Tuesday, February 19, 2013

ห้าปีที่เปลี่ยนไป episode 1

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เผลอแป๊บเดียว ยุ่นกะครอบครัวได้ใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์เกือบ 5 ปีแล้ว


ช่วงสองปีแรกเป็นช่วงชีวิตของการปรับตัวในทุกๆด้าน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป วัฒนธรรมที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้กลืนเข้ากับสังคมเค้า อากาศที่ต้องปรับจากโซนร้อนมากมาเป็นหนาวพอควร....และที่สำคัญก้อคือจิตใจที่คิดถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง อาหารและความสะดวกสบายหลายๆอย่างที่ติดตัวมาหลายสิบปี จนเหมือนจะกลายเป็นนิสัยเกือบจะถาวรไปเสียแล้ว....( ติดแนวขี้เกียจ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเอง....)

แต่วันนี้เข้าปีที่ 5  ยุ่นกลับมีความรู้สึกหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่ก่อนมีคนเคยพูดว่า "คนเราอาจมีความคิดเปลี่ยนไปเมื่อเราอายุมากขึ้น." ความคิด ความเชื่อของเราเอง คนๆเดียวกันแท้ๆ  ในมุมมองเรื่องเดียวกัน แท้ๆยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ทั้งนี้ก้อคงเนื่องจากประสบการณ์ที่เราเรียนรู้มา ข้อมูล และปัจจัยหลายๆอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรา....ฉะนั้น...การที่คนในสังคมจะมีความคิดที่แตกต่างกัน ยุ่นว่ามันน่าจะเป็นเรื่องธรรมดามากๆ  การมองต่างมุมต้องมีเหตุผลเบื้องหลังความคิดที่แตกต่างเหล่านั้น  แต่สังคมบ้านเราไม่ได้สอนให้เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่น  จึงทำให้เราเกิดปัญหามากมายดังเช่นในปัจจุบัน....

อ้าว..ไปโน้นได้ไง กลับเข้าประเด็นที่อยากเล่าในวันนี้ดีกว่า คือว่าปีสองปีนี้ เหมือนกับชีวิตครอบครัวเราเริ่มนิ่ง ทำให้ยุ่นไม่ได้ต้องมานั่งนึกถึงเรื่องตัวเองเท่าไหร่หละ  คราวนี้ก้อเริ่มมองออกไปจากตัวเรา...ก้อทำให้เราเริ่มเกิดมุมมองใหม่ๆที่แตกต่างจากช่วงสองสามปีแรกที่อยู่ที่นี่....

ยุ่นและครอบครัวตอนอยู่เมืองไทย เราจัดว่าเป็นชนชั้นระดับปานกลางขึ้นไป เรามีรายได้ในระดับนึง ก้อน่าจะเรียกว่าปานกลางบวก  ชีวิตค่อนข้างสะดวกสบาย  ไม่เดือดร้อน ไม่ลำบาก และพูดตรงๆนะ ยุ่นเองไม่ค่อยสนใจหรือใส่ใจในเรื่องสวัสดิการที่ดีที่รัฐบาลควรให้กับประชาชน  คิดว่าไม่ได้มีความจำเป็นเท่าไหร่นัก  คิดแค่ว่าหากเราจ่ายไหวเราก้อจ่าย   คือคล้ายๆคิดแต่ตัวเอง ไม่ได้มองออกไปในภาพรวม... แต่ประเทศไทยไม่ได้มีแค่คนแบบเรา  ยังมีคนอื่นอีกมากมาย...ฉะนั้น การคิดแบบเราจึงไม่ถูกต้องเท่าไหร่  และอีกอย่างสังคมจะสามารถขับเคลื่อนไปได้    ต้องเป็นกลไกของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพียงคนเฉพาะกลุ่ม...

เมื่อเรามาอยู่แคนาดา จากคนที่มีฐานะสบายๆในสังคมไทย กลายมาเป็นคนที่มีรายได้น้อยของแคนาดา งานนี้แหละ อย่างที่ว่า "ต้องเจอเองจึงเข้าใจ"   ความลำบากที่เกิดขึ้นสอนและทำให้ยุ่นเรียนรู้หลายอย่าง :  อันแรกคือ ทำให้ยุ่นคิดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของยุ่นที่ immigrate จากจีนมาไทยแรกๆ  ชีวิตช่วงนั้นต้องลำบากมากๆเลย  ลำบากมากกว่ายุ่นและครอบครัวหลายสิบหลายร้อยเท่า วันนี้ทำให้เราพอจะนึกภาพความลำบากเหล่านั้นออก.... แต่พวกท่านก้ออดทนจนมีทุกวันนี้ได้  สุดยอดมาก....

สอง ความลำบากไม่เคยทำร้ายใคร ไม่ได้ให้โทษแก่ใคร แต่มันสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีศักยภาพในตัวเองสูงแค่ไหน  และสิ่งที่เรียกว่าความภาคภูมิใจนั้นมันมีความหมายเพียงใด...

และสาม..ยุ่นเริ่มเข้าใจแล้วว่าความหมายของสวัสดิการที่ดีของรัฐบาลที่ให้กับประชาชนนั้นมันสำคัญอย่างไร  เพราะครอบครัวเราได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงิน  สวัสดิการรักษาพยาบาล  ซึ่งทำให้เราไม่ต้องมานั่งกังวล นั่งเครียดในเรื่องนี้เท่าไรนัก  รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทุกคนพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนภาษา  การช่วยเหลือในด้านการเงินและด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาคนในสังคมให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้....เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศ...

รัฐบาลพยายามทำให้ทุกชนชั้นในสังคมเท่าเทียมกัน ซึ่งนั่นก้อคือความยุติธรรม  และสิ่งที่ยุ่นรับรู้และรู้สึกแม้ว่าเราจะเป็นคนจนของที่นี่ก้อคือ  เราไม่รู้สึกแตกต่าง  เราพอใจ  ทุกคนก้อพอใจ  สังคมสงบสุข ทุกคนอยู่กันแบบรู้หน้าที่และมีความรับผิดชอบ  สุดท้าย ยุ่นเกิดความรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว....

ยุ่นคิดนะว่าขนาดเราไม่ได้เกิดที่นี่  เรายังมีสิทธิทุกอย่างเหมือนคนที่เกิดที่นี่.... และรัฐบาลค่อนข้าง fair ในหลายๆเรื่อง  ยุ่นย้อนคิดว่าหากยุ่นเป็นผู้มีรายได้น้อย หรือคนจนในสังคมไทย            ยุ่นจะมีความรู้สึกแบบนี้มั้ย...เพราะยุ่นเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสในสังคมไทยมากจนเราเองก้อเคยชิน และมองข้ามคนกลุ่มใหญ่ในสังคมซึ่งพวกเค้าก้อมีเลือดเนื้อ ชีวิตและความรู้สึกเหมือนเรา  เราเองอยากสบาย อยากมีครอบครัวที่มีความสุข  อยากมีสิทธิ เสรีภาพ แล้วทำไมชาวบ้าน..รากหญ้า เค้าจะคิดแบบเราไม่ได้ ในเมื่อเค้าก้อเป็นประชาชนคนไทยที่เกิดในประเทศไทยเหมือนเราเช่นกัน....


 สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นกับยุ่นและครอบครัวณ. เวลาที่เราอยู่แคนาดา  ทำให้ยุ่นเข้าใจในเรื่องของการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น  เวลาเราเรียน เราศึกษาประวัติศาสตร์ เราก้ออาจเหมือนเข้าใจ แต่ไม่ลึกซึ้งเท่า   แต่วันนี้เมื่อเราได้เป็นคนกลุ่มนี้ในสังคม สัมผัสความจริงเหล่านี้ด้วยตนเอง  ยุ่นจึงเข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร  และยิ่งเข้าใจว่าทำไมประวัติศาสตร์ในหลายๆประเทศ  ประชาชนจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตนเอง...เพราะเราทุกคนต่างต้องการความเท่าเทียมกันทั้งนั้น....


ความยุติธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่ง  ที่จะนำสังคมไปสู่ความสงบสุขอย่างแน่นอน... : )




10 comments:

  1. อารมณ์ไหนเนี่ย ดูยุ่นจะเห็นสังคมเป็นภาพใหญ่ขึ้นน่ะ แต่ชอบน่ะที่ยุ่นเขียน ยุ่นไม่ใช่คุยเก่งอย่างเดียว เขียนเก่งเหมือนกันน่ะ

    ทุกวันนี้ที่โลกวุ่นวายก็เพราะความไม่ยุติธรรม เห็นแก่ตัว เลยเกิดช่องว่างขึ้น นานวันช่องว่างก็ยิ่งกว้างขึ้น สะสมจนมันระเบิดขึ้นไง รวยแล้วต้องรู้จักพอ แบ่งปันคนที่ด้อยโอกาสกว่า

    ประโยคที่ว่า “ประชาชนจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตนเอง...เพราะเราทุกคนต่างต้องการความเท่าเทียมกันทั้งนั้น....” แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมักลืมก่อนที่เรียกร้องก็คือ หน้าที่ความรับผิดชอบ มันต้องไปคู่กัน สิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบ ส่วนใหญ่มักจะพูดแต่สิทธิว่าเรามีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยพูดถึงความรับผิดชอบเลย จำได้ตอนเด็กๆเรียนวิชา หน้าที่พลเมือง อ.ที่สอนชื่อ อ. ผอบ สอนจนจำแม่นเลยเพราะ อ.ออกข้อสอบแล้วตอบถูก......อิอิ ไม่รู้เด็กสมัยนี้เรียนรึป่าว

    วันก่อนเจอป้อมที่งานทำบุญบ้านตึ๋ง เห็นป้อมบอกว่ายุ่นจะกลับเมืองไทยปีนี้เหรอ



    Sopida Pichatehirankanchana

    ReplyDelete
  2. พี่ยุ่นถูกทักษิณซื้อไปแล้ว ^_^

    เก๋

    ReplyDelete
  3. 5555

    แล้วเก๋วันที่ 3 มีนาไปเลือกเพื่อไทย..พงศพัศ หรือปะ??? บ้านพี่หายไป 3 สามเสียงเลย พงศพัศ เสียดายจัง!!

    ReplyDelete
  4. โส..

    อ่านแล้ว..สรุปว่าโสชมใช่ปะ..คุยเก่งเนี่ย...ความหมาย positive ชิมิ?? อิ อื....อารมณ์ที่เขียนก้อแบบเป็นความรู้สึกที่ยุ่นรู้สึก และก้อลองนึกย้อนกลับว่าหากเราเป้นคนจนที่ไทย เราจะเป็นอย่างไร...

    นี่ก้อเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ยุ่นอยากกลับไทยเเพื่อไปทำอะไรอย่างที่ใจคิดอยากทำ ก้อคงเป้นครุเหมือนเดิมแหละโส แต่ครั้งนี้เราคงนำประสบการณ์ที่เราได้จากที่นี่ ถ่ายทอดให้เด็กๆ สร้างเยาวชนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เรียนดี แต่ควรจะมีสำนึก หน้าที่ ความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย 555555 แต่ก่อนไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เพิ่งมาเป็นตอนแก่นี่แหละ...

    ตอนนี้ก้อรอรัฐบาลเรียกสอบ citizenship พอจบเรียบร้อย ก้อคงได้บินกลับไทยแน่นอน แต่ยังไม่รุ้ว่าเมือ่ไรอ่ะ คิดว่าคงภายในปีนี้อ่ะ ยังไงเราคงได้คุยกันตัวเป้นๆอีกไม่นานนะโส...

    ยุ่น

    ReplyDelete
  5. โห นับวันรอเลยนะพี่ยุ่น หมั่นไส้พวกความรู้สูงมั่กๆๆ อยากเห็นจริงๆ ว่าคนกรุงเทพจะฉลาดแค่ไหน

    เก๋

    ReplyDelete
  6. ชมซิ คบมาตั้งกี่ปียังไม่รู้อีกเหรอ(อย่านับเลยเอาว่านานมาก) ชมจริงๆเพียงแต่ไม่ค่อยชมใครง่ายๆรู้ไว้ซะด้วย โชคดีน่ะ


    Sopida Pichatehirankanchana

    ReplyDelete
  7. ยุ่นจ๊ะ

    พี่คิดว่า..พี่เคยบอกยุ่นแล้วในช่วงที่ไปอยู่ใหม่ๆว่ายุ่นอาจจะไม่ชอบอะไรๆในตอนแรกที่ไปอยู่..เพราะเรายังไม่เคยชิน..ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องปรับตัว อาจหงุดหงิด..สับสนบ้าง แต่ถ้าอยู่ไปซักพักเช่น5ปีขึ้นไป..ยุ่นจะไม่อยากกลับเมืองไทยแล้ว...มันเป็นอย่างนี้กับหลายคนที่พี่รู้จัก...ด้วยความที่เราก็เกิดความเคยชินกับที่อยู่ใหม่และชีวิตใหม่แล้ว..และยิ่งเราเป็นผู้มีการศึกษา เราก็จะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆทั้งสังคม วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต แนวความคิด ความเชื่อ ระบบการบริหารจัดการของประเทศที่เรียกว่าเจริญแล้ว...เราก็จะเกิดความเข้าใจ และซึมซับสิ่งต่างๆเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในความคิด จิตใจภายในตัวเราจนกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง...ดังนั้นถ้าหากยุ่นอยู่ที่นั่นต่อไปอีกแล้วกลับมาเมืองไทย. ยุ่นจะรู้สึกหงุดหงิดกับสังคมความเป็นอยู่ของที่นี่..แล้วก็ไม่อยากจะอยู่..ไม่อยากจะกลับมา

    เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต...ขอให้ทำใจ..ให้มีความสุขกับปัจจุบัน...และชีวิต..ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดๆก็ตาม

    รักและคิดถึงเสมอ
    พี่เหน่ง

    ReplyDelete
  8. พี่เหน่งค่ะ

    ช่าย..ยุ่นจำได้ที่พี่เหน่งเคยบอกไว้นานหละ..5555 ก้อเริ่มชอบบางอย่างของที่นี่ แต่ใจก้อยังรักบ้านเราอ่ะ ยุ่นคิดว่ายุ่นเกิดมาสำหรับอยู่ที่ไทยนะ ยังไงคงกลับอ่ะค่ะ ส่วนที่นี่อาจไปไปมามา เพราะลูกชายเค้าอาจอยู่ที่นี่นะค่ะ...

    ขอบคุณพี่เหน่งสำหรับกำลังใจที่ส่งมาให้ยุ่นเสมอมา...เด๋วนี้ยุ่นว่ายุ่นโตขึ้นกว่าเดิมเยอะอ่ะค่ะ..ทางด้านอารมณ์นะค่ะ...55555

    รักและคิดถึงพี่เหน่งเสมอนะค่ะ...ไว้เจอกันเร้วๆนี้นะค่ะ
    ยุ่น

    ReplyDelete
  9. พี่....

    แหม...อ่านแล้วโดนเนอะ esp. ย่อหน้านี้
    สอง ความลำบากไม่เคยทำร้ายใคร ไม่ได้ให้โทษแก่ใคร แต่มันสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีศักยภาพในตัวเองสูงแค่ไหน และสิ่งที่เรียกว่าความภาคภูมิใจนั้นมันมีความหมายเพียงใด...

    ใช่... เห็นด้วยเลย เราจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกผู้อื่น ถ้าเราไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเค้า เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรตัดสินจากสิ่งที่เราเห็นเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่า ไอ้ที่เราได้เห็นและรู้น่ะ มันใช่ทั้งหมดรึป่าว หรือเพียงแค่ด้านเดียว

    การที่เราได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง มันจักทำให้เราเกิดการเรียนรู้นะ เราว่า และถ้าเรารู้จักนำสิ่งนั้นมาใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เพื่อพัฒนา เราก้อจะเกิดความเข้าใจ และปัญญามากขึ้น อีกอย่างที่ได้คือ เราจักรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นนะ เราว่า

    พอได้อ่านที่พี่เขียนน่ะ เราคิดกลับไปว่า แล้วพวกลูกนักการเมือง หรือคนมีอันจะกินที่เค้าได้ไปเรียน หรือใช้ชีวิตเมืองนอกที่นานกว่าเราน่ะ แต่อาจจะสบายไป จะได้ความรู้สึกอย่างพี่บ้างมั้ย จริงๆ ถ้าเค้าได้เพียงเสี้ยวนึงน่ะ เราว่า ประเทศเราคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ เพราะบ้านเราเนี่ย ตอนนี้ขาดอย่างหนัก เรื่องจริยธรรม การนึกคิดที่ถูกทาง มันเลยทำให้สังคมมีช่องว่างมากขึ้นทุกที เราไม่ชอบอย่างตรงที่ว่า สังคมไทยเป็นสังคมบริโภคที่ไม่ได้เข้าใจกำพืดเดิมของสังคมตน รับของฝรั่งมา แต่กลับไม่ได้ไปศึกษาว่า เหตุใดเค้าจึงเป็นเช่่นนั้น ทำไมเค้าจึงมีวิถีชวิตแบบนั้น เอาแต่ผล หรือเปลือกมาใช้ แต่ไม่ได้เอาแก่นความคิดเค้ามา เลยทำให้สังคมไทยเราตอนนี้ เละตุ้มเปะ ยังไง ก้อไม่รู้ แถมเป๋ไปเป๋มาอีก
    ไม่รู้ว่า generation ไหน ที่จะมาปรับสังคมให้ดีขึ้น ได้แต่หวังใจ จริงๆนะ

    ReplyDelete

  10. comment ด้านบนเป็นของน้องสาวยุ่นเองค่ะ..ครูอ้า...

    อย่างไรก้อตาม ยุ่นขอให้เรามีความหวังและคิดว่า สักวันหนึ่ง บ้านเราจะมีน้ำใหม่เข้ามาในสังคมไทย และค่อยๆล้างน้ำเก่าออกไป ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันพัฒนา...สังคมที่น่าอยู่ในอนาคต เพื่อคนรุ่นหลังต่อไป...

    ReplyDelete