทษ เค้าเริ่มรู้ว่าเค้าต้องทำอย่างไรเวลาอยู่ในห้องเรียน....และพอตอนที่เค้าไปพบมิสติงหลังเสร็จงาน ยุ่นก้อบังเอิญได้ยินเค้าคุยกับมิสติง
มิสติง : Damian , why your mother didn' t mark all the homework??
Damian : I have no idea. You have to tell her to do her job!
มิสติง : ?!?
ยุ่นฟังแล้วก้อ..อดอมยิ้มไม่ได้ แบบตอบเหมือนผู้ใหญ่เลย...แล้วพูดแบบฉะฉานด้วยนะ.. Damian เนี่ย ไม่ธรรมดาจริงๆเลย...
เนื่องจากเมื่อวานเป็นอังคารแรกที่เปิดเรียนหลังจากหยุดมานาน การบ้านนักเรียนสามอาทิตย์ เรียกว่าครูผู้ช่วยลงบันทึกกันหน้ามืดเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Junior ที่คริสตี้ดูแล ให้เห็นใจเค้ามากๆเลย..เพราะมีเค้ารับผิดชอบคนเดียว
ยุ่นก้อเลยลงไปช่วยเค้า และก้อเหมือนดวงสมพงษ์กับ Damian ยังไงไม่รู้ ได้เจอกันอีกแล้ว...คือเวลาพี่น้องคู่นี้มา Damian กับ Gabiel มิสติงก้อจะเรียกให้ยุ่นดูแลสองพี่น้องคู่นี้
แต่วันนี้คริสตี้เค้าบอกเค้าไหว ให้ยุ่นช่วยดู Damian ก้อเลยเอาเค้ามานั่งด้วยกัน จริงๆ Damian เป็นเด็กที่ค่อนข้างฉลาด แต่เนื่องจากไม่มีวินัยที่บ้าน และพ่อกับแม่ก้อจะไม่เข้มงวดเลย ทำให้เค้าเป็นเด็กไม่เรียบร้อย...แต่ครั้งนี้ การบ้านเลขของเค้าทำครบหมดเลย...เป็นที่อัศจรรย์มาก แต่อังกฤษเนื่องจากที่ยุ่นจัดการบ้านผิด และมิสติงไม่ได้เมลไป เค้าไม่ได้ทำแม้แต่ฉบับเดียว ก้อต้องรายงานครูอังกฤษตามระเบียบ
ขณะที่ Damian นั่งทำเลขระดับ 3A ชุด 81 ซึ่งเป็นบวกสาม เช่น 5+3 เค้าก้อจะใช้ดินสอขีดไปนับไป 5 แล้ว 6 7 8 แล้วก้อตอบ 8 ทำแบบนี้สองสามข้อ ยุ่นเห็นก้อบอกให้พยายามไม่ทำแบบนี้ ลองนั่งนึกดู แล้วค่อยๆเขียน เค้าบอกเค้าทำไม่ได้ ตอนนี้เค้ารู้สึกเค้าคล่องบวกสอง ทำไมให้ทำบวกสามหละ...ให้กลับไปบวกสองไม่ได้เหรอ..
ยุ่นก้อบอกเค้าว่าก้อเพราะ you นะเก่งมากไง เลยต้องทำบวกสามแล้ว เดี่ยวก้อคล่องแหละ ทีแรกก้อจะช้านิดนึง..เสร็จลายมือเค้าก้อแบบแย่มากๆ ยุ่นก้อบอกเค้าว่า Nice handwriting please.
เค้าก้อพยายามนะ ทำช้าลง พอเสร็จ อยู่ดีๆเค้าก้อจับหลักบวกสามได้ เค้าก้อตั้งใจทำมากเลย แบบดูแล้วเขียนคำตอบได้ คือสมาธิเริ่มมาไง ก้อเลยโอเค เค้าก้อเขียนเรียบร้อยและค่อยๆทำ และทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนเสร็จและถูกหมดด้วย...ยุ่นก้อชมเค้าว่า Damian เธอเก่งมากเลยนะ ถ้าเธอทำการบ้านทุกๆวัน เธอจะยิ่งเก่งกว่านี้อีก..ลายมือวันนี้ก้อสวยด้วย awesome!!! ที่นี่เค้าชอบคำนี้ ถ้าแปลเป็นไทยน่าจะแปลว่า เจ๋ง!! อะไรประมาณนี้ เป็นคำที่วัยรุ่นชอบใช้กันมาก..
เท่านั้นแหละ ธรรมชาติของเด็กจะชอบคำชม...เค้าก้อตั้งใจมากๆเลย..น่ารักสุดๆ หลังจากนั้นก้อให้ทำอังกฤษ เค้าตั้งใจทำ เขียนเรียบร้อยมาก และทำถูกหมด ยุ่นก้อบอกเค้าว่าถ้าครั้งหน้ายังดีแบบนี้จะให้รางวัล ยางลบการ์ตูนหนึ่งก้อน เป็นสิ่งที่เค้ารอคอยมานานแล้ว...แต่ยุ่นยังไม่ให้เค้า... Damian ยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง..
และวันนี้เป็นวันแรกในรอบสามเดือนที่เค้าเรียนมา ที่เค้าทำงานเสร็จเร็วมาก และผิดแค่สองข้อ..ไม่เคยเลยตั้งแต่มาเรียน..เค้าก้อนั่งรอพ่อกับแม่เค้าในห้องเรียน และยุ่นก้อกำชับเค้าว่าอย่าส่งเสียงดัง ซึ่งเค้าก้อนั่งรออย่างเรียบร้อย ไม่ส่งเสียงเลย..แปลว่าเค้ายังจำเรื่องที่ถูกลงโทษครั้งที่แล้วได้...
ยุ่นคิดว่าจริงๆเค้าเป็นเด็กที่ใช้ได้เลย รู้กติกาพอควร เพราะหลังจากที่เค้าโดนลงโทษ เค้าเริ่มรู้ว่าเค้าต้องทำอย่างไรเวลาอยู่ในห้องเรียน....และพอตอนที่เค้าไปพบมิสติงหลังเสร็จงาน ยุ่นก้อบังเอิญได้ยินเค้าคุยกับมิสติง
มิสติง : Damian , why your mother didn' t mark all the homework??
Damian : I have no idea. You have to tell her to do her job!
มิสติง : ?!?
ยุ่นฟังแล้วก้อ..อดอมยิ้มไม่ได้ แบบตอบเหมือนผู้ใหญ่เลย...แล้วพูดแบบฉะฉานด้วยนะ.. Damian เนี่ย ไม่ธรรมดาจริงๆเลย...
Canadian Coin..and Bank Note
เหรียญที่ใช้ในแคนาดาจะมี 6 ชนิดคือ
1cent เรียก Penny, 5 cents เรียก Nickel, 10 cents เรียก Dime, 25 cents เรียก Quarter, 1 dollar เรียก Loonie และ 2 dollars เรียก Toonie ที่นิยมใช้ก้อเป็น quarter loonie และ toonie แต่ที่ครอบครัวเราชอบและต้องเก็บมากหน่อยคือ quater และ loonie เพราะใช้ในการหยอดตู้ซักเสื้อ และหยอดรถ cart เวลาซื้อของมากๆ...
ส่วน bank note ก้อมี ใบละ 5 ,10, 20, 50 และ 100 เหรียญ แต่ที่นิยมใช้กันจะเป็น 5,10 และ 20 เหรียญ ถ้าใครเอาใบละ 50 หรือ 100 ออกมาใช้ เค้าจะต้องส่อง ตรวจว่าเป็นของปลอมมั้ย ก้อสมควรนะ เพราะถ้า 50 ก้อ 1500 บาทและ 100 ก้อประมาณ 3000 บาทของบ้านเรา...
ทีแรกยุ่นมาที่นี่ก้อแบบงงมากๆเลย...เราจะใช้ไอ้เหรียญเล็กๆเนี่ยเมื่อไร คือพวก penny nickle dime เนี่ย...แล้วฮ่งก้อแบบมีเหรียญทุกชนิดเลยนะ เก็บในกระป๋องมากๆๆๆๆเลย ต้องบอกว่าทุกชนิดจริงๆ เพราะฮ่งเค้าจะได้ทอนมา แล้วเค้าไม่ได้ใช้ เค้าก้อเก็บ ๆ แล้วก้อเก็บ...อย่างที่ไทยเรา สลึงกับห้าสิบจะน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหรียญบาทกับห้าบาท.. ก้อแบบใช้ง่ายมาก..
เวลาที่ไปซื้อของกัน ส่วนใหญ่เราก้อจะใช้บัตรเครดิต และเวลาไปทานข้าวในร้านอาหาร เค้าจะไม่รับเครดิต เค้าจะติดไว้เลยว่า cash only ซึ่งเราก้อมักจ่ายเป็นแบงค์ และก้อได้รับทอนเป็นเหรียญกลับมาอีก...เพราะฉะนั้น ยิ่งคิดก้อยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหรียญที่มากมายขนาดนั้น
ยุ่นก้อมานั่งแยกเหรียญทุกชนิดใส่ถุงไว้ ทั้ง 6 ชนิด รวมๆกันก้อเป็นมูลค่าสามสี่ร้อยเหรียญ คราวนี้ตอนไปshopping เช่นซื้อผักผลไม้ ในร้านชำนะ ซึ่งที่นี่จะมีร้านประเภทนี้มากมาย ยุ่นก้อเริ่มสังเกตุวิธีการจ่ายเงินของคนที่นี่ คือผู้หญิงนะ ทั้งวัยกลางคนและคนแก่ จะชอบใช้เหรียญจ่าย ผู้ชายไม่ค่อย เค้าจะใช้แบงค์กัน คราวนี้ก้อสังเกตุว่าเค้าจะนับเหรียญเล็กๆจ่ายกันตรงแคชเชียร์เลย เช่นซื้อผักอึม.... $ 4.87 เค้าก้อจะค่อยๆนับเหรียญเล็กๆนะแล้วจ่ายแคชเชียร์ ซึ่งคนที่คอยคิวก้อต้องคอยไป แคชเชียร์ก้อไม่ว่า น่ารักมาก.... เท่านั้นแหละ ยุ่นก้อเกิดไอเดียแล้วว่าเราจะใช้เหรียญเล็กๆที่เก็บพวกนี้อย่างไร..
กลับบ้านก้อเอาเหรียญที่แยกเนี่ย มาแยกใส่ถุงเล็ก และเวลาไปซื้อผัก ผลไม้ร้านของชำ ก้อจะหยิบเหรียญพวกนี้ขึ้นมาใช้ และเราก้อจะจ่ายได้ค่อนข้างเร็วด้วย คนหลังเราก้อไม่ต้องรอเรานานมาก เพราะเราแยกไว้แล้ว บางทีเจอแคชเชียร์ใจดี เค้ายังชมเลยว่า you are well organized! ยุ่นก้อยิ้ม..และขอบคุณเค้า จากนั้นไม่นาน ก้อสามารถเอาหรียญที่ฮ่งเก็บไว้ทั้งหมด นำมาใช้จนหมดเกลี้ยงเลย...ฮ่งยังชมเลยว่า ใช้หมดได้ไงเนี่ย...
สิ่งหนึ่งที่ยุ่นได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตที่นี่ก้อคือ การซื้อของเนี่ยต้องคำนวณก่อน...ยังไงหละ ตอนอยู่ไทยเป็นคนไม่เคยคิดคำนวณอะไรเลย คิดอยากซื้อก้อซื้อ ยี่ห้อนี้เราใช้ประจำ ก้อซื้อประจำ ไปห้างก้อไม่เคยสนใจดู promotion อันนี้ตอนอยู่ไทย...คิดว่าเพื่อนๆหลายๆคนก้อน่าจะเป็นเหมือนยุ่น คิดอยากซื้อก้อซื้อ และส่วนนึงก้ออาจเป็นเพราะตอนอยู่ไทย รายได้เราก้อพอใช้ได้ ใช้จ่ายได้ค่อนข้างสบาย...และสินค้าแต่ละ brand ก้อมีความแตกต่างกันมาก ราคาจึงแตกต่างกัน
แต่มาที่นี่ เราจะทำตัวเหมือนอยู่ไทย เราคงอยู่ที่นี่ลำบาก เพราะทุกอย่างค่าเงินเป็นแคนาเดี่ยน คูณ 30 ก้อต้องมีการคำนวณโดยอัตโนมัติก่อนซื้ออยู่แล้ว แรกๆนะจะหยิบจะซื้ออะไรเนี่ย ไม่กล้าจ่ายหมดเลย แบบคำนวณเป็นเงินไทยแล้ว มันแพงทุกอย่างเลย..
พออยู่ไปสักพักก้อเริ่มชิน แต่ก้อยังรู้สึกแพงนะ...นอกจากนี้เราเริ่มเรียนรู้จากพี่ๆคนไทยที่นี่ เพื่อนๆคนจีนที่มาอยู่ที่นี่ก่อนเรา เค้าก้อสอนวิธีคิด วิธีซื้อของให้เราใหม่ คือห้างที่นี่จะจัด promotion ทุกสัปดาห์ ทุกห้างมีหมด รายการจะสลับสับเปลี่ยนกันไป ฉะนั้นเราจะซื้ออะไร เราต้องดูว่าห้างไหนที่มีรายการ แล้วก้อซื้อให้ตรงรายการ ก้อจะประหยัดไปได้มากทีเดียว เช่นราคาปกติชิ้นละ 5 เหรียญ บางทีจัดรายการเหลือชิ้นละ 1.5 อะไรทำนองนี้ และที่นี่ของที่จัดรายการก้อเป็นของดีเหมือนกัน..และสินค้าที่นี่ แบบคนละ brand ก้อจริง แต่คุณภาพกับราคาเค้าจะไม่แตกต่างมาก เราจึงไม่จำเป็นต้องติดที่ยี่ห้อเดียว ซื้อได้เหมือนกัน...และบางอันก้อมีสะสม air miles ด้วย ซึ่งพอสะสมถึงแต้มที่กำหนด ก้อนำไปแลกเป็น gift card ใช้แทนเงินสดได้อีก เพราะฉะนั้น เวลาื้จะซื้อของที่นี่ ยุ่นต้องวางแผนเลยหละ...ก้อทำให้เรารอบคอบมากขึ้น ดูสินค้ามากขึ้น...และก้อประหยัดเงินได้มากขึ้นด้วย...
เรียกว่าในความลำบาก ไม่สะดวกสบาย ก้อได้ให้บทเรียนหลายๆอย่างกับเรา.. นอกจากนี้ในแต่ละเดือน ปกติฮ่งจะซื้อตั๋วรถเมล์เป็นตั๋วเดือน ใบละ 73 เหรียญ ซึ่งถ้าเดือนไหนยุ่นคำนวณแล้วว่ายุ่นคงไม่ได้ออกนอกบ้านมากมาย และใช้รถเมล์ไม่เกิน 30 ครั้งในเดือนนั้น หมายความว่าถ้าซื้อตั๋วแบบเป็นเล่มๆละ 19 เหรียญ สามเล่มก้อ 57 เหรียญ ก้อจะซื้อแบบเป็นเล่มดีกว่า เราก้อจะประหยัดขึ้นมาอีก 16 เหรียญ ก้อเดือนนึงเกือบ 500 บาท คือที่นี่เล็กๆน้อยๆ รวมกันก้อคือมากสำหรับเราคนไทย เพราะค่าเงินไทยกับแคนาดาแตกต่างกันสามสิบเท่า...
และนี่ก้อเป็นสิ่งที่ดีสำหรับยุ่น เพราะปกติตอนอยู่บ้านเรา ไม่เคยคิดถึงรายละเอียดเหล่านี้เลย...ใช้เงินค่อนข้างฟุ่มเฟือย..ซื้ออะไรก้อไม่ค่อยคิด...แต่มาที่นี่แบบเราจะวู่วามไม่ได้..55555 ..ซึ่งยุ่นคิดว่าสิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้วินัยทางการเงินของตัวเราเองดีขึ้นมากๆ...และมีการยั้งคิดก่อนซื้อทุกครั้ง....
1cent เรียก Penny, 5 cents เรียก Nickel, 10 cents เรียก Dime, 25 cents เรียก Quarter, 1 dollar เรียก Loonie และ 2 dollars เรียก Toonie ที่นิยมใช้ก้อเป็น quarter loonie และ toonie แต่ที่ครอบครัวเราชอบและต้องเก็บมากหน่อยคือ quater และ loonie เพราะใช้ในการหยอดตู้ซักเสื้อ และหยอดรถ cart เวลาซื้อของมากๆ...
ส่วน bank note ก้อมี ใบละ 5 ,10, 20, 50 และ 100 เหรียญ แต่ที่นิยมใช้กันจะเป็น 5,10 และ 20 เหรียญ ถ้าใครเอาใบละ 50 หรือ 100 ออกมาใช้ เค้าจะต้องส่อง ตรวจว่าเป็นของปลอมมั้ย ก้อสมควรนะ เพราะถ้า 50 ก้อ 1500 บาทและ 100 ก้อประมาณ 3000 บาทของบ้านเรา...
ทีแรกยุ่นมาที่นี่ก้อแบบงงมากๆเลย...เราจะใช้ไอ้เหรียญเล็กๆเนี่ยเมื่อไร คือพวก penny nickle dime เนี่ย...แล้วฮ่งก้อแบบมีเหรียญทุกชนิดเลยนะ เก็บในกระป๋องมากๆๆๆๆเลย ต้องบอกว่าทุกชนิดจริงๆ เพราะฮ่งเค้าจะได้ทอนมา แล้วเค้าไม่ได้ใช้ เค้าก้อเก็บ ๆ แล้วก้อเก็บ...อย่างที่ไทยเรา สลึงกับห้าสิบจะน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหรียญบาทกับห้าบาท.. ก้อแบบใช้ง่ายมาก..
เวลาที่ไปซื้อของกัน ส่วนใหญ่เราก้อจะใช้บัตรเครดิต และเวลาไปทานข้าวในร้านอาหาร เค้าจะไม่รับเครดิต เค้าจะติดไว้เลยว่า cash only ซึ่งเราก้อมักจ่ายเป็นแบงค์ และก้อได้รับทอนเป็นเหรียญกลับมาอีก...เพราะฉะนั้น ยิ่งคิดก้อยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหรียญที่มากมายขนาดนั้น
ยุ่นก้อมานั่งแยกเหรียญทุกชนิดใส่ถุงไว้ ทั้ง 6 ชนิด รวมๆกันก้อเป็นมูลค่าสามสี่ร้อยเหรียญ คราวนี้ตอนไปshopping เช่นซื้อผักผลไม้ ในร้านชำนะ ซึ่งที่นี่จะมีร้านประเภทนี้มากมาย ยุ่นก้อเริ่มสังเกตุวิธีการจ่ายเงินของคนที่นี่ คือผู้หญิงนะ ทั้งวัยกลางคนและคนแก่ จะชอบใช้เหรียญจ่าย ผู้ชายไม่ค่อย เค้าจะใช้แบงค์กัน คราวนี้ก้อสังเกตุว่าเค้าจะนับเหรียญเล็กๆจ่ายกันตรงแคชเชียร์เลย เช่นซื้อผักอึม.... $ 4.87 เค้าก้อจะค่อยๆนับเหรียญเล็กๆนะแล้วจ่ายแคชเชียร์ ซึ่งคนที่คอยคิวก้อต้องคอยไป แคชเชียร์ก้อไม่ว่า น่ารักมาก.... เท่านั้นแหละ ยุ่นก้อเกิดไอเดียแล้วว่าเราจะใช้เหรียญเล็กๆที่เก็บพวกนี้อย่างไร..
กลับบ้านก้อเอาเหรียญที่แยกเนี่ย มาแยกใส่ถุงเล็ก และเวลาไปซื้อผัก ผลไม้ร้านของชำ ก้อจะหยิบเหรียญพวกนี้ขึ้นมาใช้ และเราก้อจะจ่ายได้ค่อนข้างเร็วด้วย คนหลังเราก้อไม่ต้องรอเรานานมาก เพราะเราแยกไว้แล้ว บางทีเจอแคชเชียร์ใจดี เค้ายังชมเลยว่า you are well organized! ยุ่นก้อยิ้ม..และขอบคุณเค้า จากนั้นไม่นาน ก้อสามารถเอาหรียญที่ฮ่งเก็บไว้ทั้งหมด นำมาใช้จนหมดเกลี้ยงเลย...ฮ่งยังชมเลยว่า ใช้หมดได้ไงเนี่ย...
สิ่งหนึ่งที่ยุ่นได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตที่นี่ก้อคือ การซื้อของเนี่ยต้องคำนวณก่อน...ยังไงหละ ตอนอยู่ไทยเป็นคนไม่เคยคิดคำนวณอะไรเลย คิดอยากซื้อก้อซื้อ ยี่ห้อนี้เราใช้ประจำ ก้อซื้อประจำ ไปห้างก้อไม่เคยสนใจดู promotion อันนี้ตอนอยู่ไทย...คิดว่าเพื่อนๆหลายๆคนก้อน่าจะเป็นเหมือนยุ่น คิดอยากซื้อก้อซื้อ และส่วนนึงก้ออาจเป็นเพราะตอนอยู่ไทย รายได้เราก้อพอใช้ได้ ใช้จ่ายได้ค่อนข้างสบาย...และสินค้าแต่ละ brand ก้อมีความแตกต่างกันมาก ราคาจึงแตกต่างกัน
แต่มาที่นี่ เราจะทำตัวเหมือนอยู่ไทย เราคงอยู่ที่นี่ลำบาก เพราะทุกอย่างค่าเงินเป็นแคนาเดี่ยน คูณ 30 ก้อต้องมีการคำนวณโดยอัตโนมัติก่อนซื้ออยู่แล้ว แรกๆนะจะหยิบจะซื้ออะไรเนี่ย ไม่กล้าจ่ายหมดเลย แบบคำนวณเป็นเงินไทยแล้ว มันแพงทุกอย่างเลย..
พออยู่ไปสักพักก้อเริ่มชิน แต่ก้อยังรู้สึกแพงนะ...นอกจากนี้เราเริ่มเรียนรู้จากพี่ๆคนไทยที่นี่ เพื่อนๆคนจีนที่มาอยู่ที่นี่ก่อนเรา เค้าก้อสอนวิธีคิด วิธีซื้อของให้เราใหม่ คือห้างที่นี่จะจัด promotion ทุกสัปดาห์ ทุกห้างมีหมด รายการจะสลับสับเปลี่ยนกันไป ฉะนั้นเราจะซื้ออะไร เราต้องดูว่าห้างไหนที่มีรายการ แล้วก้อซื้อให้ตรงรายการ ก้อจะประหยัดไปได้มากทีเดียว เช่นราคาปกติชิ้นละ 5 เหรียญ บางทีจัดรายการเหลือชิ้นละ 1.5 อะไรทำนองนี้ และที่นี่ของที่จัดรายการก้อเป็นของดีเหมือนกัน..และสินค้าที่นี่ แบบคนละ brand ก้อจริง แต่คุณภาพกับราคาเค้าจะไม่แตกต่างมาก เราจึงไม่จำเป็นต้องติดที่ยี่ห้อเดียว ซื้อได้เหมือนกัน...และบางอันก้อมีสะสม air miles ด้วย ซึ่งพอสะสมถึงแต้มที่กำหนด ก้อนำไปแลกเป็น gift card ใช้แทนเงินสดได้อีก เพราะฉะนั้น เวลาื้จะซื้อของที่นี่ ยุ่นต้องวางแผนเลยหละ...ก้อทำให้เรารอบคอบมากขึ้น ดูสินค้ามากขึ้น...และก้อประหยัดเงินได้มากขึ้นด้วย...
เรียกว่าในความลำบาก ไม่สะดวกสบาย ก้อได้ให้บทเรียนหลายๆอย่างกับเรา.. นอกจากนี้ในแต่ละเดือน ปกติฮ่งจะซื้อตั๋วรถเมล์เป็นตั๋วเดือน ใบละ 73 เหรียญ ซึ่งถ้าเดือนไหนยุ่นคำนวณแล้วว่ายุ่นคงไม่ได้ออกนอกบ้านมากมาย และใช้รถเมล์ไม่เกิน 30 ครั้งในเดือนนั้น หมายความว่าถ้าซื้อตั๋วแบบเป็นเล่มๆละ 19 เหรียญ สามเล่มก้อ 57 เหรียญ ก้อจะซื้อแบบเป็นเล่มดีกว่า เราก้อจะประหยัดขึ้นมาอีก 16 เหรียญ ก้อเดือนนึงเกือบ 500 บาท คือที่นี่เล็กๆน้อยๆ รวมกันก้อคือมากสำหรับเราคนไทย เพราะค่าเงินไทยกับแคนาดาแตกต่างกันสามสิบเท่า...
และนี่ก้อเป็นสิ่งที่ดีสำหรับยุ่น เพราะปกติตอนอยู่บ้านเรา ไม่เคยคิดถึงรายละเอียดเหล่านี้เลย...ใช้เงินค่อนข้างฟุ่มเฟือย..ซื้ออะไรก้อไม่ค่อยคิด...แต่มาที่นี่แบบเราจะวู่วามไม่ได้..55555 ..ซึ่งยุ่นคิดว่าสิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้วินัยทางการเงินของตัวเราเองดีขึ้นมากๆ...และมีการยั้งคิดก่อนซื้อทุกครั้ง....
Saturday, January 2, 2010
ในดีมีไม่ดี ในไม่ดีก้อมีดี
การต้องมาใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์ นอกจากจะมีความไม่สบายกายคืออาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนตอนอยู่บ้านเรา แต่ก้อมีข้อดีมากมาย ซึ่งตอนอยู่ไทยเราไม่มีโอกาสแบบนี้
อันแรกก้อคือเรื่องเวลากับครอบครัว เราสามคนพ่อแม่ลูกมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นมาก ตอนอยู่ไทยเหมือนต่างคนต่างอยู่ ตอนเช้าต้องรีบตื่นแต่เช้า แม่ลูกรีบๆอาบน้ำแต่งตัว ไปส่งยีนที่โยธินตั้งแต่หกโมงเช้า ก้อเป็นช่วงที่คุยได้ดีที่สุดคืออารมณ์จะดีทั้งคู่ แต่ก้อแป๊บเดียว
จากนั้นยุ่นก้อเข้าคุมองหรือบางทีก้อไปอยู่ที่บ้านอาม๊า เพราะออกมาแล้วก้อขี้เกียจขับรถกลับบ้าน แบบแถวนั้นรถติดมากๆเลย..ฮ่งก้ออยู่บ้าน ทำโน่นทำนี่ บางวันก้อเข้ามาช่วยที่คุมอง แต่ช่วงหลังที่ฮ่งไปแวนคูเวอร์แล้ว ยุ่นกับยีนก้อย้ายไปอยู่กับอาม๊าชั่วคราวเลย...
ตอนเย็นกว่าลูกจะกลับมาถึงสถานี BTS อ่่อนนุชก้อเกือบหกโมงครึ่ง บางวันก้อดึกกว่านั้น ออกไปรับรถก้อติด กว่าจะกลับถึงบ้านเอกไพลิน โน่นบางทีปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ลูกอยู่ในรถก้อฟังแต่เพลงวัยรุ่น บางทีก้อคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ไม่ค่อยคุยกับแม่ แม่ก้อเหนื่อย บางทีก้อขี้เกียจพูด..
ยิ่งเข้าบ้านกว่าจะกินข้าว ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัว เสร็จก้อแยกย้ายกันเข้านอน...ถ้ายิ่งวันที่ยุ่นต้องทำคุมอง คือให้ฮ่งเป็นคนไปรับ ก้อไม่รู้เป็นไง แต่พอยุ่นเลิกคุมองกลับบ้าน แบตเตอรี่ไม่มีเลย...ยิ่งไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น...ซึ่งจริงๆก้อรู้ว่าไม่ดีนะ..แต่บางทีมันไม่ไหวจริงๆ...หมดแรง..
แต่พอมาที่แวนคูเวอร์ ทุกคนสามารถตื่นได้ค่อนข้างสาย ยุ่นตื่นคนแรกเจ็ดโมงเช้า ขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าและกลางวันให้สองคนพ่อลูก..จากนั้นยีนตื่นเจ็ดครึ่ง ฮ่งตื่นแปดโมง เราได้ทานข้าวเช้ากันพร้อมหน้า อยู่ไทยลูกทานที่โรงเรียน แม่ทานบ้านอาม๊า พ่อทานที่บ้าน...แบบต่างคนต่างกินเลย..
จากนั้น ยีนก้อเดินไปโรงเรียน 15 นาทีก้อถึง ฮ่งก้อนั่งรถ Canada line แล้วก้อต่อรถเมล์ไปทำงานก้อประมาณ 40 นาที แต่แบบไม่เหนื่อย รถไม่ติด..สบายๆ ยุ่นก้อทำโน่นทำนี่ เสร็จประมาณสิบเอ็ดครึ่ง ทานข้าวแล้วก้อไปเรียนหนังสือ นั่งรถก้อห้านาทีถึงโรงเรียน แบบชีวิตไม่รีบเร่ง ไม่เครียด สบายๆ นี่ก้อเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเรา ทุกคนมีเวลาให้กันมากขึ้น และคุยหัวเราะร่าเริงกันทุกวัน..ยีนยังพูดเลยว่า พ่อ แม่ ตั้งแต่เรามาที่นี่ เราสามคนสนิทกันมากขึ้นเนอะ??
ตอนเย็นทุกวัน แม้กระทั้งวันที่ยุ่นทำคุมองคืออังคาร พฤหัส ศุกร์ ยุ่นก้อจะกลับมาทำกับข้าวให้ทุกคนทานได้ แบบมันไม่เหนื่อยมาก หรือถ้าวันไหนกลับมาช้าหน่อย ฮ่งก้อจะทำกับข้าวเตรียมไว้แล้ว ครอบครัวเรามีเวลาทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าวันละสองมื้อ ถ้าอยู่ไทยรู้สึกจะไม่ค่อยได้ทานด้วยกัน นอกจากวันอาทิตย์เย็นมื้อเดียว...หรือช่วงยีนปิดเทอม..
นอกจากนี้..สิ่งที่ดีอีกอย่างคือยุ่นซึ่งทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น ก้อต้องทำเป็นให้ได้ อยู่ไทยก้อมีทำบ้างแต่ไม่ได้เป็นคนชอบทำกับข้าว เราก้อซื้อทานบ้าง ทานนอกบ้านบ้าง แต่อยู่ที่นี่เราจะซื้อทานก้อไม่ได้ เค้าไม่ได้ขายกันมากมายเหมือนบ้านเรา ราคาก้อไม่ถูก บางทีก้อไม่ถูกปาก..ซื้อมากินไม่หมดเสียดายตังส์ จะไปทานนอกบ้านบ่อยๆก้อไม่ได้อีก อย่างน้อยธรรมดาๆของที่นี่ก้อตกคนละ 10 เหรียญต่อมื้อเวลาทานข้างนอก.. แล้วก้อไม่ใช่ว่าถูกปากเรามาก....ทานบ่อยๆมีหวัง ติดลบแน่ๆเลย..
ยุ่นก้อทำอาหารพื้นๆที่ตัวเองทำประจำเช่น ข้าวผัดอเมริกัน เมนูโปรดของยีน...มาที่นี่ก้อทำสปาเก็ตตี้เป็นอีกอย่าง...ไม่ยากอย่างที่คิด...นอกจากนี้ ลาดหน้าเอย ผัดซี่อิ๊วเอย ก๋วยเตี๋ยวหมูเอย ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น ทำจากไม่อร่อยก้อค่อยๆอร่อยขึ้นเรื่อยๆ แบบมันเป็น skill ทำเรื่อยๆก้ออร่อยจนได้...5555
อาหารบางอย่างอยู่ไทยไม่เคยกินเลย ผัดไท เพราะไปซื้อมันจะมันมาก ยุ่นจะกินไม่ได้ แต่มาที่นี่ฮ่งอยากกิน ก้อเข้าไปดูใน net หัดทำจนสองคนพ่อลูกบอกแม่ทำอร่อยใช้ได้เลย...แม่เนี่ย ก้อยิ้มกว้างเลย..
หรืออย่างลาบหมูเนี่ย ปกติอยู่ไทยยุ่นก้อไม่กิน แต่ยีนชอบมาก พี่สะใภ้ก้อทำหลายรอบก้อไม่เคยสนใจ พอมาที่นี่ ลูกอยากกิน ก้อต้องศึกษาหัดทำ ก้อทำจนพอกินได้เหมือนกัน....แต่ที่ตัวเองชอบก้อคือส้มตำ กลับไทยครั้งนี้เลยไปซื้อเครื่องมือที่ขูดมะละกอ พร้อมครกกับสาก มาเพื่องานนี้เลย ก้ออร่อยสะใจตัวเองไปเลย...เสียดายอย่างเดียวไม่รุ้จะหาปูที่ไหน เพราะยุ่นชอบตำปูมากๆเลย..
ปีที่แล้วตอนยีนอยู่เกรดสิบ ปรกกฏมีเพื่อนฮ่องกงคนนึงของเค้าชื่อ Kennett ได้ลองชิมอาหารกลางวันของยีน เกิดติดใจ คือยีนเนี่ยจะเป็นเด็กเรื่องมากด้วย กล่องข้าวของยีนจะไม่ได้เป็นกล่องทับเปอร์แวร์แบบคนอื่น เค้าอยากได้กล่องข้าวที่เก็บความร้อนได้ แบบ Thermos พ่อกับแม่ก้อไปเสาะแสวงหาให้จนได้...เพราะฉะนั้นอาหารกลางวันของยีนจึงร้อนแม้ว่าจะเตรียมให้ตอนเช้า เค้าจะกินอย่างเอร้ดอร่อยในตอนกลางวัน..
ปรากฏหลังจาก Kennett ได้ชิมข้าวกลางวันของยีน เกิดติดใจบอกยีนให้มาบอกแม่ว่าจะขอกินอาหารกลางวันด้วย โดยให้แม่ทำให้อีกชุดนึง และคิดค่าอาหารกลางวันด้วย ตอนนั้นยุ่นก้อบ้าจี้รวมทั้งบ้ายอ ก้อเลยทำไปให้ Kennett กินอยู่พักนึง ยีนคิดสตางค์เพื่อนด้วยมื้อนึง 3 เหรียญหรือไงเนี่ย...อาทิตย์หนึ่งก้อ 15 เหรียญ พ่อก้อไม่ต้องให้เงินค่าขนมลูกเลยช่วงนั้น...
แต่พอทำได้สักสองสามอาทิตย์ ยุ่นเองรู้สึกไม่อยากทำ เพราะต้องเตรียมอาหารมากขึ้น...เวลาบรรจุก้อค่อนข้างลำบาก และเกรงว่าที่เราทำให้เค้ากับราคาที่คิดนะ ไม่รู้จะโอเคมั้ย...แบบไม่สบายใจ ก้อเลยบอกยีนว่า ขอเลิกทำ...แต่ Kennett ก้อบอกว่าโอเค เค้าอยากทาน ไม่แพง ยุ่นก้อบอกว่าอยากทานไว้มาทานที่บ้าน ตอนเย็นหรือวันหยุดก้อได้ แม่จะทำให้ทาน ไม่คิดสตางค์ด้วย..
ทำให้ยุ่นเข้าใจสิ่งที่เคยได้ยินมาว่า "ในดีมีไม่ดี ในไม่ดีมีดี" นี่ก้อคือสัจจธรรมในชีวิตคนเราจริงๆ....เราคงไม่สามารถที่จะได้อะไรทุกอย่าง สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ใจเรามากกว่าว่า เราจะพอใจในสิ่งที่เรามีแค่ไหน....นั่นเอง..
อันแรกก้อคือเรื่องเวลากับครอบครัว เราสามคนพ่อแม่ลูกมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นมาก ตอนอยู่ไทยเหมือนต่างคนต่างอยู่ ตอนเช้าต้องรีบตื่นแต่เช้า แม่ลูกรีบๆอาบน้ำแต่งตัว ไปส่งยีนที่โยธินตั้งแต่หกโมงเช้า ก้อเป็นช่วงที่คุยได้ดีที่สุดคืออารมณ์จะดีทั้งคู่ แต่ก้อแป๊บเดียว
จากนั้นยุ่นก้อเข้าคุมองหรือบางทีก้อไปอยู่ที่บ้านอาม๊า เพราะออกมาแล้วก้อขี้เกียจขับรถกลับบ้าน แบบแถวนั้นรถติดมากๆเลย..ฮ่งก้ออยู่บ้าน ทำโน่นทำนี่ บางวันก้อเข้ามาช่วยที่คุมอง แต่ช่วงหลังที่ฮ่งไปแวนคูเวอร์แล้ว ยุ่นกับยีนก้อย้ายไปอยู่กับอาม๊าชั่วคราวเลย...
ตอนเย็นกว่าลูกจะกลับมาถึงสถานี BTS อ่่อนนุชก้อเกือบหกโมงครึ่ง บางวันก้อดึกกว่านั้น ออกไปรับรถก้อติด กว่าจะกลับถึงบ้านเอกไพลิน โน่นบางทีปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ลูกอยู่ในรถก้อฟังแต่เพลงวัยรุ่น บางทีก้อคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ไม่ค่อยคุยกับแม่ แม่ก้อเหนื่อย บางทีก้อขี้เกียจพูด..
ยิ่งเข้าบ้านกว่าจะกินข้าว ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัว เสร็จก้อแยกย้ายกันเข้านอน...ถ้ายิ่งวันที่ยุ่นต้องทำคุมอง คือให้ฮ่งเป็นคนไปรับ ก้อไม่รู้เป็นไง แต่พอยุ่นเลิกคุมองกลับบ้าน แบตเตอรี่ไม่มีเลย...ยิ่งไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น...ซึ่งจริงๆก้อรู้ว่าไม่ดีนะ..แต่บางทีมันไม่ไหวจริงๆ...หมดแรง..
แต่พอมาที่แวนคูเวอร์ ทุกคนสามารถตื่นได้ค่อนข้างสาย ยุ่นตื่นคนแรกเจ็ดโมงเช้า ขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าและกลางวันให้สองคนพ่อลูก..จากนั้นยีนตื่นเจ็ดครึ่ง ฮ่งตื่นแปดโมง เราได้ทานข้าวเช้ากันพร้อมหน้า อยู่ไทยลูกทานที่โรงเรียน แม่ทานบ้านอาม๊า พ่อทานที่บ้าน...แบบต่างคนต่างกินเลย..
จากนั้น ยีนก้อเดินไปโรงเรียน 15 นาทีก้อถึง ฮ่งก้อนั่งรถ Canada line แล้วก้อต่อรถเมล์ไปทำงานก้อประมาณ 40 นาที แต่แบบไม่เหนื่อย รถไม่ติด..สบายๆ ยุ่นก้อทำโน่นทำนี่ เสร็จประมาณสิบเอ็ดครึ่ง ทานข้าวแล้วก้อไปเรียนหนังสือ นั่งรถก้อห้านาทีถึงโรงเรียน แบบชีวิตไม่รีบเร่ง ไม่เครียด สบายๆ นี่ก้อเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเรา ทุกคนมีเวลาให้กันมากขึ้น และคุยหัวเราะร่าเริงกันทุกวัน..ยีนยังพูดเลยว่า พ่อ แม่ ตั้งแต่เรามาที่นี่ เราสามคนสนิทกันมากขึ้นเนอะ??
ตอนเย็นทุกวัน แม้กระทั้งวันที่ยุ่นทำคุมองคืออังคาร พฤหัส ศุกร์ ยุ่นก้อจะกลับมาทำกับข้าวให้ทุกคนทานได้ แบบมันไม่เหนื่อยมาก หรือถ้าวันไหนกลับมาช้าหน่อย ฮ่งก้อจะทำกับข้าวเตรียมไว้แล้ว ครอบครัวเรามีเวลาทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าวันละสองมื้อ ถ้าอยู่ไทยรู้สึกจะไม่ค่อยได้ทานด้วยกัน นอกจากวันอาทิตย์เย็นมื้อเดียว...หรือช่วงยีนปิดเทอม..
นอกจากนี้..สิ่งที่ดีอีกอย่างคือยุ่นซึ่งทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น ก้อต้องทำเป็นให้ได้ อยู่ไทยก้อมีทำบ้างแต่ไม่ได้เป็นคนชอบทำกับข้าว เราก้อซื้อทานบ้าง ทานนอกบ้านบ้าง แต่อยู่ที่นี่เราจะซื้อทานก้อไม่ได้ เค้าไม่ได้ขายกันมากมายเหมือนบ้านเรา ราคาก้อไม่ถูก บางทีก้อไม่ถูกปาก..ซื้อมากินไม่หมดเสียดายตังส์ จะไปทานนอกบ้านบ่อยๆก้อไม่ได้อีก อย่างน้อยธรรมดาๆของที่นี่ก้อตกคนละ 10 เหรียญต่อมื้อเวลาทานข้างนอก.. แล้วก้อไม่ใช่ว่าถูกปากเรามาก....ทานบ่อยๆมีหวัง ติดลบแน่ๆเลย..
ยุ่นก้อทำอาหารพื้นๆที่ตัวเองทำประจำเช่น ข้าวผัดอเมริกัน เมนูโปรดของยีน...มาที่นี่ก้อทำสปาเก็ตตี้เป็นอีกอย่าง...ไม่ยากอย่างที่คิด...นอกจากนี้ ลาดหน้าเอย ผัดซี่อิ๊วเอย ก๋วยเตี๋ยวหมูเอย ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น ทำจากไม่อร่อยก้อค่อยๆอร่อยขึ้นเรื่อยๆ แบบมันเป็น skill ทำเรื่อยๆก้ออร่อยจนได้...5555
อาหารบางอย่างอยู่ไทยไม่เคยกินเลย ผัดไท เพราะไปซื้อมันจะมันมาก ยุ่นจะกินไม่ได้ แต่มาที่นี่ฮ่งอยากกิน ก้อเข้าไปดูใน net หัดทำจนสองคนพ่อลูกบอกแม่ทำอร่อยใช้ได้เลย...แม่เนี่ย ก้อยิ้มกว้างเลย..
หรืออย่างลาบหมูเนี่ย ปกติอยู่ไทยยุ่นก้อไม่กิน แต่ยีนชอบมาก พี่สะใภ้ก้อทำหลายรอบก้อไม่เคยสนใจ พอมาที่นี่ ลูกอยากกิน ก้อต้องศึกษาหัดทำ ก้อทำจนพอกินได้เหมือนกัน....แต่ที่ตัวเองชอบก้อคือส้มตำ กลับไทยครั้งนี้เลยไปซื้อเครื่องมือที่ขูดมะละกอ พร้อมครกกับสาก มาเพื่องานนี้เลย ก้ออร่อยสะใจตัวเองไปเลย...เสียดายอย่างเดียวไม่รุ้จะหาปูที่ไหน เพราะยุ่นชอบตำปูมากๆเลย..
ปีที่แล้วตอนยีนอยู่เกรดสิบ ปรกกฏมีเพื่อนฮ่องกงคนนึงของเค้าชื่อ Kennett ได้ลองชิมอาหารกลางวันของยีน เกิดติดใจ คือยีนเนี่ยจะเป็นเด็กเรื่องมากด้วย กล่องข้าวของยีนจะไม่ได้เป็นกล่องทับเปอร์แวร์แบบคนอื่น เค้าอยากได้กล่องข้าวที่เก็บความร้อนได้ แบบ Thermos พ่อกับแม่ก้อไปเสาะแสวงหาให้จนได้...เพราะฉะนั้นอาหารกลางวันของยีนจึงร้อนแม้ว่าจะเตรียมให้ตอนเช้า เค้าจะกินอย่างเอร้ดอร่อยในตอนกลางวัน..
ปรากฏหลังจาก Kennett ได้ชิมข้าวกลางวันของยีน เกิดติดใจบอกยีนให้มาบอกแม่ว่าจะขอกินอาหารกลางวันด้วย โดยให้แม่ทำให้อีกชุดนึง และคิดค่าอาหารกลางวันด้วย ตอนนั้นยุ่นก้อบ้าจี้รวมทั้งบ้ายอ ก้อเลยทำไปให้ Kennett กินอยู่พักนึง ยีนคิดสตางค์เพื่อนด้วยมื้อนึง 3 เหรียญหรือไงเนี่ย...อาทิตย์หนึ่งก้อ 15 เหรียญ พ่อก้อไม่ต้องให้เงินค่าขนมลูกเลยช่วงนั้น...
แต่พอทำได้สักสองสามอาทิตย์ ยุ่นเองรู้สึกไม่อยากทำ เพราะต้องเตรียมอาหารมากขึ้น...เวลาบรรจุก้อค่อนข้างลำบาก และเกรงว่าที่เราทำให้เค้ากับราคาที่คิดนะ ไม่รู้จะโอเคมั้ย...แบบไม่สบายใจ ก้อเลยบอกยีนว่า ขอเลิกทำ...แต่ Kennett ก้อบอกว่าโอเค เค้าอยากทาน ไม่แพง ยุ่นก้อบอกว่าอยากทานไว้มาทานที่บ้าน ตอนเย็นหรือวันหยุดก้อได้ แม่จะทำให้ทาน ไม่คิดสตางค์ด้วย..
ทำให้ยุ่นเข้าใจสิ่งที่เคยได้ยินมาว่า "ในดีมีไม่ดี ในไม่ดีมีดี" นี่ก้อคือสัจจธรรมในชีวิตคนเราจริงๆ....เราคงไม่สามารถที่จะได้อะไรทุกอย่าง สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ใจเรามากกว่าว่า เราจะพอใจในสิ่งที่เรามีแค่ไหน....นั่นเอง..
Subscribe to:
Posts (Atom)