Wednesday, December 4, 2013

งานปั้นดินให้เป็นดาว

จำได้ว่าเคยมีผู้ปกครองที่เป็นรุ่นพี่เภสัช เคยคุยกับยุ่นว่า "ยุ่นกับพี่นี่เราต่างกันจริงๆ..ยุ่นชอบปั้นดินให้เป็นดาว แต่พี่ชอบปั้นดาวให้เป็นดาวค้างฟ้า"....สำหรับยุ่นการปั้นดินให้เป็นดาว  ไม่เพียงแค่เด็กคนหนึ่งซึ่งเคยไม่รักไม่ชอบเลข เปลี่ยนเป็นรัก ชอบ ทำคะแนนได้ดี แต่ยุ่นคิดว่ามากกว่าด้านวิชาการยุ่นได้เปลี่ยนข้างในของเด็กจากคนที่ไม่มั่นใจ กลายเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง  และเด็กเองเค้าก้อได้เรียนรู้สัจจธรรมจากตัวเค้าเองว่า..."ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หากเรามีความพยายามที่จะทำสิ่งนั้นๆด้วยความตั้งใจจริง..."


และวันนี้...จากการที่ได้ทำคุมอง 7 ปีที่เมืองไทย บวกอีก 5 ปีในแวนคูเวอร์ เสริมด้วยการได้สอนพิเศษเลขเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคล...   ยุ่นได้สังเกตุ  ได้เรียนรู้จากเด็กๆในหลายๆมุม ทำให้ยุ่นค่อยๆพัฒนาทักษะในการสอนคณิตศาสตร์มากขึ้นมากขึ้นทุกๆวัน...

ตอนทำคุมองที่ไทย..มีนักเรียนคนหนึ่งย้ายมาเรียนที่ศูนย์ยุ่น เนื่องจากคุณแม่บอกว่าเรียนที่ศูนย์อื่นมานานแล้วไม่รู้สึกว่าดีขึ้น...จำได้ว่าทีแรก..ยุ่นก้อยังหาสาเหตุไม่เจอ แต่สังเกตุว่าทำไมเด็กเวลาทำงานที่ศูนย์งานผิดมาก แต่การบ้าน perfect  เลยลองคุยกับคุณแม่...คุยมาคุยไปได้ความว่า แม่คิดว่าการทำการบ้านทุกวัน ต้อง perfect สมบูรณ์แบบถูกหมด 100% ทั้งหมดทุกแผ่น พอลูกทำผิด แม่ก้อลบทิ้งทั้งชุดและให้ทำใหม่หมด....เป็นอย่างนี้เรื่อยมาตั้งแต่เรียนคุมอง

ยุ่นอึ้งไปนิดนึงและบอกคุณแม่ว่า ขอให้เลิกทำแบบนี้ การลบทั้งชุดคือการลบความมั่นใจของเด็กลงไปทุกๆวัน นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมน้องไม่เชื่อมั่นในตัวเองเวลาทำเลข  แต่อังกฤษน้องไม่เป็น  เพราะแม่รู้สึกลูกไม่เก่งเลข แต่เก่งอังกฤษ  จึง focus ในวิชาเลขมากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ประโยคคลาสสิคที่แม่ชอบพูดเสมอก้อคือ..ลูกไม่เก่งเลข ลูกไม่เก่งเลข เลยยิ่งทำให้ลูกฝังใจว่าใช่  เราไม่เก่งเลข ก้อแม่เราบอกว่าเราไม่เก่งเลข....แล้วเราจะเก่งเลขได้ยังไง...

หลังจากนั้น ยุ่นก้อพยายามแก้ปัญหา โดยหลักๆ  แม่เพียงดูให้ลูกทำการบ้านทุกวัน ครบถ้วนลงเวลา จากนั้นไม่ต้องสนใจความถูกผิด  ครุยุ่นจะเป็นคนจัดการเอง เพราะครูจะได้รู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไรที่เราต้องแก้ หากมาแบบถูกหมด ก้อไม่มีอะไรให้แก้ไข   และยุ่นก้อค่อยๆแก้ไขจุดอ่อนในเรื่องคณิศาสตร์ของน้อง บวกกับการชมให้กำลังใจเมื่อน้องทำงานได้ดี...ทำให้น้องค่อยๆมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ...

ผลที่ตามมากคือ หลังจากเรียนไปประมาณ 2 ปีมั้ง..จากคะแนนเลขที่น้องเคยได้ C ก้อค่อยๆเลื่อนมาเป็น B และ A ตามลำดับ และช่วงหลังเห็นบอกได้ที่หนึ่งของห้องเลย  หมายถึงรวมทุกวิชาเลยนะ  และทุกวันนี้ น้องก้อเรียนที่เตรียมอุดม พญาไท (ม.ปลาย)  แต่เรียนทางด้านศิลปภาษา เพราะน้องไม่ได้ชอบวิชาเลขเท่าไรนัก  แต่สำหรับวิชาเลขคะแนนก้อถือว่าไม่โหลยโถย..เป็นที่น่าพอใจ..^^

สำหรับครูยุ่น..ครูยุ่นคิดว่าไม่จำเป็นที่เด็กทุกคนที่เรียนเก่ง ต้องเรียนสายวิทย์เพื่อเป็นแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช วิศวะ  หากเรามีความโดดเด่นหรือชอบทางด้านไหน  เราก้อสามารถเลือกเส้นทางที่เราถนัด  และประสบความสำเร็จในสาขาวิชาชีพอื่นๆได้เช่นกัน...

กรณีถัดมายุ่นได้จากนักเรียนที่สอนพิเศษ.  น้อง Net มาปรึกษาครูยุ่นว่าปีหน้าคือตอนนี้แล้วนะค่ะ ต้องเรียนเลข 2 ตัวคือ Pre Calculus 12 กับ Calculus 12 ทีแรกครูยุ่นฟังก้อแบบรู้สึกมันจะหนักเกินไป ก้อไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก แต่เนื่องจาก Net มีความมุ่งมั่นอยากเรียนอย่างจริงจัง...เราในฐานะที่เป็นครู ก้อต้องสนับสนุน และอีกอย่าง   Net ยังไม่ได้เรียน ครูยุ่นจะรู้ได้ไงว่า Net จะทำไม่ได้...ครูยุ่นไม่ควรคิดเอง สรุปเอง...555

เอาไงเอากัน..ลองดูสักตั้ง..ครูยุ่นก้อมานั่งคิด วางแผนว่าเราจะสอน Net อย่างไรที่จะให้Net สามารถเรียนได้ทั้งสองตัวในปีหน้าแบบไม่ลำบากเท่าไร.....ครูยุ่นเริ่มนั่งวางแผนการเรียนแบบว่าหัวข้อต่างๆที่เด็กต้องเรียน โดยคิดว่าในช่วง Summer เราควรเรียนจบ Pre Cal 12 ให้ได้  เพราะมันคือพื้นฐานของ Calculus   อีกทั้งเปิดเทอม เราจะได้ focus ไปที่ Cal 12 และหาก Pre Cal มีปัญหาเป็นจุดๆ เราก้อพอช่วยได้ แต่หากเรียนสองตัว อาทิตย์ละ 1 ชั่วโมงครึ่ง  สงสัยจะเรียนค่อนข้างลำบาก และเกรงว่าผลออกมาไม่น่าจะดีเท่าที่ควร...

ก้อเลยลอง Copy Paste ความคิดของครูที่นี่  คือครูที่นี่ทุกวิชา เค้าจะมีใบมาเลยในวันแรกที่เราเรียน ว่าเค้าจะสอนอะไรเรา topic อะไร  วันไหน   quizเมื่อไร   test เมื่อไร ครูยุ่นก้อเลยลอง apply  และ Set เป็นตารางการเรียนขึ้นมา  มีหมายกำหนดการที่ชัดเจนว่าจะเรียนอะไร  ใช้เวลาอย่างไรและจบเมื่อไร

และแล้วปิด summer ที่ผ่านมา  เราสองคนทั้งครูทั้งนักเรียนก้อลุยด้วยกัน  จนกระทั่งอาทิตย์สุดท้าย เนื่องจาก Net ต้องไปเที่ยวกับครอบครัวหนึ่งอาทิตย์  เลยทำให้หลุดเป้าที่ตั้งไว้ไปนิดนึง  เรียนได้ 95%ของที่ตั้งไว้  อีก 5 % คือช่วงหลังของตรีโกณซึ่งไม่ยากมากเท่าไรนัก  ไม่ได้เรียน...

ที่เค้าพูดกันว่า "วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง"  อันนี้พิสูจน์ได้เต็มๆ.. เปิดเทอม Net เรียนเลข 2 ตัวนี้ได้แบบค่อนข้างสบาย..  เพราะตัวหนึ่งเรียนมาเกือบหมดแล้ว  Pre-cal 12 จึงเหมือน review   ฉะนั้นตัวที่ครูยุ่นต้องสอนจริงๆคือ Calculus ซึ่งครูยุ่นก้อจะพยายามสอนล้ำหน้าโรงเรียนให้ได้..เพื่อ Net จะได้เติมเต็มในห้องเรียน....

สิ่งที่ได้จาก Net คือการทำให้ครูยุ่นต้องวางแผนการสอนแบบเป็นรูปแบบมากขึ้น  มีเป้าหมายที่แน่ชัด และ Calculus 12... Net ก้อเป็นนักเรียนคนแรกที่ครูยุ่นได้มีโอกาสสอน  ก้อเรียกว่าท้าทายมากๆ ทั้งการวางแผน   การเตรียมตัวสอน...การพยายามศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตัวเราอยู่ตลอดเวลา...ทำให้สมองครุยุ่นไม่หยุดนิ่งจริงๆ...^^

กรณีสุดท้ายได้จากการสังเกตุแนน ขิม ขวัญ ตอนมาเรียนพิเศษช่วง summer และได้รู้ว่าที่นี่ (หมายถึงใน British Columbia ก้อแล้วกัน เพราะสรุปทั้ง Canada คงไม่ได้ ) ไม่ได้สอนให้เด็กท่องสูตรคูณ  และได้ลองสังเกตุเด็กนักเรียนที่ศูนย์คุมองก้อเช่นกัน เด็กจะมีปัญหาในการทำคูณกับหารมากๆ  เนื่องจากสูตรคูณไม่คล่อง...โดยหากปล่อยให้เด็กทำเอง ไม่อธิบาย เด็กจะทำโดยการบวกทบไปเรื่อยๆ เช่น 48x3 เด็กก้อจะ 48+48+48 จนได้คำตอบ  แต่ปัญหามันอยู่ที่ หาก 48x9 หละ จะบวกกันเสร็จเมื่อไร...ครูยุ่นก้อได้คิดวิธีที่จะทำให้ขิม ขวัญ สามารถท่องสูตรคูณได้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยในเรื่องการบวกลบคูณหารไปด้วยกันหมด...แต่เด็กที่ศูนย์ ก้อได้แต่สอนว่าคิดอย่างไร   ดูให้เด็กๆมีความเข้าใจที่ถูกหลักการ.. และรายงานมิสว่าเด็กไม่คล่องสูตรคูณ แต่มิสจะปรับแบบฝึกหัดอย่างไรนั้น  อันนี้เกินกำลังที่ครูยุ่นจะช่วยเด็กๆเหล่านั้นได้  ครูยุ่นเองก้อได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เด็กๆ  เพื่อให้เด็กสามารถทำแบบฝึกหัดเสร็จ และกลับบ้านได้...

จริงๆครูยุ่นมีมากมายหลายกรณีศึกษาของเด็กนักเรียน  ซึ่งก้อจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยุ่นคิดว่ายุ่นชอบคิด ชอบสงสัย  และมักเกิดคำถามขึ้นในหัว..จึงทำให้ยุ่นพยายามที่จะหาคำตอบให้กับตัวเอง  พยายามแก้ปัญหาให้ได้   ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำหรับยุ่นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อ แต่เป็นสิ่งที่สนุก  ท้าทาย....และภูมิใจทุกครั้งที่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือได้เห็นพัฒนาการที่เปลี่ยนไปของลูกศิษย์...

ล่าสุด...เข็ม..พี่ชายขิม ขวัญ เรียนกับครูยุ่นมา 2 ปีกว่าหละ จำได้วันแรกมาเลขเข็มได้  C แต่วันนี้เกรด 10 อยู่ Honor Program ( คงคล้ายๆ  gifted ของบ้านเรา)  report card ออกมาล่าสุดได้เลข 96 % เข็มบอกครูยุ่นด้วยความภาคภูมิใจ  ซึ่งครูยุ่นก้อภูมิใจในตัวเข็มไม่น้อยไปกว่าคุณพ่อคุณแม่และเข็มเช่นกัน  และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสนใจ  ความใส่ใจในวิชาคณิตศาสตร์ที่มากขึ้น และพัฒนาการทางด้านคณิตศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเด่นชัดของเข็ม...  เป็นสิ่งที่ครูยุ่นปลื้มมาก...

ตามมา..เป็นกระแสเล็กๆ น้องฟ้า เกรด 9..เพิ่งเรียนกับครูยุ่นได้ประมาณ 3 เดือนกว่า แต่มี attitude กับวิชาคณิตศาสตร์เปลี่ยนไป จากเดิมรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ชอบ แต่ตอนนี้ฟ้ารู้สึกเริ่มชอบ..... ได้ chocolate เป็นรางวัลจากครูที่โรงเรียนเนื่องจากสามารถคิดเลขได้เร็วเป็นพิเศษ..^^   และคิดว่าการจะเก่งในวิชาคณิศาสตร์ไม่น่าจะยากเท่าไรนัก....ครูยุ่นก้อขอเป็นกำลังใจให้น้องฟ้า และเชื่อว่าฟ้าทำได้แน่นอน...หากมีความพยายาม...^^

และนี่ก้อเป็นส่วนหนึ่งในการปั้นดินให้เป็นด่าว... งานที่คนปั้นต้องมีทั้งความตั้งใจ  ความอดทน  ความพยายามในการพัฒนารูปแบบ  และรอคอยผลงานที่เราปั้น...ว่าสักวันหนึ่ง...ดินเหล่านี้จะได้เป็นดาวฤกษ์ที่สามารถส่องสว่างด้วยตัวเอง...:)






Friday, November 22, 2013

สิ่งเล็กๆน้อยๆในคุมอง

วันนี้ ครูยุ่นอยากขอแบ่งปันประสบการณ์ในการทำคุมองที่แคนาดาในอีกมุมมองหนึ่ง  ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับครูยุ่นในช่วงสองปีนี้...

เนื่องจากมิสแรนเจ้าของศูนย์ให้ยุ่นรับผิดชอบดูแลทั้งเลขและอังกฤษ   โดยเฉพาะการ guide เด็กในเลขระดับสูงตั้งแต่ H ขึ้นไป  และหากใครได้รู้จักแบบฝึกหัดคุมอง  ก้อคงพอจะเข้าใจว่า จริงๆมันไม่ได้ยากมาก เพียงแต่คำอธิบายน้อยมาก โดยเฉพาะระดับสูง J up บางทีบรรทัดแรกเสร็จ อ้าว..บรรทัดสองมาจากไหนเนี่ย.. งง.. คุมองเค้าตั้งใจ skip ขั้นตอน เพราะเค้าต้องการจะ challenge เด็กว่ามันมาได้อย่างไร ให้เด็กลองคิดดู...ซึ่งส่วนใหญ่..เด็กจะคิดไม่ค่อยออกกัน เพราะบางเรื่องมันเป็นเรื่องของระดับก่อนโน้น  ซึ่งส่วนใหญ่เด็กมักลืมไปแล้ว...

ฉะนั้น..ยุ่นก้อต้องคอยตอบปัญหาและย้อนความทรงจำเหล่านี้กับเด็กๆ  และยุ่นเองก้อพยายามสอนให้เด็กดูตัวอย่างในกล่องสี่เหลี่ยมให้เข้าใจก่อนที่จะมาถามยุ่น...เพราะนั่นคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการเรียนคุมอง  คือ Self Learning....แต่การเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากไม่ฝึก ก้อคงไม่สามารถเกิดได้ง่ายๆเช่นกัน

และที่ศูนย์ก้อมีเด็กที่เรียนระดับ J up น่าจะไม่เกิน 20 คนมั้ง..นอกจากนี้ก้อเด็กระดับ G H I จำนวนหนึ่งเด็กพวกนี้เวลามาเรียน เค้าจะเดินมาหายุ่นเลย  และบอกยุ่นตรงๆว่าเค้าต้องการความช่วยเหลือ  หลังจากที่ยุ่นได้อธิบายจนเค้าเข้าใจและทำได้  ซึ่งตรงนี้ยุ่นคิดว่าสำคัญคือหลังอธิบายเสร็จ ยุ่นจะต้องดูเด็กทำงานจนมั่นใจว่าเด็กเข้าใจในสิ่งที่เราอธิบายจริงๆ  ยุ่นจึงจะปล่อยเด็ก....(อันนี้ก้อเป็นตั้งแต่อยู่ที่ไทยแล้ว  :)

หลายครั้ง..หลังสอนเด็กให้เข้าใจแบบฝึกหัดคุมอง   หากดูว่าเด็กมีแววรับต่อได้  ยุ่นจะให้เทคนิคคิดเร็วกับเด็ก   ยุ่นจะบอกว่ายุ่นไม่ได้คิดแบบนี้นะ  ยุ่นใช้เทคนิคแบบนี้นะ  ถ้าสนใจจะลองเอาไปใช้ดูก้อได้  มันจะเร็วและง่ายกว่า  เด็กหลายคนก้อชอบ และลองเอาไปใช้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง Patrick Guy เด็กนักเรียนเรียนระดับ J ถามยุ่นว่า ช่วยบอกวิธีลัดในการแยก factor ได้มะ ตรง J41 ซึ่งมันค่อนข้างยาก  ยุ่นก้อบอกเค้าตรงๆว่าไม่มีเทคนิค แต่หลังจากที่คุณจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางแล้ว คุณต้องรู้จักสังเกตุ  และเอาตรงนี้มาเป็นเทคนิคในการแยกตัวประกอบ  ก้อบอกเค้าว่ายุ่นมีวิธีดูยังไงและลองให้เค้าทำเอง  พอเค้าได้ลองทำและเข้าใจ  เค้าก้อทำได้เอง แม้นว่าชุดนี้จะยากแค่ไหน  เค้าก้อไม่มาถามยุ่นอีกเลย.. Patrick เป็นเด็กญี่ปุ่น..อยู่เกรด 8 เป็นคนจริงจัง..สุขุม เงียบ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยของเค้าอ่ะ .คือว่ามีวันหนึ่งเค้าไม่มาเรียน  เค้าให้พ่อมาเอาการบ้านที่ศูนย์  พ่อเค้าก้อมาถามหาสุวรรณี   และบอกว่า Patrick ฝากให้มาถามว่าข้อนี้ตอบแบบนี้ได้มั้ย พ่อเค้าก้อชี้ไปที่แบบฝึกหัด J หน้าหนึ่งที่ Patrick ตอบ  ยุ่นบอกได้ พ่อเค้าบอกว่า ผมก้อบอกเค้าว่าได้  แต่เค้าไม่เชื่อผม   เค้าบอกว่าให้มาถามสุวรรณีอีกครั้งหนึ่ง  ว่าสุวรรณีว่าไง......เล่นเอายุ่นยิ้มไม่ค่อยออกเลย..แหะ..แหะ..


วิธีการที่ยุ่น guide หรือสอนเด็กจะเป็นแนวนี้มาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่ยุ่นเข้าใจคุมอง..(.ขอเน้นไม่ได้วันแรกที่ทำคุมองนะค่ะ เพราะตอนแรกยังทำด้วยไม่เข้าใจ....) จนถึงวันนี้   และคุมองที่แคนาดาก้อเช่นกัน   ยุ่นก้อได้ guide และให้เทคนิคต่างๆ  ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย  แต่ในบรรดาเด็กเหล่านี้   จะมีเด็กผู้ชาย 3-4 คนที่เรียนระดับ  J up อันนี้ก้อรวม Patrick ด้วย. และก้อมีเด็กผู้หญิง 2-3 คนแต่ประมาณ H , I ..อึม..ก้อน่าจะอยู่ระดับ high school ที่นี่นะ...( Patrick, Tristan, Andrew, Aaron , Crystal , Jyoti ) พอเราสอนเสร็จเราก้อต้องดูเด็กคนอื่นๆต่อตามหน้าที่ของเรา  ขณะที่ยุ่นกำลัง guide เด็กคนอื่น  เด็กพวกนี้พอเค้าทำงานเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน ก่อนกลับ... เค้าจะเดินตรงมาหายุ่นทุกครั้ง  และพูดกับยุ่นว่า " Suwannee , Thank you so much! " น้ำเสียงและท่าทางที่เด็กเหล่านี้แสดงออกมาคือแบบขอบคุณเราจากใจจริง....หลายครั้ง..ยุ่นเองกำลังสอนก้องง..งง  บางครั้งก้อลืมพูด..You're very welcome...เพราะสมองกำลังคิดเลข กำลังสอน แต่ยุ่นก้อรู้ได้ถึงความตั้งใจของพวกเด็กๆ...และก้ออดโกรธตัวเองไม่ได้...ทำไมต้องงงตอนนั้นด้วยนะ...


สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรียกว่าคำขอบคุณที่เด็กเหล่านี้แสดงออกมาอย่างสม่ำเสมอทุกๆครั้งที่เค้ามาเรียนคุมอง....ยุ่นเองไม่ได้คาดหวังและคิดว่าเราเองมีหน้าที่ที่จะต้องถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ เราก้อทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด  ...แต่การที่เด็กๆเหล่านี้ตั้งใจเดินมาหายุ่นและกล่าวคำขอบคุณจากหัวใจเล็กๆของเค้า   มันมีความหมายกับความรู้สึกของยุ่นมาก...      ทั้งความกตัญญูรู้คุณซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีและอยู่ในตัวเด็กๆเหล่านี้    และความรู้สึกปลื้มใจ  ชุ่มชื่นหัวใจ  และรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าในงานที่เราทำไม่น้อยเลย..^^



Sunday, October 13, 2013

ถนนใน Vancouver โดยคุณพงษ์

เรื่องราวที่ยุ่นจะถ่ายทอดในวันนี้   เป็นเรื่องราวที่คุณพีระพงษ์ มิ่งเชื้อ..หรือที่คนไทยในแวนคูเวอร์และ Burnaby รู้จักกันดีในนามคุณพงษ์  คุณพงษ์และครอบครัวได้มาอยู่ในแวนคูเวอร์ประมาณเกือบ 10 ปีแล้ว

สิ่งหนึ่งที่คุณพงษ์ชอบและสนใจตั้งแต่ตอนเด็กๆคือการอ่านและศึกษาแผนที่  ด้วยความที่เป็นคนช่างคิด  ช่างสังเกตุ  ชอบวิเคราะห์   และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา  วันนี้คุณพงษ์อยากขอแบ่งปันประสบการณ์ด้านนี้ผ่าน blogger ของครูยุ่น  เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยที่ต้องมาใช้ชีวิตในแวนคูเวอร์ หรือมาท่องเที่ยวพักผ่อน...จะได้พอมี idea ในการเดินทางหรือใช้รถใช้ถนนในแวนคูเวอร์บ้าง..

ครูยุ่นจำได้ว่าคำถามยอดฮิตเวลาเด็กๆเรียนเรื่องกราฟ ซึ่งเราก้อต้องเริ่มจากแกน x แกน y  พิกัด x,y หรือที่ภาษาทางคณิตศาสตร์เค้าเรียก coordinate  ก้อคือ เราเรียนกราฟไปทำไมเหรอค่ะ ( ค๊าบ)  เราจะได้ใช้เมื่อไหร่เหรอค๊าบ...ตัวอย่างง่ายๆที่ครุยุ่นนึกออกและมักยกตัวอย่างให้เด็กๆมักเป็นการอ่านกราฟข้อมูลต่างๆเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล   ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สถิติ...  ซึ่งเด็กบางคนก้อบอกว่าหากเค้าไม่ได้ทำงานในสายอาชีพเหล่านั้น... ก้อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แล้วทำไมจึงต้องเรียน....^^  ( หลายๆเรื่องที่เราเรียนก้อเพื่อเป็นพื้นฐานในด้านความคิด และต่อยอดต่อไป  อาจใช้หรือไม่ แต่คือพื้นฐานที่เราควรต้องรู้ )...

แต่วันนี้คุณพงษ์ได้ให้ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่ดีสำหรับการรู้จักพิกัด x,y  และการนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราอย่างชนิดที่ครูยุ่นเองก้อคาดไม่ถึง และเพิ่งได้เรียนรู้จากคุณพงษ์เช่นกัน  ต้องบอกว่าการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์กัน  ทำให้ครูยุ่นเองรู้สึกได้เลยว่าการเรียนรู้นั้นอยู่รอบตัวเราจริงๆ  อยู่ที่ใครจะมีวิธีการเรียนรู้และนำมาปรับใช้อย่างไร...

คุณพงษ์อธิบายให้ฟังว่าที่แวนคูเวอร์เป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองที่ดีมากเมืองหนึ่ง  การวางผังเมืองเป็น block block นั้น ก้อโดยใช้การประยุกต์ใช้พิกัด x,y นั่นเอง อยากให้ทุกคนลองนึกภาพตามนะค่ะ  แกน x เส้นแนวนอน จากซ้ายมือคือ west side ไปยังขวามือคือ East side และเส้นแกน y แนวตั้ง บนคือ north ล่างคือ south...เส้นทั้งสองตัดกัน แบ่งสองฝั่งเป็น west และ east   เส้นแบ่งนี้หรือแกน y  ซึ่งก้อคือ Ontario Street นั่นเอง...

จากเหนือลงใต้จะเป็นเบอร์ถนนจาก 1..2...3 ไล่ไปเรื่อยๆค่อยๆมากขึ้น และเหนือขึ้นไปจากถนน # 1 ก้อจะเข้า down town ซึ่งจะกลายเป็นชื่อถนนไม่มีเบอร์  จากเหนือลงใต้นี้เรามักใช้ชื่อว่า Avenue เช่น  # 41 Ave , # 49 Ave เป็นต้น  ตามเส้นประที่ให้ไว้


                                                              เข้า   Down town

                                                            North     :  Street ( St )

                  Alberta st.       Columbia st        Manitoba st.      Ontario St       Quebec St        Main  st

W 1 ave........................................................................................................................................

W 2 ave.......................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................




W 39 ave........ #201-400 west......#101-200 west......# 0-100 west.....#0-100 East......# 101-200 East......

W 40 ave................................................................................................................................Block.5600

W 41 ave................ .5657>>................................................................................................... E41 ave

W 42 ave....................................................................................................................139 .......Block.5800

W 43 ave.................................................................................................................................... E43 ave.

W 44 ave.................................................................................................................................Block 6000

W 45 ave......................................................................................................................................E 45ave
                                                                  South


จาก west ไป east จะมีถนนตัดกับ Avenue ซึ่งมักเรียก street เช่น Main street, Quebec street , Ontario street เป็นต้น...ในภาพไม่มีเส้นตัดนะค่ะ อาจต้องนึกภาพตามไปด้วยนะค่ะ...

และในแต่ละ block สี่เหลี่ยมจะ run ประมาณ 100 เลขที่บ้าน ซึ่งยุ่นเองก้อสงสัยว่าทำไมบางทีบ้านเลขที่มันกระโดดไม่เรียงกัน เช่น หลังนี้ 103 หลังถัดไป 117 ประมาณนี้...  ซึ่งคุณพงษ์บอกว่าเค้าอาจเผื่อในอนาคตว่าจะมีจำนวนบ้านมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นพวก apartment ก้ออาจต้องใช้เบอร์มากขึ้น เค้าจึงเผื่อไว้เลย block ละ 100 หลังคาเรือน จะเหมือนกันทั้งแนวตั้งแนวนอน

ในแต่ละ block อาจมีทั้งบ้านที่มีบ้านเลขที่ 4 หลัก เช่น 5894 นั่นหมายความว่าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก  และอาจมีบ้านที่มีบ้านเลขที่  1-3 หลัก ซึ่งนั่นก้อคือบ้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศใต้...


เรามาดูตัวอย่างแผนภาพที่เขียน จาก #39 ave - 40 ave ( 2 block ถนนแนวนอน) จะเป็น block 5600 ซึ่งก้อคือบ้านเลขที่ตั้งแต่ 5600-5799 คือหมายความว่า ตั้งแต่ west 39 -40 Ave ยาวตลอดไปจรด East 39-40 Ave ช่วงทุก street คือ Alberta...Columbia..Manitoba...Ontario..Quebec..Main..และต่อไปเรื่อยๆ  ช่วง Avenue เหล่านี้ จะครอบคลุมบ้านเลขที่ตั้งแต่ 5600-5799  และจะเป็น pattern แบบนี้ใน block 5800 ..6000.. 6200 เช่นกัน

และบ้านเลขที่คู่และคี่จะอยู่กันคนละฝั่ง....บ้านเลขที่คี่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก และบ้านเลขที่คู่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก...

คราวนี้เรามาดูแนวตั้งบ้าง..ก้อคือทั้งแนวตั้ง block ระหว่าง columbia  และ manitoba street จะเป็น บ้านเลขที่ 101-200 west  ซึ่งก้อหมายความว่า block ที่มีบ้านเลขที่ตามเบอร์ที่บอกทั้งแนวตั้ง..เป็น pattern และบ้านเลขที่คู่จะหันหน้าไปทางทิศเหนือ  บ้านเลขที่คี่หันหน้าไปทางทิศใต้...

คราวนี้เราลองมาหาตำแหน่งบ้านกันดู   สมมติเราจะไปหาเพื่อนที่เค้าอยู่ที่ 5657 Columbia street , Vancouver เราก้อแบบต้องรู้ก่อนว่า Columbia เนี่ยประมาณฝั่ง West และน่าจะอยู่ประมาณ block 5600  แต่ปัญหาคือแล้ว columbia ตัดกับ # Ave ที่เท่าไร

สำหรับที่นี่เค้าก้อมีวิธีง่ายๆคือเอา 16 ไปลบจากบ้านเลขที่ 2 ตัวหน้า( กรณีนี้ต้องใช้กับบ้านเลขที่ 4 ตัวเท่านั้น )  ฉะนั้น 56 - 16 ก้อได้ 40 เราจะรู้ตำแหน่งคร่าวๆว่า Columbia ตัดกับ # 40 ก้อคือน่าจะอยู่ระหว่าง  west # 40  ave และ west  41 ave  ดังตัวอย่างที่เห็น...

หรืออย่างเราจะไปหาเพื่อนที่  139 East 42 Ave,  Vancouver   เราก้อพอจะมี idea ว่าบ้านนี้ต้องอยู่บน 42 ave และต้องเลย Ontario street  ซึ่งเป็นเส้นที่แบ่งระหว่าง West กับ East  และทาง East คือจุดเริ่มต้น block ที่ 1-100  ฉะนั้นบ้านเลขที่ 139 ก้อคือ block ที่ 2 ( 101-200) ของทาง east...


เราจะเห็นว่าฝรั่งเค้าใช้ระบบพิกัด x,y มาช่วยในการวางผังเมือง ถนนหนทาง อย่างหลังแรก หากเขียนเป็นคู่ลำดับก้อคือ ( columbia,  5657 ) ส่วนหลังที่สองคือ ( 139, west 42 ave)  ซึ่งแกน x แกน y ต้องเปลี่ยนไปตามทิศทางของบ้าน เช่น หากบ้านหันไปทางตะวันตกตะวันออก แกน x ก้อเป็นชื่อ street แกน y ก้อเป็น # เลขที่บ้าน แต่หากบ้านหันทิศเหนือทิศใต้  แกน x ก้อคือ #  เลขที่บ้าน ส่วนแกน y ก้อคือ  Avenue...

ซึ่งครูยุ่นว่าเป็นระบบที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมาก... ( simple is the best )...   ถนนเชื่อมทะลุกันได้ทั้งหมด  นอกจากนี้ในถนนแต่ละสาย จะมีรถเมล์วิ่งเพียงแค่เบอร์เดียว  ยกเว้นถนนใน down town นะ  เช่น เส้น 41 ave ก้อสาย 41 ...หรือ 49 ave ก้อสาย 49  Fraser street ก้อสาย 8 หรืออย่าง Main ก้อสาย 3  เป็นต้น

จริงๆคุณพงษ์ยังมีพูดถึงการหาบ้านใน Surrey อีกนะค่ะ  ซึ่งง่ายกว่าในแวนคูเวอร์อีก...แต่ครูยุ่นอาจค่อยเล่าในโอกาสหน้า... สำหรับถนนใน Vancouver  ซึ่งครูยุ่นได้เรียบเรียงจากคำบอกเล่า และประสบการณ์ตรงของคุณพงษ์  ตามความเข้าใจของครูยุ่น ( คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับที่คุณพงษ์ต้องการจะถ่ายทอด)   คงพอจะทำให้หลายๆคนเข้าใจ   เห็นภาพถนนในแวนคูเวอร์มากขึ้นบ้าง  และเป็นประโยชน์แก่คนไทยที่มีโอกาสต้องมาเที่ยวหรืออยู่ในแวนคูเวอร์ไม่มากก้อน้อยนะค่ะ...:)

Thursday, October 10, 2013

เด็กยุคใหม่ ไม่ธรรมดา

เมื่อพฤหัสที่แล้ว  ขณะที่ยุ่นเดินดูนักเรียน หรือ roaming ในห้องเรียน  ยุ่นได้เจอเหตุการณ์น่ารัก  น่ารัก 2 เรื่องที่ทำให้ยุ่นอดอมยิ้มไม่ได้... และคงต้องบอกว่า เราอย่าคิดว่าเค้าเป็นเด็ก แล้วเค้าจะไม่รู้เรื่องอะไร...เด็กสมัยนี้...ไม่ธรรมดา...เรียกว่าผู้ใหญ่อย่างเราเราเนี่ย ต้องปรับตัว...ปรับหัว...และปรับใจ  เพื่อจะได้ลดช่องว่างระหว่างครูกับลูกศิษย์ .....พ่อแม่กับลูก...ให้เหลือน้อยที่สุด..เท่าที่จะน้อยได้...

เด็กทั้งสองคนเป็นเด็กอินเดียทั้งคู่ และก้อเป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่  คนแรกอยู่เกรด 1    Gunika     เธอทักทายยุ่นระหว่างที่ยุ่น roaming

Gunika :  สุวรรณี  วันนี้ sunny อากาศดีจังเลยเนอะ...
ยุ่น        :  ช่าย  ชั้นชอบ sunny day มากเลย  อาทิตย์นี้ฝนตกทุกวัน ชั้นไม่ชอบวันฝนตกเลย...ฝนตกแล้วมันเปียก เฉอะแฉะไปหมด
Gunika :  อึม...ชั้นก้อไม่ชอบฝนตกเหมือนกัน   ฝนตกแล้วหนาวมากๆเลย  สุวรรณี เธอรู้มั้ย อาทิตย์หน้า sunny ทั้งอาทิตย์เลยนะ  ชั้นชอบมากๆเลย
ยุ่น        :  ช่าย..อาทิตย์หน้าอากาศดีทั้งอาทิตย์เลย  แต่..ยังไง..เริ่มลงมือทำคุมองได้แล้วค่ะ...


ยุ่นอดยิ้มในความฉลาดช่างคุย น่ารัก และรู้เรื่องของเจ้าหนูเกรด 1 คนนี้ไม่ได้  แต่คงต้องหยุดการสนทนาก่อนที่เรื่องราวจะไปกันใหญ่ เพราะพี่ชายที่นั่งข้างๆ ตั้งท่าจะมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคนหนึ่ง......^^

หลังจากนั้น ยุ่นก้อเดินไปเรื่อยๆ  ดูนักเรียนและ guide เด็กตามปัญหาที่ยุ่นได้พบเห็น..และก้อไปสะดุดที่เด็กคู่หนึ่ง  เด็กผู้หญิงเกรด 4 ชื่อ Pritika กำลังนั่ง guide  Manveer เด็กชายเกรด 5 เรื่องการลบเลข  Pritika ก้อแบบพูดใหญ่เลย ว่า  "คิดสิว่า เลขอะไรที่บวก 10 แล้วได้ 14" ( โจทย์ที่ Manveer ติดคือ 14 - 10 = ? )

ยุ่นก้อเลยถาม Pritika ว่าทำไมไม่ทำคุมอง  Pritika บอกว่าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว รู้สึกจะอยู่ระดับ B นะ... ตอนนี้ก้อรอ Manveer เพราะเสร็จจะได้กลับบ้านด้วยกัน..ยุ่นก้อยิ้มและพยักหน้าเข้าใจ  เสร็จ Pritika ก้อสอน Manveer ต่อ

ยุ่นก้อถามต่อว่า  วิธีที่หนูคิดในการลบเลขอ่ะ  ใครสอนหนูเหรอ???

Pritika บอกว่า ไม่มีใครสอน  หนูเจอหลักการคิดแบบนี้ด้วยตัวเอง ตอนที่หนูทำเรื่องลบ  ทำไปทำมาแล้วมันเห็นว่าคำตอบคือเพียงเราหาตัวเลขมาบวกตัวลบแล้วให้ได้ตัวตั้ง  และสังเกตุว่าใช้ได้ทุกข้อ.. หนูเลยใช้วิธีนี้คิดตลอด  มันง่ายมากๆเลยค่ะ...

ยุ่นก้อยิ้ม..และชม Pritika ว่าเก่งมาก...และยุ่นก้อ guide Manveer ด้วยวิธีนี้เช่นกัน  แต่ Manveer ไม่เข้าใจ  เนื่องจาก Manveer ยังบวกเลขไม่คล่อง  การจะทำเรื่องลบด้วยวิธีนี้จึงยากมากสำหรับเค้า    Manveer ได้แต่พูดว่า ไม่เข้าใจเลยว่ายูทั้งสองคนพูดเรื่องอะไร  แล้วเค้าก้อใช้มือของเค้าลบเลข  แต่นิ้วมันไม่พอถึง 14 ไง จึงเป็นปัญหา  เค้าค่อยข้างติดในเรื่องลบมาก  เรียกว่าการทำหนึ่งข้อใช้เวลานานมาก  ซึ่งยุ่นเองก้อได้แต่ guide เค้า แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนงานเค้าได้...Manveer  ทำระดับ A ช่วงลบ 5 แผ่น ทำประมาณเกือบชั่วโมง  มิสแรนให้สอบระดับ A สองครั้งแล้ว  ไม่ผ่านทั้งสองครั้ง เวลาทำนานมาก อีกทั้งข้อผิดเยอะมาก..ดูแล้วก้อสงสาร Manveer มากเลย ..เฮ้อ....


สิ่งที่ยุ่นอยากจะสื่อสารในวันนี้ก้อคือ ในโลกปัจจุบัน สื่อมากมายที่อยู่รอบๆตัวเด็ก อาจทั้งทาง TV  วิทยุ internet  หนังสือ สิ่งพิมพ์ต่างๆ  หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกันของผู้ใหญ่  มันคือ input ที่เข้าสู่ตัวเด็กได้ตลอดเวลา  ซึ่งก้อขึ้นกับเด็กแต่ละคนจะมีวิธีการรับรู้   เรียนรู้  กลั่นกรอง วิเคราะห์ข้อมูล และนำออกมาเป็น output อย่างไร..และสำหรับหลายๆคนที่ได้มีโอกาสทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับเด็กๆ   คงเห็นด้วยกับครูยุ่นว่าเด็กสมัยนี้  ไม่ธรรมดาจริงๆ.. ^-^








Thursday, September 5, 2013

การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด...

เมื่อวานลูกชายกลับจากทำงานที่สนามบินประมาณ 3 ทุ่มกว่า  เค้าก้ออาบน้ำทำเรื่องส่วนตัวเสร็จ  ก้อออกมานั่งคุยเล่นกะยุ่น...

ยีน :  แม่...หากครั้งนี้ที่แม่จะกลับไทยไปเปิดโรงเรียนเอง  แม่ต้อง treat ลูกน้องแม่ดีๆนะ

ยุ่น:  อึม..มีอะไรแนะนำแม่บ้าง...ไหนบอกหน่อยสิ..

ยีน:  แม่ต้องมีความยุติธรรม  อย่าลำเอียง...พูดจากะลูกน้องดีๆ  ใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์  และไม่ใช่ว่าคิดว่าเราเป็นนายจ้าง จ่ายตังส์เค้า  เราจะทำไงก้อได้  แม่ต้องเลี้ยงเค้าด้วยใจ  เหมือนเค้าก้อเป็นส่วนนึงที่ทำให้ธุรกิจของแม่เติบโตได้  แม่ต้องทำให้เค้ารักบริษัทแม่เหมือนที่แม่รักนะ...

ยุ่น: ( ฟังแล้วอึ้งเล็กน้อย แต่ก้อแอบอมยิ้มในใจ ) อึม...แม่จะพยายามทำให้ดีที่สุด  มีอะไรแนะนำอีกมั้ย

ยีน: และที่สำคัญอีกอย่าง กับพวกเด็กนักเรียน..ทุกคนเลยนะแม่  ขอเน้นว่าทุกคน  แม่ต้องชมเด็กๆนะ  อย่าดุหรือว่าเค้าหากเค้าทำเลขผิดเยอะ  สมมติพอเค้าแก้งานเสร็จ  ทั้งๆที่ผิดเยอะ ก้อให้ชมเค้า good job ...well done  อะไรก้อว่าไป แบบเป็นภาษาไทยอ่ะ  ยีนบอกเพื่อนๆ assistant ทุกคนที่เคยเรียนคุมอง  พวกเค้าบอกใช่..ตอนที่มิสติงหรือครูชมแบบนี้ หัวใจพวกเราพองโตเลย  เพราะยีนก้อเป็น  ตอนแม่ชม ยีนรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น... พวกเค้ากะยีนก้อจะชมเด็กๆเวลาเราตรวจงานเค้า....อันนี้สำคัญนะแม่...อย่าลืมคิดถึงหัวใจเด็กๆนะ..

ยุ่น:  อึม...ขอบคุณค๊าบ...จะรับไว้พิจารณาและทำตามค๊าบผม...5555

ยุ่นก้อนั่งฟังและให้เค้าออกความคิดเห็นในส่วนของเค้าให้เต็มที่  สิ่งต่างๆที่ยีนพูดทั้งหมด  เกิดจาก  2 ปีที่เค้าได้ทำคุมองกับมิสติงประมาณ 3 เดือน และที่เหลือจนถึงตอนนี้เกือบ 21 เดือน และเดือนหน้า  ยีนกำลังจะยื่นใบลาออกจากการเป็นพนักงานคุมอง...

สำหรับยุ่น...ตั้งแต่ยุ่นทำกับมิสแรน  ยุ่นเองก้อมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากพนักงานคนอื่นๆ คือไม่รักองค์กรเท่าไร  ทำไปวันๆ  และลึกๆก้ออยากลาออก  เพียงแต่ยุ่นเองก้อใกล้กลับไทยแล้ว  การลาออกแล้วหางานคุมองศูนย์ใหม่  มันไม่ fair เท่าไร สำหรับคุมองที่ใหม่ที่เราจะไปทำ...เพราะเราอาจทำกะเค้าแค่ 5-6 เดือน  แล้วเราก้อต้องไป...แล้วเค้าก้อคงเซ็งและสียความรู้สึก.. ฉะนั้น ยุ่นจึงอดทนและอดทน...

มิสติง..ตลอดเวลา 3 ปีที่ยุ่นทำกะเค้า มีเหตุการณ์รุนแรงที่เค้ากระทำต่อยุ่นครั้งนึง และเมื่อเค้ารู้ว่าเค้าผิด แม้ว่าเค้าจะไม่ขอโทษยุ่นทางวาจาโดยตรง  แต่การกระทำนั้น เค้าทำให้ยุ่นรู้ว่าเค้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเค้าก้อดีกับยุ่นมากๆ  จนถึงทุกวันนี้แม้ว่ายุ่นจะไม่ได้ทำงานกับเค้าแล้วก้อตาม

มิสติง..ทำแบบนี้กับลูกน้องคนอื่นๆด้วย  คือมิสเป็นคนที่ยุติธรรม ไม่มีการลำเอียงกับลูกน้อง ผิดก้อว่าผิด เป็นคนที่ fair กับลูกน้อง  เนื่องจากมิสใช้ระบบแบบ honor system ให้เด็กเขียนลงเวลาทำงานตามที่ตัวเองทำจริง...จะเขียนเท่าไรก้อเขียนไป  ชั้นไว้ใจพวกเทอ...และยื่นใบเวลาทุกสิ้นเดือน  เมื่อเด็กทำงานเสร็จ จะออกจะกลับก้อขึ้นกับเด็ก ไม่เคยไล่ลูกน้องให้รีบรีบกลับหลังเสร็จงาน  ซึ่งปรากฎว่ามีเด็กมากมาย ลืมส่งใบเวลา  จนมิสต้องเป็นคนมาตามว่าจะเอาเงินค่าจ้างมั้ยเนี่ย  ชั้นติดเทอหลายเดือนแล้ว.. และเวลาครูผู้ช่วยจะกลับบ้าน say goodbye กะมิส  มิสจะ thank you ทุกๆคน  แบบเป็น culture ของมิสติงเลย   .และทุกสิ้นปี มิสจะรวมพลลูกน้อง  เลี้ยงอาหารช่วงคริสมาสเพื่อให้รางวัลกับทุกๆคน  และทำให้เด็กๆมีเวลาสังสรรค์  พักผ่อนร่วมกัน...

แต่หากเราดูในเรื่องระบบการทำงาน  เนื่องจากมิสติงเป็นคนรุ่นเก่า  อายุมิสก้อ 65 แล้ว ฉะนั้นมิสจึงทำงานแบบแนว manual เป็นส่วนใหญ่  ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เข้ามามากมาย   และการทำงานไม่ค่อยมีการกระจายงานออกไปเท่าไร  มิสจะส่งงานให้คนที่ไว้ใจเท่านั้น  ซึ่งจะมีเพียง 2-3 คนในศูนย์  ซึ่ง 2-3 คนนี้จะเหนื่อยมากหน่อย  แต่มิสก้อให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าคนอื่นๆ...

ส่วนมิสแรน..เป็นคนที่ทำทุกสิ่งอย่างเป็นระบบ  ซึ่งในช่วงแรก ผู้ช่วยทุกคนจะรู้สึกว่าดี มีระบบ  มิสแรนเปลี่ยนระบบใหม่ทุกอย่าง ซึ่งบางเรื่องก้อเป็นสิ่งที่ดี  การเข้างานใช้การเช็คชื่อเข้างาน โดยทุกคนต้องไปเช็คชือเข้า และออกจากงานที่โต๊ะคอม...แต่สิ่งหนึ่งที่มิสแรนเค้าแตกต่างจากมิสติงคือ  เค้า treat ลูกน้องแบบลูกจ้างจริงๆ  คือใช้งานเสร็จ ตามเป้าหมาย  จะไล่ให้ลูกน้องรีบกลับบ้าน ไปเช็คชื่อด่วน  หากวันไหนต้องการความช่วยเหลือ  ก้อบอกให้ช่วยถึงเวลานั้นเวลานี้  หากวันไหนไม่มีงานก้อไล่ลูกน้องบอกวันนี้เสร็จ ให้รีบเช็คชื่อออก...

คราวนี้...ไอ้คนที่ถูกกระทำ มันก้อไม่ happy เป็นธรรมดา  ยุ่นเอง เคยเจอครั้งหนึ่งกับตัวเอง สะอึกเหมือนกัน  ครั้งนั้น  งานตรวจเยอะมาก  ครุผู้ช่วยก้อช่วยกันตรวจอย่างขะมักเขม้น  ปรากฎไม่มีคนไป key ข้อมูล  ช่วงนั้นยังเป็นช่วงแรกๆ สัก 3 เดือนแรกที่มิสเข้ามา  วันนั้นครูผู้ช่วยที่อยู่  ส่วนมากยังไม่เคย key คอม...ยุ่นก้อเลยคิดทำไงเนี่ย  เราไป key ก้อแล้วกัน  เพราะไม่งั้น ตรวจเสร็จไม่ key ก้อยังกลับกันไม่ได้  ยุ่นก้อนั่ง key แต่เนื่องจากยุ่นเพิ่งทำไม่กี่ครั้ง ความคล่องจึงยังไม่เกิด  แต่มันก้อค่อยๆดีขึ้น ปรากฎ มิสแรนเค้าเห็นเรา key เค้าพูดว่า สุวรรณี เทอไม่ต้อง key ให้คนอื่นทำ เทอไปทำงานตรวจดีกว่า  เด๋วชั้นกลับบ้าน key เอง คือน้ำเสียงที่เค้าพูดแบบเชิงตำหนิเราว่าทำไมมาทำงานที่ตัวเองไม่คล่อง  ชั้นจ่ายเงินเทออยู่นะ....ไม่รู้นะ  ยุ่นรู้สึกได้... อารมณ์ตอนนั้นคือเรารู้แล้วว่า เค้าไม่พอใจเรา....แต่ใจเราไม่ได้คิดแบบเค้า คือเราอยากให้งานทุกอย่างจบ  และยุ่นก้อคิดว่ายุ่นก้อนั่งทำงาน ไม่ได้นั่งอู้... และหากให้เวลาเรานิดนึง เราก้อสามารถ key ได้เร็วขึ้น คืองานพวกนี้มันเป็น skill...แต่เนื่องจากเค้าเป็นคนที่ค่อนข้างงกกะลูกน้องมาก....ยุ่นก้อเลยบอกตัวเองว่า..เราต้องรู้ว่าเราควรจะอยุ่ตรงไหน...นับจากนี้

ขนาดยุ่น..ซึ่งเรียกว่าเค้าเกรงใจสุดแล้วยังเจอขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ซึ่งเค้าคิดว่าเป็นแค่ marker เค้าจะ treat แบบไม่เกรงใจเลย  เรียกว่า team work เก่าทั้งหมดของมิสติงที่เคยอยู่กะมิสติงมาเป็นเวลา 6-7 ปี  ไม่ลาออก..เมื่อเดือนที่แล้ว  จะว่าไปก้อคล้ายๆนัด เพราะเด็กๆคงคุยกัน  ออกกันยกทีม 5 คนรวด  แต่เค้าก้อแจ้งล่วงหน้า 2 อาทิตย์นะ  มิสไม่แคร์รับผู้ช่วยใหม่เข้ามาสำรองอีก 10 คน...มิสบอกหา marker ไม่ยากหรอก เรื่องเล็ก...ใครใครก้ออยากทำ...

และเดือนหน้าลูกชายยุ่นกะแฟนเค้าก้อจะลาออกเช่นกัน  ก้อด้วยความที่เค้าทนกับความไม่ fair และการกระทำหลายๆอย่างไม่ได้  ยุ่นไม่ว่าเค้านะ  เพราะยุ่นก้อเห็นในสิ่งนั้นด้วย  มิสเค้าไม่ชอบเด็กผู้ชาย เค้าจะชอบเด็กผู้หญิงมากกว่า  และคนที่ทำประโยชน์ให้เค้ามากกว่า  เด็กผู้ชายเค้าจะให้ตรวจงาน ยกของ ดูดฝุ่นทำความสะอาด  เด็กผู้หญิงเค้าจะให้ทำงานพวกคอมพิวเตอร์  โทรศัพท์ และงานพวก office อ่ะ  นอกจากนี้  นิสัยที่มิสเป็นมากคือเมื่อได้ในสิ่งที่ตัวต้องการ  จะรีบบอกเด็กเลยว่า เสร็จแล้วรีบไปเช็คชื่อออกเลยนะ  แบบว่า ไม่มีศิลปะในการบริหารเลยอ่ะ... ไม่ concern ความรุ้สึกของลุกน้องเลย...

ตอนนี้ออกกฎใหม่คือ คนที่เข้างานก่อนเช่น 3 ครึ่งช่วง 6 ครึ่งเตรียมตัวเก็บงาน  ให้แค่ 7 โมง หากอยู่ต่อไม่จ่ายเงิน  คนเข้า 4 โมง ช่วยได้ถึง 7:30 และจ่ายแค่นั้น  งานเหลือหลังจากนั้นเค้าจะให้งานผู้ช่วย 2คนเท่านั้นที่ยังคงตรวจงานต่อ  นอกนั้นกลับได้  แต่ไงอ่ะ  ใครจะอยากเป็นไอ้สองผู้ช่วยนั้น  ที่ตรวจงานกองโตเพียง 2 คน  ในขณะที่เพื่อนๆกลับหมด  และเค้าก้อหิวข้าวด้วย...ซึ่งหากเราให้เด็กๆช่วยกัน  งานจะเสร็จไวกว่า ผู้ช่วยเองก้อรู้สึกดี  เป็น team work  และไม่ได้ถูกทิ้งให้ทำงานมากมายเพียงลำพัง  เพราะอย่าลืมว่าเวลาที่เค้าต้องทำต่อคือถึงดึก   เด็กๆก้ออยากกลับบ้านไปกินข้าว พักผ่อน...

และยุ่นก้อได้ข่าวว่าจะมีอีกคนออกเช่นกัน  หากคนนี้ออก ก้อเรียกว่าหมดทีมของมิสติง อ๋อ เหลืออีกหนึ่งคน ซึ่งมิสแรนเค้าชอบมาก  เค้าให้ดูแลงานด้านคอมพิวเตอร์ทั้งหมด  และไว้ใจมาก  เด็กคนนี้ก้อเรียกว่ารู้งาน  คือยุ่นก้อสังเกตุ  เค้าจะไม่ตรวจงานเลย และจะทำตัวเองให้ยุ่งๆตลอด....ยุ่นเคย key งานในวันเสาร์กับเค้า ทำคนละเครื่อง  เค้าทำช้ากว่ายุ่น   และเค้าจะค่อยๆทำงานไปเรื่อยๆ  ไม่มีการพะวงเรื่องเวลา  เพราะมิสแรนบอกเค้าว่าของเค้า unlimited  ขนาดของยุ่นมิสยังบอกเลยกี่โมงก้อกลับได้แล้ว... แต่ก้อนั่นแหละ  ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่นต้องไปบอกใคร  ให้มิสเค้ารับรู้ด้วยตัวเค้าเองจะดีกว่า...

และมิสแรนไม่เคยที่จะคิดพาครูผู้ช่วยไปกินข้าว แต่ก้อยังดีที่มีสั่ง พิซซ่ามาเลี้ยงช่วงที่ train  แต่เค้าไม่เคยมีความคิดจะพาออกไปกินนอกสถานที่...เพื่อสังสรรค์นั่งคุยกะครูผู้ช่วย....

อึม..มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งยุ่นว่า เป็นอะไรที่ทำให้เราเห็นความใส่ใจในตัวลูกน้องที่แตกต่างกันของมิสทั้งสองคือ  การจ่ายเงินค่าจ้าง มิสติงพอสิ้นเดือนเด็กทุกคนส่งใบเวลาให้มิส จากนั้นครั้งต่อไป ซึ่งก้อคือขึ้นเดือนใหม่ แบบต้นเดือนเลย  มิสจะจ่ายเช็คให้ทันที  หรือหากมิสติงจะต้องไม่อยู่  พักร้อนในอาทิตย์แรกของเดือน  มิสติงจะเอาสมุดเช็คมาที่ศูนย์  และจ่ายในวันสุดท้ายวันนั้นเลย  นี่คือสิ่งที่ยุ่นเห็นตลอดสามปีที่เป็นลูกน้องมิส....และหากมิสจะให้ยุ่นไปซื้อของอะไรของที่ศูนย์  ซึ่งน้อยมาก แค่สองครั้ง เค้าจะให้เงินสดยุ่นมาก่อนเลย   เหลือเท่าไร ก้อทอนมาพร้อมใบเสร็จ

ส่วนมิสแรน  คือยุ่นไม่แน่ใจว่า เค้าไม่ concern หรือเค้า organized ไม่ดี  หรือนั่นคือระบบของเค้า  คือเค้าจะให้ลูกน้อง check in - check out ในคอมอยู่แล้ว  ฉะนั้นทุกอย่างก้ออยู่กับเค้า  แต่การจ่ายเงินนั้น  ช้ามากๆ  คือตอนแรกๆที่ทำ  ยุ่นก้องงว่า..เอ..ทำไมผ่านไปอาทิตย์แรกของเดือนใหม่ยังไม่จ่ายเงิน  เค้าจะจ่ายประมาณวันที่ 8-9 ของเดือนใหม่  โดยจ่ายเป็นเช็ค  แต่ช่วงหลังเค้าจะจ่ายแบบเข้าบัญชีในธนาคารให้ลูกน้องเลย  ทีแรกยุ่นก้อคิดว่าสงสัยน่าจะเร็วขึ้น  แต่ปรากฎเท่าเดิม คือวันที่ 8-9 ของเดือนใหม่...ซึ่งสำหรับยุ่น..ตอนยุ่นเป็นนายจ้าง ยุ่นก้อไม่ได้ทำแบบนี้  ยุ่นจะจ่ายภายในสิ้นเดือน หากช้าที่สุดก้อไม่เกินวันที่ 1 ของเดือนถัดไป  เพราะลูกน้องเราเค้าทำงานให้เราล่วงหน้า 1 เดือนแล้ว  ยุ่นคิดว่าเราเองเหมือนได้งานมาก่อน  พอหมดเดือนเราก้อต้องรีบเคลียร์ให้เค้า...

อีกเรื่องซึ่งยุ่นจะอึดอัดมากๆคือเวลาที่มิสแรนให้ยุ่นไปซื้อของเข้าศูนย์ หรือไปปั๊มกุญแจให้เค้า    เค้าจะให้ยุ่นออกเงินไปก่อน เพราะเค้าบอกว่าเค้าไม่มีเงินสด  เวลาจะให้เราทำอะไร เค้าก้อพูดย้ำอยู่สามสี่รอบ  สุวรรณีอย่าลืมนะ อย่าลืม  เราไม่มีกุญแจสำรองแล้ว  แต่พอเรารีบทำมาให้ พร้อมใบเสร็จ  เค้ากลับนิ่ง  นิ่งจริงๆ  เงียบไปประมาณหนึ่งอาทิตย์  จนเราคิดว่าเค้าลืมหรือเปล่า เพราะเค้ายุ่งๆตลอด  คือเค้าไม่พูดเลยจนเราต้องเป็นคนถามว่าค่ากุญแจคุณไม่ลืมใช่มะ...ประมาณนั้น  แบบอึดอัดมากเลยอ่ะ  และเป็นทั้งสามครั้งที่ยุ่นไปปั๊มกุญแจ   ไม่เข้าใจจริงๆ..หลังจาก remind เค้า  ครั้งหน้าเค้าจึงจะเอาเงินมาคืนให้   ล่าสุด...คืนยุ่นเป็นเช็ค  ยุ่นก้องง  เราออกไปเป็นเงินสด  ทำไมคืนเป็นเช็ค  ประมาณ 17 เหรียญ  ค่าเช็คที่นี่ก้อประมาณใบละ เหรียญมั้ง  เรางงว่าจะคุ้มเหรอ  แต่เค้าบอกมันเป็นค่าใช้จ่ายในบริษัทเค้า...

นอกจากนี้ ยีนเองคงเห็นเด็กนักเรียนที่ศูนย์ suffer กับงานที่มิสแรนให้มาก  เนื่องจากงานแก้เยอะ งานที่ต้องทำในแต่ละวันก้อมาก  เด็กก้อร้องไห้กันเยอะขึ้น เค้าจึงเตือนยุ่นให้ระวังในสิ่งเหล่านี้หากจะไปทำโรงเรียน  ซึ่งก้อต้องถือว่าเป็นคำแนะนำที่ยุ่นมองข้ามไม่ได้...

ยีนพูดอีกประโยคหนึ่งซึ่งยุ่นประทับใจเค้ามาก  เค้าบอกว่า ยีนเองอาจไม่ได้ทำงานกับมิสติงนาน  ยีนก้อไม่รุ้นะว่าจริงๆมิสติงเป็นอย่างไร  แต่ยีนคิดว่านะ  พวกครูผู้ช่วยที่ทำงานกับมิสติงมาเป็นเวลาถึง 6-7ปี บางคนแม่บอกเป็น 10 ปี  มิสคงต้องมีอะไรที่ผูกใจเด็ก  แต่มิสแรนมาเพียง 2 ปี  ผู้ช่วยของมิสติงที่อยู่กันมายาวนานออกหมดทั้งทีม แต่เค้าเองก้อยังไม่พิจารณาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับศูนย์เค้า   สำหรับยีน หากคุณมีกิจการใหญ๋โต ร่ำรวย แต่ไม่มีลูกน้องที่รักคุณ ที่คุณสามารถไว้ใจได้  คุณก้อต้องทำงานของคุณไปแบบเหนื่อยๆอย่างนี้เพื่อเงินตัวเดียว  หาลูกน้องใหม่ไปเรื่อยๆ   เพื่ออะไร   บริษัทแบบนี้ยีนไม่อยากทำด้วย   และหากยีนเป็นเจ้าของ  ยีนก้อไม่อยากมีบริษัทที่ไม่มีลูกน้องรักเลย...

และนี่ก้อเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งที่ลูกชายยุ่นได้จากการทำงานที่คุมอง  การที่เราเจอนายจ้างที่ไม่ดี  ก้อได้สอนและให้มุมคิดกับเราเช่นกัน อะไรที่เราไม่ชอบ เราเคยถูกกระทำ... เราก้ออย่าทำเหมือนเค้าณ. วันที่เราต้องอยู่ในจุดของเค้า...  ...ในดีมีไม่ดี  และแน่นอนในไม่ดีก้อมีสิ่งที่ดี

Wednesday, September 4, 2013

ครูตัวจริง

ช่วงปิด summer ยุ่นได้มีโอกาสสอนเด็กเล็ก 3 คน  กำลังจะขึ้นเกรด 4 หนึ่งคน และกำลังจะขึ้นเกรด 6 สองคน  ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไป หลังจากได้สอนพิเศษเด็กแบบเดี่ยวๆ  และยุ่นไม่เชื่อใน concept ของคุมองว่าต้องทำบวกอย่างเดียวจนคล่อง แล้วลบอย่างเดียว แล้วคูณ.....แล้วหาร...ยุ่นเลยลองประยุกต์หลักการตามความคิดและประสบการณ์ที่เราได้ดูนักเรียนมา...แต่ก้อยังคงใช้หลักการที่ว่าต้องเริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ  และค่อยๆยากขึ้นวันละนิดวันละหน่อย...( อันนี้หมายถึงในเด็กโต  ที่ได้เรียนการบวก ลบ คูณ หารมาจากโรงเรียนแล้ว หากเด็กเล็กๆ..ก้อคงต้องเข้าทีละทักษะ)

แนน  เกรด 4  จากเริ่มต้นจะบวกได้ค่อนข้างดี แต่การลบไม่คล่อง และสูตรคูณไม่ได้  ยุ่นจะให้ทำไปพร้อมๆกันทุกวัน โดยให้การบ้านฝึกการบวกที่คล่องอยู่แล้ว  และให้ทำลบด้วยโดยเริ่มจากง่ายๆ  นอกจากนี้เด็กต้องท่องสูตรคูณแบบเขียนออกมาทุกวัน  และเป็นการเขียนแบบ random ร่วมด้วย

ขิม &ขวัญ ก้อเช่นกัน บวกโอเค แต่ลบจะสู้บวกไม่ได้  สูตรคูณก้อไม่คล่องเช่นกัน  การบวกลบเลขจะต้องเขียนทด เขียนยืม สูตรคูณประมาณถึงแม่ 4  หารทำไม่ได้ มีปัญหา ไม่เข้าใจ  ยุ่นก้อให้การบ้านรวมมิตร โดยแก้ตามจุดอ่อนของเด็กแต่ละคน  บวกให้ทุกวัน และมีสลับลบ  เด็กต้องดูเครื่องหมาย  ช่วงแรกให้งาน...เด็กยังเขียนทดยืม  แต่พอเราดูว่าเค้าเริ่มเข้าที่  ยุ่นก้อสอนให้เค้าลองคิดในใจ ไม่เขียนทดยืม  สูตรคูณทุกวัน ค่อยๆเพิ่มวันละ 1 แม่ จนครบ 9  และ random ด้วย...

ผลที่ออกมา สำหรับยุ่น ยุ่นค่อนข้างพอใจนะ  น้องแนนเห็นผลไม่ชัด เพราะเรียนไม่ต่อเนื่อง   ช่วงกำลังเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น    แนนหยุดเรียนติดต่อกันสองอาทิตย์   เลยไม่ได้ให้การบ้านประมาณ  10 วันทำให้สัปดาห์สุดท้ายเห็นภาพไม่ชัดเจน

แต่ขิมกะขวัญเรียนต่อเนื่อง ไม่หยุด  มาสัปดาห์ละ 1 วันเหมือนแนน  แต่ยุ่นให้การบ้านเพื่อปรับพื้นฐานแต่ละคน ซึ่งเด็กๆจะทำการบ้านอย่างเคร่งครัด น่ารักมาก  ผลที่ได้ค่อนข้างชัดเจน  ขนาดตัวเด็กเอง ยังรู้สึกได้เลยว่าเค้าคิดเลขได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น  รวมทั้งสามารถคิดในใจได้อย่างสบายๆ  ทั้งๆที่ทีแรกมา คิดช้า และเขียนทดด้วย...

สูตรคูณ เอาการกันจนคล่อง  พอยุ่นเริ่มมั่นใจ  ก้อสอนหาร  ปรากฎว่าขิมและขวัญสามารถทำหารได้อย่างสบายๆ  เทียบกับตอนแรกที่มา ให้สอบ หารทำไม่ค่อยได้  แต่พอสูตรคูณแม่น  บวกลบแน่น  หารก้อเป็นเรื่องไม่ยากเกินไปสำหรับเด็กๆ...


ยุ่นคิดว่าการที่เราให้เด็กฝึกหลายๆทักษะนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการฝึกให้เด็กต้องดูเครื่องหมาย ต้องมีความรอบคอบ  ต้องมีการเปลี่ยนหัวบ้าง ไม่ใช่ทำตามเคยชินเท่านั้น  อย่างเช่นเด็กคุมองเวลาบวกก้อจะบวกแหลก  ลบก้อแบบลบเพลินจนลืมบวก  พอคูณก้อคูณจนลืมลบ  เพราะคูณใช้ทักษะบวกด้วย  พอหารก้อหารกันจนลืมเรื่องคูณอะไรประมาณนี้  ซึ่งยุ่นว่าอย่างเด็ก grade 6 เค้าก้อทำได้ทุกทักษะอยู่แล้ว เพียงแต่หากอันไหนด้อย เราก้ออาจเสริมให้มากหน่อย  แต่ควรไปพร้อมกันทุกทักษะ  ซึ่งจากการทดลองให้งานเด็กแบบนี้  ยุ่นว่า work กว่าของคุมอง  เพราะเปรียบเทียบกับนักเรียนคุมองที่เรียนที่ศูนย์ เช่นเด็กอยู่ เกรด 5 เกรด 6 ทำบวกอย่างเดียว  บางทีก้อมีทำเป็นคูณ  หรือพอทำไปนานๆ  เข้าเรื่องลบ เด็กจะชะงักงันอย่างแรง.  ไปไม่ถูก ทั้งๆที่เค้าก้อเรียนมาจากโรงเรียนแล้ว..ประมาณเหมือนการสลับสับเปลี่ยนหัวจะช้าพอควร...

และที่สำคัญ ยุ่นไม่ได้เน้นเรื่องการจับเวลาเหมือนคุมอง เพราะยุ่นต้องการให้เด็กทำงานให้เรียบร้อยและที่สำคัญคือการแสดงวิธีทำ  วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องการความเรียบร้อย  ไม่ใช่ไก่เขี่ย  หากการเริ่มต้นเป็นแบบไม่เรียบร้อย การเปลี่ยนนั้นจะยากมากๆ...และการแสดงวิธีทำคือคะแนนและตัวบ่งชี้ว่าเค้าเข้าใจในแต่ละเรื่องมากน้อยแค่ไหน มากกว่าเน้นที่คำตอบเท่านั้น  ยุ่นว่านะ เวลาที่เราจับเวลา จะทำให้เด็กไปสนใจแต่เวลา และลืมเรื่องความเรียบร้อย ความรอบคอบในการทำงาน การแสดงวิธีทำ    ในความเป็นจริงเวลาสอบ  เวลาที่เค้ากำหนด  ก้อไม่ได้แบบกดดันเด็กขนาดนั้น  คือมันเป็นเวลามาตรฐาน  ฉะนั้นจึงไม่ใช่แค่ความเร็ว  และความถูกต้องก้อเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่ควรมองข้ามเช่นกัน...

และจากการสังเกตุ ขิม และขวัญในการคิดเลข  ไม่แพ้เด็กคุมองเลยในเรื่องความเร็ว  แต่เราได้เห็นความเรียบร้อยในการทำงาน  และความถูกต้องมากกว่ามาก...

หากเด็กมีวินัยในการทำการบ้าน ฝึกฝนสม่ำเสมอ ตั้งใจทำงาน  เค้าจะสามารถคิดเลขได้คล่องแคล่วและแม่นยำโดยธรรมชาติและอัตโนมัติ  เราอาจบอกเค้าได้ว่า การบ้านที่เราให้ใน  1 วันเราคาดหวังให้เค้าควรทำภายในเวลาเท่าไร  เช่น 20 นาทีทุกวัน และให้เค้าพยายาม control ตัวเองให้ทำงานในเวลาที่กำหนด...

สิ่งที่ยุ่นได้นำมาปรับใช้กับเด็กนักเรียนรุ่นใหม่ๆที่เข้ามาเรียน  ส่วนมากจะเกิดจากประสบการณ์ในการที่เราเห็น สังเกตุ  และเคยเดินผิดพลาดในเด็กนักเรียนรุ่นก่อนๆ   เช่น  การสอนคุมองซึ่งไปมุ่งเน้นจับเวลาทำให้เด็กไม่มี step ในการทำงาน  พะวงแต่ความเร็ว  ทำงานไม่เรียบร้อย...ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิดมากๆ  ยิ่งสำหรับที่นี่ แคนาดา เค้าให้คะแนนที่วิธีการในการหาคำตอบ มากกว่าคำตอบ  แต่ยุ่นเองก้อจำได้ว่าแต่ก่อนตอนเด็กๆครูยุ่นเค้ากอ้เน้นขั้นตอนในการหาคำตอบเช่นกัน  ก้อต้องเรียกว่าเราเองก้อหลงทางไปกับคุมอง  (  ซึ่งญี่ปุ่นบางครั้งเค้าอาจคิดว่าเค้ากำลังผลิตหุ่นยนต์สมองกลอยู่   และเราก้อตามเค้า เพราะคิดว่าเค้าเก่งกว่าเรา...)  โดยลืมกลับมามองสิ่งที่ดีที่เราได้เคยถูกฝึกฝนมาและนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับเราเอง ซึ่งเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่ได้ผลเสมอ...

อีกเทคนิคหนึ่งที่ดีมากสำหรับการเรียนรู้ทุกวิชาก้อคือ การหาจุดที่ผิดให้ได้ก่อนทำการแก้ไข  อันนี้ยุ่นว่าใช้ได้ตลอดชีวิตของเราเลยอ่ะ..ไม่ใช่เพียงการเรียนเท่านั้น ในการทำงานก้อเช่นกัน.....และเราจะเห็นพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน  เมื่อเทียบกับการที่ยังไม่ได้ดูอะไรเลย เห็นว่าผิดก้อลบทันที...จะทำให้เด็กไม่เกิดการเรียนรู้เลย...

จริงๆเทคนิคเหล่านี้ก้อเป็นสิ่งที่ยุ่นเคยบอกเล่าเสมอมา  เพียงแต่วันนี้ยุ่นก้อยิ่ง confirm ว่ามันใช่ และมาถูกทาง  เพราะเราสามารถประเมินผลงานการสอนของเราผ่านตัวเด็กนักเรียน...ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กๆก้อคือครูตัวจริง และครูที่ดีของครูทั้งหลายนั่นเอง...^^

Monday, August 5, 2013

จินตนาการของคุณครูรุ่นจิ๋ว

วันนี้มีเรื่องน่ารักน่ารักของลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว น้องแนนกำลังจะขึ้นเกรด 4 มาเรียนเลขช่วง summerกับครูยุ่น และด้วยความเป็นน้องรุ่นจิ่ว ครุยุ่นจึงต้องมีเทคนิคในการสอนที่ไม่เหมือนพวกพี่ๆเท่าไรนัก...

ขณะที่สอนแนน ก้อต้องเหมือนเล่นกับแนนไปด้วย เพื่อให้แนนไม่เบื่อ และมีความสนใจในคณิตศาสตร์ไปพร้อมๆกัน บางครั้งก้อสลับกันเป็นครูเป็นนักเรียนกัน  และเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แนนบอกแนนขอเป็นครูบ้างนะ แนนจะขอให้การบ้านครูยุ่นบ้าง..สลับกัน  ครูยุ่นบอกได้เลยค่ะ จัดไป...

วันนี้มา..ด้วยความตั้งใจในการจัดการบ้านมาให้ครูยุ่นทำ เห็นคุณแม่เล่าให้ฟังว่าแนนตั้งใจคิดการบ้านมากเลย  นั่งเงียบคิดการบ้านให้ครูยุ่น  คือแนนก้อเลียนแบบครูยุ่นคือให้การบ้านทุกวัน วันที่ 1...วันที่2...ไปถึงวันที่ 5 ประมาณนั้น ในแต่ละวันก้อจะมีโจทย์เลขต่างๆ ส่วนมากจะเป็นโจทย์ปัญหา   ซึ่งน้องแนนพยายามคิดโจทย์ขึ้นมาเอง ด้วยคำพูดตัวเอง  นอกจากนี้ยังมีทำ answer key ด้วยนะ  ไม่ธรรมดาเลย คุณครูแนนรุ่นจิ๋ว..

ยกตัวอย่างเช่น day 1 ( Monday) One family has 16 people, how many is 3 whole families altogether? Show your work.............

day 3 ( Wednesday) There are 108 people on a plane 53 people are from China. 10 people are from Thailand, 20 are from america. How many are from Canada ? Ans :......................

There are 110 km  from BC to Richmond, we dived ( น่าจะเป็น drive มากกว่า) 66 km, how many km until we get to Richmond? Ans:.........

แล้ววันสุดท้าย มีการแบบ Verse แต่แนนสะกดเป็น Vurse 1 :
" I love coffee, I love math, also I love NAN's Math!!"   แถมเน้นด้วยหมึกแดงว่า Remember these please...ครูยุ่นว่าคล้ายๆ motto หรือคำโฆษณาให้มาเรียนกะครูแนนอะไรประมาณนั้นอ่ะ...มีหัวทางธุรกิจซะด้วย!!! ร้ายจิงจิง...


นอกจากนี้  ขณะที่ให้ยุ่นลองทำการบ้าน แนนจะมีคั่นรายการด้วยการเล่นเกมส์บวกเลข  โดยเป็นเกมส์ที่แนน create ขึ้นมาเอง  เค้าเอากระดาษแผ่นนึงออกมา แล้วก้อบอกว่า ดูตามนี้  ถ้าเลข 10 - Jump เลข 5- Peek เลข 2 Boo.. เลข 7- A   เลข 8- Run   เสร็จเค้าก้อถามยุ่นว่า 4+6 is 3...2..1...เราก้อต้องพูดว่า Jump ก่อนจบคำว่า 1...หรือเช่น  13-5 is  3..2..1....เราก้อต้องรีบตอบ คำว่า Run เกมส์นี้เค้าคิดขึ้นมาเอง แบบว่า creative สุดๆเลย ครูยุ่นชอบมากๆ...5555

เสร็จ..ก้อให้เราทำเลขของเค้าไปอีก แล้วก้อบอกว่า now you have to study these!! เราก้อแบบอ่านไป ไม่ได้สนใจ เสร็จ แนนก้อบอกว่า then you say all you just studied. ครูยุ่นก้องง บอกอ้าว   ไม่เห็นบอกให้จำ แนนบอก  when you study means you have to remember what you studied , right? so listen to me again.. " I like Nan , I love Math. Of course I love Nan's Math!!!" แล้วยุ่นก้อแบบกำลังขำ ก้อไม่ตั้งใจฟังอีก ก้อจำไม่ได้อีก เค้าก้อพูดอีกครั้ง  แล้วบอกให้เราพูดเอง...จนกระทั่งเราพูดถูกแหละ  ครูแนนจึงให้ผ่าน..ฮามากมากเลยอ่ะ..

เสร็จ เค้าก้อบอกเค้าขอคุยกับผู้ปกครองเราหน่อยนะ เพราะตอนครุยุ่นให้การบ้านก้อคุยกับแม่ของแนน เสร็จเค้าก้อไปคุยกับสามีครูยุ่นและบอกว่า ช่วยดูแลให้นักเรียนทำการบ้านทุกวันตามที่ให้งานด้วยนะ..

เล่นเอาผู้ใหญ่หัวเราะกันท้องแข็งเลยอ่ะ!!!

สุดท้ายก่อนกลับบ้าน  ครูแนนเราเด็ดขาดมาก  เค้าหยิบกระดาษออกมาใบหนึ่ง คล้ายๆนามบัตร.. ในนั้นเขียนว่า " Nan Teacher of  Everyone!!! ".....ส่งให้ยุ่นพร้อมบอกว่าช่วยแนะนำนักเรียนให้ครูแนนได้นะ หากใครสนใจ...ขนาดคุณแม่น้องแนนเองยังงงเลย น้องแนนให้กระดาษอะไรอ่ะ...และพวกเราผู้ใหญ่ก้อหัวเราะชอบใจในความคิดสร้างสรรค์ของครูแนนมือใหม่ของเราจริงๆ...

และนี่ก้อคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากนักเรียนตัวจิ๋ว  การเปิดโอกาสให้เค้าแสดงความเป็นตัวของตัวเองแบบไร้รูปแบบ  แนนเค้าก้อไปนั่งคิดของเค้าเองว่าเค้าต้องการให้ครูยุ่นทำการบ้านแบบไหน เค้าเขียนเองหมดเลยนะ  เค้าก้อคงต้องมีการวางแผน design ว่าจะให้มันเป็นรูปแบบอย่างไร ให้น่าสนใจ  มีเฉลยด้วยนะค๊าบ ขอบอก  ขนาดของครุยุ่นยังไม่มีเฉลยเลย ครูยุ่นต้องปรับปรุงตัวเองอย่างหนักเลยนะเนี่ย!!! และก้อมีเกมส์คั่นโฆษณาเพื่อ oral check นักเรียนขณะเดียวกันก้อทำให้นักเรียนสนุกับการเรียนเลขไปด้วย ... นอกจากนี้ยังมี reading and memory คล้ายๆใน reading ของคุมองระดับ AII..คงต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ  ศักยภาพในตัวเด็กแต่ละคน  ความคิดสร้างสรรค์ช่างน่ารักสดใส และแบบ unlimited จริงๆ       ครั้งนี้ครูแนนทำให้ครูยุ่นได้เรียนรู้แนวคิดและเข้าใจความต้องการของเด็กๆมากขึ้นมาก

และวันนี้ ครูยุ่นคงต้องขอ quote คำพูดของ Albert Einstein มาเป็นบทสรุปของเรื่องนี้

“Imagination is more important than knowledge. For knowledge is limited to all we now know and understand, while imagination embraces the entire world, and all there ever will be to know and understand.”


ขอบคุณคุณครูแนนมือใหม่รุ่นจิ๋วนะค่ะ.... I really love your ideas!! You are awesome and so creative!!!

Tuesday, July 9, 2013

ศาสตร์และศิลป์

ตอนนี้เป็นช่วง summer time ของที่ Vancouver   อากาศก้อแบบร้อนใช้ได้เลยอ่ะ  อย่างวันนี้อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 25องศาเซลเซียส  แต่เราจะรู้สึกคล้าย 29 องศา แดดที่นี่ร้อนจริง..แรงจัง..และที่สำคัญ ใน apartment ที่เราอยู่ ไม่มีแอร์ซะด้วย....จึงร้อนได้ใจจริงๆ...

ที่พูดมายังไม่เข้าเรื่องเลย วันนี้ยุ่นไม่ได้ตั้งใจจะคุยเรื่องอากาศที่นี่ แต่ตั้งใจจะเล่าถึงการสอนหนังสือในช่วง summerนี้   พอดีมีนักเรียนใหม่มาเรียนเพิ่มอีกสามคน  สองคนแรกเป็นน้องสาวฝาแฝดของเข็ม ชื่อ ขิม & ขวัญ  กำลังจะขึ้นเกรด 6  และอีกคนคือน้องสาว Net ชื่อ Nan กำลังจะขึ้น เกรด 4

ก้อต้องเรียกว่าเป็นรุ่นเล็ก เพราะตอนนี้นักเรียนที่สอนอยู่ จะอยู่ตั้งแต่เกรด 9 ขึ้น...และตั้งแต่สอนมายังไม่เคยสอนเดี่ยวเล็กขนาดนี้เลย คือ เกรด 3 ขึ้นเกรด 4...ก้อให้รู้สึกท้าทายพอสมควร

การสอนเด็กเล็ก เด็กโต มีความแตกต่างกัน คือเด็กโตปัญหาคือจะเป็นเรื่องเนื้อหาซึ่งจะลึกและยากขึ้น  โดยตัวนักเรียนมักไม่มีปัญหา เพราะเด็กตั้งใจจะมาเรียนอยู่แล้ว นอกจากบางคนที่ดื้อ หรือไม่เชื่อฟัง  อันนี้ก้อเป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเด็ก...

ส่วนเด็กเล็ก  ความยากไม่ได้อยู่ที่เนื้อหา แต่จะอยู่ที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้เด็กสามารถนั่งเรียนได้อย่างต่อเนื่องถึง หนึ่งชั่วโมง แบบเด็กไม่เบื่อ ไม่งอแง...เพราะปกติสอนคุมอง ส่วนมากเด็กเล็ก junior ยุ่นจะดูคนหนึ่งไม่เกิน 15 นาที ก้อสามารถ process ให้เด็กจบได้  เต็มที่คือครึ่งชั่วโมง  แต่หนึ่งชั่วโมงเนี่ยก้อไม่หมูนะเนี่ย...และก้อบอกตรงๆว่า ยังไม่เคยเลย  และไม่ค่อยมีโอกาสได้สอนเด็กเล็กเท่าไหร่นัก....

นอกจากนี้น้องแนนเป็นเด็กที่เกลียดวิชาเลขมากๆ  เค้าบอกว่า I hate math!!!  แหม..เล่นไม่ให้กำลังใจครูยุ่นเลย  และยิ่งวันใกล้เรียน แนนก้อยังบอกว่าแนนไม่พร้อมที่จะเรียน...5555  แต่นี่ก้อคือโจทย์ที่ท้าทายสำหรับคนเป็นครูว่าเราจะทำอย่างไรให้เด็กคนนึงสามารถนั่งเรียนได้ต่อเนื่อง และที่สำคัญเราต้องพยายามเปลี่ยนทัศนคติต่อวิชาเลขของเค้าให้ได้...

ก่อนอื่น  คงต้องขอพูดถึงน้องขิมกะน้องขวัญก่อน  สองแฝดนี่ น่ารัก ไม่มีปัญหา  เพราะรู้มาสักพักใหญ่ๆแล้วว่าต้องมาเรียนกะครูยุ่น  ก้อมีการเตรียมใจมาระดับนึง  เวลาเรียนก้อแยกกันเรียน และทั้งสองสาวค่อนข้างตั้งใจเรียนมาก  มีความน่ารัก มีวินัยในตัวเองพอสมควร  จึงทำให้การสอนในวันแรกของยุ่นผ่านไปค่อนข้างดี...happy ทั้งครูทั้งนักเรียน....^^

ลูกศิษย์รุ่นจิ๋วสุด...น้องแนน...ก้อเป็นอะไรที่ตอนแรกยุ่นก้อหวั่นๆอยู่  เพราะทั้งคุณพ่อคุณแม่ก้อบอกว่าแนนไม่ชอบเลขเลย  รวมทั้งเจ้าตัวเวลาพูดถึงการเรียนเลขก้อทำหน้าไม่ happyอย่างเห็นได้ชัด... คุณพี่ net ก้อบอกว่าท่าทางอายุ่นจะเจอศึกหนัก  หนูไม่แน่ใจว่าแนนจะนั่งเรียนกะอายุ่นได้มั้ย... และทุกครั้งที่ป้าต้อยบอกว่าใกล้จะได้เรียนกะครูยุ่นแล้ว แนนก้อจะทำหน้าแบบประมาณ..หน้าเบ๊..หนูไม่อยากเรียนเลยอ่ะ!!!  >.<

เมื่อวาน..ก้อเลยทำให้ครูยุ่นต้องเตรียมรับศึก...ความยากอยู่ที่ว่า ยุ่นต้องทำให้แนนสนใจในการเรียนให้ได้นานถึง 60 นาที  เวลาที่ให้แนนทำอะไร เค้าต้องยินยอมที่จะทำ  ไม่งอแง  หรือหากงอแง  เราก้อต้องมีวิธีพูด หรือเทคนิคที่จะทำให้แนนอยู่ในแถวในแนวที่เราวางไว้...และสอนให้ได้เนื้อหาใกล้เคียงกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้ในแต่ละครั้ง...

เริ่มต้นมา..คุณแม่มาส่ง..ครูยุ่นก้อบอก เอ้า...แนนมานั่งเลยค่ะ     นักเรียนทุกคนจะมีที่ประจำตำแหน่ง  แนนก้ออิดออดนิดหน่อย แต่ก้อยอมนั่ง  ก้อทักทายกันนิดหน่อย สักพักคุณแม่ขอตัวออกไป ไม่อยู่ด้วย...ซึ่งยุ่นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  เพราะเด็กทุกคน..เวลาเรียนหากไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย  เค้าจะรู้ว่าเค้าต้องทำตัวอย่างไร...

น้องแนนก้อประมาณไม่อยากจะเรียนอ่ะ  ยุ่นก้อบอกอึม..เราไม่ได้เรียนเลขนะ  ไหนลองอ่านนิทานเรื่องนี้ให้อายุ่นฟังหน่อยสิค่ะ  ได้ข่าวว่าแนนเป็นคนที่อ่านหนังสือเพราะมากเลย..อายุ่นไม่เคยฟังเลยอ่ะ ...

แนนก้อเลยอ่านเรื่องที่ยุ่นหาให้ซึ่งก้อเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคณิตศาสตร์นั่นเอง  Those Amazing Elephants.  .แนนเค้าก้อแบบตั้งใจอ่านมากเลยอ่ะ            แล้วยุ่นก้อถามคำถามง่ายๆเกี่ยวกับบทความที่แนนอ่าน....

The elephant is the world's largest animal. There are two kinds of elephants. The African elephant can be found in most parts of Africa. The Asian elephant can be found in Southeast Asia. African elephants are larger and heavier than their Asian cousins. The mass of a typical adult  African female elephant is about 3600 kg. The mass of a typical male is about 5500 kg. The mass of a typical adult Asian female elephant is about 2720 kg. The mass of a typical male is about 4990 kg.

แค่น้องแนนอ่าน paragraph นี้ ก้อทำให้ยุ่นสามารถหาเรื่องคุยกะแนนได้มากมาย ทั้งเกี่ยวกับความเข้าใจทางภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ก่อนที่จะนำเข้าสู่เนื้อหาที่เราต้องการ...และทำให้เราได้รู้พื้นฐานความเข้าใจทางภาษา  และคณิตศาสตร์ของแนนด้วย....

และเราก้อค่อยๆสอนไป  แนนเค้าก้อแบบ feel comfortable นะ  ไม่ต่อต้าน ยุ่นให้ทำอะไร เค้าก้อทำ  แต่อาจจะแบบมีนิดนึง  แต่พอเราพูดอีกครั้ง เค้าก้อทำโดยไม่งอแง...และขณะที่สอนยุ่นเองก้อต้องดูอารมณ์เด็ก  และแก้สถานการณ์ตามความเหมาะสม  บางครั้งเริ่มเห็นแนนเบื่อ  ก้อต้องเปลี่ยนเป็นเล่นเกมส์กัน  ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ  มีการให้คะแนนกันด้วย  ใครชนะจะได้เป็นครู...มีการใช้เครื่องมือบางอย่างมาช่วยในการสอน  เช่นเครื่องคิดเลข...ไม้บรรทัด....ก้อต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธตลอดเวลาเลยแหละ  เพื่อที่จะทำให้แนนสามารถเรียนรู้และสนใจให้ได้มากที่สุดในเวลา 60 นาทีนี้....

พอถึงเวลา...คุณแม่ก้อมารับตรงเป๊ะเลยค่ะ  ปรากฎแนนโบกไม้โบกมือบอก ไม่เอา ไม่เอา ยังไม่กลับ ยังเรียนไม่เสร็จ...ยุ่นก้อเลยบอกต้องให้คุณแม่เข้ามารอข้างในนะค่ะ...จากนั้นยุ่นก้อคุยเรื่องการบ้านที่จะให้แนนทำในแต่ละวัน....แนนก้อถามว่าแนนต้องมาเรียนเลขทุกวันหรือเปล่า...ขณะที่ถามเนี่ย  หน้าระรื่นเลยนะ....คำถามนี้เล่นเอายุ่นเองก้องง...และคิดแบบเข้าข้างตัวเองนิดนึงว่าสงสัยแนนเริ่มอยากมาเรียนเลขกะเราหละ...อย่างนี้..น่าจะเรียกว่าสัญญาณบวกนะเนี่ย!!!  ก้อแอบดีใจลึกๆนะ..^^

สำหรับยุ่น..การได้สอนนักเรียนหลายๆระดับ เล็กบ้าง โตบ้าง ก้อจะมีปัญหาหลากหลายที่เราต้องเจอ ต้องแก้ปัญหา  ซึ่งก้อหลากหลาย  แล้วแต่แต่ละกรณีไป  และคงต้องบอกว่าเด็กนักเรียนทุกๆคน คือครูชั้นดีของยุ่นจริงๆ.....เพราะหากเรามีความสามารถทางวิชาการ  แต่เราไม่มีวิธีการในการที่จะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้เด็ก...มันก้อไม่เกิดประสิทธิผล  หรือหากเรามีแต่เทคนิค แต่เราไม่มีวิชาการที่จะให้นักเรียน  มันก้อไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอน.....เพราะฉะนั้น...การประยุกต์ใช้ศาสตร์และศิลป์ในการสอนนักเรียนนั้น  มีความสำคัญมากในอาชีพของการเป็นครู...








Wednesday, June 26, 2013

ความตรงไปตรงมาของคนแคนาดา

จริงๆอยากตั้งหัวข้อว่า "ความตรงไปตรงมาของฝรั่ง"  แต่บังเอิญว่าตัวอย่างที่จะยกนี้เป็นชาวเอเชียที่เกิดที่แคนาดา หรืออยู่ในแคนาดามาเป็นเวลา 30-40 ปีแล้ว...  ซึ่งเราก้อคงต้องบอกว่า แนวคิดของพวกเค้าก้อคือชาวตะวันตกนั่นเอง

นับตั้งแต่ช่วงปีแรกที่มาอยุ่ที่นี่ จนถึงวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ยุ่นสัมผัสได้คือความตรงไปตรงมาของคนที่นี่ แบบคิดอย่างไรก้อพูดออกมา ไม่เสแสร้ง...ทีแรก..ยุ่นก้อไม่คุ้นนะ   แต่ตอนนี้ก้อเรียกว่าค่อนข้างคุ้นเคยหละ..

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เสาร์ที่ 22 ก้อไปบ้านพี่ประเวศกะพี่ต้อย...พี่ต้อยก้อไปซื้อต้น apple กะ cherry มาปลูก...ขณะที่กำลังลงดินปลูกต้นไม้  ข้างบ้านชาวฮ่องกงแต่มาอยุ่ที่นี่ตั้งแต่สาวๆ  ก้อน่าจะ 30-40 ปีแล้ว..ก้อขอเข้ามาสำรวจการปลูกต้นไม้ของพี่ต้อย พี่ต้อยบอกยินดีจ๊ะ... Angela ก้อเดินเข้ามาดูและแนะนำว่าน่าจะวางต้นไม้ตรงนี้ตรงนั้นเพราะอะไรก้อว่าไป...

เสร็จ  พี่ต้อยก้อบอก Angela ไอให้ดินอยู่ถุงหนึ่งนะ คือพี่ต้อยมีดินอยู่ 2 ถุง และคิดว่าน่าจะใช้ไม่หมด และ Angela ก้อแบบมีน้ำใจมาให้คำแนะนำ และเมื่อไม่นานก้อให้ต้นไม้ป้ามาต้นนึง...ป้าก้อเลยอยากตอบแทนอะไรบ้าง...

Angela ก้อบอกว่า ขอบคุณมาก แต่อย่าเพิ่งให้ไอเลย เพราะยูเพิ่งเริ่มการปลูก ยูจะรู้ได้ไงว่าดินที่มีเนี่ยมันพอหรือเหลือ  คุณเพิ่งเริ่มต้นแรก ยังมีอีก 2 ต้น หากคุณให้ชั้นแล้วดินไม่พอ  คุณก้อต้องไปหาซื้อใหม่ เกิดขาดเพียงถุงเดียว คุณต้องไปซื้อใหม่ เพื่อมาลง เสียเวลา...เสียเงินเพิ่มด้วย ไม่เอา หากคุณปลูกเสร็จเรียบร้อย และเหลือเฟือ คุณไม่ได้ใช้จริงๆ  ค่อยให้ชั้นได้ แต่ตอนนี้ ชั้นไม่เอา...

ยุ่นยืนอยู่ได้ฟัง..คือยุ่นชอบนะ  มันตรงไปตรงมาดี และมีเหตุผลและก้อถูกต้องนะ...คือมันสบายใจทั้งผู้รับและผู้ให้อ่ะ...


ก้อคิดถึงตัวเอง..คือยุ่นเป็นคนนึงหละที่เกรงใจ ยุ่นว่ามันคงเป็นวัฒนธรรมของไทยเราที่เราติดตัวมาตั้งแต่เด็ก  ตอนมาที่นี่ช่วง2 ปีแรก จำได้ว่ามีวันนึงไปบ้านพี่ประเวศอีกเช่นกัน พี่เค้าถามว่า ยุ่นอยากได้พริกน้ำส้มมั้ย ผมทำให้...ในใจเนี่ย..ยุ่นอยากได้มากเลยอ่ะ แต่ปากก้อตอบออกไปว่า " ไม่เป็นไรค่ะ พี่.."  พี่ประเวศก้อเป็นคนตรงอีกคนนึง ก้อเลยถามว่า ไอ้ไม่เป็นไรเนี่ย อยากได้หรือไม่อยากได้...5555 ยุ่นก้อเลยรับมุกว่า  ก้ออยากได้เหมือนกันค่ะพี่...งั้นขอขวดหนึ่งนะค่ะพี่....ก้อเลยเรียกเสียงฮา  หัวเราะกันทั้งคนให้คนรับ....5555


วันก่อน..มิสติงโทรมา ก้อพอดีจังหวะเดียวกับที่ยุ่นกำลังจะโทรไป เพราะยุ่นอยากทำข้าวเหนียวมะม่วงให้มิสติงกะมิสเตอร์ติง...เพราะยุ่นรู้สึกเสมอมาว่ามิสติงเป็นคนให้โอกาสยุ่นในการได้งานทำที่แวนคูเวอร์ และมิสติงเค้าจะค่อนข้างเอ็นดูยุ่นมาก...ก้อเลยนัดกันว่ายุ่นจะทำข้าวเหนียวมะม่วงให้มิสวันจันทร์นี้นะ  มิสบอกงั้นเรามากินข้าวกันสักมื้อมั้ย...ยุ่นบอกไม่เป็นไร  อันนี้ยุ่นหมายความอย่างนั้นจริงๆ  เพราะยุ่นไม่ค่อยว่าง และรู้ว่ามิสเองเค้าก้อยุ่งๆกับการย้ายบ้าน...มิสก้อถามว่า Are you sure?  เราก้อบอก Yes, I am. จากนั้น จบครั้งเดียวสำหรับคนที่นี่ ไม่มีถามต่อหรือตื้อ...ยุ่นสังเกตุเป็นแบบนี้ทุกคน...เป็น culture ของเค้า แต่ถ้าอย่างบ้านเรา  สมมติยุ่นชวนเพื่อนมากินข้าว ใช่มะ  เค้าบอกไม่เป็นไร  ยุ่นก้อจะบอกไม่เป็นไร มาเหอะ  มาเหอะ  ก้อคุยกันจนเพื่อนมากินที่บ้านเรา  ซึ่งเราก้อไม่แน่ใจว่าจริงๆเพื่อนเค้าอาจไม่ว่างหรือเปล่า  แต่เราก้อจะอยากกินข้าวกะเพื่อน...อะไรประมาณนั้น..แต่ที่นี่..ตรงไปตรงมา ครั้งเดียวเป็นอันเข้าใจ ...และเค้าก้อคิดหรือหมายความอย่างนั้นจริงๆ...


เรื่องสุดท้าย  เมื่อวาน ก้อแบบเลี้ยงส่งครูผู้ช่วย 2 คน Kathleen กะ Sarah เค้าจะลาออกจากคุมอง Kathleen เนื่องจาก schedule ของเทอจะเรียนหนักมากในเทอมหน้า จึงคิดว่าคงจะทำต่อไม่ไหว  ส่วน Sarah ยุ่นก้อถามว่า  Sarah จบแล้วได้งานใหม่ใช่มะ  Sarah บอก ไม่ ยังไม่ได้งาน     แต่ไม่อยากทำงานคุมองแล้ว ทำมา 6 ปีแล้ว มันมากเกินพอแล้ว ไม่ไหวแล้ว...และที่สำคัญคือเค้าก้อพูดต่อหน้ามิสแรนเจ้าของศูนย์นะ  คือ Sarah ก้อหมายความอย่างนั้นจริงๆ คืออิ่มตัวแล้ว  แม้จะยังไม่ได้งานอะไรก้อตาม แต่ต้องการหยุดทำงานนี้แล้วจริงๆ....ซึ่งยุ่นเองฟังก้อไม่รู้สึกว่าเค้าพูดไม่ดีนะ  คือเค้าพูดจริงใจนะ  แบบเป็นอย่างที่เค้าบอกอ่ะ  และคนที่นี่เค้าก้อเข้าใจนะ  เค้าไม่ได้คิดว่านี่เป็นการพูดแบบไม่ให้เกียรติ...หรือไม่สุภาพ  มิสแรนเค้าก้อเข้าใจ ยุ่นว่าเป็นความตรงไปตรงมาที่ยุ่นเรียนรู้ว่า...ดีเหมือนกันอ่ะ...คือเราคิดอย่างไร เราก้อบอกไปอย่างนั้น ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ....ให้เค้าเข้าใจผิด หรือให้ตัวเราคนพูดดูดีเสมอ..

และก้อยังจำได้เลยว่า แจงเพื่อนเภสัชเคยเล่าให้ฟังว่าตอนไปที่เมกา เพื่อนต่างชาติ จำไม่ได้ว่าชาติอะไร ทำอาหารมาให้แจงกิน พอแจงกินแล้วไม่ชอบ แจงก้อบอกเค้าตรงๆเลย เพราะเค้าจะได้ไม่ต้องทำมาให้แจงกินอีก คือเค้าก้อไม่เสียของ แจงก้อไม่ต้องทนกินของที่ไม่ตัวเองไม่ชอบหรือทิ้งของที่เค้าเอามาให้เราแต่เราไม่กิน....อึม..ก้อเรียกว่า..แจงเพื่อนเรา..ก้อเป็นหนึ่งในคนตรงไปตรงมาเช่นกัน...^^

อ๋อ..น้องยีนก้อเคยเล่าให้ฟังว่า ยีนไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่นี่  แบบแม่เค้าก้อแบบอยู่ที่นี่นานมากแล้วอ่ะ คือเรียกว่าเป็นคนที่นี่เลย เพื่อนอีกคนกินอาหารที่เค้าทำไม่ลง คือเค้ารู้สึกไม่ถูกปาก  แม่เพื่อนบอกไม่ต้องกิน  กินไม่ได้วางไว้ ไม่ต้องฝืน...คือเค้าหมายอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชด หรืออะไรเลยนะแม่...อันนี้ก้อเป็นสิ่งที่ยีนได้เรียนรู้ว่า คนที่นี่เค้าตรงไปตรงมา พูดอย่างไรก้อหมายความว่าอย่างนั้น  ยีนจะบอกยุ่นเรื่อยว่า แม่เวลาคนที่นี่เค้าพูดอะไร บอกอะไร ไม่ต้องคิดมาก คือเค้าหมายความตามนั้นจริงๆ...

และนี่ก้อคือสิ่งที่ยุ่นได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เกือบ 5 ปี  มันคือความตรงไปตรงมา...และจริงใจดี  เพราะเค้าพูดอย่างที่เค้าหมายความอย่างนั้น...ไม่ได้มีความคิดว่าต้องพูดเพื่อมารยาทเพื่อให้ผู้พูดรู้สึกดี  แต่จริงๆเบื้องหลัง...ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด...และความจริงเหล่านี้ ก้อไม่ได้ทำร้ายจิตใจผู้ฟัง  เพราะเค้าพูดด้วยโทนเสียงปกติอย่างตรงไปตรงมา...หรือพูดง่ายๆคือปากกะใจตรงกัน...:)

การสัมภาษณ์งาน

อาจเรียกว่าเป็น summer job ภาค 2กอ้ได้... ยุ่นจะขอเล่าประสบการณ์ในการสัมภาษณ์ของยีน  ทั้ง 4 ที่ที่เค้าได้ถูกเรียกตัว

ที่แรก บริษัท ACN เป็นบริษัทที่ทำงานเชิง Net working   พอเราได้ชื่อมา  ก้อทำการ research ก่อนว่าบริษัททำธุรกิจทางด้านไหน อย่างไร ตำแหน่งที่จะรับไปทำหน้าที่อะไร  คือเราต้องทำการบ้านไปก่อน  และงานนี้ก้อต้องให้เครดิตคุณพ่อน้องยีนเต็มๆ เพราะเค้าจะ train ยีน โดยตรง  และให้ ideas ต่างๆ  เพื่อให้ยีนมีอะไรในหัว และไปเรียนรู้และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม...เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกงาน

ที่นี่..เค้าเรียกสัมภาษณ์ยีน 2 รอบ  และเค้าก้ออยากให้ยีนทำ แต่ยีนคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเค้า เพราะต้องเป็นคนที่มี network ค่อนข้างมาก    ซึ่งยีนยังไม่มีขนาดนั้น   จึงคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะทำบริษัทนี้...ซึ่งเราสองคนพ่อกะแม่ก้อเห็นด้วยและเคารพในการตัดสินใจของเค้า...


บริษัทถัดไปคือ ZARA ขายเสื้อผ้าแฟชั่น  ผู้จัดการคนนัดสัมภาษณ์ไม่อยู่  แต่ก้อได้คุยกับผู้จัดการอีกคนนึง เค้าก้อพาเข้าไปสัมภาษณ์ในห้องทำงานของเค้า  ยีนสมัครในตำแหน่ง sales associate คือยีนเค้าอยากจะรู้ว่า เค้าจะชอบงานทางด้าน sales หรือเปล่า...  จากการที่ยีนได้เตรียมตัว ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ZARA ไป จึงทำให้ยีนมีความชื่อมั่นในการตอบคำถาม  และคำถามที่คุณพ่อเตี๊ยมให้  คิดว่าน่าจะถาม  ผู้สัมภาษณ์ก้อถามจริงๆ  จึงทำให้ยีนตอบแบบสบายๆตามสไตล์ยีน  คือยีนรู้สึกเป็นธรรมชาติในเวลาตอบ และตอบแบบมั่นใจ...และยีนรู้สึกว่าเค้าทำได้ดีพอสมควร   ซึ่งยุ่นว่านี่คือบทเรียนที่ยีนได้รับบทที่สองว่า การเตรียมตัวพร้อม 100 % จะทำให้เรามั่นใจในการไปสัมภาษณ์งาน  ซึ่งตัวยีนเองก้อรู้สึกได้จากการที่เค้าถูกสัมภาษณ์...

บริษัทที่สามคือ Paradies ก้อเช่นกัน เป็น Sales Associate ที่นี่..คือเค้าต้องการคนที่ทำการบ้านไปอย่างแน่นอน เพราะทางบริษัทฯ เขียนไว้เลยว่า เค้ามีความคาดหวังอะไรจากผู้สัมภาษณ์บ้าง  หากคุณไม่ทำการบ้านไป  แน่นอน...คุณก้อคงไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง ฉะนั้น เราต้องค้นคว้าและอ่านข้อมูลของบริษัทให้มากที่สุด  เตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน   และที่นี่..เค้ากำหนดเลยว่า คุณต้องมาก่อนเวลา 15 นาที  ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แต่งตัวอย่างไร...ยุ่นว่านี่ก้อคือจุดแรกที่เค้าจะดูเราเลยแหละ...

เค้านัดยีนสัมภาษณ์ตอน 1:30 pm แต่ยีนไปถึง 1:10 pm ก้อเดินเข้าไปถามว่าใช่ที่ที่จะสัมภาษณ์มั้ย  ผู้จัดการสองคนก้อคิดว่าเป็น Eric คนที่นัดก่อนหน้ายีน น่าจะ บ่ายโมง  ยีนบอกไม่ใช่ ของยีน บ่ายครึ่ง  เค้าก้อเลยให้ยีนเข้ามาสัมภาษณ์เลย  ผ่านไป 5นาที Eric มาถึง  เค้าบอกให้รออยู่ด้านนอกก่อน...

ห่ง comment ว่าแค่อันนี้ยีนก้อได้แต้มต่อแล้ว เพราะประทับใจผู้สัมภาษณ์มาก่อนเวลานัด...

จากนั้นยีนก้อเล่าว่าคนสัมภาษณ์คือผู้จัดการสองคนนี้เลย ฝรั่งกะจีน...ก้อคุยกันไป  ก้อตื่นเต้นนิดนึงนะแม่  เค้าก้อถามเยอะแยะเลย ก้อตอบไป ส่วนใหญ่ก้อเป็นคำถามที่เตรียมไป ก้อเลยตอบได้แบบสบายๆ เค้ามีถามคำถามที่พ่อถามด้วยคือ ให้บอกข้อดีของตัวเรา  ยีนก้อบอกไป 3-4 ข้อ คืออดทน  มี service mind แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชอบงานขาย ประมาณนี้ แล้วก้อยกตัวอย่างประกอบด้วย ตอนที่ทำ McDonald  เช่นเวลาลูกค้าเป็นพวก senior  จะมีปัญหาไม่เข้าใจเมนู หรือถามคำถามต่างๆ ยีนก้อค่อยๆอธิบายให้เค้าเข้าใจ และก้อจะมีการแนะนำเมนูอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น..อะไรประมาณนี้...เออ..เราฟังดูก้อเข้าท่าดี...

นอกจากนี้เค้าก้อมีให้ขายหูฟังสดเลย  เค้าให้อ่าน manual และก้อลองขายหูฟังให้เค้าสองคน  ยีนก้ออ่านแล้วก้อทำการขายเลย..แล้วเป็นไงค๊าบ...ไม่รู้อ่ะ แม่  แต่เค้าบอกเค้าจะซื้อหูฟังยีนนะ...อย่างนี้น่าจะโอเคนะเนี่ย....good signal....

แต่ยีนบอก..ก้อมีคำถามนึงนะ ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี คือเค้าถามว่า หากลูกค้ามาซื้อ chips ที่ร้านแค่อย่างเดียว  และกำลังจะขึ้นเครื่อง ยีนจะขายอะไรเพิ่มอีก 2 อย่าง  ยีนก้อคิดไม่ออก ก้อเลยบอกขายน้ำ กะ chocolate แต่..น้ำ...มันไม่ได้ ใช่มะแม่ เอาขึ้นเครื่องไม่ได้  ยุ่นก้อเลยบอกว่า  ไม่เป็นไรลูก...น้ำก้อกินได้ ระหว่างรอขึ้นเครื่อง...แม่ก้อว่าโอเคนะ ใช้ได้  เค้าอยากดูว่ายีนจะแก้ปัญหาอย่างไร การตอบคำถามพวกนี้ไม่มีถูกหรือผิด  ไม่ต้องกังวล เค้าเข้าใจ  เค้าไม่ได้จะรับพวกมืออาชีพ  เค้าต้องการรับเด็กที่ดูมีแววเข้าไป train มากกว่า...เราก้อให้กำลังใจเค้า...เค้าก้อดูสบายใจขึ้น...

และที่ที่สี่ Student Leader อยู่ไกลมาก เดินทางชั่วโมงกว่า เรียกว่าเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมที่เราจะไปทำ แต่ไม่เป็นไร เราลองไปดูสนามการสัมภาษณ์กลุ่มว่าเป็นอย่างไร เป็นประสบการณ์เก็บไว้ ไม่เสียหาย  ที่นี่เค้าก้อให้นั่งดู slide และมีคำถามขึ้นมา  จากนั้นก้อตอบคำถามเดียวกันนี่แหละ แต่เรียงตอบทีละคน...ทั้งหมด 5 คำถาม...

หลังจากจบการสัมภาษณ์ที่ต่อเนื่อง 2 อาทิตย์ จบที่วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน....วันจันทร์ที่ 24 ยีนก้อได้รับ e-mail จาก Paradies สนามบินว่า

Congratulations! This letter will confirm Paradies offer of employment to you for the position of Part-Time Sales Associate located at Paradies Vancouver International Airport........You are currently scheduled to start on July 3, 2013.

จากการที่ยีนได้หางานในช่วง summer นี้ ยุ่นคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ลูกได้เรียนรู้ก้อคือ การหางานนั้นมีขั้นตอนต่างๆที่เราต้องเตรียมตัว ต้องเรียนรู้... เราต้องทำการบ้าน  ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆโดยเราไม่ได้ลงมือทำ...และสุดท้าย... " You reap what you sow !! "  งานนี้ยีนเองก้อรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและภูมิใจในผลงานของตัวเอง... :)

สำหรับแม่..ก้อต้องขอชมลูกว่า Well  done !!!!

Wednesday, June 19, 2013

Summer Job in Vancouver

ช่วงนี้ก้อเป็นช่วง summer ของที่นี่  เด็กนักเรียนก้อเริ่มปิดเทอมหละ หากเป็น secondary students จะเริ่มปิดประมาณ June 14 แต่พวก elementary ก้อต้องโน่นเลย สิ้นเดือน June...

ส่วนมหาลัยกะ college จะแบ่งเป็นสามภาคเรียน Sep-Dec , Jan-Apr, และ May-Aug (summer course)  ช่วง summer ส่วนใหญ่เด็ก high school มักจะลงเรียนหนึ่งหรือสองวิชา  ส่วนเด็กมหาลัย หรือ college ก้อแล้วแต่  บางคนก้อลงเรียน บางคนก้อทำงาน....

สำหรับคุณลูกชาย  ยีน summer นี้ก้อมานอกกรอบอีกแล้ว..พ่อกับแม่อยากให้ลงเรียน เพื่อว่าจะได้จบไวไว แต่ยีนบอก ยีนอยากทำงาน  เพราะการเรียนอย่างเดียวสำหรับที่นี่ ไม่มีประโยชน์  เพราะหากจบไวไว แต่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน การหางานก้อไม่ใช่เรื่องง่าย...

เราสองคนพ่อแม่ก้อไม่ยอมนะ เพราะเราอยากให้เรียนด้วย ทำงานด้วย แต่ยีนบอก ยีนขอตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองสักครั้ง ขอโอกาสในการทำงาน คืออยากทำงานจริงๆ  โดยไม่ต้องเรียน เพื่อดูว่าจะทำสุดๆได้แค่ไหน...และอีกอย่างคือการทำงานครั้งนี้เนี่ย ยีนอยากทำงานแบบที่ว่าสามารถนำไปเป็น reference ได้ตอนจบ...หรือใช้ในการ transfer เข้า Business Program

แต่ไอ้ที่พูดมาเนี่ย..ยีนยังไม่มีงานเลยนะ  แม้กระทั่งการหางาน ก้อยังไม่ได้ทำ..ซึ่งสำหรับที่นี่ การหางานนั้นยากมากๆๆๆๆ  และงานที่จะทำช่วง summer เราก้อต้องเตรียมการคือสมัครกันตั้งแต่กุมภา มีนา...แต่นี่ปาเข้าไปเมษาปลายเดือนจะขึ้นพฤษภา  ค่อยมาพูดแบบนี้..พ่อกะแม่ก้อไม่เห็นด้วยแน่นอน...

ในที่สุด...ก้อเดินคนละครึ่งทาง ยีนลงทะเบียนไปก่อน แต่หากได้งานจะขอ drop ก้อบังเอิญเพื่อนยีนคนนึงแม่เค้าเปิดร้านอาหารไทย ก้อมาเรียกยีนไปสัมภาษณ์  ยีนก้อต้องส่ง resume นะ กลับมาก้อบอกน่าจะมีข่าวดี  และเค้าบอกเค้าขอ drop นะ...ซึ่งจริงๆงานที่จะทำเนี่ย มันเป็นงาน serve ในร้านอาหาร ซึ่งก้อไม่น่าจะ work มากสำหรับการจะไปเรียน business แต่..เราสองคนพ่อแม่ ก้อคงบังคับเค้าไม่ได้  และในที่สุด เราก้อตกลงกันว่าให้โอกาสยีนลองทำในสิ่งที่เค้าบอกว่าเค้าตั้งใจอยากทำ...

และเค้าก้อมีเรียกไปอีกครั้ง..และเค้าบอกว่าหากเค้ามีงานเยอะช่วง summer เค้าจะเรียกนะ...ซึ่งก้อคือไม่ได้นั่นเอง...

ก้อ..อย่างที่บอก..ยีนก้อยังไม่ได้โตอะไรมากมาย..ไอ้ตอนพูดทีแรกก้อดูดีมีหลักการ แต่ตอนปฎิบัติเนี่ย  พ่อกะแม่ก้อต้องกระตุ้น...เราก้อต้องเตือนเค้าว่าต้องหางานนะ  และเราสองคนก้อทำการ train เรื่อง job search กะลูกตัวเองเลย...

ที่นี่ การหางานจะเป็นระบบมากเลย  อย่างที่ยุ่นเคยเล่า ยุ่นเองเคยไปลง courseที่ train job searchเลยอ่ะ จะมีหลายๆบริษัท ซึ่งอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ อินเดีย ฯลฯ..และบริษัทหรือหน่วยงานเหล่านี้จะ support โดยรัฐบาล...เค้าจะ train เราประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกถึงภาพรวมของตลาดแรงงานที่นี่ การหางาน การเตรียมตัว การเขียน resume การเตรียมตัวสัมภาษณ์ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ คือให้หลักการ.. แต่สุดท้าย..คุณต้องหางานเอง  ทำเอง ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ..นั่นคือ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น....

ห่งก้อเคย train เช่นกันตอนเค้ามาแรกๆ  ของห่งจะเป็น professional กว่าที่ยุ่นเรียนมากๆ  แต่งานนี้เราสองคนผนึกกำลังกัน เพื่อ train ลูกชายตัวเองในการหางานเบื้องต้น  ยุ่นคิดว่านะ เอาหละ ในเมือ่เค้าไม่อยากเรียน อยากทำงาน ก้อเอา....อย่างน้อย ยีนก้อได้ประสบการณ์ว่าการจะหางานต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และมีการเตรียมตัวอย่างไร ..ไม่มีอะไรเสีย...เพียงแต่เค้าไม่ได้เรียนอย่างที่เราอยากให้เรียนเท่านั้น...

และการ train ก้อเริ่มขึ้น  ยุ่นก้อสอนเค้าว่าเราควรเข้าไปหางานอย่างไร  ซึ่งตรงนี้ยุ่นว่าเด็กยุคนี้เค้าใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เก่งกว่าเราอยู่แล้ว  เค้าก้อ search ของเค้า แต่เราก้อให้ web-site ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเค้า...และให้เค้าดูว่า 1. บริษัทควรอยู่ใน Vancouver และเราสามารถเดินทางไปทำงานได้ไม่ลำบากนัก 2. ประเภทของงาน อาจมีหลายประเภทที่เราสนใจ เมื่อเลือกได้แล้ว ก้อ grouping แต่ละประเภท  เพื่อการทำ resume ที่ให้เข้ากับแต่ละงานที่เราจะสมัคร...

ไอ้แค่ job search เนี่ย ก้อต้องทำกันเป็น 2-3 วันเลยนะ  ไม่ใช่ว่าทุกงานจะเหมาะกับเราไปหมด..จากนั้น ก้อเป็นหน้าที่ห่ง เพราะห่งเค้าจะเก่งเรื่องเอกสารที่เป็นทางการ คือพวก resume ก้อให้ยีนนั่งทำ resume ของตัวเองก่อน  จากนั้น ห่งก้อช่วย correct ให้เหมาะสม  นอกจากนี้ยังขึ้นกับงานที่ยีนจะสมัครด้วย  เราต้องปรับกลยุทธคือ skills ที่มีนั้น เราต้องปรับคือเค้าเรียกว่า transfer skill ให้เหมาะกับงานแต่ละอย่างที่จะสมัคร...

ยกตัวอย่าง หากเราจะทำงานในร้านอาหาร  งาน retail  งาน office    หรืองานพวกเป็นstudent camp leader ( เหล่านี้คือกลุ่มงานที่เราเลือกออกมา) เราก้อต้องดูว่า เราจะตกแต่ง resume ให้เข้ากับแต่ละ position อย่างไร  ไม่ใช่ว่าเราเล่นกีตาร์เก่ง มีความสามารถทางด้านดนตรี จะสามารถนำไปใช้กับงานร้านอาหาร retail หรือ office   หรืออย่างตัวตนของเราที่เราเป็นเช่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  อดทน รับฟังความคิดเห็นคนอื่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  เราก้อต้องจัดลำดับความสำคัญในการจะลงใน resume ของเราให้แลน่าสนใจ และเหมาะกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร...เป็นต้น

นอกจากนี้  หลายๆบริษัทก้อต้องการ cover letter ซึ่งอันนี้ยีนก้อต้องนั่งแต่งเอง และให้เหมาะกับงานที่ตัวเองจะ apply ...cover letter ไม่ใช่ resume แต่เหมือนเป็นการบอกคุณสมบัติของเราให้นายจ้างเชื่อว่าหากคุณเลือกชั้นแล้วเนี่ย ไม่ผิดหวังแน่นอน ประมาณนั้น....ยีนก้อมีแต่งไว้หลาย versions เพราะเค้ามีสมัครไปที่ Camp leader ดูแลนักเรียน...และก้อ playland (PNE) ซึ่งเค้าต้องการ cover letter และต้องการดูว่าเราจะ present ตัวเราผ่านทางตัวหนังสือให้เค้ารับเราได้อย่างไร...

ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย...ขั้นตอนก้อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ยีนต้องเรียนรู้  ก้อมีการส่ง resume ทั้งทาง on line และยีนก้อปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เค้าก้อแนะว่าให้ไปยื่นกับมือด้วยตนเอง  ซึ่งตรงนี้พ่อกะแม่ไม่เห็นด้วย แต่ยีนเค้าก้อไม่เห็นด้วยเช่นกัน  เราก้อเลยปล่อยให้เค้าทำ...ยีนออกไปยื่น resume ด้วยตัวเอง 2 วัน วันแรกไป downtown ยื่นไปประมาณ 10 กว่าที่....อีกวันหนึ่งไปที่ airport ไปยื่น 2 บริษัท  และยื่นที่ head office เลย...ยุ่นก้อว่า โอเค ไม่เลว...ไม่มีอะไรเสียหาย ลองดู...

และจากนั้นเราก้อต้องรอคอย........สักระยะหนึ่ง....

และแล้ว..วันอังคารที่ 11 มิถุนา...ขณะที่ยุ่นกำลังทำงานที่คุมอง ยีนมาตอน 4 โมง ( ยุ่นเข้าก่อนตอน 2:30) ยีนก้อมากระซิบว่า..แม่ พรุ่งนี้มีบริษัทนึงเรียกสัมภาษณ์นะ ตอน 3 โมง แล้วก้อ ZARA (ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น) เรียกสัมภาษณ์วันพฤหัส ตอนบ่ายครึ่ง..มากระซิบแบบนี้เล่นเอาแม่ดีใจ  ทำงานวันนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอ่ะ...ยิ้มหน้าบานเลย....55555

เพราะที่นี่ การส่ง resume เนี่ย โอกาสที่เค้าจะเรียกเราสัมภาษณ์เนี่ย น้อยมากหากเราไม่เข้าตากรรมการ  ครูที่สอนยุ่นหรือคนที่ train ยุ่นเค้าบอกว่า การ screen resume เค้าจะทำเร็วมาก  กวาดตาดูแบบเร็วๆ ไม่น่าสนใจ โยนลงขยะเลย...อันนี้ confirm โดยห่ง เพราะห่งบอกตอนห่งหางาน ห่งส่ง resume เยอะมากเช่นกัน แต่มีโทรมาเรียกแค่ 2-3 ราย พี่อีกคน..เคยเล่าให้ฟังว่า พี่ส่ง resume เป็นร้อยบริษัทเลยอ่ะ  ยังไม่มีใครเรียกพี่เลยอ่ะ...สำหรับยีน..เราสองคนพ่อแม่ ก้อทำใจว่า...อย่างน้อยลูกได้เรียนรู้ว่าการจะหางาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร...หากได้เรียกสัมภาษณ์ก้อถือว่าโชคดี และหากได้งานก้อถือว่าเราโชคดีมาก...

การ train ก้อไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะลูกต้องไปสัมภาษณ์อีก ฉะนั้น ห่งก้อทำหน้าที่สอนยีนว่าเราจะมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรในการสัมภาษณ์  หาข้อมูลอย่างไร พูดอย่างไรที่ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยากรับเรา...
ส่วนยุ่นก้อเป็นประมาณเสริมศรีอ่ะ  จะเสริมเมื่อลูกไม่เข้าใจประเด็น...และแนะนำบ้างหากยีนรู้สึกไม่เข้าใจ  เพราะยุ่นกะยีนจะมีนิสัยหลายๆอย่างที่คล้ายกัน และยุ่นจะค่อนข้างเข้าใจวิธีคิดของลูก...

วันนี้ที่เขียน..ยีนก้อไปสัมภาษณ์มา 2 ที่แล้ว ที่แรกเรียกรอบสอง..และเค้าก้อรับยีนนะ...แต่ดูลักษณะงานแล้ว..ยีนบอกมันไม่ใช่.....ที่ที่สอง ZARA ยีนไปสัมภาษณ์แล้วบอกรู้สึกดีมาก  ที่พ่อ train ไปคือใช่เลย  คนสัมภาษณ์ดูพอใจในสิ่งที่ยีนทำการบ้านมา...ยีนคิดว่ายีนทำดีที่สุดนะ  และรู้สึกว่าตอนคุยยีนเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติแบบนี้  happy นะ แต่ก้อไม่แน่ใจว่าเค้าจะรับหรือไม่... ยุ่นกะห่งก้อชมและให้กำลังใจเค้าว่า ดีมากลูก...ลูกทำได้ดีมาก...

วันนี้ก้อกำลังไปสัมภาษณ์ที่สนามบิน..และวันศุกร์นี้ก้อต้องไปสัมภาษณ์ที่ Student Leader Camp .....

สำหรับยุ่นกะห่ง...แม้ว่า summer นี้ลูกจะไม่ได้งาน แต่ยุ่นเชื่อว่ายีนได้เกิดการเรียนรู้ว่าหากเค้าจะหางาน เค้าต้องเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร  นอกจากนี้ยีนยังได้ประสบการณ์ในการไปสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัว การค้นหาข้อมูลต่างๆ....ซึ่งตรงนี้  ก้อจะเป็นประโยชน์กับตัวยีนเองในอนาคต

และนี่ก้อเป็นอีกหนึ่ง summer ที่น่าจดจำ...สำหรับครอบครัวเรา...ONCE IN A SUMMER!!!





Friday, June 14, 2013

แฟ้มนักเรียน

จากวันที่ยุ่นเริ่มสอนคุมองมาถึงวันนี้ก้อเป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้ว และก้อเกือบ 5 ปีแล้วที่ยุ่นไม่ได้อยู่ที่
เมืองไทย  แต่..ข่าวดีๆมากมาย  ความเคลื่อนไหว  พัฒนาการความก้าวหน้าของลูกศิษย์หลายๆคนก้อได้ส่งผ่านทาง facebook ให้ครูยุ่นได้ชื่นชมและชื่นใจเสมอมา ...เป็นระยะ..ระยะ...


Mar 20,2013
Chain:  ครูยุ่นค่ะ  เชนเรียนจบแล้วนะค่ะ : )  มีลุ้นเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่คะแนนยังไม่ออกเป็นทางการ ยังจำวันที่เพิ่งติดถาปัดเมื่อ 5 ปีก่อนได้เลย  ครูยุ่นบอกว่าอีก 5 ปีเดี๋ยวกลับมารับปริญญาเชน :) ขอให้ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เลย

จริงๆก็ไม่คิดว่าจะได้ แต่ก็แอบเก็บไว้เป็นเป้าหมายอยู่เล็กๆ ปีหน้าเชนก็วางแผนต่อโทที่จุฬาต่ออีกปีค่ะ. แต่ตอนนี้อยากทำงานแล้ว :  (ขอบคุณครูยุ่นอีกครั้งนะคะ ที่ทำให้เชนมีวันนี้ :)


May 14, 2013
Tan Tan : ขอบคุณครูยุ่นกับคุณอามากเลยน้ะค่ะที่พากินและพาเที่ยวในวันนี้ ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็สนุกมาก  ดีใจที่สุดที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทันอยากจะบอกครุยุ่นว่า ครั้งนี้ที่เราได้เจอกันความรู้สึกมันต่างไปจากครั้งก่อนๆนิดนึง  ครูยุ่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทันเลือกเรียนเลข ทันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการเป็นลูกศิษย์ของครุยุ่น ไม่ใช่การคิดเลขเป็นแค่อย่างเดียว. วันนี้ที่ทันเรียนจบสาขาคณิตศาสตร์ ก็เพราะได้ครูยุ่นเป็นหนึ่งในแรงผลักดัน แม้ตอนเด็กๆทันจะขี้เกียจไปหน่อยก็ตาม แต่ทันก็ภูมิใจทุกครั้งที่ได้พูดว่าเป็นลูกศิษย์ของครูยุ่นน้ะค่ะ และก็หวังว่าครูยุ่นจะภูมิใจในตัวของลูกศฺิษย์คนนี้เหมือนกันน้ะค่ะ
รักและเคารพเสมอค่ะ
ปล.1 ขอบคุณสำหรับของขวัญมากเลยน้ะค่ะ
ปล.2 แล้วไว้เจอกันอีกน้ะค่ะครูยุ่น
Tan Tan จบ Financial Analysis & amp;  Risk Management at University of Waterloo      และรับปริญญา June 14,2013


May 22 , 2013
จิงโจ้ :  ครูยุ่นครับๆๆเปนไงมั่งอ่ะ สบายดีมั้ย
ตอนนี้โจ้ติดหมอจุฬาแล้วนะครับ  ครูยุ่นจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่อ่ะ
บอกโจ้ด้วยนะ คิดถึงมากกกก

May 27-2013
Lin : เรียนจบแล้วนะฮาฟฟฟ ขอเชิญมาร่วมถ่ายรูปรับปริญญากันหน่อยจ้า
อรนลิน จบกายภาพบำบัด จุฬา


June 8-2013
Mint : ในที่สุดมิ้นท์ก็เรียนจบแล้วค่า  ^o^ //
ขอเชิญทุกคนมาร่วมแสดงความยินดี และถ่ายภาพร่วมกันในงานพระราชทานปริญญาบัตรนะคะ
Mint จบบัญชี จุฬา


June 10, 2013
หลุยส์: ครูยุ่นน  สวัสดีครับ สบายดีป่าวววววคับบ :))
หลุยส์มีคำถามอ้ะะ  replenish ที่แปลว่าเติม ใช้ต่างกับ refill กับ top up ยังไงเหรอคับ แล้ว 3 คำนี้มันต่างกันยังไง ^^ ขอบคุณค๊าบบบ


June 13, 2013
New : Happy Teacher's Day ka KruYun. You are my dearest one I've never forgot. Miss you lots na ka ♥~



June 14, 2013
Pure: จบแล้วคับครูยุ่น ตอนนี้เป็น consultant อยู่ที่ Abeam Consulting คับ แต่ว่าสิ้นเดือนหน้าก็บินไปทำงานที่ญี่ปุ่นละคับ....เป็น consultant เนี่ยแหละคับ...ไปทำงานที่โน่นปีนึงเลย...ไม่มีโอกาสได้เล่าเลย 555....ใช่คับ บริษัทส่งไป



November 18, 2013
Amy : กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช
พิน  :  ต่อปริญญาโท ที่มหิดล

เสียงจากคุณแม่ อำไพ หาญวัฒนานุกุล
" มาช้าไปหน่อย พึ่งได้เล่น fb อ่านแล้วเหมือนเหตุการณ์พึ่งเกิด แต่ย้อนหลังไป 5 ปีแล้วนะคะ  ยังจำเหตุการณ์ได้อยู่ ตอนนี้พินจบ ป.ตรีที่ มธ. แล้วต่อ ป.โทที่มหิดล กำลังทำวิทยานิพนธ์ ส่วนเอมอยู่ปี 4 แพทย์ศิริราช ผลงานจากครูยุ่น หวังว่าจะได้พบกันอีกค่ะ "



ทุกย่างก้าวที่เด็กๆเดิน...ทุกๆข่าวคราวที่ส่งมา และทุกๆความรู้สึกดีๆที่ส่งให้กับครูยุ่นเสมอมา...เป็นอะไรที่ทำให้ครูยุ่นรู้สึกมีความสุขมาก  ปลื้มใจและภูมิใจในตัวนักเรียนทุกคนของครูยุ่นมากนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ  ( แม้ว่าตอนนี้หลายๆคนจะโตแล้ว แต่ขอเรียกว่าเด็กๆเนอะ ) 4ever นะค่ะ...



Friday, June 7, 2013

ห้องน้ำในแคนาดา

พูดถึงห้องน้ำเนี่ย...หากเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเมกา แคนาดา เราก้อคงรู้สึกว่าน่าจะสบาย ไม่มีปัญหา....แต่..ในทุกเรื่องมันมีรายละเอียดแน่นอน...^^

ถ้าจะพูดให้แคบลง ยุ่นอยากจะเล่าถึงห้องน้ำในแวนคูเวอร์มากกว่า  แต่คิดว่าในแวนคูเวอร์ก้อน่าจะ represent ทั้งแคนาดาได้เช่นกัน...น่าจะระบบเดียวกัน..

ถ้าเราเป็น tourist มาเที่ยว เวลาไปห้างใหญ่ๆก้อไม่มีปัญหา เพราะเค้าก้อมีห้องน้ำของห้างให้บริการอย่างดีอยู่แล้ว  หรืออย่างเราไปเที่ยวเมืองต่างๆในแคนาดา เค้าก้อมี public washroom ให้บริการอยู่แล้ว แต่ความสะอาดในแต่ละที่ ก้อขึ้นกับผู้ที่ใช้   หากผู้ใช้ห้องน้ำไม่ร่วมกันรักษาความสะอาด  public washroom ก้อไม่น่าจะสะอาดได้..

ที่กล่าวมาคือห้องน้ำที่เราสามารถเข้าได้แบบไม่ต้องคิดมาก..แต่ที่ยุ่นเจอแล้วอึ้งในตอนแรกๆก้อคือ..

ห้องน้ำในที่ทำงานหรือตาม office building ต่างๆ พวกสำนักงานอะไรพวกนี้อ่ะ ไม่ใช่อยู่ดีเราจะเข้าได้ง่ายๆนะ  คือบ้านเราอย่างเราไปประชุมที่คุมองสำนักงานใหญ่ หรือเราไปติดต่อบริษัทต่างๆ ตามตึกก้อมีบริการห้องน้ำรวมในแต่ละชั้น    เราก้อเข้าไปใช้ได้ ใช่มะ..

แต่ที่นี่  เราต้องมีกุญแจ...ทีแรกยุ่นก้อแบบไม่รู้นะว่าต้องมีกุญแจ ตอนไปประชุมคุมอง เวลา break เข้าห้องน้ำ ก้อไปกะเพื่อนฮ่องกง Dorris  เค้าก้อแบบเดี๋ยวไปขอกุญแจก่อน..ยุ่นก้องง ทำไมต้องขอ  พอ Dorris ได้มา ก้อเดินไปด้วยกัน และไขเข้าห้องน้ำ บริษัทอื่นก้อมีกุญแจส่วนตัวของตัวเอง   ไม่ใช่ว่าไปติดต่อกะเค้า แล้วจะเข้าห้องน้ำ ก้อไปเข้าเลย  เข้าไม่ได้...อันนี้เลยทำให้ยุ่นถึงบางอ้อเลย...

หรืออย่างไปหาหมอ family doctor ของยุ่น clinic เค้าอยู่ใน office building เวลาเราจะเข้าห้องน้ำก้อต้องขอกุญแจเค้า  เราถึงเข้าได้นะ  และทั้ง office ในนั้นก้อเหมือนกัน...กติกาเดียวกัน...

แม้กระทั่งการใช้ห้องสมุด  เวลาจะเข้าห้องน้ำ ก้อต้องไปที่บรรณรักษ์อ่ะ เค้าจะมีกุญแจ สองชุด ห้องชายห้องหญิง ก้อหยิบไปไข  ใช้เสร็จอย่าลืมทิ้งในห้องน้ำนะ  ไม่งั้นคนอื่นใช้ห้องน้ำไม่ได้  เค้าจะติดประกาศตรงประตูก่อนเราออกว่า อย่าลืมกุญแจห้องน้ำนะค่ะ....

และอย่างพวกร้านกาแฟ ร้านอาหาร ทั่วไปในแวนคูเวอร์เค้าจะติดป้ายไว้เลยนะ "no public washroom" ก้อหมายว่าอย่าเข้าห้องน้ำของชั้นนะ  ถ้าเธอไม่ใช่ลูกค้าชั้นอ่ะ...


นี่ก้อเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แตกต่างจากบ้านเรา...แต่ก้อไม่ได้มีผลต่อการมาเที่ยวแคนาดาเนอะ เพียงแต่คนที่จะมาเรียนหรือทำงานที่นี่ หากทีแรกจะเข้าห้องน้ำเค้า ไม่ต้องตกใจว่าทำไมห้องน้ำเปิดไม่ได้  ก้อต้องเดินไปขอกุญแจเจ้าหน้าที่เค้าอ่ะ  เพราะทีแรกยุ่นมา ยุ่นก้อไม่เข้าใจคิดว่าพนักงานทำความสะอาดทำงานอยู่  ก้อกลั้นไว้ กลั้นไว้ จนกระทั่งตอนหลังที่บอกถึงบางอ้อ...จึงรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ก้อเป็นความรู้รอบเอว..รู้ไว้ใช่ว่า...

Friday, May 3, 2013

การเขียน Essay โดยการ quote ข้อความ

และนี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเขียน writing แบบ quote ข้อความในเรื่องที่อ่านเพื่อ support ความคิดในการตอบคำถามหรือแสดงความคิดเห็น

The Shrike and the Chipmunks

Once upon a time there were two chipmunks, a male and a female. The male chipmunk thought that arranging nuts in artistic patterns was more fun than just piling them up to see how many you could pile up. The female was all for piling up as many as you could. She told her husband that if he gave up making designs with the nuts there would be room in their large cave for a great many more and he would soon become the wealthiest chipmunk in the woods. But he  would not let her interfere with his designs, so she flew into a rage and left him. " The shrike  will get you," she said, " because you are helpless and cannot look after yourself." To be sure, the female chipmunk had not been gone three nights before the male had to dress for a banquet and could not find his studs or shirt or suspenders. So he couldn't go to the banquet, but that was just as well, because all the chipmunks who did go were attached and killed by a weasel.


The next day the shrike began hanging around outside the chipmunk's cave, waiting ti catch him. The shrike couldn't  get in because the doorway was clogged up with soiled laundry and dirty dishes. " He will come out for a walk after breakfast and I will get him then," thought the shrike. But the chipmunk slept all day and did not get up and have breakfast until after dark. Then he came out for a breath of air before beginning work on  a new design. The shrike swooped down to snatch up the chipmunk, but could not see very well on account of the dark, so he batted his head against an alder branch and was killed.


A few days later the female chipmunk returned and saw the awful mess the house was in. She went to the bed and shook her husband. "What would you do without me?" she demanded. :Just go on living, I guess," he said. "You wouldn't last five days," she told him. She swept the house and did the dishes and  sent out the laundry, and then she made the chipmunk get up and wash and dress. "You can't be  healthy if you lie in bed all day and never get any exercise," she  told him. So she took him for a walk in the bright sunlight and they were both caught and killed by the shrike's brother,  a shrike named Stoop.


Moral: Early to rise and early to bed makes a male healthy and wealthy and dead.

เรื่องนี้จะเป็นแนวเสียดสี และ moral  ตอนท้ายก้อแปลงจาก original คือ Early to rise and early to bed makes a male healthy and wealthy and wise.

ครูก้อมีคำถามง่ายๆมาให้เขียน writing คือ  Which chipmunk is the best?

ตอนแรกยุ่นก้อไม่เข้าใจ ทำไมถามแบบนี้ แต่คือครูเค้าจะให้เรา quote ประโยคที่บอกถึงลักษณะนิสัยของ male and female chipmunk เพื่อ support คำตอบของเรา...ยุ่นว่าเค้าเลือกตัวอย่างในการสอนค่อนข้างดี...ทำให้เข้าใจและเห็นภาพชัดเจน...

ครูก้อถามก่อนเลยว่า chipmunk ทั้งสองตัวนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร หลังจากที่เราอ่านเรือ่งแล้ว ให้ list ข้อดีข้อเสีย ซึ่งก้อคือ adjective แสดงลักษณะนิสัยของสอง chipmunks นี้

male chipmunk :  1) lazy   2) easy going  3) patient   4) creative    5)  a thinker

female chipmunk :  1) hard working  2) practical  3) well-organized  4) caring for her husband    5) greedy   6)  vain ( show off)

ยุ่นว่าทอมเค้ามีเทคนิคในการสอน และ guide นำความคิดค่อนข้างดี  คิดว่าหากผู้เรียนไม่ใช่เรานะ เป็นเด็กนักเรียน...เด็กจะถูกฝึกให้คิดเป็นระบบ  มองภาพรวม  และค่อยๆ organized ความคิดออกมาเป็นกลุ่มๆ  จากนั้นเราต้องเค้าไปดูในเนื้อเรื่องว่า ส่วนไหนที่จะนำมาเสริม adjective ที่เราเลือกมา 3 adjectives...แล้วก้อนำมาเขียน writing  ซึ่งเราก้อต้องคิดก่อนว่าเราจะให้ตัวไหนเป็น  the best chipmunk...

ซึ่งไม่ว่าจะเป็น male หรือ female ไม่มีคำตอบไหนถูกหรือผิด แต่ขึ้นกับการนำเสนอของเรา และเหตุผลที่เรา support เท่านั้น...ยุ่นชอบนะ วิธีการเรียนแบบนี้ ทำให้เกิดความคิดมากมายหลากหลายมุมมอง  ยุ่นจึงเข้าใจมากๆเลยว่าทำไมฝรั่งเค้าจึงเคารพความคิดของคนอื่น เพราะเค้ามีการฝึก และปลูกฝังตั้งแต่ในโรงเรียน  ตั้งแต่เล็กๆเลย...

และจะเห็นว่าในเนื้อเรื่องตัวแดงคือ character ของ female และน้ำเงินคือของ male...

และนี่คือตัวอย่างการเขียนที่ครูเค้าแนะให้เขียน...

A Role Model

Finding a perfect wife is like searching for a needle in the ocean; however, some male chipmunks are lucky. In James Thurbers "The Shrike and the Chipmunks," the female chipmunk is the best because she is hard-working, well-organized, and caring for her husband.

The female chipmunk is a hard-working chipmunk. She "was all for piling up as many [nuts] as you could." With a great deal of nuts, she would be satisfied, and they would become the wealthiest chipmunks in the woods.

The female chipmunk is also well-organized. When she returned home and found her husband sleeping, "She swept the house and did the dishes and sent out the laundry." Her great organization made their cave tidy and beautiful.


Moreover, the female chipmunk is caring for her husband. She is concerned about his health. "You can't be healthy if you lie in bed all day and never get any exercise," she told him. She wanted her husband to be strong and live well.


The female chipmunk is a role model of a quality wife. She is the best chipmunk.

และนี่ก้อคือตัวอย่างอันแรกที่เค้านำมาสอน จากนั้น เค้าก้อมีเรื่องสั้นประมาณ 10-15 หน้ามาให้อ่าน 2-3 เรื่อง และก้อมีคำถามให้ตอบ โดยเราต้อง quote ข้อความในเรื่องมาประกอบเหตุผลของเรา...ซึ่งไม่ง่าย  แต่หลังจากเราเข้าใจวิธีการ  ก้อไม่ได้ยากมาก..และยุ่นเองก้อได้เรียนรู้วิธีการเขียน writing ในอีกกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่เคยได้มีโอกาสเรียนมาก่อนเลย  :)











Sunday, April 28, 2013

เทคนิคการเขียน Paragraph

อาทิตย์ที่แล้ว  ได้รวบรวมเอกสารหนังสือต่างๆ  บังเอิญเจอแฟ้ม Eng 11 เลยทำให้คิดถึง Tom ครูอังกฤษที่สอนการเขียน paragraph , essay พร้อมเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ paragraph หรือ essay ของเราดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาทันที..

เทคนิคที่ Tom สอนในการเขียน paragraph มีดังนี้ :

1. การใช้ similes : a comparison between two objects using like or as
Ex : Her hair was as soft as silk.  My boyfriend eats like a pig.  My face  was as pink as a cooked lobster.
Also, one hour of treatment seems like twenty tedious hours for me.

2. การเน้น โดยการใช้เทคนิค Parallelism : words or phrases repeated for dramatic effect.
Ex: การเน้นที่ verb เช่น  In English 11 we love our paragraph homework, we love our vocabulary homework, and we love our essay homework.

an adjective: We get up early for work, early for our children, and early for English 11.

3. การเน้นความแตกต่าง โดยการใช้ Juxtaposition : contrasting items placed side by side ( opposite place)
Ex: I entered the classroom and inside there were rats, poisonous snakes , and teachers.
From Beijing to Burnaby chefs are discovering the wonders of cooking rats.

4. ใช้เทคนิค Alliteration : the repetition of the first consonant.
Ex: We serve stewed rat with steamed rice.  From Beijing to Burnaby,

5. ใช้เทคนิค assonance : the repetition of vowel sounds
Ex:From Beijing to Burnaby chefs are discovering the wonders of cooking rats.

และนี่คือตัวอย่างEssay ที่ มีตัวอย่างเทคนิคต่างๆ ดังนี้

Essay Topic: Boys should not learn to cook  - agree or disagree

Turn Crisis to Opportunity

If you were a boy and you didn't learn how to cook, you may lose many good opportunities in your life. Boys should learn how to cook for marrying a lucky girl, finding a good job, and changing to a superior lifestyle.

A boy should learn how to cook an egg. If a boy learns how to cook an egg, he can survive when his parents kick him out of their house. He can fry eggs in the morning for 12 months a year for his girlfriend. She will marry him for  his eggs. For dessert on Valentine's Day, he could scramble eggs with strawberry jam, Chinese girls will love him, Canadian girls will love him, and the girls of the world will adore him.

Learning how to cook can get a boy a job. If a boy learns how to cook ground beef and spaghetti in night school with the V.S.B, he can work in Shen Zhen, Shennan Road and earn 10,000 RMB per month. With this he can drive a Shen Zhen Ferrari, wear Shen Zhen Armani, and drink Shen Zhen Chivas Regal. A boy who learns how to cook will live the good life.

Cooking  may change a boy's lifestyle. If a boy learns how to cook fresh seafood in a coconut from internet, he can be alive when he and his companions are deserted on an uninhibited island. They will love his organic seafood coconut dish. They will miss him at least three times a day. After rescue from the island, he will be very busy for demonstrating his wonderful recipe, he will be very busy for earning his living from his wonderful recipe, and he will be very famous around the world from his creative recipe.

For these three beneficial outcomes, boys should learn how to cook. Being able to cook is a life skill which helps a boy  keep his beloved girl,  earn a lot of money,  and turn crisis to unexpected opportunity.


Tuesday, April 16, 2013

จะเรียนอะไรดีเนี่ย ??? (หยุดคิดเพราะลูก 2)

ต่อจากตอนที่แล้ว  ในตอนนี้ยุ่นขอตัดช่วงที่ลูกเรียนโยธินมาที่ high school ใน Vancouver เลย...^^

เนื่องจากยุ่นได้มีโอกาสสอนและใกล้ชิดเด็กนักเรียนหลายๆคนนอกจากลูกตัวเอง  จึงทำให้ยุ่นได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพวกเด็กๆ  และสิ่งเหล่านี้ทำให้ยุ่นเริ่มไม่แน่ใจในหลายๆความคิด รวมทั้งความเชื่อของตัวเราเองที่เคยมีมาแต่ก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไร??

ก้อคงต้องเริ่มจากคนใกล้ตัว คือยีน..ลูกชายตัวเองก่อน  ซึ่งยุ่นคิดว่าเค้ามีลัษณะนิสัยอย่างไรนั้น เราที่เป็นพ่อแม่ก้อคงปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเค้าคือผลผลิตของการเลี้ยงดูของเรา..ยีนเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก       มีความคิดเป็นของตัวเอง หลายครั้งหลายเรื่องชอบทำอะไรนอกกรอบ คิดแผลงๆ..         ซึ่งยุ่นกะห่งก้อต้องคอยตบให้เข้าที่ อยู่ในแนวที่ควรจะเป็น  ( อันนี้เป็นตั้งแต่ตอนอยู่ไทยแล้ว  พอมาที่นี่ อาการยิ่งชัดเจนมากขึ้น 55555)

ยุ่นว่านะ  พ่อแม่ในปัจจุบัน  ส่วนใหญ่ ร้อยละ90 จะเครียดเรื่องการเรียนของลูก มันจะมาเป็นช่วงๆ เช่นตอนป.6 เข้ามอ 1 ....บางคนก้อมีมอ 3 เข้ามอ 4  .(อันนี้ที่ไทย แต่หากที่นี่ตั้งแต่อนุบาล จนจบ high school ไม่ต้องกังวล เรียนที่ไหนก้อได้ ที่ใกล้บ้าน )...และที่เครียดจัดๆเลย ยุ่นว่าน่าจะตอนเข้ามหาลัย....


ที่นี่ระบบการเข้ามหาลัยมีความแตกต่างจากบ้านเราพอควร  ยุ่นว่าเมื่อเทียบแล้วที่นี่มีทางเลือกมากกว่า และไม่ยากเท่า  ขึ้นกับเราต้องวางแผนตัวเอง จัดระบบชีวิตให้ดี มีความสม่ำเสมอในการเรียน  เพราะเค้าดูผลการเรียนตลอดทั้งปี  ไม่มีระบบสอบเข้า...แต่หากเข้าไม่ได้  ก้อไม่เป็นไร  เด็กสามารถไปเรียน college ได้ แล้วเก็บคะแนน transfer ไปคณะที่ตัวอยากเรียนได้   นอกจากนี้   หากเด็กไม่อยากเรียนต่อ  อยากทำงานก่อน  ก้อสามารถไปทำได้  ซึ่งส่วนใหญ่ คนที่นี่เค้าก้อมีความคิดแนวนี้   ทำงานเพื่อหาตัวเองก่อน บางคนก้อทำงานเพื่อหาเงินเรียนเอง.....ด้วยระบบนี้  จึงทำให้พ่อแม่ที่นี่    น่าจะมีความเครียดน้อยกว่าพ่อแม่เมืองไทย  และการเรียนพิเศษจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก...

ขนาดยุ่นเองก้อรู้ทั้งรู้ว่าระบบเปิดโอกาสให้เด็กค่อนข้างมาก  ยุ่นกะห่งก้อยังคงวิตกจริตในช่วงที่ลูกอยู่เกรด 12  เพราะยีนยังหาตัวเองไม่เจอ  รวมทั้งเค้าเองก้อมีปัญหาส่วนตัวซึ่งเค้าไม่บอกพ่อกะแม่...ฉะนั้นความตั้งใจจึงไม่เต็มที่  อาจเรียกได้ว่าไม่มีเลยก้อได้... ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร และเป็นยาวนานมาจนถึงปี 1 ที่ college    ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้  ยีนพูดหลายครั้งมากเลยว่า เค้าอยากทำงานก่อน เพื่อหาตัวเองว่าชอบอะไร แล้วค่อยกลับไปเรียน  แต่ความคิดนี้  ทั้งพ่อกะแม่ยังไม่สามารถรับได้   อาจเพราะค่านิยมในสังคมไทยเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้น คือเรารู้สึกควรเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน  จากนั้นค่อยว่าอีกที  ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่นี่  เค้าจะไม่รู้สึกแปลกหากเด็กอยากค้นหาตัวเองก่อน  แต่เด็กต้องจบ high school ขั้นต่ำและเมื่อพร้อมก้อสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตลอดเวลา....การจบมหาลัย ไม่ได้เป็นค่านิยมของสังคมที่นี่เท่าไรนัก....ยุ่นว่าเค้าให้ความสำคัญกับ life skill มากกว่า...

และนี่ก้อเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ยุ่นสับสนว่า  วิธีคิดของยุ่น  กับวิธีคิดที่ฝรั่งคิด อย่างไหนมันจะดีกว่า  เหมาะสมกว่า... ยุ่นคิดว่าคงไม่มีใครผิดใครถูกหรอก...เพียงแต่ยุ่นเองคิดแล้วมันทำใจลำบากที่จะให้ลูกลองไปทำงานก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน....ยุ่นคิดว่าเรายังหัวไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น...แหะ แหะ..

จนกระทั่งปีนี้เมื่อยีนเรียนปีสอง  นอกจากยีนต้องลงวิชาหลักๆ เค้ายังลงพวก elective ด้วย เพราะเป็นวิชาที่สามารถส่งคะแนน และเค้าบังคับว่าต้องเรียน elective กี่ตัวก้อว่ากันไป  ตรงนี้แหละ ที่ยุ่นว่าดี  และแตกต่างจากบ้านเรา

คือเด็กที่นี่ ต่อให้เข้ามหาลัยนะ ไม่ใช่ college ( จริงๆคือระบบเดียวกัน)  เค้าจะต้องเรียน elective แต่บ้านเรายกตัวอย่างตอนยุ่นเรียนเภสัช  ไม่แน่ใจปัจจุบันเปลี่ยนหรือยัง...ยุ่นต้องลงวิชาที่คณะกำหนดมาเลย ปีหนึ่งเรียน 1..2..3..4...ปีสอง เรียน 1..2..3...4...กี่ตัวว่าไป ตามนี้ เป็น pattern แต่ที่นี่ไม่ใช่ สมมติเราเรียนวิศวะ  เค้าก้อมีตัวหลักๆที่ต้องลง อาจประมาณ 10-12 ตัว อีก 8 ตัวคุณก้อเลือกตามความชอบของคุณ (อันนี้ใน 2 ปี 20 วิชา 60 เครดิต) ซึ่งเด็กวิศวะอาจมีความสนใจตลาดหุ้น ตลาดทุน ก้อไปลงเรียนวิชาเหล่านี้ได้  ฉะนั้นจึงเป็นการเปิดมุมมองความคิดอีกด้านหนึ่งของผู้เรียน...ยุ่นว่าดีอ่ะ...เพราะบางครั้งเราก้อไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเราชอบอะไร พอเราได้เรียน  เราอาจเกิดความสนใจ  ซึ่งเราสามารถเรียนวิศวะ บวกกับเรื่องราวอื่นๆที่เราสนใจไปพร้อมกันได้...หรือหากเราคิดว่าเราไม่ชอบคณะที่เราเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง...เราก้อสามารถเปลี่ยนคณะได้ด้วยสำหรับที่นี่...สุดยอด....

และ..สำหรับพวกที่ค้นหาตัวเองไม่เจอ ก้อมีโอกาสที่จะได้ลองค้นหาตัวเอง  เช่นลูกยุ่น ซึ่งห่งอยากให้เรียน actuarial science  เพราะน่าจะเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี  แต่คุณยีนบอก ยีนไม่ชอบเอาเลย  เลขเรียนได้ แต่ไม่ชอบอ่ะ  มันไม่ click แล้วจะรุ่งได้ไง....และสำหรับยีน ยีนอยากทำงานที่ตัวเองรักมากกว่า  พ่อแม่รู้ได้ไงว่าเรียน actuarial แปลว่าจะต้องรวย  มันไม่มีความเสี่ยงเลยเหรอ และทำไมต้องรวยอะไรมากมายเหรอ....อันนี้เป็นเรื่องที่บ้านเราถกเถียงกันเป็นประจำ....หลายครั้ง พ่อกะแม่ก้อเริ่มสับสนในจุดยืนของตัวเอง....55555

และในที่สุด..เราสองคนพ่อแม่ก้อต้องยอมแพ้  เพราะยีนคือผู้เรียน ไม่ใช่เรา เพราะหากเค้าไม่ยอมและไม่อยาก มันก้อคงยากที่จะไปถึงเป้าหมายได้   เราจึงตกลงกันว่าแล้วแต่เจ้าตัว  และพยายามค้นหาตัวเองให้เจอให้เร็วที่สุด  ก่อนที่พ่อแม่จะหมดแรง...และปีนี้พอยีนได้ลงเรียนวิชา Economic , Finance, Law , Asian Study , Psychology เค้าก้อเริ่มรู้แล้วว่าเค้าชอบวิชาเหล่านี้  และทำคะแนนได้ค่อนข้างดี  ในทั้งหมด ตัวที่เค้าชอบที่สุดคือ Economic และ Law เค้าบอกเป็นวิชาที่เรียนแล้วเค้ารู้สึกว่าเราเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้  และเค้าจะชอบมีคำถามแปลกๆมาถามห่ง  คุยกัน ถกกัน แลกเปลี่ยนกัน หรืออย่าง Asian Study ยีนก้อเรียนประวัติศาสตร์ของจีน เกาหลี และญี่ปุ่น รวมทั้งต้องวิเคราะห์เจาะลึก  เค้าก้อมาเล่าประวัติศาสตร์ทั้งสามชาตินี้ให้ยุ่นกะห่งฟัง  คือยุ่นไม่เคยได้เรียนอ่ะ  ยุ่นฟังแล้วสนุกมากเลย  ช่วงที่เล่าคือช่วง ศตวรรตที่ 20  (The 20th century was the period between January 1, 1901 and December 31, 2000.) เพราะยีนเค้าจะเล่าเหตุการณ์ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งมีการวิเคราะห์เป็นตอนๆ เป็นฉากๆ...  เหมือนพวกรายการย้อนรอยอดีตมหาอำนาจในเอเชียบูรพา อะไรประมาณนั้น.... 555555  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราสองคนพ่อแม่คิดว่า..อย่างน้อยเราก้อไม่น่าจะเดินผิดทาง  เพราะลูกดูมีความสนใจในสิ่งที่เรียน  มีการวิเคราะข้อมูล  และนำมาประยุกต์ใช้....สิ่งเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นและเป็นสิ่งที่เราเองก้อพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น....

สิ่งต่อมาที่เห็นคือความสุขในการเรียนหนังสือ  และความสนใจในแต่ละวิชา ซึ่งยุ่นเริ่มตระหนักว่า  คนเรามีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ  และเวลาที่เราได้อยู่กับอะไรที่เราชอบ  เราจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า  แบบ click หรือ ปิ๊งเอง...พอเค้าเรียนแล้วเค้าก้อตอบตัวเองได้ว่าเค้าอยากเรียนอะไรจะต้องไปลงเรียนอะไร   และจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร....ก้อเรียกว่าสามารถตอบโจทย์ตัวเองได้


จริงอยู่  เราก้อไม่รู้หรอก หากยีนจบมาเค้าจะเป็นอย่างไร มีงานหรือมั้ย  จะร่ำรวยมั้ย... แต่เรารวมทั้งตัวยีนก้อยังเชือว่าเค้าได้เรียนอะไรที่ใกล้เคียงตัวเค้ามากที่สุด   เค้าคงจะสามารถค้นหาเส้นทางการเดินทางของเค้าได้เองเมื่อถึงเวลา...

อีกกรณีศึกษาที่เป็นประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ คือ :

เมื่อไม่นานนี้  ยุ่นต้องตอบคำถามลูกศิษย์ที่มาเรียนพิเศษ  อยู่เกรด11  กำลังจะขึ้น 12
" หนูไม่รู้ว่าหนูจะเลือกเรียนอะไรดี ที่จะทำให้หนูหาเงินได้เยอะๆ  "

คำถามนี้คนละ version กับลูกเราเลย....55555  คำถามแบบนี้ หากเป็นเด็กที่เรียนได้ดีทุกวิชา  ซึ่งยุ่นว่าก้อมีมากนะในสังคมบ้านเรา   เด็กเหล่านี้ก้อคงพอจะหาทางเดินให้ตัวเองได้ไม่ยากนัก  เช่นเรียนหมอ  ทันตะ เภสัช วิศวะ...และอีกสาขาหนึ่งที่กำลังมาแรง คือบัญชี

แต่ปัญหาคือเด็กคนนี้เค้าเรียนเลขกับยุ่นมา 3 ปีแล้ว และยุ่นเริ่มเห็นว่าจริงๆเค้าไม่ได้ถนัดพวกวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  .....วิชาเลขนั้นก้อต้องอาศัยพื้นฐานที่ดี อันนั้นก้อใช่ แต่ท้ายสุด การประยุกต์ใช้ตามความถนัดและความสามารถที่มีในตัวแต่ละคนก้อมีส่วนอย่างมาก....คือเด็กคนนี้เค้ารู้ทฤษฎีพื้นฐานหมด   หากโจทย์มาตรงๆธรรมดาๆ   เค้าจะทำได้  แต่หากโจทย์มาแบบต้องประยุกต์สิ่งที่เรียนมาหลายๆเรื่อง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใน high school และระดับมหาลัยอย่างแน่นอน... เค้าจะทำไม่ได้  เค้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน...ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยุ่นเริ่มเห็นเค้าชัดมากขึ้นตอนเกรด 10  ( แต่เค้าเป็นเด็กที่มีความพยายามสูงมาก  เกรด 10 พยายามจนเลขได้คะแนน 92% )  แต่ เกรด 11 หลักสูตรยากขึ้นและซับซ้อนกว่าตอนเกรด 10  จึงทำให้เค้าเริ่มเห็นปัญหาในตัวเองชัดเจนมากขึ้น  แม้ว่าเค้าจะพยายามมากขึ้นแต่คะแนนก้อไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่เค้าคาดหวัง


เวลาเรียนที่โรงเรียน  เค้าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูสอนเลย  แม้ว่าหลายๆเรื่องยุ่นสอนไปก่อน  เวลาไปเรียนที่โรงเรียนเค้าจะบอกว่าไม่เหมือนที่ยุ่นสอน  และเค้าก้ออธิบายให้ยุ่นฟังไม่ได้ว่าไม่เหมือนอย่างไร  แต่สิ่งที่ยุ่นสอนนั้น  เค้าจะเข้าใจทั้งหมด  แต่อาจต้องใช้เวลามากหน่อย  และเวลาสอบ หากครูเปลี่ยนโจทย์นิดหน่อย  เค้าก้อจะทำไม่ได้   ปัญหาที่ยุ่นกังวลเริ่มปรากฎชัดมากในเกรด 11 จนตัวเด็กเองเริ่มหวั่นไหวว่าจะทำอย่างไรในการเลือกเรียนคณะอะไรในมหาลัย....


แต่เด็กคนนี้อยากเรียนสถาปัตย์ ซึ่งต้องใช้ความสามารถทั้งทางศาสตร์และศิลป์     ศิลป์เนี่ย  จากการฟังเรื่องราวผ่านตัวเค้ายุ่นว่าเค้าน่าจะโอเค  แต่ศาสตร์เนี่ยสิ คือคณิตศาสตร์และฟิสิกส์  ยุ่นคิดว่าเค้าต้องมีปัญหาแน่นอน....ยุ่นเริ่มตั้งคำถามอื่นๆนอกจากเรื่องการมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเงิน.....ให้เค้าตอบตัวเองว่า สถาปัตย์เป็นอะไรที่เค้าอยากเรียนจริงเหรอ...มันคือตัวตนของเค้าเหรอ...เคยนั่งคิดวิเคราะห์ตัวเองมั้ยว่าแท้จริงเราชอบหรืออยากเรียนอะไรกันแน่....อยากให้เปลี่ยนน้ำหนักเรื่องเงินมาเป็นเรื่องที่ว่าเรามีความสนใจในด้านไหนเป็นพิเศษ  อะไรที่เราเรียนแล้วเรารู้สึกมันใช่  เราจะมีความคิดสร้างสรรค์และเรียนได้แบบทั้งสนุกและมีความสุข...และหลังจากนั้นเงินจะตามมาเอง...


คำตอบที่เค้าตอบตัวเองคือเพื่อนๆเค้าจะลงเรียนทางด้านวิทย์  และหนูคิดว่าหนูก้อฉลาดพอที่จะเรียนได้    หรือหากไม่ได้ แม่ก้อบอกว่าแม่จะหาติวเตอร์มาสอนเลข ฟิสิกส์เพิ่มให้หนู....ยุ่นเลยสอนเค้าว่าไม่ใช่คนเรียนวิทย์แปลว่าฉลาดกว่าคนเรียนศิลป์นะ  คนเรียนศิลป์ก้อมีวิธีคิดที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าพวกวิทย์ในหลายๆเรื่อง  วิทย์ก้อมีมุมมองอย่างหนึ่ง ศิลป์ก้ออีกแบบหนึ่ง...ความแตกต่างเหล่านี้มันทำให้เกิดการผสมผสานในสังคมเราทุกวันนี้  คิดดูสิ..ทำไมในสังคมเราต้องมีหลากหลายอาชีพ  หมอ ครู ทนายความ plumber farmer...นักธุรกิจ  นักบัญชี  ศิลปิน ฯลฯ  ทุกๆคนต้องพึ่งพาอาศัยกันหมด  ในสังคมจะมีเพียงอาชีพเดียวไม่ได้หรอก....ทุกคนทุกอาชีพมีความสำคัญเท่าๆกันหมด....ทุกคนมีคุณค่า  อยู่ที่ว่าเราต้องเห็นคุณค่าในตัวเราเท่านั้น....และการเรียนพิเศษก้อคงแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ได้      ขนาดหนูเรียนเลขกับครูยุ่นอาทิตย์ละ 2 วัน  ยังไม่สามารถทำคะแนนเลขที่โรงเรียนได้ดีอย่างที่อยากเลย...


และเค้าก้อมาคุยปรึกษายุ่น  หลายต่อหลายยก....เรียกว่ายาวนานเป็นปีเลยแหละ...จริงๆเค้าชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ  แนว artist อ่ะ  แต่ก้อไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรที่จะสามารถนำความสามารถตรงนี้ออกมา  ก้อคิดเอาเองว่าถาปัดน่าจะใช่  และเรียนแล้วก้อทำเงินได้มากด้วย  เพราะหากไปเรียนวาดรูปเป็นศิลปิน แม่บอกว่าหนูอาจหางานลำบากมาก...หรืออาจไม่มีงานทำเลยก้อว่าได้...


เค้าเปลี่ยนอีกหลายรอบ เดี๋ยวก้อจะไปเรียน art เดี๋ยวก้อไม่เอาดีกว่าไปเรียน computer science  เดี๋ยวก้อ graphic design ซึ่งเราเองก้อพอจะเข้าใจได้  เพราะเราเองก้อเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน  บางช่วงตรงนั้นเราเองก้อสับสนกับชีวิตเนอะ  และเราก้อไม่มีประสบการณ์อะไรเลย  สิ่งต่างๆก้อได้มาจากเค้าเล่าว่า เพื่อนบอกว่า...คนนั้นคนนี้บอกว่า..พ่อบอกว่า แม่บอกว่า....และลูกชายยุ่นเองก้อเพิ่งผ่านช่วงสับสนเหล่านี้มาเช่นกัน  เพียงแต่ว่า ยีนเค้าต้องเลือกสิ่งที่ใช่ก่อน...  เค้าจึงอยากจะเรียนหรือทำมันให้ดี  แต่เด็กคนนี้คือไม่สนใจในสิ่งที่ใช่ที่เป็นตัวเอง  คิดว่าเรียนไปเดี๋ยวก้อชอบเอง ดีเอง...และยึดเอาเรื่องรายได้เป็นหลักในการกำหนดอนาคต


ยุ่นเองกลายเป็นครูที่ปรึกษาพร้อมกับเป็นติวเตอร์เลขไปด้วย... ยุ่นให้ข้อคิดน้องเค้าว่า ขอให้ตั้งโจทย์ที่ถูกต้องก่อน หากคุณตั้งโจทย์ผิด  การจะเดินไปสู่เป้าหมาย มันจะผิดเพี้ยนไป  คิดง่ายๆธรรมดาๆว่าหากเราไปเรียนในสิ่งที่เราไม่ถนัด  แน่นอนเราก้อไม่น่าจะทำมันได้ดี  เพราะเราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นตัวเราออกมา  คะแนนเราเมื่อเทียบกับชาวบ้านที่เค้ามาเรียน ซึ่งคนที่มาเรียนส่วนใหญ่มักเรียนในสิ่งที่ตนชอบและถนัด  เราก้อจะเป็นฐานให้เค้าเหล่านั้น  เราก้อจะไม่มีกำลังใจในการเรียน และหากว่าเราพยายามจนจบ       (ซึ่งเค้าบอกยุ่นว่าหากเค้าเรียนหรือเดินหน้าแล้ว        เค้าจะไม่ถอยหลังเด็ดขาด  ซึ่งยุ่นก้อบอกเค้าว่าถอยได้ ทำไมถอยไม่ได้ ถอยแล้วตั้งหลักใหม่  เราทำได้เสมอ  อย่า serious กับชีวิตมากเกิน...) เวลาเราไปทำงาน  เราก้อต้องทนทำกับงานที่เราไม่ได้ชอบเท่าไร  ก้อคงทำได้นะ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้  แต่มันจะปิ๊งมั้ย...เราจะมีความสุขกับงานที่เราเลือกนี้จริงหรือ???? เพียงคำว่าเงินเท่านั้นเหรอ..ที่เราต้องการ....ทำไมจึงคิดว่าการมีเงินมากมายจะทำให้เรามีความสุขเหรอ...เงินคือคำตอบที่แท้จริงในชีวิตหนู.........จริงๆเหรอ...

เชื่อมะ...ยุ่นสอนเค้า ยุ่นก้อเครียดเนอะ  ห่งบอกยุ่นเป็นนักจิตวิทยาไม่ได้ เพราะรับเรื่องของคนอื่นเข้ามาเต็มๆ  555555 ใช่ ยอมรับจริงๆ รับมาเต็ม 100 เลย  ..... จนกระทั่งหลังจากที่เด็กคนนี้เรียนเคมี 11 เค้าก้อไม่ชอบ   เรียนไม่รู้เรื่อง  ก้อ drop ไป  ชีวะซึ่งน่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่ง่ายที่สุด น้องเค้าก้อลงแบบ on line เค้าต้องอ่านเอง  เค้าก้อบอกไม่สนุก  อ่านแล้วไม่เข้าใจ  ก้อ drop อีก  ฟิสิกส์ 11ยังไม่ลง เพราะลองดูสถานการณ์เลข 11 ก่อน  และเลข 11  เค้าก้อพยายามนะ  เข้าใจ concept หมด ฝึกทำแบบฝึกหัดแต่ละบท   ก้อพอทำได้   แต่ผลสอบออกมาคะแนนไม่เป็นที่พอใจเลย...

ซึ่งยุ่นเองก้อได้บอกเค้าว่า...อย่าสรุปว่าเราไม่ฉลาดเพราะเราเรียนวิชาพวกนี้ไม่ได้   เพราะมันไม่ใช่อะไรที่หนูถนัด หนูจึงไม่ปิ๊ง  ยุ่นว่านะ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์และยอมรับจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง....นอกจากนี้พ่อแม่ต้องเข้าใจ และให้กำลังใจเค้า  เพราะเด็กบางคนก้ออาจจะทนเรียนได้ แต่เด็กบางคนก้ออาจเรียนไม่ได้จริงๆ  แต่ไม่ใช่ว่าเค้าโง่...

สุดท้ายและท้ายสุด....เค้าเองก้อต้องยอมรับกับความจริงในตัวเค้าเอง  เพราะเค้ายิ่งเรียนเลขลึกลงไป  เค้าก้อยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ทางของเค้า   ซึ่งยุ่นเองได้คุยกับคุณแม่ของเด็ก เพราะยุ่นคิดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเด็ก...และเมื่อคุณแม่เข้าใจ และให้เค้าสามารถตัดสินใจในสิ่งที่เค้าอยากเรียนเอง...เค้าจึงได้คำตอบว่า เค้าจะเลือกเรียนทางด้านภาษา ซึ่งเป็นวิชาที่เค้าชอบและอยากเรียนมากกว่า....และมันเหมือนการปลดปล่อยจริงๆ  เด็กดู relax มากขึ้น มีความเครียดน้อยลงจนยุ่นเองสัมผัสได้....


และนี่ก้อคือประสบการณ์ตรงที่ยุ่นได้เจอ  ซึ่งทำให้ยุ่นได้หยุด  คิด  ทบทวนและคงต้องบอกว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันจริงๆ...เราจึงเทียบใครกับใครไม่ได้เลย...เราคงต้องสังเกตุและรอเวลาที่ความสามารถของเค้าจะ shining ออกมา  ยุ่นเชื่อมั่นว่าทุกคนมีวิถีทางของตนเอง...เราซึ่งเป็นพ่อแม่  หรือครู  คงต้องคอยสังเกตุ....เป็นที่ปรึกษา  ให้ข้อมูล แนวคิด  กำลังใจ  ปรับความคิดของเราให้เข้ากับยุคสมัย  เฝ้าดูพวกเค้าห่างๆ ( แต่อยู่ในสายตา )  และรอคอยด้วยความเข้าใจ....
.