Monday, June 14, 2010

ชีวิตคือการแข่งขัน...

พูดถึงการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยของที่นี่ก้อมีความแตกต่างกับบ้านเราค่อนข้างมาก...รวมทั้งคะแนนในการเข้าแต่ละคณะของที่นี่ ได้สร้างความสับสน งงงวย..ให้กับครอบครัวเรามาก...ๆๆๆๆ...เลย..

ทีแรก..เราสามคนพ่อแม่ลูกก้อคุยกัน ปรึกษากันว่ายีนควรจะเรียนต่ออะไรดี...คือยีนใจเค้าก้ออยากเรียนต่อทางด้านดนตรี แต่เค้าไม่อยากเรียนแบบทฤษฎีดนตรี ไม่อยากเรียนตัวโน๊ต คือพูดง่ายๆอยากเล่นเท่านั้น...ยุ่นจึงบอกว่าถ้างั้น ควรคิดดีๆก่อนว่าเราต้องการเรียนอะไรกันแน่...?!?

จากนั้นเราก้อดูจากวิชาที่ยีนชอบ..ยีนชอบวิชา social กับอังกฤษ เค้าบอกถึงแม้จะได้คะแนนสู้เลขกับวิทย์ไม่ได้ แต่ยีนชอบเรียน เรียนแล้วสนุก..แบบเค้าไม่ปิดกั้นทางความคิด เราสามารถแสดงความคิดเห็นของเราได้...และมันก้อไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้อง คือทุกอย่างมันขึ้นกับเหตุผลแต่ละคน..และยีนชอบเรียนพวกประวัติศาสตร์อะไรประมาณนี้...อีกอย่าง ยีนชอบเรียนอะไรที่แบบประยุกต์ใช้ได้...ไม่ใช่เรียนเน้นแต่วิชาการ...

ยุ่นกับฮ่งก้อมาดูหลายๆอย่างประกอบกัน...เราก้อคิดว่าลูกเราเหมาะไปทางแนวเรียนธุรกิจ..ก้อบอกงั้นลองดู และเราก้อคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร...

ปรากฏ หลังจากนั้นไม่นาน ยีนกลับมาจากโรงเรียนก้อมาบอกว่า เพื่อนๆยีนไม่มีใครเรียนเลย..เค้าบอกกันว่าธุรกิจหรือที่นี่เรียก commerce เข้ายากมาก คะแนนสูงมาก...ไอ้เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่เชื่อ...ลูกก้อยืนยันอีกว่าคุยกับ counselor เค้าก้อบอกว่าคะแนนยีนต้องสูงมากๆเลยนะ ถึงจะเข้าได้ ซึ่งดูจากคะแนนยีนที่ได้ตอนนี้...ท่าทาง..ไม่หมู...

อ้าว..ทำไมพูดแบบนั้น จริงเหรอ??? ก้อเลยทำให้เราสองคนพ่อแม่ต้องขอนัดคุยกับ counselor เพื่อสอบถามข้อมูลอย่างละเอียด...และแล้ว..ก้อเป็น....ดังนี้ :

ที่นี่..เวลาเด็ก high school จะเข้ามหาลัย เค้าจะดูจากคะแนนที่เด็กทำ..โดยเด็กเกรด 12 ต้องส่งคะแนนตามวิชาที่คณะที่ตนเองเลือกเค้าต้องการ ตัวหลักๆคือ Eng 12 ต้องผ่าน...และถ้าเด็กเรียนที่แคนาดา ต้องเรียน regular English ด้วยนะ ติดต่อกันสามปี จึงไม่ต้องสอบ toefl ถ้าไม่เช่นนั้นคุณต้องสอบ toefl ด้วย...คืออังกฤษเนี่ยเป็นอะไรที่สำคัญสุดๆ และยีนเรียน regular สองปี เพราะปีแรกเรียน transition เพราะฉะนั้น ยีนก้อต้องสอบ toefl ด้วย...

และตัวอื่นๆก้อขึ้นกับคณะที่เราจะเลือก..เช่นถ้าเราจะเรียนวิศวะ..ก้อต้องมี math 12 Chem 12 และ Physic 12 แต่ถ้าเป็นวิทย์ หรือ business นอกจาก Eng12 ก้อมีวิชาของ 12 อีก สามตัว...ที่เราต้องส่ง...

แต่ปัญหาคือ..เนื่องจากใน Vancouver มีสองมหาลัยเท่านั้น 1. UBC ( ฮิตสุดๆ คล้ายบ้านเราก้อแบบจุฬา) แล้วก้อ 2. SFU ( จะดูด้อยกว่านิดนึง) อันนี้เท่าที่คุย และจับความรู้สึกของคนที่นี่นะ..

และเด็กเอเชียก้อเยอะ โดยเฉพาะเด็กจีน...ที่มาที่นี่แบบเยอะมากๆ และเราก้อต้องยอมรับว่าจีนเค้าค่อนข้างเก่ง..เสร็จ..ที่นั่งมีน้อย เด็กเยอะ...ความนิยมชมชอบไปเข้า commerce กันมาก... จึงทำให้คะแนนสูงมากๆ.. demand มาก แต่ supply น้อย ว่างั้นเหอะ...

จนกลายเป็นว่าหากคุณจะเข้าเรียน business ที่นี่ คุณต้องมีคะแนนเฉลี่ยเกรด 12 ที่ส่งเนี่ย 90-95% คือต่ำกว่านี้ไม่ต้องคิดจะเรียน นอกจากนี้ หากคะแนนต่ำกว่า 95% ต้องมี Broad Base ไอ้เราก้องง อะไรเนี่ย Broad base ก้อคือต้องฝึกงาน...ทำงาน volunteer แบบเยอะๆ และทำงานเพื่อสังคมด้วยนะ... ยิ่งไปช่วยพวกประเทศโลกที่สาม..ช่วยคนยากคนจน homeless อะไรประมาณนี้ ยิ่งดีมาก.. แต่ถ้าสูงกว่า 95% ไม่ต้องมี broad base ก้อได้..

ฮ่งเลยถาม couselor ว่าถ้าเช่นนั้น ถ้าเราไม่เข้าสองมหาลัยนี้ เราพอจะมีวิธีไหนที่จะเรียน business ได้บ้าง?

เค้าก้อบอกก้อเข้าไปเรียน Langara มหาลัยเอกชนก่อนได้ ห้องหนึ่งก้อมีประมาณสามสิบคน ก้อเรียนสองปี แต่ขณะที่เรียนคุณต้องรักษาเกรดให้อยู่ประมาณ B+ หรือ A- ตอนปีสามก้อ transferไป UBC หรือ SFUก้อได้ แต่เค้ามีที่นั่งแค่ 10ที่เท่านั้น หมายความว่าคุณต้องไปลุ้นอีกรอบ...

ยุ่นก้อถามอีก..แล้วที่ BCIT ซึ่งเป็น college นะ ไม่ใช่ university..... business เค้าเป็นอย่างไร..

เค้าก้อบอกดีมากๆเหมือนกัน และค่อนข้างเป็นที่ยอมรับของที่นี่...แต่เรียนหนัก เรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์..8.30-5.00 ไม่เหมือนในมหาลัย ซึ่งเราจะลงเป็นรายวิชาได้ มีพักได้บางช่วง แต่ที่ BCIT เรียนแบบนี้ เข้มมาก... เสร็จปีสองคะแนนต้องค่อนข้างสูง จึงต่อปีสามได้..ไม่เช่นนั้น จบปีสองคุณก้อต้องออกแล้ว..เรียนต่อไม่ได้...

นี่มันอะไรกันเนี่ย...ยากขนาดนี่เลยเหรอ...คิดๆว่าเป็นเราเนี่ย...สงสัยก้อคงเข้าไม่ได้เหมือนกันมั้ง...ทำไมมันต้องขนาดนี้เลยเหรอ...

เราสองคนพ่อแม่พอได้ฟัง...เราก้อเลยได้เข้าใจถึงความเครียดของลูกชายเรา ที่เค้าบอกว่า มันยากมากๆเลยนะ..ประมาณเหมือนอยู่ไทย พ่อกับแม่อยากให้ยีนเรียนหมออะไรประมาณนั้น....และช่วงหลังเค้าก้อดูเครียดๆ ซึมๆไป แบบเค้าก้อคงอยากพยายามทำให้ดีที่สุด อยากทำให้้พ่อกับแม่ดีใจ ภูมิใจ แต่ดูแล้วมันจะไม่ไหวเอา...นะสิ..

คือขนาดเราสองคนฟัง เราก้อคิดว่าเป็นเรา เราก้อคงทำไม่ได้ คนเรามันจะเรียนเก่งกาจอะไร ได้ 90-95% เฉลี่ยสี่วิชา...ยุ่นว่าทำได้สองวิชาก้อเข้าขั้นเทพแล้ว...สี่วิชาเนี่ย...ไม่รู้จะให้เป็นขั้นอะไรดี...นึกไม่ออกเลย...แล้วนี่ก้อเป็นภาษาอังกฤษหมดเลยนะ...ลูกก้อต้องปรับตัวอย่างหนัก...และสมมติเราเลือกทางรองเช่นเรียนมหาลัยเอกชน ก้อต้องรักษาเกรดตลอด...เรียนหนังสือแบบต้องเกรดสูงตลอดเนี่ย โครตเครียดเลย...คิดแล้วมันไม่ work....คือสำหรับยุ่น..ยุ่นว่าเรียนให้รู้ แล้วก้อเกรดปานกลางก้อน่าจะโอเค...

ทาง counselor เค้าบอกว่าหากยีนเลือกเข้าทาง science ดูจากคะแนนน่าจะเข้าได้สบายๆ...อยากให้เค้าได้เข้าไปในมหาลัยก่อน..จากนั้นเค้าจะเรียนอะไร ให้เค้าเลือกเอง..เพราะหลังจากเค้าเข้าไปเรียน เค้าจะค้นพบสิ่งที่เค้าชอบมากกว่า...น่าจะเป็นทางที่ดีกว่า...

เราสองคนฟังแล้วก้อเข้าใจ และถึงบางอ้อ... และยุ่นก้อรู้สึกเสียใจนะ..ที่เราไม่รู้ข้อมูลของที่นี่ คือแบบเราไม่คิดไงว่ามันจะยากขนาดนี้...เลยทำให้ลูกค่อนข้างกดดัน..เฮ้อ..รู้สึกเหมือนพ่อแม่รังแกฉันไงไม่รู้..

และที่แปลกของที่นี่ก้อคือ วิศวะเข้าง่ายกว่าวิทยาศาสตร์อีก.....แบบเป็นงงมาก...แต่ยีนเค้าบอก..เค้าง่ายแต่จบยากกว่าคับ แม่..

วันก่อนได้คุยกับเด็กนักเรียน high school และมหาลัยที่ศูนย์คุมอง... เค้าบอก Science คะแนนสูงกว่า Engineer... Thomas ก้อเลยคิดว่าเค้าน่าจะเลือก engineer.... ส่วน Jessica ตอนนี้อยู่ปีสามคณะวิทย์บอก ปีของ Jessica คะแนนที่เข้าวิทย์เยี่ย 93-95 สูงมากๆเลย....อันนี้...เลยยิ่งทำให้สุวรรณีสับสนมากๆเลย.

.แต่ยังไง...บทสรุป ก้อคือ... คงขึ้นกับแต่ละปีที่เด็กเข้าเรียน หากอันไหนนิยมมาก คนแห่ไปมาก..คะแนนมันก้อสูง...เพราะฉะนั้น ของยีนปีหน้าก้อยังไม่แน่ อย่างไรก้อตาม...ยีนก้อต้องตั้งใจทำคะแนนให้ดี.....เพื่อจะได้มีทางเลือกมากขึ้น...

แต่ที่เล่ามาเนี่ย...พวกฝรั่งเค้าไม่เรียนกันนะ มหาลง...มหาลัย..พวกเค้าพอจบ high school ก้อไปทำงาน..กันก่อน...เสร็จอยากทำงานด้านไหนค่อยกลับมาเรียน อย่างครูที่สอนยุ่นทุกคน ไม่มีใครเรียนมหาลัยก่อนเลย..เค้าเล่าให้ฟังว่าจบ high school ก้อทำงาน...แล้วเนี่ยเพิ่งกลับมาเรียน...และก้อเป็นอย่างนั้นจริงๆ...นี่คือฝรั่ง... อย่างไรก้อตาม ...ต่อให้คุณเป็นเอเชียที่เกิดที่นี่ ความคิดก้อเป็นเอเชียอยู่ดี...เอเชียกับฝรั่ง ยังไง..ก้อไม่เหมือนกันอยู่ดี...

แต่ที่แน่ๆ...พวกเราหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้นจริงๆ...เฮ้อ...มนุษย์หนอมนุษย์...

2 comments:

  1. อ่านแล้วก็เหนื่อยเนอะ เป็นโสดก็ดีเหมือนกัน เฮ้อ!

    ReplyDelete
  2. ใช่..เค้าถึงว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์...เฮ้อ..เป็นพ่อเป็นแม่ ก้อทุกข์อย่าง...เป็นลูกก้อทุกข์อีกอย่าง...

    ReplyDelete