Wednesday, June 30, 2010

เล็กๆน้อยๆ ตอนเสริม

อึม..มานั่งคิดถึงตอนนั้นที่เพิ่งมาที่แวนคูเวอร์ไม่นาน ก้อไปสมัครทำงานกับมิสติง และได้งานประมาณกุมภาพันธ์ 09 รู้สึกเพิ่งมาประมาณสี่เดือนกว่าเอง..ภาษาอังกฤษตอนนั้น เรียกว่าเข้าขั้นใช้การยังไม่ได้ หูเนี่ย..ยังไม่กระดิกเลย คือฟังเค้าพูดเนี่ย รู้เรื่องแค่ 40-50% เอง ส่วนเรื่องการพูด...อึม..น้อยถึงน้อยมาก..

บังเอิญตอนนั้นน่าจะมีนารึไงเนี่ย ไม่แน่ใจ แต่ประมาณช่วงนั้น..ทางบริษัทคุมองก้อมีจัดอบรมผู้ช่วยเด็กเล็ก..การดูแลเด็กเล็ก ทั้งวิชาเลขและอังกฤษ...มิสติงก้อถามยุ่นว่าอยากไปมั้ย...ยุ่นก้ออยากอยู่แล้ว..เพราะอยากรุ้ว่าเค้าสอนอย่างไร..และมิสก้อให้ Dorris กับเด็กผู้ช่วยรู้สึกจะอยู่ high school นะ..เพิ่งเข้ามาไม่นานไปด้วย ตกลงไปกันสี่คน รวมมิสติงด้วย..

บริษัทคุมองที่โน้นกับบ้านเรา ไม่เหมือนกันเลยนะ..สถานที่ของเรากว้างขวางใหญ่โต พนักงานคุมองเพียบ...เดี๋ยวนี้คงมีเป็นร้อย ที่จอดรถคุมองก้อ provide ให้...แต่ที่แวนคูเวอร์...สำนักงานเค้าก้อเล็กๆนะ..แบบห้องไม่ใหญ่ อึม...ยุ่นว่าน่าจะหนึ่งในสี่ของสำนักงานคุมองไทยแลนด์ตอนที่อยู่ SCB นะ...พนักงานทั้งหมดรู้สึก 8-9 คน แต่วันนั้นที่มา train สองคน ก้อเห็นแค่สองคน ที่จอดรถมีให้ศูนย์ละหนึ่งที่ พนักงานเคุมองต้องลงไปรอหน้าตึก เพื่อให้บัตรจอดรถ ไม่มีคือจอดไม่ได้ เสียสตางค์ แพงมั่กๆ... และเค้าก้อต้องเป็นคนรับพวกเราขึ้นมาที่บริษัทด้วย แบบคนละเรื่องกับบ้านเราเลย..

ยุ่นคิดว่าคงเนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆที่ค่อนข้างสูงของที่นี่ ทุกอย่างจึงมีการคำนวณอย่างรอบคอบ..เราก้อได้เห็นอีกภาพหนึ่งนะ ซึ่งก้อยิ่งทำให้เรารู้ว่าเมืองไทยเนี่ย น่าอยู่กว่ากันมากเลย..

มาถึงตอน train หละ..ก่อนอื่น..เค้าก้อแจกข้อสอบเลย..ยุ่นก้อคิด สอบอะไรวะเนี่ย..เพิ่งมาทำงานเอง..ขอโทษ ข้อสอบไม่ได้ให้แสดงความคิดเห็นนะ..จริงจังเลยแหละ...ข้อสอบมีทั้งวิชาเลขและอังกฤษรวมกัน เป็นแนวถามว่าแบบฝึกหัดชุดนั้นชุดนี้เป็นเนื้อหาอะไร และการดูแลเด็กเล็ก..และแนะนำผู้ปกครองอย่างไร

ข้อสอบสองหน้าเต็ม..ภาษาอังกฤษล้วนๆ...5555 และเค้าจับเวลาด้วย..คิดดู จะอ่านทันได้ไง อ่านเสร็จก้อต้องคิดกลับเป็นไทย ต้องคิดอีกว่าข้อไหนถูก..และยิ่งเจอคำถามของคุมองอังกฤษ reading ที่แคนาดา ก้อคนละ version กับบ้านเรา..ก้อไม่ต้องพูดถึงผลเลย..ทำไม่ทัน หน้าแรกยังทำไม่ถึงครึ่งเลย เค้าก้อเก็บกระดาษคำตอบแล้ว...

ก้อเรียกว่า...ทำให้เรางง และรู้ว่าอังกฤษเรายังใช้การไม่ได้จริงๆ...คิดในใจ งานนี้ต้องปรับหนักเลย..

หลังจากนั้นเค้าก้อเริ่มสอนเกี่ยวกับแบบฝึกหัดคุมองโดยเริ่มที่เลขก่อน..ซึ่งยุ่นก้อค่อนข้างโอเค เพราะเหมือนบ้านเราทุกประการ..จากนั้นก้อตามด้วย reading อันนี้ จะงงมาก..เพราะเพิ่งมาทำเดือนกว่า และไม่เคยเห็นแบบฝึกหัดเค้าเลย..คิดว่าน่าจะคล้ายกัน แต่ก้อไม่เหมือนกันนะ...ช่วงเรียนคุมองอังกฤษก้อพอได้ไอเดีย แต่นึกแบบฝึกหัดไม่ออกไง..ก้อจำแต่หลักๆไว้ก่อน

เสร็จ...สอนเสร็จ เค้ามีเล่นเกมส์...เกมส์ก้อเป็นคำถามเกี่ยวกับบทเรียนทั้งน้าน...เค้าจะบอกว่าจะเป็นการวนตอบ เช่นเริ่มจากกลุ่มหนึ่ง สอง สามไป...พอคำถามขึ้น ก้อเป็นสิทธิ์ของกลุ่มนั้นก่อน ถ้าไม่ได้ กลุ่มอื่นมีสิทธิ์ตอบ ดูว่าใครยกมือก่อน...แล้วก้อเก็บสะสมคะแนน..


กลุ่มเราก้อยุ่น เพิ่งมาเดือนกว่า แล้วก้อDorris เป็นคนฮ่องกงมาอยุ่ที่นี่เกือบยี่สิบปี แต่ภาษาอังกฤษ เค้าไม่ดีไง เค้าใช้กวางตุ้งส่วนใหญ่..อีกคนก้อเด็กนักเรียนเพิ่งมาทำคุมอง..สามคนอยู่ทีมเดียวกัน

พอคำถามขึ้น...เค้าก้ออ่านให้ฟังนะ..แต่เราก้อต้องอ่านเองจริงมั้ย เพราะเราฟังเค้าไม่ทันหรอก..อ่านเอง กว่าจะแปล..ช้ามาก..เวลาคำถามมาอยู่ที่กลุ่มเรา..รู้สึกกดดันมากเลย...เราตอบช้าสุด..แล้วดันตอบผิดอีก..55555

เสร็จ..เวลาเป็นของกลุ่มอื่น..พอเค้าอ่านคำถามจบ..มันตอบเลย..อะไรวะเนี่ย..ฉันยังแปลได้แค่นิดเดียวเอง...พวกคุณก้อเล่นตอบแล้ว...เชื่อมั้ย...อ่านยังไม่ทันเลย อย่าพูดถึงคิด...แล้วก้อทีมเราสามคน คนที่ตอบก้อมียุ่นคนเดียว...อีกสองคนเค้าก้อบอกเค้าไม่รู้ เด็ก high school ภาษาอังกฤษเค้าดีกว่าเรา แต่เค้าไม่รู้เรื่องไง...เค้าตรวจงานอย่างเดียว...ผลปรากฎทีมเราแพ้ย่อยยับ...ก้ออายเหมือนกันนะ..แต่ก้อต้องยอมรับ...

มิสติงก้อดูหงุดหงิดนะ..ว่าทำไมพวกเราตอบไม่ได้ ไม่ทันเค้า ก้อดูทีมเรา..แต่ละคน รู้งี้ส่ง Jessica Erica Lisa มา รับรอง ชนะแน่ๆ...

พอเล่นเกมส์เสร็จเค้าก้อแจกรางวัล แล้วก้อเอาข้อสอบชุดแรกมาให้ทำอีก..ยุ่นก้อยังคงทำไม่ได้อีกตามเคย..เพราะก้อด้วยเหตุผลเดิม..ทำไม่ทัน...และงานนี้เค้าไม่ได้ให้สอบเปล่าๆ เค้ามีว่าถ้าสอบผ่าน 80% จะให้ใบผ่านการอบรมคุมองเด็กเล็ก...ยุ่นก้อไม่ได้ตามเคย..แต่ก้อสามารถสอบซ่อมได้ ทาง online นะ...แต่ยุ่นก้อเปิดเข้าไม่ได้ ไม่รู้ทำไม..ก้อเลยไม่ได้สอบซะที แต่ก้อดีเหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่าจะสอบผ่านมั้ยเนี่ย ?!?

จากวันนั้น ทำให้ยุ่นรู้ว่าเราต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกมากมาย..นี่คิดเล่นๆนะ..แต่มันก้อคือความจริง ขนาดเราจบปริญญาตรีเภสัชจุฬามานะเนี่ย...เรายังใช้การได้แค่นี้ แปลว่าภาษาอังกฤษบ้านเราเนี่ย...จะสู้กับคนอื่นในโลกใบนี้เนี่ย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เราต้องทำการบ้านกันอีกเยอะเลย...แต่..ก้อไม่แน่นะ..เป็นคนไทยคนอื่นอาจดีกว่ายุ่น...คือภาษาอังกฤษยุ่นก้อไม่ถือว่าดีนะ..ก้อให้คะแนนตัวเองก้อปานกลางเท่านั้น...หมายถึงว่ามาตรฐานที่ไทยนะ..แต่ถ้าที่นี่ แคนาดา อยู่ในขั้นต้องปรับปรุงอย่างแรง..

กลับจากการอบรมครั้งนั้น..ก้อมาคิดว่าทำไงดี ก้อคงต้องเริ่มจากการฟังมากๆก่อน..ก้อเลยเริ่มดูรายการทีวี และก้อเริ่มดูเกมส์โชว์ที่มีคำถาม...เรียกว่าดูจนช่วงหลัง...ฟังเค้าจบปั๊บ พยายามตอบให้ได้ทันที แบบเหมือนฟังแล้วเข้าใจเลยนะ..คือถ้าเป็นภาษาไทย มัน auto ใช่มะ...แต่อังกฤษ มันต้องมีเวลาคิด..ก้อพยายามฟังและให้เข้าใจแบบ auto ให้ได้...ซึ่งทุกวันนี้ก้อดีขึ้นนะ..แต่ก้อคงไม่เร็วเหมือนคนที่นี่อย่างแน่นอน...

และนี่ก้อเป็นเรื่องขำๆ..ที่เวลาเจอตอนนั้น มันขำไม่ออกนะ...ได้แต่..งง..อึ้ง...แล้วก้ออึดอัดมากเลย...

Friday, June 25, 2010

เล็กๆน้อยๆ

นับเวลาที่ยุ่นได้มาอยู่ที่แคนาดาเนี่ย ก้อประมาณปีครึ่งได้แล้ว อึม..เวลาก้อผ่านไปเร็วเหมือนกันนะเนี่ย...นึกถึงช่วงแรกๆที่เข้ามา ยุ่นจะมีปัญหาเรื่องภาษาค่อนข้างมาก แต่อยู่มาอยู่ไป มันก้อค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ..

ทีแรกมา...การฟังกับการพูดเนี่ยมีปัญหามากๆ ก่อนมาที่นี่ ก้อมีเด็กนักเรียนเคยถามยุ่นว่า ครูยุ่นคิดว่าอะไรจะเป็นปัญหาในการสื่อสาร เราก้อเกิดมาไม่เคยมาเรียนหรืออยู่เมืองนอก..เคยแค่เที่ยวแป๊บๆ เราก้อบอกครูยุ่นว่าน่าจะเรื่องการฟังนะ...

แต่พอเอาเข้าจริง ฟังกับพูด. สองทักษะ แบบบางทีอยากพูดมากเลย แต่จะพูดไงดีเนี่ย..ก้ออึดอัดพอควรนะในช่วงแรก....แต่ฟังเนี่ยคือสำคัญอันดับแรก เพราะถ้าฟังเค้าไม่ออก ก้อต่อไม่ติดแล้ว

ยุ่นก้อแก้ปัญหาโดยดูทีวี ดูเยอะๆ 5555+ ดูข่าว ดูหนังและที่สำคัญคือเป็นคนชอบดูเกมส์โชว์...ยีนยังบอกเลยแม่เนี่ย..ติดเกมส์โชว์..เรียกว่าถ้ากลับไทย ใครจ้างไปทำเกมส์โชว์เนี่ย ไอเดียบรรเจิดเลยแหละ...

สาเหตุที่ชอบดูเพราะ เค้าจะใช้ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน...ซึ่งเราต้องได้ใช้ ได้พูด..เค้ามีการทักทายปราศรัย นอกจากนี้เกมส์โชว์ที่นี่ แบบมีเล่นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ถามคำถามต่างๆ ที่สำคัญเค้าพูดช้า ชัดเจน แลเค้าเป็นเจ้าของภาษา ทำให้เราได้หัดฟังประโยค แล้วก้อได้ศัพท์ และก้อเพลิดเพลินเพราะเราก้อคิดคำตอบไปด้วย...ยุ่นว่าอันนี้ทำให้ทักษะการฟังของตัวเราเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด...แล้วก้อมีความรู้รอบเอวมากขึ้นด้วย...เพราะเราจะเรียนรู้ culture ของเค้าจากการพูดคุยธรรมดาๆในชีวิตประจำวันของเค้านั่นแหละ

ขณะที่ดูเนี่ย...ถ้าประโยคไหนที่เราคิดว่าดี เราน่าจะได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก้อจะนั่งพูดซ้ำๆ เพื่อให้จำได้. ประโยคไหนไม่เข้าใจ ก้อจดไว้ เวลาเรียนกับ Ian ก้อไปถาม หรือบางทีก้อไปถามครูผู้ช่วยพวกเด็กๆนักเรียนนะ ...เพราะบางอันที่เค้าใช้ เป็นแสลง เป็น idiom ซึ่งก้อทำให้เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้...

อีกเรื่องที่เป็นเรื่องถกเถียงและสงสัยกันในครอบครัวเราก้อคือ ยีนบอกว่า แม่เชื่อมะ ครูที่นี่นะ..เค้าฟังภาษาอังกฤษของคนที่ไม่ได้เกิดที่นี่ได้แทบทั้งนั้น ครูที่นี่เก่งเนอะ..ฟังรู้เรื่องหมดเลย ได้ไง??? .ยุ่นก้อสังเกตุ...เป็นอย่างที่ยีนพูดจริงๆ ยุ่นเนี่ยจะเห็นชัดกว่ายีน เพราะยีนอยู่ในโรงเรียน เรียกว่านักเรียนส่วนใหญ่จะพูดอังกฤษกันแบบเป็นไฟ...อาจมีเล็กน้อยที่มาเรียนจากที่อื่น แต่ครูก้อเข้าใจในสิ่งที่เด็กพวกนี้พูด ทั้งที่สำเนียงการออกเสียงจะไม่เหมือนปกติ

แต่ยุ่นสิ เรียนที่ school board หรือเรียนกับ Ian นักเรียนที่เรียนด้วยก้อแบบเรา immigrant ทั้งน้าน จีนก้อพูดอังกฤษแบบสำเนียงจีน ญี่ปุ่นก้ออีกอย่าง รัสเซียก้อฟังยาก แขกก้อแบบแนวแขก เรียกว่าเวลา Tom ให้อ่าน essay ที่ตัวเองแต่ง ยุ่นเนี่ย..ฟังของคนอื่นไม่รู้เรื่องเลย...หรือเวลาเค้าให้อ่านภาษาอังกฤษในห้อง ถ้าเป็นชาติอื่นอ่านนะ ยุ่นก้ออ่านในใจไม่รู้เรื่องเหมือนกัน...แต่ทอม..ครูที่สอน เค้าเข้าใจพวกเรา..comment ได้เป็นฉากๆ...ทำได้ไงเนี่ย...

แบบ..ทีแรกก้อคิดว่า ทำไมอังกฤษเราเนี่ยอ่อนจัง..ฟังเค้าไม่ออกเลย..ปรากฏคุยกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ รัสเซียเค้าก้อบอกเค้าไม่รู้เรื่อง แต่ก่อนเรียนกับ Iku เค้าก้อบอกเค้าก้อไม่รู้เรื่อง..55555 และวันก่อน Peina เพื่อนคนจีนโทรมาหา เค้าพูดกับยีน ยีนก้อไม่เข้าใจที่เค้าพูดเลย..ยีนก้อแซว..แม่ ทำไมแม่คบเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษแบบนี้อะ?...คุยกันรู้เรื่องเหรอ...เราก้อขำ..ตอบไปว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง..แต่พอดีไม่มีฝรั่งให้คบ...เลยต้องคบเอเชียกันเอง...

แต่...ยุ่นมานั่งคิด...เลยเริ่มถึงบางอ้อ...เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น...ในเรื่องของภาษาที่เราใช้สื่อสารกัน..

ก้อคิดเหมือนว่าถ้าเรา..เป็นคนไทย เวลาเราฟังแขกพูดภาษาไทย คนจีนพูดไทย หรือพม่าพูดไทย แบบพวกเค้าก้อพูดไม่ชัด แต่เราก้อพอเข้าใจ เดาได้ิ เพราะเราเป็นเจ้าของภาษา ก้อคงเหมือนฝรั่งเค้าเป็นเจ้าของภาษา พอเค้าฟังเรา เค้าคงพอเดาได้ แต่ถ้าออก pronunciation ผิดเนี่ย หรือ stress ผิดเนี่ย เค้าจะงงไปเลย เราต้องสะกดให้เค้า แล้วเค้าจะแก้การอ่านคำนั้นของเราเลย...

และเวลาฟังเจ้าของภาษาคือฝรั่งพูดเนี่ย จะดีที่สุด คือมันฟังได้มากสุด..คือเค้าพูดชัดสุดไง..แต่ต้องพูดไม่เร็วมากนะ..ถ้าเร็วเกิน ก้อจับไม่ทันอีก...

นี่ก้อเป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆในเรื่องภาษา...เวลาฟังแบบนี้ก้อดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เอาเข้าจริงก้อใช้เวลาในการเรียนรู้ แบบไงอะ...คือภาษาเนี่ย ถ้าเราได้ฝึกฝนได้พูดได้ฟังทุกๆวัน มันก้อต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือบางทีเราไม่มีคนพูดด้วยไง...ฟังนะหาได้ จากทีวี ยืมวีดีโอ ซีดีจากห้องสมุดก้อได้ แต่พูดเนี่ย จะไปหาใครมาพูดด้วย นอกจากคุณได้ทำงาน ซึ่งก้อไม่หมูอีก สำหรับที่นี่...

ไอ้ที่จะไปหาเรียน conversation ดีๆเลยก้อมี แต่ค่าเรียนแพงมั่กๆ ก้อเรียนแบบของรัฐบาลไป..เรียนฟรี แต่จะช้าหน่อย ก้อมีของ Ian เนี่ยที่ยุ่นว่า work สุดแล้ว...และยุ่นเอง ก้อยังโชคดีที่มีคุมองเป็นสนามซ้อม ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ไม่งั้น...ก้อไม่รู้จะไปพูดกับใครดี.....ชีวิตที่อยู่เมืองนอกเนี่ย สำหรับยุ่น...ยุ่นว่ายุ่นคงจะเคยชินยาก...เพราะเราก้ออายุปูนนี้แล้ว...แต่ก้อคงเก็บเล็กเก็บน้อย...สะสมไป...เท่าที่เราจะทำได้..

นี่ก้อเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อาจจะไม่ค่อยมีสาระอะไรมาก...แต่ก้อก้อมีความสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในต่างแดน...พอสมควร..

Monday, June 21, 2010

Discovered Myself ^.^


จริงๆ essay เรื่องนี้ได้เขียนตอนที่เรียน Communication 11 กับ Ruth พอดีวันก่อนได้มีโอกาสมานั่งอ่านอีกครั้ง และมีบางส่วนอยู่ใน Happiness ที่ Tom ให้ขึ้นไปพูดหน้าห้อง...เลยอยากรวบรวมไว้ใน blog นี้




Topic: What's my best suited career ?







Discovered Myself

After I graduated in Pharmaceutical science from the University of Thailand, I started my career as a sales-representative. I didn’t earn much money, so I wasn’t happy. I thought perhaps the more money I got, the more happiness I would find. A few years later, I was promoted to a higher position, and the payment was liberal. However, I was still unhappy, and I didn’t enjoy doing my job. I didn’t know the reason until I had a chance to run my own business that is similar to a math center. I am the manager, accountant and teacher in my own school. Although it is a tough job, and I earn less money than my previous job, I am delighted while I am running the school. Especially, my most enjoyable time is teaching students. Eventually, being a math teacher is my best suited career, for the exacting work, unexpected consequences and great contentment.



Most important, outstanding teaching is a challenging dynamic task. For opening a math school, the standard quality of teaching is vital. Therefore, I put in the long hours and intense effort through planning, studying and preparing appropriate lessons for students. Moreover, during my teaching, I observe students and try to find out what problems they have. Then applying my math skill, combining psychological techniques, and explaining to them how to solve problems in a practical way is a challenging work. Also, every student has individual potential and problems that I must use different methods to solve. I learn numerous experiences from them for developing my teaching skill. Indeed, I truly enjoy doing the job even though it needs extreme effort in order to be done successfully.



Furthermore, students’ self-confidence, parents’ pride and my job appreciation are the unanticipated results. After students get better marks in school, their circumstances are full of joy. Kids can smile with confidence while talking about mathematics; some change their attitude towards math, and some understand the meaning of “You reap what you sow.” Parents are very proud of their children as well. Beyond that, I feel ecstatic over my achievement, and I realize the best job is not always high income, but it should be beneficial to other people. In fact, these unexpected consequences are great values for my life.



Finally, I can earn a living involving my favorite subject. It’s not easy to achieve in your working life. For example, my brother is an engineer although he truly likes music, or a good friend of mine is a doctor, but he likes mechanical work. Whereas I love mathematics, I can earn money through enjoying thinking and solving math problems. Also, I find that teaching is my best-loved occupation after I did other tedious work for 15 years. I always appreciate seeing students’ confidence and happiness when they can solve problems by themselves. My work is the kind of usefulness
that can help students from their difficulties; in addition, I can earn money from it. Certainly, I have a good chance to find out who I am and what I really want. Also, I have the job that is my favorite one.



Without doubt, being a math teacher is my best suited career because I am challenged to test my ability, the teaching outcomes are better than I ever expected, and it is my pleasure to do it everyday. I am the lucky and happy person who has discovered myself, and can earn my living by doing the job I love.

Friday, June 18, 2010

ทำดีได้ดี

คิดๆมาคิดๆไปเนี่ย ตอนนี้ยุ่นก้อทำงานกับมิสติงเป็นเวลาหนึ่งปีกับใกล้ๆห้าเดือนแล้ว...ในช่วงแรกที่ทำก้อมีความสุขดี..แล้วก้อมีช่วงหนึ่ง ประมาณปลายปีที่แล้ว..คงเป็นช่วงการปรับตัว ก้อมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง...หลังจากนั้น..ทุกอย่างก้อกลับคืนสู่สภาวะปกติ..

มิสติงเนี่ย..ลักษณะนิสัยจะเป็นคนพูดตรง...พูดจบแล้วจบเลย..ไม่มีการมาผูกใจเจ็บ..ซึ่งอันนี้...เป็นอะไรที่ยุ่นชอบนะ..และในส่วนตัวยุ่น งานก้อคืองาน ยุ่นก้อทำเต็มที่เหมือนเดิม..สิ่งเหล่านี้..ก้ออาจทำให้มิสติงเค้าค่อนข้างถูกใจ...และก้อทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้น...ยุ่นรู้สึกนะว่า..ช่วงหลังแกดีกับยุ่นมาก...ไว้ใจเรา แล้วก้อจะไม่ให้ทำงานตรวจงานด้วยซ้ำ เพียงแต่ ถ้ายุ่นว่างยุ่นก้อชอบช่วยตรวจงาน..ซึ่งมิสก้อจะบอกว่าไม่ต้องทำ...ไม่ใช่หน้าที่ยุ่น..

และจากการที่มิสติงค่อนข้างให้เกียรติยุ่น ประกอบกับครุผู้ช่วยที่นี่ก้อนิสัยน่ารัก..จึงทำให้ยุ่นทำงานที่ศูนย์นี้ไม่มีปัญหา..ที่นี่..อาจเพราะไม่มีละครไทยแบบอิจฉาริษยาให้ดูมากเหมือนบ้านเรา เลยทำให้คนเค้าไม่ค่อยอิจฉารึปล่าวไม่รู้...5555+ ก้อเรียกว่าเป็นบรรยากาศการทำงานที่ดีมากๆทีเีดียว...

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา..มีแม่ของเด็กนักเรียนคนนึงชื่อ Daniel มารับการบ้านให้ลูก..มิสติงก้อต่อว่าเค้าว่าทำไมจะย้ายศูนย์...นี่ถ้ารู้ว่าคุณจะเรียนสองเดือนแล้วออกเนี่ย ฉันจะไม่รับเลยนะ..ทำให้คะแนนคุมองฉันแย่เลย..

แบบ นี่คือ style มิสติงเค้าจะเป็นคนพูดตรงๆแบบนี้เสมอ..หรือเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี่ด้วยส่วนนึงรึปล่าวไม่รู้...แต่แบบอยู่ไทย ยุ่นก้อไม่กล้าพูดนะ..แต่ในใจนะ..ใช่เลย...เพราะคะแนนคุมอง...มันค้ำคออยู่ช่วงแรก..แต่ช่วงหลัง..ช่างหัวมัน..รู้สึกสบายใจขึ้น..

แม่เด็กก้อบอกว่า จริงๆเค้าไม่ได้อยากย้ายนะ..คือเค้าตั้งใจมาเรียนศูนย์มิสติงเพราะเพื่อนคนนึงแนะนำมา..แต่ที่เรียนสองเดือนต้องย้ายศูนย์ เพราะสามีเค้าย้ายที่ทำงาน ไกลขึ้นและต้องขับรถไปทำงาน..ซึ่งที่บ้านมีรถคันเดียว...เดิมทีเค้าขับรถพาลูกมาเรียน แต่ช่วงหลังเค้าต้องนั่งรถเมล์มา มันก้อหลายต่ออยู่ ลูกก้อเหนื่อย แม่ก้อล้า...เลยเห็นใกล้บ้านมีศูนย์นึงเลยลองไปดู..ท่าทางก้อน่าจะใช้ได้..เดินทางก้อสะดวก...จริงๆก้อไม่อยากย้าย เพราะพอบอกลูกชาย..Daniel ก้อบอกไม่อยากย้ายเพราะเค้าชอบสุวรรณีมาก...

อ้าว...แม่...ไหง..หักมุมมาที่ยุ่นแบบไม่บอกกล่าวเกริ่นนำเลย..เล่นเอาสุวรรณีเนี่ย..งง แล้วก้อพูดขอบคุณแทบไม่ทัน..

มิสติงก้อพูดว่า เค้าไม่ชอบมิสติงเหรอ..เค้าทำไมชอบสุวรรณีหละ???

แม่ก้อบอก..เค้าบอกสุวรรณีใจดี เค้าชอบ...( 5555+ Daniel เธอช่างไม่รู้อะไร..ยังไม่รู้จักครูยุ่นตัวจริง...จริงๆนะโหดมากๆๆๆ ที่เห็นเป็นแค่ภาพลวงตา 5555+)

มิสติงก้อบอกเค้าไม่ชอบฉันเพราะฉันดุ ฉันเข้มมากใช่มั้ย...แม่เค้าก้อยิ้มๆไม่ได้พูดอะไร แล้วก้อลากลับ...

มิสติงแกก้อไม่ได้พูดอะไร...ก้อทำงานกันต่อไป..

เสร็จ..วันนั้นอีก...ตอนใกล้จะปิดศูนย์แล้ว...ยุ่นก้อว่างๆ ก้อจะเดินดูเด็ก..คือมิสติงเค้าไม่ให้เดิน แต่แบบติดนิสัย ชอบดูว่าเค้ามีปัญหาอะไรกันมั้ย...ทำงานเป็นไง...ก้อลืมตัวตลอด...

เสร็จก้อมีแม่คนนึงเดินมาจับแขนยุ่น แล้วก้อส่ง sound track version Mandarin มาเลย...โชคดีพูดได้ ฟังรู้เรื่อง พอตอบสนองได้...แม่ก้อบอกขอบคุณสุวรรณีมากๆนะที่ช่วยดูแลลูกชาย...ยุ่นก้องง...คนไหนค่ะ...เค้าก้อชี้ไป เราก้อ อ๋อ..Brian เค้าอยู่เกรด 8 แล้วแม่ก้อบอกว่าลูกชายเป็นเด็กที่เรียนรู้ช้านะ...เค้าไม่กล้าถามมิสติง เค้าบอกตอนนี้นะมันยากมาก เค้าอยากเลิกเรียน ยังไงช่วยดูแลเค้าด้วยนะ..ฉันอยากให้เค้าเรียนต่อ...ฉันรู้ว่ามันดี แต่มิสติงดุมาก..ลูกชายกลัว ไม่กล้าเข้าหา...

ยุ่นก้อเลยคุยกับเด็กว่าตอนนี้อยู่เกรด 8 ก้อมอสองเนอะ..แต่ทำคุมองระดับ I ถือว่าเก่งมาก..ที่นี่ก้อประมาณ เกรด 11-12 ไม่ต้องกังวลนะ..คุณทำได้ดี...ยุ่นก้อบอกแม่เค้าว่าเด็กไม่ได้เรียนรู้ช้า.. Brian เค้าโอเคเลย..เพราะพอยุ่น guide เค้าโดยให้ดูตัวอย่าง พอเค้า get เค้าทำได้ ทำแบบค่อนข้างดีด้วย...ตอนนี้เค้าอยู่ I 61-71 ซึ่งเป็นชุดที่ค่อนข้างยากของการแยกตัวประกอบ...เพราะฉะนั้น...เด็กส่วนมากก้อจะติด..ไม่ใช่ Brian คนเดียว..ไม่ต้องกังวล...เค้าเรียนรู้ได้...หลังทำไปสักพัก..เค้าจะโอเค...แล้วยุ่นก้อบอก Brian ว่า มีอะไรไม่เข้าใจก้อมาถามนะ..ยินดี..เสมอ...

แบบ...ก้อรู้สึกดีใจนะที่เราสามารถช่วยเหลือเด็กที่เค้ามีปัญหาได้..คือเพียงแต่วิธีการยุ่นกับมิสติงจะแตกต่างกัน...ยุ่นจะใช้ worksheet แล้วก้อให้เด็กดูตัวอย่าง...บางทีก้อบอกเด็ก copyในกระดาษสักสามสี่รอบ...อยู่ดี เด็กก้อบอกเข้าใจแล้ว...แต่มิสติงเวลาเด็กถามเค้า..เค้าจะชอบพูดเสียงดัง บางทีก้อถอนหายใจแบบแสดงความรำคาญ...ไม่รู้นะ..ว่าเด็กรุ้สึกยังไง..แต่ยุ่นรู้สึกแบบนั้น...จึงทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่กล้าถามมิสติง...และเมื่อมีปัญหามากๆ ก้อลาออก...

อีกอย่างที่ยุ่นไม่เหมือนเค้าคือ หลังจาก guide แล้วยุ่นต้องกลับไปดูผลงานการ guide ว่าเด็กเข้าใจมั้ย ทำได้มั้ย...ซึ่งก้ออาจคล้ายเราประคบประหงมเด็ก..แต่มิสติงจะไม่สนใจหลังจากนั้น...ว่าเด็กทำได้มั้ย คือถ้าเด็กไม่กลับมาแปลว่าเด็กโอเค..

อาจด้วยวัฒนธรรมของตะวันตกเน้นการช่วยเหลือตัวเองมาก...เอเชียเราอาจช่วยมากกว่า..และด้วยอายุของมิสติงก้อ 65 ยุ่นก้อ 46 ต่างกันเกือบยี่สิบปี...วัยที่ต่าง ก้ออาจมีมุมมองที่แตกต่าง...ยุ่นว่ามิสติงเค้าแบบเหมือนครูรุ่นเก่า...ที่จะชอบดุเด็ก...แต่ยุ่นอาจไม่ค่อยชอบวิธีดุแบบนั้น...คือดุเหมือนกัน แต่จะไม่ดุถ้าเค้าทำเลขไม่ได้..แต่ถ้าเรื่องมารยาทในสังคม นิสัย..พฤติกรรมเนี่ย...ที่ไม่โอเค เช่นขี้เกียจ ขี้โกงอย่างนี้ไม่ได้ ยุ่น serious... อันนี้ต้องดุ ต้องสอน...

ก้อคงต้องทำหน้าที่ของยุ่นไปเท่าที่เราจะทำได้...ก้อหวังว่าเราก้อคงสามารถช่วยพวกเด็กๆได้ในระดับหนึ่ง...แต่สิ่งที่ยุ่นรู้สึกได้ในขณะนี้ก้อคือความสบายใจ ความสุขใจทุกครั้งที่เห็นเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น...สำหรับยุ่น..ยุ่นว่านี่ก้อน่าจะเรียกว่า "ทำดีได้ดี" นะ...

Thursday, June 17, 2010

Idiom in Business 2

เมื่อวานเป็นพุธที่สองที่ไปเรียน Practical Business English for Everyday Life...ก้อคงต้องจดบันทึกตามระเบียบ :

play dumb : play stupid or pretend stupid....เหมือนเวลาคนอื่นพูดเรื่องที่เราอาจรู้ แต่เราแกล้งไม่รู้..ซึ่งก้อเป็นเทคนิคในการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง

overhead : fix cost or cost to do business

cutthroat : kill ฆ่าหรือกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจ

ironclad contract : contract that you can't break it , very strong contract

niche market : special group market

high interest quickee loans : เงินกู้ที่เราสามารถกู้ได้รวดเร็วทันใจ แต่ดอกเบี้ยสูงมาก...it's a criminal interest

jumping through hoops : many many things to go through ผ่านปัญหามากมาย ระลอกแล้วระลอกเล่า

go under : bankrupt

trade-off : ดูว่าข้อดีข้อเสียอันไหนมากกว่า

de-listed : get out of the list

think on your feet : when the problems come suddenly and you have to think how to solve it น่าจะหมายถึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า...

find the way or make one ( find the way or make a way!) : don't give up!

fly by the seat of your pants : คล้ายลองผิดลองถูก..เช่น เราเริ่มทำธุรกิจครั้งแรก เราไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจนั้นๆ แต่เราเรียนรู้จากการทำงาน..และลองผิดลองถูกเอง..

mom and pop store/ shop : family business

nice guys finish last : แบบเหมือนอย่าเป็นคนดีเกินในการทำธุรกิจ ไม่งั้นก้อจะเหมือนเราจะเป็นคนสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จ..คือเตือนว่าอย่าดีเกินเวลาทำธุรกิจ...not be too nice guys

red tape : more and more regulations ( too many regulations )

dog eat dog : ธุรกิจเดียวกัน ฆ่ากันเอง..

entrepreneurial spirit : driving force, creating and building things

If you swim with the sharks , you'll get eaten : ระวังในการทำธุรกิจ ต้องเลือกคนที่จะทำด้วย..ไม่งั้น เราอาจถูกกลืนได้..

risk assessment : ดูความเสี่ยงของธุรกิจหากเราจะทำต่อไป หรืออาจใช้ในแง่..เช่น เราเดินขึ้นเขากับเพื่อนๆ มีเพื่อนคนนึงป่วยมาก..เราคิดว่าเราจะเดินขึ้นเขาต่อ หรือลงเขาเพื่อพาเค้าไปรักษา แบบนี้ก้อใช้ได้

damage control : stop losing money ในกรณีตัวอย่างปีนเขา ก้อใช้ได้อีก เหมือนเราคิดว่าหยุดอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดกับเพื่อน...

know when to hold them and when to fold them : know how your situation is...เหมือนรู้เรา รู้เขา รู้ว่าเมื่อไรควรจะล่นต่อหรือไม่เล่นไพ่ต่อ...

แล้วก้อมีข้อข้องใจ เวลาดูหนังเห็นฝรั่งชอบพูดคำว่า " you bet " เลยถาม Ian มันแปลว่าอะไร Ian บอก เป็น idiom หรือแสลงของไอ้กัน...แปลว่า yes, drfinitely!!

ครั้งนี้ก้อได้เรียนคำใหม่ๆไม่น้อยเลย..

Monday, June 14, 2010

ชีวิตคือการแข่งขัน...

พูดถึงการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยของที่นี่ก้อมีความแตกต่างกับบ้านเราค่อนข้างมาก...รวมทั้งคะแนนในการเข้าแต่ละคณะของที่นี่ ได้สร้างความสับสน งงงวย..ให้กับครอบครัวเรามาก...ๆๆๆๆ...เลย..

ทีแรก..เราสามคนพ่อแม่ลูกก้อคุยกัน ปรึกษากันว่ายีนควรจะเรียนต่ออะไรดี...คือยีนใจเค้าก้ออยากเรียนต่อทางด้านดนตรี แต่เค้าไม่อยากเรียนแบบทฤษฎีดนตรี ไม่อยากเรียนตัวโน๊ต คือพูดง่ายๆอยากเล่นเท่านั้น...ยุ่นจึงบอกว่าถ้างั้น ควรคิดดีๆก่อนว่าเราต้องการเรียนอะไรกันแน่...?!?

จากนั้นเราก้อดูจากวิชาที่ยีนชอบ..ยีนชอบวิชา social กับอังกฤษ เค้าบอกถึงแม้จะได้คะแนนสู้เลขกับวิทย์ไม่ได้ แต่ยีนชอบเรียน เรียนแล้วสนุก..แบบเค้าไม่ปิดกั้นทางความคิด เราสามารถแสดงความคิดเห็นของเราได้...และมันก้อไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้อง คือทุกอย่างมันขึ้นกับเหตุผลแต่ละคน..และยีนชอบเรียนพวกประวัติศาสตร์อะไรประมาณนี้...อีกอย่าง ยีนชอบเรียนอะไรที่แบบประยุกต์ใช้ได้...ไม่ใช่เรียนเน้นแต่วิชาการ...

ยุ่นกับฮ่งก้อมาดูหลายๆอย่างประกอบกัน...เราก้อคิดว่าลูกเราเหมาะไปทางแนวเรียนธุรกิจ..ก้อบอกงั้นลองดู และเราก้อคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร...

ปรากฏ หลังจากนั้นไม่นาน ยีนกลับมาจากโรงเรียนก้อมาบอกว่า เพื่อนๆยีนไม่มีใครเรียนเลย..เค้าบอกกันว่าธุรกิจหรือที่นี่เรียก commerce เข้ายากมาก คะแนนสูงมาก...ไอ้เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่เชื่อ...ลูกก้อยืนยันอีกว่าคุยกับ counselor เค้าก้อบอกว่าคะแนนยีนต้องสูงมากๆเลยนะ ถึงจะเข้าได้ ซึ่งดูจากคะแนนยีนที่ได้ตอนนี้...ท่าทาง..ไม่หมู...

อ้าว..ทำไมพูดแบบนั้น จริงเหรอ??? ก้อเลยทำให้เราสองคนพ่อแม่ต้องขอนัดคุยกับ counselor เพื่อสอบถามข้อมูลอย่างละเอียด...และแล้ว..ก้อเป็น....ดังนี้ :

ที่นี่..เวลาเด็ก high school จะเข้ามหาลัย เค้าจะดูจากคะแนนที่เด็กทำ..โดยเด็กเกรด 12 ต้องส่งคะแนนตามวิชาที่คณะที่ตนเองเลือกเค้าต้องการ ตัวหลักๆคือ Eng 12 ต้องผ่าน...และถ้าเด็กเรียนที่แคนาดา ต้องเรียน regular English ด้วยนะ ติดต่อกันสามปี จึงไม่ต้องสอบ toefl ถ้าไม่เช่นนั้นคุณต้องสอบ toefl ด้วย...คืออังกฤษเนี่ยเป็นอะไรที่สำคัญสุดๆ และยีนเรียน regular สองปี เพราะปีแรกเรียน transition เพราะฉะนั้น ยีนก้อต้องสอบ toefl ด้วย...

และตัวอื่นๆก้อขึ้นกับคณะที่เราจะเลือก..เช่นถ้าเราจะเรียนวิศวะ..ก้อต้องมี math 12 Chem 12 และ Physic 12 แต่ถ้าเป็นวิทย์ หรือ business นอกจาก Eng12 ก้อมีวิชาของ 12 อีก สามตัว...ที่เราต้องส่ง...

แต่ปัญหาคือ..เนื่องจากใน Vancouver มีสองมหาลัยเท่านั้น 1. UBC ( ฮิตสุดๆ คล้ายบ้านเราก้อแบบจุฬา) แล้วก้อ 2. SFU ( จะดูด้อยกว่านิดนึง) อันนี้เท่าที่คุย และจับความรู้สึกของคนที่นี่นะ..

และเด็กเอเชียก้อเยอะ โดยเฉพาะเด็กจีน...ที่มาที่นี่แบบเยอะมากๆ และเราก้อต้องยอมรับว่าจีนเค้าค่อนข้างเก่ง..เสร็จ..ที่นั่งมีน้อย เด็กเยอะ...ความนิยมชมชอบไปเข้า commerce กันมาก... จึงทำให้คะแนนสูงมากๆ.. demand มาก แต่ supply น้อย ว่างั้นเหอะ...

จนกลายเป็นว่าหากคุณจะเข้าเรียน business ที่นี่ คุณต้องมีคะแนนเฉลี่ยเกรด 12 ที่ส่งเนี่ย 90-95% คือต่ำกว่านี้ไม่ต้องคิดจะเรียน นอกจากนี้ หากคะแนนต่ำกว่า 95% ต้องมี Broad Base ไอ้เราก้องง อะไรเนี่ย Broad base ก้อคือต้องฝึกงาน...ทำงาน volunteer แบบเยอะๆ และทำงานเพื่อสังคมด้วยนะ... ยิ่งไปช่วยพวกประเทศโลกที่สาม..ช่วยคนยากคนจน homeless อะไรประมาณนี้ ยิ่งดีมาก.. แต่ถ้าสูงกว่า 95% ไม่ต้องมี broad base ก้อได้..

ฮ่งเลยถาม couselor ว่าถ้าเช่นนั้น ถ้าเราไม่เข้าสองมหาลัยนี้ เราพอจะมีวิธีไหนที่จะเรียน business ได้บ้าง?

เค้าก้อบอกก้อเข้าไปเรียน Langara มหาลัยเอกชนก่อนได้ ห้องหนึ่งก้อมีประมาณสามสิบคน ก้อเรียนสองปี แต่ขณะที่เรียนคุณต้องรักษาเกรดให้อยู่ประมาณ B+ หรือ A- ตอนปีสามก้อ transferไป UBC หรือ SFUก้อได้ แต่เค้ามีที่นั่งแค่ 10ที่เท่านั้น หมายความว่าคุณต้องไปลุ้นอีกรอบ...

ยุ่นก้อถามอีก..แล้วที่ BCIT ซึ่งเป็น college นะ ไม่ใช่ university..... business เค้าเป็นอย่างไร..

เค้าก้อบอกดีมากๆเหมือนกัน และค่อนข้างเป็นที่ยอมรับของที่นี่...แต่เรียนหนัก เรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์..8.30-5.00 ไม่เหมือนในมหาลัย ซึ่งเราจะลงเป็นรายวิชาได้ มีพักได้บางช่วง แต่ที่ BCIT เรียนแบบนี้ เข้มมาก... เสร็จปีสองคะแนนต้องค่อนข้างสูง จึงต่อปีสามได้..ไม่เช่นนั้น จบปีสองคุณก้อต้องออกแล้ว..เรียนต่อไม่ได้...

นี่มันอะไรกันเนี่ย...ยากขนาดนี่เลยเหรอ...คิดๆว่าเป็นเราเนี่ย...สงสัยก้อคงเข้าไม่ได้เหมือนกันมั้ง...ทำไมมันต้องขนาดนี้เลยเหรอ...

เราสองคนพ่อแม่พอได้ฟัง...เราก้อเลยได้เข้าใจถึงความเครียดของลูกชายเรา ที่เค้าบอกว่า มันยากมากๆเลยนะ..ประมาณเหมือนอยู่ไทย พ่อกับแม่อยากให้ยีนเรียนหมออะไรประมาณนั้น....และช่วงหลังเค้าก้อดูเครียดๆ ซึมๆไป แบบเค้าก้อคงอยากพยายามทำให้ดีที่สุด อยากทำให้้พ่อกับแม่ดีใจ ภูมิใจ แต่ดูแล้วมันจะไม่ไหวเอา...นะสิ..

คือขนาดเราสองคนฟัง เราก้อคิดว่าเป็นเรา เราก้อคงทำไม่ได้ คนเรามันจะเรียนเก่งกาจอะไร ได้ 90-95% เฉลี่ยสี่วิชา...ยุ่นว่าทำได้สองวิชาก้อเข้าขั้นเทพแล้ว...สี่วิชาเนี่ย...ไม่รู้จะให้เป็นขั้นอะไรดี...นึกไม่ออกเลย...แล้วนี่ก้อเป็นภาษาอังกฤษหมดเลยนะ...ลูกก้อต้องปรับตัวอย่างหนัก...และสมมติเราเลือกทางรองเช่นเรียนมหาลัยเอกชน ก้อต้องรักษาเกรดตลอด...เรียนหนังสือแบบต้องเกรดสูงตลอดเนี่ย โครตเครียดเลย...คิดแล้วมันไม่ work....คือสำหรับยุ่น..ยุ่นว่าเรียนให้รู้ แล้วก้อเกรดปานกลางก้อน่าจะโอเค...

ทาง counselor เค้าบอกว่าหากยีนเลือกเข้าทาง science ดูจากคะแนนน่าจะเข้าได้สบายๆ...อยากให้เค้าได้เข้าไปในมหาลัยก่อน..จากนั้นเค้าจะเรียนอะไร ให้เค้าเลือกเอง..เพราะหลังจากเค้าเข้าไปเรียน เค้าจะค้นพบสิ่งที่เค้าชอบมากกว่า...น่าจะเป็นทางที่ดีกว่า...

เราสองคนฟังแล้วก้อเข้าใจ และถึงบางอ้อ... และยุ่นก้อรู้สึกเสียใจนะ..ที่เราไม่รู้ข้อมูลของที่นี่ คือแบบเราไม่คิดไงว่ามันจะยากขนาดนี้...เลยทำให้ลูกค่อนข้างกดดัน..เฮ้อ..รู้สึกเหมือนพ่อแม่รังแกฉันไงไม่รู้..

และที่แปลกของที่นี่ก้อคือ วิศวะเข้าง่ายกว่าวิทยาศาสตร์อีก.....แบบเป็นงงมาก...แต่ยีนเค้าบอก..เค้าง่ายแต่จบยากกว่าคับ แม่..

วันก่อนได้คุยกับเด็กนักเรียน high school และมหาลัยที่ศูนย์คุมอง... เค้าบอก Science คะแนนสูงกว่า Engineer... Thomas ก้อเลยคิดว่าเค้าน่าจะเลือก engineer.... ส่วน Jessica ตอนนี้อยู่ปีสามคณะวิทย์บอก ปีของ Jessica คะแนนที่เข้าวิทย์เยี่ย 93-95 สูงมากๆเลย....อันนี้...เลยยิ่งทำให้สุวรรณีสับสนมากๆเลย.

.แต่ยังไง...บทสรุป ก้อคือ... คงขึ้นกับแต่ละปีที่เด็กเข้าเรียน หากอันไหนนิยมมาก คนแห่ไปมาก..คะแนนมันก้อสูง...เพราะฉะนั้น ของยีนปีหน้าก้อยังไม่แน่ อย่างไรก้อตาม...ยีนก้อต้องตั้งใจทำคะแนนให้ดี.....เพื่อจะได้มีทางเลือกมากขึ้น...

แต่ที่เล่ามาเนี่ย...พวกฝรั่งเค้าไม่เรียนกันนะ มหาลง...มหาลัย..พวกเค้าพอจบ high school ก้อไปทำงาน..กันก่อน...เสร็จอยากทำงานด้านไหนค่อยกลับมาเรียน อย่างครูที่สอนยุ่นทุกคน ไม่มีใครเรียนมหาลัยก่อนเลย..เค้าเล่าให้ฟังว่าจบ high school ก้อทำงาน...แล้วเนี่ยเพิ่งกลับมาเรียน...และก้อเป็นอย่างนั้นจริงๆ...นี่คือฝรั่ง... อย่างไรก้อตาม ...ต่อให้คุณเป็นเอเชียที่เกิดที่นี่ ความคิดก้อเป็นเอเชียอยู่ดี...เอเชียกับฝรั่ง ยังไง..ก้อไม่เหมือนกันอยู่ดี...

แต่ที่แน่ๆ...พวกเราหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้นจริงๆ...เฮ้อ...มนุษย์หนอมนุษย์...

Friday, June 11, 2010

Idiom in Business 1

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยุ่นได้ไปเข้า class อึม..เค้าเรียก ฺBusiness Conversation Class ของ UBC Learning Center ที่ได้ไปเรียนก้อเพราะครูที่ยุ่นเคยไปเรียนด้วย Ian เค้าเมลมาบอกว่า class นี้น่าสนใจ ตอนเปิด course ก้อจะไปเรียนแล้ว แต่โทรไปเค้าว่าเต็ม..พอบอก Ian ว่าอยากเรียน เค้าก้อเลยบอก staff ว่าให้สุวรรณีมาเรียนได้..

แต่จริงๆยุ่นก้อรู้แหละว่าพอเปิดเรียนไปสักสามสี่ครั้งจะมีที่ว่าง เพราะจะมีนักเรียนหลายๆคน จะเริ่มไม่อยากมาเรียน เพราะการเรียนที่นี่แบบเรียนฟรีนะ..ฉะนั้น..คนที่มาเรียน บางคนก้อมาลองเรียนดูก่อน เสร็จไม่ชอบ ก้อไม่มา..บางส่วนชอบ ก้อคงเรียนต่อไป..จำนวนนักเรียนในห้องจากวันแรกที่มากมาย จะค่อยๆลดลงเหลือประมาณ 6-10 คนแล้วแต่แต่ละ class ซึ่งหากเราไปเรียนช่วงนั้นจะคุ้ม..เพราะคนน้อย เราจะมีโอกาสได้พูดมาก และเรียนรู้มาก...

แล้วก้อเป็นดังคาด...พุธที่ 9 นี้ ยุ่นก้อเลยลองไปเรียนดู..ก้อแบบชอบนะ..Ian เค้าจะสอนสิ่งที่เราควรรู้ในแคนาดา และพอดี course นี้มันเกี่ยวกับการทำงานนั่นเอง...ซึ่งเราก้อมีความสนใจอยู่แล้ว..วันนี้เค้าก้อเริ่มด้วย idiom ที่ใช้ทางธุรกิจ...

ซึ่งยุ่นก้ออยากจดบันทึกไว้ พวก idiom ที่ฝรั่งเค้าใช้ เราก้อไม่ได้คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มาก.. หลายครั้งก้อลืม และหนักข้อคือจำไม่ได้ว่าจดไว้ที่ไหน...ก้อเลยคิดว่ายุ่นน่าจะจดลงใน blogger ซึ่งยุ่นก้อสามารถเปิดหาได้ง่าย...ไม่ต้องจำว่าจดใส่ตรงไหน..และเผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่เข้ามาอ่านด้วย...ก้อเริ่มเลยนะ...

paper trail : followed with the paper Ex. If you don't pay tax or bills, the paper trail will follow you. เหมือนเป็นพวกเอกสารที่จะคอยติดตามเราไปตลอด...ขึ้นกับเครดิตของเรา..

head count : number of staffs

Shoot their labour, shooting their labour : fire lots of staffs

keen : use in worker, business person who has a good attitude, on time, wants to learn, working hard ( you can call him " keener" )

skill-sets : acquire abilities, learned abilities , education

soft skills : interpersonal skills not technical abilities คือพูดง่ายๆมนุษย์สัมพันธ์นะ..ไม่ใช่เก่งงานเท่านั้น

results oriented : wants to do a good job ( goal) เช่น บริษัทต้องการ results oriented, ครูเวลาสอนเด็กก้อต้องการ results oriented เช่น จบชั่วโมงภาษาจีนชั่วโมงนี้ เด็กต้องสามารถพูดเบอร์โทรศัพท์เป็นภาษาจีนได้..

lean and mean : a condition in a company that is hard working and not many people to do the job. the worker likes a fighter. คล้ายแผนกเภสัชที่ฮ่งกำลังทำอยู่คือ คนน้อย และแต่ละคนต้องทำงานเต็มอัตราหรือบางครั้งเกินอัตรา..

cuts, staff cuts : ตัดพนักงานออก หรือ laid off นั่นเอง

crack the whip : คล้ายๆลงแส้ แบบบางบริษัทใช้วิธีนี้ให้พนักงานทำงานหนัก..แบบ เข้ม..

stick -in the -mud : not a good team player พนักงานที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ มีปัญหาในการทำงาน

word-of- mouth : ปากต่อปาก ในที่นี้ หมายว่าการจะเข้าทำงานในบริษัทนั้น เป็นลักษณะการบอกต่อ แนะนำ..หรืออาจใช้คำว่า personal referral

bring the hammer down : to bring discipline and rules to the situation use with authority figure : police,parents, teachers and in the company.

head honcho : the boss, the leader, the supervisor, the big guy

นอกจากนี้ก้อมีอีกสองคำที่ดี แต่ไม่ได้ใช้ทางธุรกิจ :

raining like cats and dogs : heavy rain

I'm all ears : good listening skills

catch some Zs : Feeling tired? Ex. You may want to go to bed, take a nap or catch some Zs. ( or sleeping)

grab a bite : you are being asked to go out to a restaurant for something to eat.

under the weather : you're feeling a little sick

You reap what you sow : you usually get what you deserve Ex. If you work hard and don't give up, you'll succeed.

not do anything by halves : to do what ever you do completely and properly

วิธีการสอนของ Ian ที่ยุ่นชอบเพราะเค้าจะเป็นครูที่พูดไม่มากในห้อง แต่จะแบ่งกลุ่มนักเรียน และพยายามให้ทุกคนได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น...ซึ่งอันนี้ยุ่นว่าเป็นอะไรที่สำคัญของ conversation course แล้วเค้าก้อจะคอยแก้ไขที่เราพูดผิด..

แบบในห้องครั้งนี้ก้อมีรัสเซียหนึ่ง แขกสอง จีนสอง แล้วก้อไทยหนึ่งก้อยุ่นเองแหละ..ก้อหนุกดี ตอนหลังเค้าก้อให้พวกเราจับคู่คุยกัน แล้วให้อีกคนหนึ่งสังเกตุพฤติกรรมของคนฟัง แล้วก้อมาเล่าให้ฟังว่าตัวเองเห็นอะไร...ซึ่งเราก้อจะเห็นว่าแต่ละคนเวลาฟังคนอื่นพูดจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนเวลาพูดไม่สบตาผู้ฟัง บางคนพูดไม่หยุด..บางคนฟังแล้วพยักหน้า เออออตามไปเรื่อยๆ..อะไรประมาณนี้...แล้ว Ian ก้อสอนพวกเราว่าเวลาคุยเนี่ย ระหว่างคู่สนทนา เราควรพูดอะไรบ้างระหว่างทาง ที่ทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าเราสนใจในสิ่งที่เค้าพูดนะ..

เนี่ยแหละ..ที่ยุ่นต้องการ..แบบถ้าเป็นภาษาไทยเราก้อสบายมาก..เช่น เหรอ..จริงดิ..แล้วไงต่อ..แต่ตอนมาอยู่ที่นี่แรกๆ แบบอึ้งกิมกี่ไง...กูจะพูดอะไร ยังไงวะเนี่ย..แบบ..มันเป็นคำพูดในชีวิตประจำวันไง...เราก้อไม่ได้เคยใช้เคยพูด..มันต้องใช้เวลา แล้วก้อสังเกตุเอา..อีกอย่างที่คิดว่าทำให้เราไม่ได้พูดอะไร เพราะเรามัวแต่จดจ่อกับสิ่งที่เค้าพูด แบบ listening ยังไม่ค่อยดีไง..

Ian ก้อสอนเทคนิคต่างๆ :
1. Intonation question : one word repeat it or with rising intonation
2. WH question followed by short statement
3. หรือใช้คำต่างๆเหล่านี้ : really ? that's so ? Yeah, Interesting....it's cool ( อันนี้ได้ยินและสังเกตุเวลาเค้าคุยกัน ) awesome!
4. command : Tell me about that....
5. Yes/ No question

ไอ้ที่บอกเนี่ย..เราเองก้อต้องฝึกใช้นะ..แบบถ้าเป็นภาษาเราเอง เราก้อสบายๆ แบบมันธรรมชาติเลย.. แต่ภาษาอังกฤษ มันไม่ชิน แล้วก้อต้องบอกว่ามันยังไม่ธรรมชาติ คงต้องใช้เวลาเพื่อทำตัวให้ธรรมชาติ...เพราะฉะนั้น บางทียุ่นก้อลืมประจำ..บางครั้งฟังเค้าเล่าก้อฟังเพลิน ไม่ใช่เพลินหรอก..คืออย่างที่บอก...ตั้งใจฟังมาก..เพราะกลัวตัวเองแปลไม่ทัน เลยลืมพูดไอ้คำเหล่านี้ไง...5555+คิดว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป เพราะสังเกตุ ชาติอื่นๆที่มาเหมือนเรา...เค้าก้อตั้งใจฟังจนลืมพูด...ระหว่างที่ฟังเรื่องราวของคนอื่น...

Tuesday, June 8, 2010

คุมองประยุกต์

ตั้งแต่เดือนธันวา 2009 ที่ผ่านมา ยุ่นก้อได้สอนพิเศษเลข GeGe กับ Bee Bee ตอนแรกก้อสอนจีจี้ก่อน...พอสอนได้สักสามสี่ครั้ง บีบีก้อมาเรียนด้วย ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องเวลาในการเรียน...ไม่ค่อยลงตัวนิดนึง

เพราะยุ่นสอนได้แค่วันจันทร์กับพุธเท่านั้น..ซึ่งทางคุณแม่บีบี จีจี้ก้อมาส่งได้แค่วันเดียว..เพราะฉะนั้นคนนึงต้องเรียนวันธรรมดา อีกคนเรียนวันเสาร์หรืออาทิตย์...ไปไปมามายุ่นก้อเลยบอกว่าขอสอนหนึ่งคนก่อนก้อได้..เพราะจีจี้หลังจากเรียนไปสักพัก..ก้อค่อนข้างใช้ได้ เลยบอกให้หยุดเรียนก่อน...แล้วลองตั้งใจเรียนในห้อง กลับบ้านลองดูเองก่อน หากมีปัญหาค่อยมาเรียน ก้อน่าจะยังไหวอยู่

ยุ่นจึงสอนบีบีคนพี่ที่อยู่เกรด 8 ก่อน.

บีบีตอนที่มาเรียนนั้น..ได้คะแนนเลขอยู่ประมาณ 80 ต้นๆ ยุ่นก้องงว่าทำไมต้องมาเรียน..แต่พอได้สอนบีบีจึงรู้ว่า เค้าไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนเท่าไรนัก...อีกทั้งคะแนนของเทอมหนึ่งก้อได้ 70 กว่า บีบีบอกว่าบีบีอยากได้เกรด A เด็กคนนี้มีความมุ่งหวังตั้งใจที่จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจในตัวเค้า และรวมทั้งถ้าตอนเรียน high school เค้าได้คะแนนดีเนี่ย..เค้าจะได้รางวัลคือได้ honour และได้เงินที่จะเรียนในมหา'ลัยฟรี หลายสตางค์เลยแหละ.. อึม..เด็กคนนี้เข้าท่าดี..

พอได้สอนบีบีปั๊บ ก้อจับได้ว่าบีบีมีข้อผิดพลาดอะไรที่ต้องแก้ไขก่อน....เช่นความสะเพร่าเล็กๆน้อยๆที่มักเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากการคิดเลขผิด....เนื่องจากพื้นฐานบวกลบคูณหาร ซึ่งอาจสู้เด็กคุมองไม่ได้..แต่ก้อไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากมาย...ถ้าบีบีคิดช้าลง รอบคอบมากขึ้น ก้อจะดีขึ้น และข้อดีที่เห็นเด่นชัดของเด็กคนนี้คือ เป็นเด็กที่ทำงานเรียบร้อยมากๆๆๆ...และยุ่นบอกให้แก้ไขหรือทำอะไร เค้าจะทำตามอย่างเคร่งครัด...ชอบ..มั่กๆ..

เพราะฉะนั้น..เวลาที่สอน..จะพยายามเน้นให้เค้าตรวจทานงานที่ทำ...เพื่อฝึกให้เค้ารู้ว่าเค้ามักทำอะไรผิด...เค้าจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองได้ถูกจุด...ก้อคงคล้ายๆของคุมอง แก้เฉพาะจุดที่ผิด..

เวลาสอนบทเรียนใหม่บีบี ก้อจะให้เค้าดูตัวอย่างก่อน..และจะถามเค้าว่าเข้าใจมั้ย...เราจะคุยตัวอย่างที่เค้าให้มาสองหรือสามตัวอย่างจนเข้าใจจริงๆ...จากนั้นจะให้บีบีลองทำแบบฝึกหัดด้วยตัวเอง..จนเกิดความชำนาญ และตอนเรียนจะให้ทำข้อง่ายๆก่อน พอดูว่าเค้าเข้าใจ ก้อจะเอาข้อยากให้ลองทำสักสองสามข้อ...จากนั้นเค้าต้องกลับบ้านทำแบบฝึกหัดทั้งหมดเอง...จะเน้นมากว่าต้องทำทั้งหมด และมีปัญหาให้จดมาถามหรือโทรมาก้อได้ ในกรณีเร่งด่วน

หากบทไหนที่ดูว่าเค้าทำแบบฝึกหัดแล้วยังไม่ค่อยเก็ต ก้อจะแนะเค้าอีกครั้ง...ช่วงหลังเค้าพัฒนามากขึ้นมาก...ยุ่นก้อจะเริ่มสอนเทคนิคการทำข้อสอบอย่างไร คิดเลขเร็วอย่างไร มีการตรวจคำตอบอย่างไร...สิ่งเหล่านี้เราจะให้ได้เมื่อเด็กพร้อมรับ...ไม่เช่นนั้น..เค้าจะสับสน...ซึ่งช่วงหลังบีบีชอบมาก..เพราะเทคนิคน้ายุ่น work มาก..แล้วก้อง่ายมากๆเลย..เค้าบอก..

ทีแรกที่สอนบีบี จากคะแนนที่ไบีบีได้ 83...84 ก้อค่อยๆขึ้นเป็น 85...86.. ก้ออยู่ตรงนี้สักพัก..คือเค้าคะแนนขึ้นไม่เร็วเหมือนจีจี้...แต่แล้วอยู่ดีๆ..เค้าก้อกลายเป็น 95 และล่าสุดบีบีได้เต็ม 100 คะแนนคนเดียวในห้อง...เรียกว่าเกินความคาดหมายของทั้งครูทั้งลูกศิษย์...แต่ก้อทำให้ทั้งแม่ ครูและตัวบีบีภูมิใจและดีใจสุดๆ..

ทั้งนี้ทั้งนั้น...ยุ่นเองก้อรู้สึกว่าบีบีจะไม่มีทางได้ 100%เลย ถ้าเค้าไม่ขยัน และฝึกฝนด้วยตนเอง...อย่างไรก้อตาม..ก้อต้องขอบคุณคุมองเนอะ ที่ได้ให้แนวทางในการสอนคณิตศาสตร์ยุ่นกับเด็กๆ..เพราะยุ่นจะใช้หลักของคุมองมาประยุกต์ใช้เสมอ...และยุ่นเชื่อว่าในการทำความเข้าใจบทเรียนใหม่นั้นมีความสำคัญมากๆ หากเด็กเข้าใจ concept และเค้าฝึกทำแบบฝึกหัด...ในที่สุดเค้าจะปิ๊งด้วยตัวเค้าเองอย่างแน่นอน...และสิ่งที่ตามมา...ที่เราจะเห็นในตัวเด็กเหล่านี้ก้อคือ ความเชื่อมั่น...ความภาคภูมิใจ และคิดว่าเค้าสามารถทำมันได้ด้วยตัวเค้าเอง...แค่นี้ก้อเกินพอแล้ว...