Friday, December 31, 2010

ฤดูที่แตกต่าง... Seasons Change....






ประมาณวันที่ 21 November ที่ผ่านมา อากาศที่แวนคูเวอร์ก้อแบบหนาวมากเลย แล้วหิมะก้อตกวันสองวัน แล้วอากาศก้อกลับสู่สภาพปกติ...คือไม่มีหิมะ..แต่ความหนาวเย็นยังคงเหมือนเดิม..แต่จากติดลบขึ้นมาประมาณ 3-5 องศา ก้อเรียกว่าอุ่นขึ้น..และก้อมีฝนตลอดตั้งแต่ December เป็นต้นมา...

แต่แล้วช่วงนี้ฝนก้อไม่ตกนะ.. Sunny มาเกือบสิบวันแล้ว...แต่อุณหภูมิสิ...ลงอีกแล้ว..เมื่อกี้เพิ่งกลับจากบ้านพี่ประเวศก้อประมาณตีหนึ่ง... ออกมาเห็นรถพี่อ้อม...เกร็ดน้ำแข็งเต็มรถเลยอ่ะ...เค้าว่าอีกไม่กี่วันหิมะจะมาอีกแล้ว...มิน่า..ช่วงนี้ อุณหภูมิเริ่มจะติดลบอีกแล้ว...

ช่วง Winter ของที่นี่จะเป็นอะไรที่ยุ่นไม่ชอบมั่กๆเลย..อันแรกเลยก้ออากาศที่หนาวเย็นนี่แหละ.....แต่ก่อนตอนอยู่ไทย เวลาอากาศหนาวยุ่นจะชอบมาก คือบ้านเราหนาวก้อประมาณ 15-20 องศา...เราก้อแบบสบายๆ...และเราก้อได้ขนเสื้อหนาวเท่ห์ๆออกมาใส่

แต่พอมาเจอหนาวของจริง...ก้อได้ขนเสื้อหนาวออกมาใส่เหมือนกัน..แต่ต้องใส่หลายชั้นมาก...และไอ้ตัวที่เราว่าเท่ห์ ก้อไม่ได้ showเลย..เพราะมันจะไปอยู่ประมาณชั้นที่สองไง..และสุดท้ายก้อต้องตบด้วย overcoat ตลอดเลย...นอกจากนี้ ขอบอก...เวลายุ่นใส่เสื้อหนาวเยอะๆเนี่ย..รู้สึกเมื่อยไหล่มากเลย...ไม่รู้คนอื่นเป็นมั้ย..แต่ยุ่นเนี่ย...เกลียดมากเลย...เมื่อยสุดๆ..

อย่างเมื่อวาน ฮ่งชวนไป shopping เพราะช่วงนี้ห้างจะลดเยอะไง....SALES นะ.... มันก้อยั่วกิเลสใช่มะ.....ยุ่นก้อเลือกดูเสื้อผ้าและก้อต้องลอง ...ซื้อเสื้อผ้าที่นี่ยังไงก้อต้องลอง..เพราะ size เนี่ย..หายากมาก..แล้วแบบเราดูเนี่ยดี น่าจะใส่ได้...แต่พอลองแล้วมันไม่ใช่อ่ะ... เพราะ size ฝรั่งกับเอเชียมันแตกต่างนะ...เพราะฉะนั้นต้องลอง...แน่ใจจึงค่อยซื้อ....แต่เค้าก้อมีให้คืนได้นะ หากเราไม่พอใจ..แต่ยุ่นไม่ชอบอ่ะ..คือเราต้องนั่งรถมาอีกรอบ...ก้อแบบขี้เกียจเหมือนกัน....

เสร็จ...ยุ่นก้อเลือกชุดที่เราจะลอง.....ก้อลืมตัวเนอะว่าไอ้ชุดที่อยู่บนตัวเราขณะนั้นนะก้อเสื้อสี่ชั้น..กางเกงสองชั้น...ยุ่นใส่ tight ก่อน..แล้วจึงตามด้วยยีน..เสร็จรองเท้ายุ่นก้อใส่ boots อย่างหนา...เพราะป้องกันไม่ให้เท้าเย็น...พอเราเข้าไปในห้องลอง..แม่เจ้า..เพิ่งนึกออก..ไม่อยากลองเลยอ่ะ.....กว่าจะถอดออกทั้งสี่ชั้น..รวมกางเกงอีกสอง....อ๋อ..ต้องถอดรองเท้า boots ด้วย ไม่งั้นยัดขาเข้าไปในกางเกงไม่ได้...ลองกางเกงไม่ได้...เหนื่อยสุดๆเลย..คืออ่านเนี่ยอาจรู้สึกว่ายุ่นเวอร์...แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ..

แล้วยุ่นก้อดันเอาชุดเข้ามาลองแค่สามชุด..ปรากฎตอนอยู่ในห้องลองเพิ่งนึกออกว่าน่าจะเอาเข้ามาเยอะๆ ลองให้สะใจไปเลย..เชื่อมะ..ฝรั่งเวลาลองเนี่ย..เค้าลองแบบหนึ่งคันรถเลยอ่ะ..รถ cart ในห้างแบบนั้นนะ..เค้าลองกันแบบเป็นยี่สิบสามสิบตัวเลย...เราก้อเลยเพิ่งนึกออกว่า เราเนี่ยโง่อีกแล้ว..ลืมทุกทีเลย...

และพอลองเสร็จ..ก้อใส่ไม่ได้สักชุดเลย ใหญ่เกินหมด..และยุ่นก้อต้องเปลี่ยนและใส่ไอ้เสื้อสี่ชั้น กางเกงสองชั้น รองเท้า boots กลับเข้าไปอีกครั้ง เฮ้อ..เหนื่อยมากเลยว่ะ..นี่แค่ลองชุดนะเนี่ย...ก้อแบบแยกกันเดินกับฮ่งไง....แล้วก้อไม่ได้บอกเค้าว่าเราจะลองชุด...ฮ่งก้อหายุ่นไม่เจอ...ฮ่งก้อยั๊วะมากเลย.....เค้าบอกเค้าเกือบจะไปประกาศที่ประชาสัมพันธ์แล้ว.....คือยุ่นหายไปเป็นชั่วโมง...ก้อนึกภาพสิ...กว่าจะถอดกว่าจะใส่เสร็จ...

เสร็จพอฮ่งอารมณ์ดีขึ้น พี่แกมีการบอกยุ่นอีกว่า....ลองแล้วไม่ถูกใจเหรอ..ไม่เป็นไร..ไปหาดูเสื้อชุดใหม่แล้วเข้าไปลองอีก...ยุ่นบอก..ไม่เอา..ไม่ไหวแล้ว.....ลองชุดที่นี่เสร็จก้อหมดรมณ์ซื้อเลยอ่ะ...นี่ก้อคงเป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้ยุ่นไม่ค่อยได้ซื้อเสื้อผ้าที่นี่..แบบต้องมีความพยายามสูงมากนะ....คิดอีกทีก้อดีเหมือนกัน..จะได้ประหยัดเงิน....ไม่ฟุ่มเฟือย...

กลับเข้าเรื่องอากาศหนาวเย็นอีกรอบ....เวลาหนาวเนี่ย ถ้า sunny ก้อยังพอไหว..แต่ถ้าฝนตกหรือมีลมพัดแล้วละก้อ...ไม่อยากจะบอกเลยว่า. ..โครตหนาวเลย..มันหนาวแบบเข้ากระดูกเลยอ่ะ..ทรมานมากๆ...ยุ่นว่านะการหนาวตายมันก้อน่าจะทรมานไม่น้อยกว่าการร้อนตายนะ...แต่คงทรมานคนละรูปแบบ...ร้อนก้อคงแบบแห้งๆกระหายๆ..แต่หนาวก้อคงแบบเย็นจนเข้าถึงขั้วกระดูก..เจ็บและทรมาน....ไม่อยากคิดเลย...

ยกตัวอย่าง...วันก่อนยีนไป snow board กับเพื่อนบนเขา..คือที่นี่พอเข้า winter เค้านิยมไปเล่นกัน..ยีนไปครั้งที่สอง ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้ยีนบอกเล่นมันส์มาก..แบบตอนแรกก้อมีล้ม..แต่หลังจากนั้น..สบายมากเลย ครั้งนี้เร็ว...ทรงตัวได้ดีกว่าครั้งก่อน..ยีนเล่นตั้งแต่ประมาณบ่ายสามถึงสี่ทุ่มเลยอ่ะ...ไปกับเพื่อนสองคน..เล่นกันมันส์สะใจ..แต่ชุดของยีนไม่พร้อม..เพราะเราก้อไม่ได้ซื้อให้ ทั้งชุดแบบพร้อม second hand ก้อมี 500 เหรียญ ไอ้เราก้อไม่ได้ซื้อให้ลูก..เพราะเล่นปีละครั้ง...

และคิดดู ยีนขึ้นไปบนเขาอากาศมันก้อเย็นกว่าข้างล่างแน่นอน...ติดลบอ่ะ...ยีนเอาถุงมือธรรมดาไป..น้ำแข็งมันก้อเข้าไป...นิ้วยีนตรงปลายนิ้วอ่ะ ทั้งสิบนิ้วเลยนะ....เปลี่ยนเป็นสีม่วงเลยอ่ะ..ก้อคุณยีนเล่น snow board ปาเข้าไปเกือบเจ็ดชั่วโมง...ยุ่นว่าน่ากลัวนะ..ยุ่นก้อบอกเค้าว่าถ้าไม่ไหวต้องเลิกนะ....อย่าฝืน...เพราะกลัวเป็น gangrene ยีนบอกยีนหนาวจนไม่มีความรู้สึกเลย..แล้วแบบเด็กไง..ก้อเล่นจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น...พอเล่นเสร็จถึงได้รู้สึกตัวว่านี่ไง..รสชาติของความหนาวเย็น....

นอกจากนี้ Winter ยังเป็นอะไรที่มืดเร็วมาก..แบบสี่โมงก้อมืดแล้ว..เหมือนวันหนึ่งมีไม่กี่ชั่วโมง..ยังไม่ทำอะไรก้อมืดแล้ว...ยิ่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ฝนตกทุกวันเลย ทั้งมืดทั้งเปียก...เห็นอากาศเนี่ย ไม่อยากออกจากบ้านเลยอ่ะ..แล้วก้อดูเศร้าๆ...ไม่สดชื่นเลย...มิน่า..ที่นี่พอมีแดดนะ..สำหรับฝรั่ง เค้าจะชอบทักทายด้วยประโยคคลาสสิค..It's a beautiful day! ตลอดเลย...อย่างนี้ถ้ามาอยู่ไทยเนี่ย...Beautiful days all through the year!!! เลยแหละ..^^

ก้อเรียกว่า...ตอนอยู่บ้านเรา..ยุ่นก้อเจอแค่ร้อน กับร้อนมาก..แล้วก้อฝนตก..เราจะไม่ค่อยเจออากาศที่เปลี่ยนแปลง...แบบมากมาย...แต่มาที่แคนาดายุ่นได้เห็นถึงฤดูที่เปลี่ยนแปลงและแตกต่างจริงๆ..เวลา Summer ก้อแบบสดชื่น..โลกสดใสจริงๆนะ..แรกๆมาไม่ชอบ Sunny Day นะ แต่เดี๋ยวนี้เวลาดูพยากรณ์ว่าพรุ่งนี้ Sunny Day ยุ่นก้อยังชอบเลย.. "In summer, the song sings itself."


พอหมด Summer ก้อเข้าฤดูใบไม้ร่วง..มันก้อเริ่มเย็นนะ..แต่ไม่มาก...แต่ฝนเริ่มมา..และที่สำคัญคือใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีสันสวยงาม...เป็นแดงเป็นส้ม..เป็นเหลือง...ก้อทำให้เมืองดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง..โรแมนติกดี..
"Everyone must take time to sit and watch the leaves turn."


และก้อเข้า Winter ก้อแบบเศร้าสุดๆเลย...หนาวด้วย...ยิ่งถ้าหิมะตกด้วย..ก้อเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง..ก้อสวยแบบเศร้าๆ...เหงาๆ...ขาวโพลนไปทั้งเมือง....นอกจากนี้ชีวิตช่วง Winter ลำบากสุดๆเลย...
"Winter must be cold for those with no warm memories."

แล้วพอเจอเศร้าสุดๆ...ก้อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ...ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆเริ่มผลิบานกันใหม่ อากาศก้อไม่หนาวไม่ร้อนไป....ยุ่นชอบ Spring นะ..ยุ่นว่า Summer บางทีร้อนไปนิด..คือที่นี่จะร้อนแบบแห้งๆ...แต่บ้านเราร้อนชื้น...แต่ถ้าเป็นช่วง Springเนี่ย..อากาศจะกำลังสบายเลยอ่ะ...ชอบมากที่สุดเลย...และมันเหมือนทุกอย่างเป็นการเริ่มต้นสู่วงจรชีวิตใหม่... "Spring is nature's way of saying, "Let's party!"

และนี่ก้อคือฤดูที่แตกต่างทั้งสี่ฤดู...ในมุมมองของยุ่น :)


Thursday, December 23, 2010

Santa Claus is coming to town...

ทุกๆปีช่วงเทศกาลคริสมาส โรงเรียนที่นี่จะหยุดกันยาวสองอาทิตย์ หรือประมาณ 16 วัน...อึม...ถ้าตั๋วเครื่องบินกลับไทยไม่แพงเท่าไร..ยุ่นก้ออยากบินกลับไทยเหมือนกันนะเนี่ย...คิดถึงบ้านเราจัง....เพราะอยู่ที่นี่...อากาศหนาวก้อหนาว...แล้วเราก้อไม่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง...ให้ไปสังสรรค์ด้วยเลย... เศร้าเล็กๆ...

แต่ปีนี้..ครอบครัวเราได้ไปสังสรรค์ที่บ้านพี่ประเวศกันช่วงคริสมาส ก้อนั่งกินข้าวแล้วก้อคุยกันเหมือนเคย...เดี๋ยวมีอีกครั้ง วันที่ 31 สิ้นปี...พี่ประเวศจัดให้ค่ะ...พี่เค้าชวนไป count down ที่บ้านพี่เค้าอีกครั้ง...ก้อมีพี่อ้อมอีกครอบครัวหนึ่ง...รวมกันสามครอบครัว...ก้อ..อบอุ่นไปอีกแบบ....ตามประสาคนไทยในต่างแดน..

ที่บอก..ยุ่นสามารถกลับได้เพราะที่ศูนย์มิสก้อปิดเรียนเหมือนโรงเรียนทุกอย่าง เราต้องให้การบ้านเด็กสามอาทิตย์ เรียกว่าเด็กกลับมาสัปดาห์แรก ครูผู้ช่วยหัวหมุนเลย เพราะต้องลง record กันวุ่นวายเลยแหละ..สามอาทิตย์...คูณจำนวนนักเรียน..ก้อหนาวพอควร..แต่ถ้าเป็นที่ไทย ต้องตรวจการบ้านนักเรียนสามอาทิตย์..ตายแน่ๆเลย..

เอาเป็นว่ากลับเข้าเรื่องคริสมาสต่อดีกว่า..สิ่งที่ยุ่นชอบในช่วงเทศกาลนี้..อึม.. จริงๆก้อไม่เชิงนะ...แต่เพราะยุ่นไม่ได้ไปเที่ยวไหน ไม่ได้ไปสังสรรค์อะไรมากมาย.. ต้องอยู่บ้านมากกว่าตอนปกติ...ก้อเลยได้นั่งดูทีวีเป็นส่วนใหญ่ และยุ่นเป็นคนชอบดูหนังแบบจบเป็นเรื่องๆ...ซึ่งช่วงนี้ก้อเรียกว่าได้ดูแบบกระหน่ำ...ดูมาดูไปก้อ in และมันก้อชอบเหมือนกัน...

พอใกล้เทศกาลคริสมาสของทุกปี..เห็นเหมือนกันทั้งสามปีตั้งแต่มาอยู่ พอเข้าเดือน December เค้าก้อจะเริ่มเอาหนังคริสมาสมาฉาย..ยุ่นว่าดีนะ....เนื้อเรื่องก้อแบบเป็นชีวิตของคนที่นี่. ... มีหลากหลายแบบหลายรส....แต่เค้าผูกเรื่องได้น่ารัก โดยผูกเรื่องราวในครอบครัวให้เข้ากับความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์..ก้อคือช่วงคริสมาสเนี่ยแหละ....ซึ่งมักจะจบด้วยการแนวคิดที่ว่าการมีครอบครัวที่อบอุ่น..เป็นพื้นฐานที่สำคัญของสังคม..

ยุ่นดูแล้วชอบ..มีหลายเรื่อง...ดูแล้วซึ้ง..เรียกน้ำตาเป็นปี๊บๆเลย....และให้เห็นว่าจริงๆ..สำหรับฝรั่งเรื่องครอบครัวกับเทศกาลคริสมาสเนี่ย...มันสำคัญสำหรับพวกเค้ามากๆเหมือนกัน....และทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมและความคิดหลายๆอย่างของเค้ามากขึ้น...

อย่างวันก่อนได้ดูเรื่องหนึ่ง.. เรื่อง Santa Suit เป็นหนังธรรมดาๆนี่แหละ..เหมือนพระเอกเป็นคนที่รวยมาก มีทุกสิ่งอย่างในชีวิต แต่ไม่เคยสนใจในความรู้สึกของคนอื่น ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และไม่มีชีวิตครอบครัวไง มีแต่งานและเงิน...แต่ Santa แบบเหมือนมาแกล้งเค้าทำให้ทุกคนมองเห็นพระเอกจากนักธุรกิจกลายเป้น Santa Claus ซึ่งทำให้เค้าทำธุรกิจของตัวเองไม่ได้ เพราะหน้าตาเค้าเปลี่ยนเป็น Santa ใส่ชุด Santa ตลอด..ถอดไม่ได้...

พระเอกก้อกลายเป็นคนไม่มีอะไรเลย ต้องไปหางานทำ ก้อต้องเป็น Santa ที่มาถ่ายรูปกับเด็กๆใน mall และต้องไปอยู่บ้านแบบเหมือนพวก homeless ซึ่งงานนี้ทำให้พระเอกได้เข้าถึงจิตใจของคนอื่นๆโดยเฉพาะเด็กๆ..และพระเอกก้อได้ย้อนถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง...และเข้าใจว่าแท้จริงเค้าเองต้องการอะไร..และควรจะมีการให้แก่คนรอบข้างด้วย...ไม่ใช่จะเอาแต่ take..

เรื่องนี้ก้อให้แง่คิดหลายๆมุมนะ....และพอดูเรื่องนี้จบทำให้ยุ่นเข้าใจว่า..อึม..ไอ้ที่เราสงสัยตั้งแต่ปี 08 ที่เรามาที่นี่ เวลาเทศกาลคริสมาส เราเห็นห้างต่างๆ..จะมีทำซุ้มคริสมาสสวยงาม...และมี Santa Claus มาถ่ายรูปกับเด็กๆทุกปี เสียสตางค์ด้วยนะ..ทำไมเค้านิยมกันจังเนี่ย...ไม่โดนใจเราเลย..แพงก้อแพง..ฮิตได้ไงเนี่ย...

แต่ปีนี้พอเราได้ดูหนังเรื่องนี้ ทำให้เราเข้าใจ culture และความคิดความเชื่อของเค้า ยุ่นก้อเลยลองยืนสังเกตุการณ์เวลาไปห้าง....ทำให้เราได้เห็นภาพน่ารักๆมากมาย...เราจะเห็นพวกเค้า ส่วนมากจะเป็นฝรั่ง เอเชียมีบ้างแต่น้อย..เข้าคิวเพื่อจะถ่ายรูปกับ Santa คิวยาวนะ ไม่ใช่สั้นๆ..ลูกค้าก้อจะเป็นเด็กเล็กส่วนมาก..ก้อตั้งแต่ Baby ถึง 6-7 ขวบนะ..พ่อแม่ก้อ line up กับลูกๆ...

พอเค้าถ่ายรูปเสร็จ เค้าจะมีเวลาให้เด็กได้คุยกับ Santa แบบสองต่อสองอ่ะ...เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่าร๊าก....นั่งคุยกับ Santa มีการกระซิบด้วยนะ..แบบนานมากๆๆๆๆเลย ยุ่นว่าต้องมีสิบนาทีนะ..เค้าก้อไม่ว่า ให้คุย..Santa ก้อคุยไปแบบใจดีมาก...เราเห็นเรายังชอบใจเลย..แบบเป็นภาพที่น่ารักมากเลย..จากนั้น ลุง Santa ก้อเดินไปทักทายและคงบอกคุณปู่ คุณย่าว่าหลานกระซิบอะไรมั้ง

และพอคุยเสร็จ..ลุง Santa ก้อจะให้ขนมลูกกวาดที่เป็นรูปไม้เท้าเล็กๆกับเด็กๆ...ซึ่งนี่ก้อเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของเด็กๆที่ได้มีโอกาสคุยกับ Santa ตัวเป็นๆ...สำหรับเด็กๆ..เค้าก้อคงมีความลับ มีความในใจที่อยากจะบอก Santa ซึ่งเค้าเชื่อว่า Santa จะมาหาพวกเค้าปีละครั้ง "Santa Claus is coming to town".. และเค้าเชื่อว่ามันจะเกิด miracle ขึ้นได้ในช่วงนี้ ซึ่งอาจทำให้เค้าสมหวังอะไรประมาณนั้น..


ยุ่นคิดว่าแต่ก่อนอาจจะไม่เสียสตางค์...แต่ตอนหลังพวกห้างต่างๆ...ก้อเอาเรื่องนี้มาทำเป็นการค้าขายไป...เลยมีการถ่ายรูป...และพูดคุยกับ Santa แบบเสียสตางค์...เลยทำให้เรารู้สึกมันไม่ขลังมั้ง !?!

อย่างไรก้อตาม...คิดถึงถ้าเป็นเรานะ..ตอนเด็กๆ..เราก้อคงมีความสุขเหมือนกันที่ได้ทำแบบนี้...และทำให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่การถ่ายรูปนะ..จริงๆมันก้อมีความหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่ และนี่ก้อทำให้ยุ่นถึงบางอ้อว่า...ทำไมซุ้ม Santa จึงมีทุกห้างและได้รับความนิยมมากมายอย่างนี้ทุกปี...... ^^

Sunday, December 19, 2010

มีคุณก้อมีโทษ

ช่วงนี้ชีิวิตในแวนคูเวอร์ก้อไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นแปลกใหม่เท่าไร ก้อจะเป็นการเรียนหนังสือ กับการไปทำงานคุมอง ส่วนเรื่องทำ volunteer ก้อได้ปฎิเสธเค้าไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน... เนื่องจากเค้าให้ทำตั้งแต่ตอน 6.30 - 8.30 pm. มันก้อไม่ดึกหรอกหากเป็น summer แต่ตอนนี้ winter สี่โมงครึ่งก้อมืดหมดแล้วเหมือนทุ่มนึง แล้วอากาศก้อเ็ย็นมากๆ...เรียกว่า Freeze เลยก้อว่าได้ ฮ่งเลยบอก...ไม่อยากให้ไปทำ...เพราะที่ๆไปเนี่ยก้อค่อนข้างเปลี่ยว รถเมล์ก้อนานๆมาคันนึง...เลยตัดสินใจไม่ทำดีกว่า..ฮ่งบอกอย่าหาเรื่องโดยไม่จำเป็น..เฮ้อ...อุตส่าห์ดั้นด้น..ทำทุกอย่าง...

และ..ก้อคงอดพูดถึงคุมองไม่ได้อีก..เพราะมันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตยุ่นนะ..ช่วงนี้..เด็กนักเรียนลาออกมากมาย...ยุ่นก้อลองคิดเล่นๆว่าทำไมเด็กถึงออก...

เด็กที่ลาออกช่วงนี้จะเป็นเด็กที่เรียนระดับ F ขึ้นไป..หลายคนเลย..มีคนหนึ่งเค้าทำ F 01-20 แต่เค้าทำไม่ได้เลย...ก้อคือ E เนี่ยเค้าไม่ get ไง พอมา F ก้อจอดไม่ต้องแจวเลย มิสก้อแก้ปัญหาแบบซ้ำอย่างเดียว ยุ่นเห็นเค้าซ้ำประมาณ 4-5 รอบแค่ยี่สิบแผ่นแรก...แต่เด็กมันก้อทำไม่ได้อยุ่ดี....มิสก้อบังคับให้ทำทั้งยี่สิบแผ่นในห้องและเอามาส่งแก..เด็กทำไงก้อไม่ได้ เลยหนีกลับบ้าน...และบอกแม่ขอเลิกเรียน เพราะมิสไม่สอน ไม่เข้าใจ...มิสก้ออธิบายกับแม่ว่า ไม่จริง เด็กลอกคำตอบใน answer book มา...ทำให้เค้าทำไม่ได้...

อีกกรณี...เด็กเคยเรียนคุมองแล้วออก..แล้วกลับมาใหม่ ทีแรกก้อ happy มิสให้ทำสองเล่ม แบบ A กับ E ทำจนไล่ขึ้นมาถึง G เด็กขอเหลือหนึ่งเล่ม...ในที่สุด เด็กไปไม่ไหว หายไปไม่มาโดยไม่บอกกล่าว โทรไปตามเด็กบอก...เรียนแล้วไม่เข้าใจ ใช้เวลาทำคุมองนานมาก..และยังต้องทำการบ้านที่โรงเรียนอีกมากมาย..ไม่มีเวลาเรียนแล้ว..


กรณีต่อมา...เป็นลูกสาวของเพื่อนยุ่นที่เป็น marker แต่เนื่องจากเพื่อนยุ่นเค้ามีความจำเป็นต้องลาออกไปหางานประจำทำ..แต่ลูกสาวก้อยังเรียนอยู่..ลูกอยู่ G ประมาณ 71-100 ( ชุดเด็ด...ยากใช้ได้ ) เด็กไม่เข้าใจตั้งแต่ G ประมาณ 41 51 แล้ว เริ่มเห็นแวว..แต่มิสก้อซ้ำมาซ้ำไปตลอด..และไม่ยอมให้ใครสอน แม้กระทั่งตัวมิสอธิบาย เด็กก้อไม่เข้าใจ..แกก้อแก้โดยย้อนไปง่ายๆ แล้วกลับมาอีกครั้ง ..ทำแบบนี้อยู่สามรอบ และในแต่ละรอบ...ก้อมีการซ้ำมากกว่าสามครั้งต่อชุด...ปัญหาก้อยังเหมือนเดิม...ในที่สุด....เด็กขอลาออก...เพราะทนไม่ได้จริงๆ...เด็กบอกทำวันละเกือบชั่วโมง..อาจคิดว่าเด็กทำเยอะ ...แต่เด็กทำวันละ สามแผ่นเท่านั้น...การบ้านโรงเรียนก้อเยอะ...ทำคุมองก้อใช้เวลา...สอบที่โรงเรียนเลขก้อได้ C

เด็กคนนี้อยู่เกรด 8 ก้อม.สองบ้านเรา แต่ไงอ่ะ ที่นี่เลขเค้าง่ายกว่าบ้านเราอ่ะ..คือบ้านเราถ้าเด็กอยู่ G เนี่ย ที่โรงเรียนเลขจะได้ A แน่นอน..แต่เด็กคนนี้ก้อเหมือนเรียนม.หนึ่งบ้านเรานะ...แต่ได้ C พ่อก้อบอกให้เลิก ไม่ไหว ไม่ไหว...มิสก้อโกรธมากๆๆๆๆๆเลย...

นอกจากนี้ก้อมีเด็กแขกอีกคน เคยเรียนแล้วเลิก..ก้อกลับมาอีกครั้ง..อยู่เกรด 12 ตอนนี้ทำ K 150 ประมาณเรื่อง function ต่างๆ...เด็กทำด้วยความทุกข์ทรมานมาก...คือดูตัวอย่างแล้วไม่ getอ่ะ...ยุ่นก้ออยากช่วยนะ..แต่ก้อทำได้ไม่เต็มที่....นอกจากบางวันพอมีเวลาก้อได้ guide เค้า...หลัง guide เค้าก้อดีนะ...ทำเองได้..แต่ปัญหาคือที่ศูนย์ ไม่มีใคร guide เด็กอย่างเป็นจริงเป็นจัง.....และเค้าก้อบอกว่าเค้าไม่ได้จ้างยุ่นมา guide เด็กอย่างเดียว...เค้าต้องการให้ยุ่นทำงานอย่างอื่นก่อนการ guide....ซึ่งอันนี้ราก้อเข้าใจหน้าที่หลักของเราดี

และยุ่นก้อสังหรณ์ว่าเด็กคนนี้จะลาออกในไม่ช้า...

.เมื่ออาทิตย์ก่อน แม่เด็กคนนี้มาแอบกระซิบยุ่นว่ารับสอนพิเศษที่บ้านมั้ย...อยากให้มาสอนลูกสาวเค้า เค้าชอบยุ่น ยุ่นก้อขอบคุณเค้า และบอกว่ายุ่นไม่ได้รับสอน ขอโทษด้วยนะค่ะ....จริงๆน่ะ...ใจนะอยากสอน...แต่เราก้อต้องมีจรรยาบรรณเนอะ..ครูผู้ช่วยก้อต้องมีจรรยาบรรณเหมือนกัน....อาจได้เงินเพิ่มอีกเดือนหนึ่ง 100 กว่าเหรียญ แต่เสียชื่อตัวเราและเมืองไทย...ยุ่นถือว่ายุ่นเป็นตัวแทน instructor จากเมืองไทย..เพราะฉะนั้น...หยุดอยู่ตรงนั้นเลย...

ที่เล่ามาสามสี่ตัวอย่างนี้คือที่พอจำได้..แต่มีอีกหลายกรณีที่อยู่ดีก้อหายไป..ไม่มา ไม่จ่ายตังส์ ติดต่อไม่ได้..ส่วนใหญ่ดู record book ก้อมีปัญหาทั้งนั้น คือเค้าขึ้นไม่ไหว..คือพื้นฐานเค้าไม่แน่น..กำลังไม่พอที่จะทำระดับสูงขึ้นไป...และขอบอก คุมองระดับสูงขึ้นไป..มันไม่หมูอย่างที่คิด..

ยิ่งมาดูศูนย์ิมิส ก้อให้ยิ่งรู้สึกว่าอยากให้ instructorใหม่เข้ามาซื้อเร็วๆ เผื่อเค้าไฟแรง จะได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีขึ้น เนื่องจากมิสเค้าก้อคงอยากเลิกเต็มที่แล้ว ก้อจะไม่มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพอะไรเลย..

ยิ่งภาษาอังกฤษนะ...อยากบอกว่าสงสารพ่อแม่เด็กที่ต้องจ่ายเงินให้มิสทุกเดือน วิชาละ 100 เหรียญนะ.. 3000 บาท สำหรับที่นี่ก้อไม่ถูกนะ...คิดดูเอาลูกมาอาทิตย์ละครั้ง...ครั้งละหนึ่งชั่วโมงเลย..แต่ไม่มีครูสอนนะ..ให้มานั่งทำแบบฝึกหัด แล้วมีครูตรวจงานให้...เดือนละ 100 เหรียญ...แต่ก้อโอเคตรงที่ว่ามีแบบฝึกหัดให้ทำทุกวัน...

เราเห็นแล้วก้อสงสารเด็กมากเลย...ตอนนี้...เด็กมากมาย..เดินมาหายุ่นเพื่อให้ยุ่นช่วยภาษาอังกฤษ...คือแบบเด็กมีปัญหาอะไรแทบทุกอย่างก้อมักเดินมาหายุ่น...คราวนี้อังกฤษเนี่ย..ยุ่นก้อไม่อยากก้าวก่าย และที่สำคัญคือยุ่นไม่ได้มีความรู้เรื่อง worksheet มาก..คือมันคนละ version กับบ้านเรา...และยุ่นก้ออยากให้ครูอังกฤษเค้าได้รู้ปัญหาและแก้ให้ถูกจุดมากกว่า...

ภาษาอังกฤษเนี่ย..เด็กที่เรียนจะเป็นเอเชียส่วนมาก..ก้อคือแบบเค้าเกิดที่นี่ก้อมี และส่วนใหญ่ก้อ immigrate เข้ามา ก้อจะมีปัญหาเรื่องอังกฤษ ก้อไม่รู้ทำไง..แต่..ที่นี่..หมายถึงศูนย์นี้นะ..ศูนย์อื่นไม่รู้...เค้าไม่สอนไง..เด็กทำเอง อ่านเอง....concept self learning....เด็กเล็กๆเนี่ย.. phonic ยังไม่แข็งเลย ก้อขึ้นต่อเรื่องใหม่ ยุ่นนั่งดู ยังอ่านไม่ไ้ด้เลย ก้อให้ทำระดับใหม่...งงอ่ะ..

การให้แบบฝึกหัด เค้าให้รวดเดียว 7A 01-200 แล้วซ้ำ 7A อีกรอบ.... 6A ก้อให้แนวนี้ พวก A1,A2 ก้อแบบนี้ ให้ยาวเลย...บางทียุ่นเห็นเด็กทำ รู้เลยว่าเด็กไม่ get grammar ที่คุมองกำลังให้ ผิดเพียบ แต่เค้าก้อให้แบบนี้ ไม่เข้าใจจริงๆว่าที่นี่เค้า train การให้แบบฝึกหัดแบบนี้หรือไง...ครูอังกฤษสามวันสามคน...วุ่นวายมากมายเลย...ไม่รู้นะ..ยุ่นว่าของบ้านเรา..การให้แบบฝึกหัดของเรา work กว่า ยุ่นไม่คิดว่าเด็กที่เรียนในประเทศเหล่านี้ ภาษาอังกฤษจะแข็งแกร่งมากขนาดทำรวดเดียวได้...โดยเฉพาะพวกเด็กเล็ก..หมายถึงอนุบาลถึงป. 4-5 บางคนก้ออยู่ A1 ก้อยังอ่านไม่ค่อยได้เลย...ปัญหาที่เจอก้อคล้ายของบ้านเรา..ยุ่นว่าเพียงเราใช้ภาษาอังกฤษน้อยกว่าเค้า.. เราอาจอ่านไม่เพราะเหมือนเค้า...แต่ยุ่นว่าเค้าสอนแบบประสิทธิภาพต่ำมากเลย...ยุ่นว่าในสิ่งแวดล้อมที่ดีขนาดนี้ เด็กน่าจะ work กว่านี้..เพราะครูที่สอนและครูผู้ช่วยหาก train ดีๆ..ยุ่นว่ามันต้อง work นะ..เพราะมันคือภาษาของเค้าเอง..

ที่พูดแบบนี้เพราะตอนนี้บางครั้งยุ่นต้องช่วย mark งานภาษาอังกฤษ บอกแล้วสุวรรณีลงได้ทุกตำแหน่ง พอเราตรวจเนี่ย เราเห็นปัญหาเลย..เด็กทำผิดเยอะมาก...และเวลาแก้..เด็กก้อแก้ไม่ถูก...อยู่ในห้องกันเป็นชั่วโมงๆ...ผู้ปกครองก้อแบบหน้าเคร่งเครียดนะ..รอนานอ่ะ..ไม่เสร็จซะที เด็กบางคนแก้สิบรอบยังไม่ถูก เด็กหลายคนนั่งร้องไห้เลยอ่ะ...ไม่รู้นะ..ถ้าเป็นยุ่น เด็กร้องไห้กันเยอะ อยู่ศูนย์กันเป็นสองสามชั่วโมง..เราเป็นเจ้าของ เราต้องเอ๊ะใจเนอะ..มันมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน...และเด็กก้อลาออกเยอะมากเหมือนกัน...

เฮ้อ...ก้ออย่างว่าเนอะ..ยุ่นรู้สึกว่ามิสติงเค้าไม่ใช่ครูคุมองอ่ะ..เค้าไม่เชื่อว่าเด็กคิดและทำอะไรได้ด้วยตัวเองมากกว่าที่เราคิด...ยุ่นหมายความว่า การวางแผนร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก..ก้อเป็นหัวใจอีกอันหนึ่งที่ทำให้เด็กรู้ความก้าวหน้าและมีแผนการในการเรียนของเค้าเอง...การเรียนคุมองที่นี่เค้ายึดหลักเรียนรู้ด้วยตัวเอง..แบบเรียนเองเลยอ่ะ...คือเค้าเชื่อว่าแบบฝึกหัดคุมองเจ๋งมากขนาดเด็กทุกคนในโลกนี้ดูแล้ว get ได้ด้วยตัวเอง...ซึ่งมันไม่ใช่..

สำหรับยุ่น..ยุ่นเชื่อว่า..เลขนั้นต้องเข้าใจ..หากไม่เข้าใจ มันทำไม่ได้..เพราะมันเดินไม่ถูกอ่ะ..อย่างน้อยการซ้ำแบบฝึกหัดเด็กควรมีประโยชน์ในตัวมันเอง.. instructor ต้องเข้าใจว่าเราซ้ำเพื่ออะไร..ไม่ใช่เด็กไม่เข้าใจก้อตะลุยซ้ำมันไป...ยุ่นว่านะหากเข้าใจ..การทำอีกสักหนึ่งหรือสองรอบก้อเพียงพอแล้ว..แต่หากไม่เข้าใจ ทำไปเหอะ 100รอบ ก้อไม่มีทางทำได้ แล้วมันก้อผิดเยอะ...แก้ก้อน่าเบื่อ เพราะมันไม่เข้าใจ...มันก้อยังวนอยู่ในวงจรเดิมๆ..เหมือนเด็กหลงทางอ่ะ..เค้าก้อเริ่มเบื่อหน่าย...และอยากเลิกเรียน...


.ยุ่นว่าครูคุมองต้องเข้าใจหน้าที่..และรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ โดยเฉพาะแบบฝึกหัดคุมอง หากครูคุมองไม่เคยทำ และไม่รุ้จักมันดีพอ...เราจะไปให้แบบฝึกหัดเด็กได้อย่างไร....ยุ่นว่า...อันตรายนะ...เพราะจากประสบการณ์ที่ยีนเคยเรียนที่ศูนย์คุมองที่ไม่มีความรู้แบบนี้ เกือบทำให้ยีนเกลียดวิชาเลขไปเลย...

และยุ่นเอง..ยุ่นทำแบบฝึกหัดคุมองในระดับ J up เนี่ยยุ่นยังมีติดเลย..มีไม่เข้าใจ...มีงง...มีทำไม่ได้..ต้องโทรไปถามหน่อย..ถามผู้รู้...แล้วเราคิดเหรอว่าเด็กจะทำได้โดยไม่ติดเลย...

และ..อย่าลืม...ยุ่นเรียนแบบยุ่นเรียนเป็น..คิดวิเคราะห์.....ว่ามันเป็นมาอย่างไร?....แต่เด็กก้อมีที่เรียนแบบยุ่น คือเค้าเรียนเป็น แต่ก้อมีเด็กอีกมากมายที่เค้ายังเรียนไม่ถูกหลัก....ไม่รุ้วิธีการเรียนที่ถูกต้อง...เราครูคุมองต้องสอนให้เค้าเรียนให้ถูกหลักให้ได้..ซึ่งไม่ใช่การที่เด็กจบเป็น completer แปลว่าเด็กเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง...ยุ่นว่าต้องเริ่มจากก้าวแรกในการเรียนที่ทำให้เค้าเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง...และเรียนเป็น..อันนี้มากกว่าที่สำคัญ..

จริงๆทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ...มีคุณก้อมีโทษในตัวมันเอง.....อยู่ที่เราจะใช้มันเป็นหรือไม่...อย่างไร???

Saturday, December 4, 2010

Biology 12

ช่วงนี้ก้อไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเล่นคอมเลยอ่ะ...เพราะไปลงเรียน biology12 อันนี้ไม่ใช่คุณลูกนะ...คุณแม่ค่ะ...

เพราะนี่ก้อเรียนมาเรียนไปก้อใกล้จบไอ้หลักสูตร high school ที่นี่แร้ว...คือปีนึงก้อไปเรียนสามวิชา นี่ก้อเรียนมาสองปีแล้ว...เรียนๆหยุดๆ...จนครูที่ปรึกษาบอก..เหลือของเกรด 12 สองตัวนะ...Eng 12 กับอะไรก้อได้อีกตัว...แล้วคุณก้อจบแล้ว...

ก้อเลยตัดสินใจเรียน bio 12 เพราะถ้าลงเคมีหรือฟิสิกส์ต้องเรียน 11 ก่อนจึงเรียน 12 ได้ ............. แต่ฟิสิกส์ขอบอก..ไม่เรียนเด็ด..เกลียดสุดๆเลย..

ครั้งนี้..พอได้มาเรียน bio กับครูคนนี้...ก้อเป็นอีกแนวเลยอ่ะ..ครูคนนี้ high techสุดๆ..แบบเค้าเก่งคอมมากเลย..ใช้คอมสอน..ให้การบ้านทางคอม...เช็คชื่อ...ให้คะแนนทุกอย่างทางคอมหมด...แล้วการสอนก้อใช้เทคนิคการ present powerpoint ในการสอน...ก้อทำให้เราได้เห็นภาพอย่างชัดเจน...แบบก้อสนุกไปอีกแบบ..เมื่อเทียบกับที่เราเคยเรียนตอนเด็กๆ...อึม..ก้อเกือบสามสิบปีแล้ว...ยุ่นว่าเด็กสมัยนี้...การเรียนการศึกษาค้นคว้า สบายกว่าสมัยก่อนมากๆเลย...มีข้อมูลมากมาย...และข้อมูลก้อมีการ present ค่อนข้างดี...ดูง่าย เข้าใจง่าย...

ทีแรกพอเพื่อนบอกว่าใช้คอมเรียน..ยุ่นก้อหนาวเหมือนกัน..เพราะไอ้เราก้อไม่เก่งคอมมากเท่าไร..อย่างครั้งแรกเค้าให้ทำข้อสอบส่ง ก้อกดผิดกดถูก...รู้สึกยังทำไม่เสร็จ แต่ดันกดส่งไป..โชคดี paper แรกเค้าไม่เก็บคะแนน...เฟอะฟะตลอดเลย...

แต่อย่างว่าคนเราก้อต้องปรับตัว..ก้อถามเด็กนักเรียนข้างๆ..ว่าทำไง..ถามมาถามไปก้อหัดทำเอง...ในที่สุด มันก้อต้องทำได้..ไม่มีอะไรยากเกินการเรียนรู้...

และที่ชอบมั่กๆของ course นี้ก้อคือ..เวลาเรียนแล้วครู present โดยใช้คอม..อย่างเรื่องการผลิต DNA , RNA ใน nucleus อ่ะ...แบบเป็นอะไรที่เค้าทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่ายเลย...นอกจากนี้ ครูคนนี้ก้อมี VDO ที่แสดงถึงการทำงานภายในร่างกายเรา cell และก้อพวก organelle ต่างๆมันทำงานกันอย่างไร...ย้อนคิดถ้าตอนโน้นได้เรียนแบบนี้..ยุ่นก้อน่าจะชอบวิชา bio มากกว่านี้นะ..

ตอนนั้นเรียน..ก้อแบบนึกภาพเอง..จินตนาการไปต่างๆนานา...เพื่อช่วยการจำไง..แต่อันนี้ไม่ต้องเลย..มีภาพประกอบความเข้าใจ ทำให้เราเข้าใจได้ดีมากๆเลย...ชอบไอเดียครูคนนี้มากเลย...อยากให้ครู bio ที่บ้านเราได้เห็นแล้วเอาไป apply ใช้จัง...เด็กๆน่าจะเรียนแบบมีความสุขและสามารถนำมาปรับใช้กับสุขภาพของเราได้ด้วย..

นอกจากนี้ ครูคนนี้ก้อแบบใจดีสุดๆเลย...ข้อสอบเค้าเนี่ยมักมี bonus question แบบสมมติเต็ม 15 เค้ามี 16 ข้อ หากเราทำได้หมด เราก้อจะได้คะแนน 107% เค้าก้อเก็บคะแนนแบบนั้นเลยนะ..หรืออย่างเค้าให้มา 20ข้อ...พอทำเสร็จ มีนักเรียนแย้งว่าข้อนี้เนี่ย ไม่ได้อยู่ในบทเรียนนี้...เค้าไม่เข้าใจ..ครูพิจารณาว่าใช่จริง..ครูให้เป็นคะแนน bonus เลยนะ..แบบจะกลายเป็นเต็ม 19 ทันที...ก้อคือเด็กๆจะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า...เพียงแต่ยุ่นรู้สีกว่าจากความที่ครูเค้าใจดีมาก ทำให้เด็กคนนี้ขอคะแนนพิเศษแบบนี้หลายครั้งแล้ว..ยุ่นดูแล้วไม่ชอบใจเท่าไร..คือเอาความใจดีของครูมาเป็นประโยชน์ของตัวเอง...แต่ก้อได้กันทั้งห้องนะ..เพียงแต่..ยุ่นรู้สึกบางทีก้อมากเกิน..

ยังไง..หากใครได้อ่านบทความนี้แล้วสนใจ อยากเข้าไปดู web-site ของครูคนนี้ก้อได้..เพียงแค่พิมพ์ คำว่า Biology 12 ตรง google search เท่านั้นแหละ..มันก้อจะพาไปหน้าพวก bio ก้อเลือกอันแรกเลยอ่ะ.. biology 12 ก้อคือของครูคนนี้ เค้าชื่อ Kyle อะไรประมาณนี้...เค้าจะมี slide สรุปของเค้า..แต่มันจะไม่ได้เป็นแบบเวลาเค้า present สอนในห้องนะ..อันนั้นคงต้องใช้คอมของเค้า...แต่เค้าก้อมีแบบฝึกหัดมากมายให้ฝึกทำ..ยุ่นว่าใช้ได้นะ..สำหรับการเรียนรู้ด้วยตัวเอง....ไม่เลวนะเนี่ย...ใช้ด้าย...

Tuesday, November 16, 2010

Artona since 1909 OUR IMAGE IS BUILT ON YOURS

v




วันนี้ไงขอต่อเรื่องการถ่ายรูป graduate ของยีนอีกสักรอบ...

เมื่อวานฮ่งได้รับซองจดหมายส่งมา..และเขียนไว้ที่มุมว่า " Your Order Deadline: NOV.16th, 2010" แบบไงอ่ะ เมื่อวาน 15 เพิ่งได้รับ พรุ่งนี้ dead line เลย...ทำเอาพ่อกับแม่เนี่ยหงุดหงิดมากเลย...

คือที่เหงุดหงิดเพราะมันเหลือเวลาให้เราคิดแค่วันเดียว แล้วก้อที่นี่เวลาสั่ง order เนี่ย เราต้องอ่านดีๆ ทำความเข้าใจด้วย มันก้อมีโปรโมชั่นหลาย package มากเลย...แล้วก้อขั้นต่ำก้ออย่างที่บอก 140 เหรียญขั้นต่ำ..

ฮ่งก้อเปิดซองออกมาดู เค้าทำเป็นรูปเล่ม..ของ Gene Takviriyanan เลยอ่ะ..แบบโปรชัวร์เล่มนั้นจะมียีนเป็นนายแบบเลย..เค้าทำให้เป็นคนๆเลย..ของเพื่อนยีนก้อจะเป็นเพื่อนยีนเป็นนายแบบ...ก้อเริ่มเข้าใจแล้วหละว่าไอ้ที่มันแพงเนี่ย..มันบวก..บวก..แล้วก้อบวกหลายอย่างลงไป..

แบบฮ่งก้อเปิดอ่านทำความเข้าใจ ก้อไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะสั่งอย่างไร..มี 5-6 packages อันแรก Studio Master -$395.99 เราเลือกรูปที่เราถ่ายได้ 5ท่า...( 5 poses) จาก 16 ท่า...แล้วเค้าก้อมีรายละเอียด..
1-16x20
1- 10x13
3- 8x10
4- 5x7
8- 4x5
24- 2 1/2 x 3 1/2
Digital Matte 8x10

เสร็จก้อมีช่องให้เติมเงิน...มีหักลบมีคูณ...แล้วมันก้อเป็นแบบนี้ทุก package เพียงแต่เราจะเลือกแบบไหน The Classic select 4 poses price- $345.99
The Graduation Special select 3 poses price-$295.99
The Contemporary select 2 poses price -$255.99
แล้วก้อมีแถมรูปเล็ก 16รูป...มี CD ด้วย แต่เป็นแบบ High Resolution Disc ก้อ High price ถ้า low ราคาก้อต่ำลงมาอีก..

คือไงอ่ะ อยุ่ที่นี่ ซื้อของ..อะไรทุกอย่าง ต้องอ่าน promotion กันนานมาก..เพราะไม่เข้าใจไง..เราก้อคุ้นแบบเรา แต่ฝรั่งมันก้ออีกแบบ...

สองคนพ่อแม่ก้อดูแล้วก้อคำนวณ คิดมาคิดไปมันแปลว่าอะไรว่ะเนี่ย..ไม่เข้าใจ แล้วเลือกอันไหนคุ้มสุดเนี่ย..สองคนถามกันเองตอบกันเอง ก้อไม่รู้คำตอบว่าถูกหรือผิด...

ฮ่งถึงกับจะให้ยีนกลับมาแล้วนั่งรถไปที่ร้านด้วยกัน สั่งกันที่ร้านเลย ไม่เข้าใจก้อถามพนักงานเลย..

แต่พอยีนกลับมา ยีนบอกไม่ต้องห่วงเดี๋ยวยีนจัดให้..ยีนสั่งทาง on line ได้...ฮ่งก้อบอกแน่ใจเหรอ..พ่อดูยังไม่เข้าใจเลย..ไม่รุ้จะสั่งไงเลย??

แต่ปรากฏ...ยีนเค้าเข้าไปดูใน web-site แล้วก้อแบบ click เร็วมาก..เค้าก้อเข้าใจ แล้วก้ออธิบายให้เราสองคนฟัง..พร้อมกดเงินให้ดูด้วย..เลื่อนมาเลื่อนไป...อธิบายเร็วมาก...สำหรับพ่อแม่หัวช้าอย่างเรา...ก้อต้องบอก เฮ้ย..ช้าหน่อย..ดูไม่ทัน..หรือไม่ก้อ อธิบายอีกครั้งสิ..ไม่เข้าใจ...55555 แต่โปรแกรมมันดีมากเลย..มันคำนวณให้เสร็จ...ง่ายมาก..เลยทำให้พ่อกับแม่ต้องพยายาม get......เฮ้อ..ต้องยอมรับ เราไม่ทันกับ.....เทคโนโลยี่สมัยใหม่จริงๆ....ต้องเรียนรู้อีกเยอะ...^^

และไอ้เงินมัดจำ 60 เหรียญ เค้าก้อหักตาม package ที่เราเลือก..แต่เราต้องเข้าไปใส่รหัสบางอย่างนะ..ไม่งั้นเค้าก้อริบเงินก้อนนั้นไป..ยุ่งมากเลย..ถ้าให้ยุ่นทำนะ งานนี้...ยุ่นทำไม่เป็นแน่ๆ..

สุดท้ายก้อจบลงด้วยการเลือก..The Graduation Special และเพิ่มอีก 1 pose ก้อเสียสตางค์ไป300 กว่าเหรียญ เฮ้อ..แพงมั่กๆ..เลย รูปประเทศนี้...เป็นหมื่นนะ....ได้มาไม่กี่ใบ...

อันนี้ก้อเป็นตัวอย่างจาก brochur ที่ถ่ายมา..ตอนนี้ก้อเอามาดูได้ประมาณนี้ก่อน ยังไงไว้ได้ CD มาคิดว่าน่าจะแจ่มกว่านี้นะ...ก้อสมควรนะ...เสียไปเป็นหมื่น...เฮ้อ...

Friday, November 12, 2010

ถ่ายรูปราคามหาโหด






เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว 7 พฤศจิกายน ทางวัดพุทธปัญญานันทารามได้จัดงานทอดกฐินสามัคคี ที่สวน VanDusen Botanical Garden ( Floral Hall ) งานนี้คนไทยไปร่วมทำบุญกันมากมาย คับคั่ง งานนี้ยุ่น พี่อ้อม และพี่ต้อย เราสามคนก้อได้ไปร่วมด้วยช่วยกัน....

หลังงานนี้ พวกเราก้อเหมือนเดิม ไปรวมตัวกันที่บ้านพี่ประเวศกับพี่ต้อย นั่งคุยกัน กินข้าวต้มกัน...ก้อสนุกสนานกันตามประสาคนไทยในต่างแดน...แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ปรับทุกข์กัน ก้อทำให้เราคลายความคิดถึงเมืองไทยได้บ้าง...

พอดีคุยไปคุยมาก้อคุยกันถึงเรื่องคนขับรถเมล์ในแวนคูเวอร์เนี่ย รายได้ดีมากเลย...ฮ่งก้อเล่าว่าเพื่อนคนหนึ่งบอกเค้ามีเพื่อนทำอยู่รายได้ปีละเกือบ 70,000 เหรียญ ก้อตกเดือนละ เกือบ 6,000 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก้อราว 180,000 บาท ยุ่นก้อบอกรู้งี้มาถึง..มุ่งมั่นหางานนี้ทำเลย...น่าจะรุ่ง...ความงก..มาโดยไม่รู้ตัว..

พี่ประเวศบอก มันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะคับ..เพราะหนึ่งคุณต้องเป็น citizen ของเค้าก่อน สองคุณต้องสอบใบขับขี่ไม่ใช่แบบพวกเรานะ ของพวกเรา class 5 ใช่มะ ของเค้าอาจจะ class 2 หรือ 3 เรียกว่าประเทศนี้ คุณยิ่งขับรถใหญ่ พวก truck เอย Van เอย...หรือรถยกอะไรที่ยากๆเนี่ย คุณยิ่งต้องได้ class ต้นๆ class 1 เลยก้อว่าได้...และสังเกตุว่า คนขับรถที่นี่แข็งแรงมาก...นอกจากนี้ ยังต้องผ่านด่านการแข่งขันที่สูงมาก เพราะใครๆก้ออยากทำงานนี้กันทั้งน้าน...^^

อึม..ฟังแล้วก้อรู้สึกว่ายากไม่ใช่เล่น แต่ก้อชอบความคิดเค้าอีกแล้ว คือฝรั่งเค้าจะป้องกันที่ต้นเหตุเลย เพราะการที่คัดเลือกคนที่มีความรู้ และผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วมาขับรถใหญ่ๆเหล่านี้ และกฎหมายบนท้องถนนเค้าเอาจริงเอาจังกว่าเรามาก....ปรับก้อปรับหนักเลย...หรือยึดใบอนุญาต...ทำให้อุบัติเหตุบนท้องถนนที่นี่เกิดน้อยมาก... ซึ่งต่างจากบ้านเรา พวกสิบล้อ หรือพวกที่ขับรถใหญ่ ก้อชาวบ้านที่ไหนก้อได้ที่ผ่านการสอบใบขับขี่เหมือนๆกันมาขับ...และบางทีก้อเมายาเมาเหล้า..อุบัติเหตุก้อเกิดได้ง่ายกว่ากัน...อึม..เค้าคิดสวนทางกับเราดี...แต่เข้าท่า...

แต่ก้อมีบางอย่างที่เราก้อไม่ชอบใจเหมือนกัน...อาจเพราะเราคุ้นกับบ้านเราที่มันถูกไง..พอมาเจอแบบนี้ เราทำใจรับยาก..

อย่างวันก่อน..ครอบครัวเราต้องต่ออายุ PR Card เพราะมันจะครบห้าปีแล้ว..อึม..เร็วเหมือนกันนิ..เพราะหากเราไม่ต่อ มันจะหมดช่วงปีหน้าที่เรา plan จะกลับไทย แล้วเวลากลับเข้ามา เราจะมีปัญหา...เสร็จก้อต้องถ่ายรูปใช่มะ..แบบรูปเนี่ยก้อคล้ายๆกับรูปที่เราทำ passport สมัยก่อน อึม..รูปที่ทำวีซ่าก้อได้...ถ้าบ้านเราก้อถ่ายโหลละ 100-200 บาทประมาณนี้ใช่มะ...

แต่ที่นี่ไม่ใช่ คุณต้องไปถ่ายร้านที่มี license นะ เค้าต้องสลักชื่อที่รูปด้วย..แล้วขอโทษสองใบเท่านั้นนะที่ได้ ก้อแบบทางการเค้าต้องการสอง มันก้อคิดให้สองใบเท่านั้น สนนราคาก้อประมาณ 10-20 เหรียญ ต่อสองใบนะค้า...ร้านดังๆเนี่ย 20เหรียญ รูปเล็กๆเนี่ย ใบละ 300 บาทบ้านเรา...ทำใจลำบากมากเลย..ทั้งครอบครัวเราสามคน ถ้าถ่ายร้านดังๆก้อ 60เหรียญ 1800 บาท ได้มาหกใบ..

บังเอิญได้รู้จักพี่คนไทยคนนึงเค้ามีบัตรสมาชิก cosco เค้าบอกคุณยุ่นไปถ่ายร้านนี้เดี๋ยวพี่พาไป ใช้บัตรพี่ ได้ลดราคา... ตกคนละ 7 เหรียญหรือไงเนี่ย...ก้อประหยัดลงมามาก..ทีแรกจะไปร้านที่พี่ประเวศแนะนำ ก้อตกคนละ 10 กว่าเหรียญเกือบยี่สิบเหมือนกัน...

หรืออย่างยีนจะจบเนี่ย เค้าต้องถ่ายรูปใส่สูทใช่มะ..ซึ่งทางโรงเรียนคงมี contract กับร้านถ่ายรูปใหญ่ๆ แบบเชื่อมะ รูปเดียวเนี่ย 60 เหรียญ แบบรูปใหญ่หน่อยนะ....อึมก้อใหญ่กว่าที่เราใส่ album นิดนึง...แต่ส่วนใหญ่ก้อไม่ไ้ด้เอารูปเดียว..อย่างตอนโน้นของ Earth พี่ประเวศบอกได้มาไม่กี่รูปเกือบ สองร้อยเหรียญ แพงมั่กๆที่นี่ถ่ายรูป...เรียกว่ามหาโหดเลย...

แล้วเค้าก้อถ่ายให้ยีน 16 รูปใช่มะ เราเลือกหนึ่งรูปเท่านั้น 60 เหรียญ เสร็จเค้าก้อให้เข้าไปดูรูปใน web site โดยเราก้อใส่รหัสเข้าไปดูรูปเราได้...รูปทุกใบจะมีตัวหนังสือ cross หน้าเรานะว่าห้าม copy เป็นลิขสิทธิ์ของเค้า...และเราก้อ copy paste ไม่ได้ด้วย..ส่ง mail ก้อไม่ได้ หรือ post บน facebook ก้อไม่ได้ แบบมันมีระบบ lock ป้องกันหมดเลย....555555 สงสัยนี่คือสาเหตุที่มันแพง...

แต่ลูกเรา ก้อทำได้อยู่ดี ไม่รู้ทำไง..ก้อเอามาแปะในคอมตัวเองได้..และเค้าบอกเดี๋ยวเค้าจะทำแบบสามารถส่งเมลได้...แต่แม่ก้อไม่รู้เรื่องอยู่ดี...อันนี้ high tech เกิน...คือการทำแบบนี้คนที่นี่เค้าไม่ทำไง แต่ถ้าพวกเอเชีย น่าจะทำนะ..ไม่รู้เหมือนกัน พอดีลูกเรามันทำ...แต่การสรุปแบบนั้น..อาจผิดก้อได้ 55555

ทีแรกก้อว่าจะ post ลงมาใน blogger ให้เพื่อนๆได้ดูสักหน่อย ปรากฎตอนนี้ยังทำไม่ได้ คงต้องรอคุณยีนว่างๆ จัดการทำให้เรียบร้อย แล้วไง..จะ post ลงในนี้...อึม..เค้าก้อถ่ายแบบ professional นะ...แต่ราคามันเกินไป รับไม่ได้อยู่ดี...

เฮ้อ..ก้อเรียกว่า..บางอย่างที่นี่ก้อดี..แต่หลายอย่างก้อโหดสุดๆ..North America ก้อคุยกันเป็นภาษาเงินนะ ยุ่นว่า...

Friday, November 5, 2010

งานเข้าที่คุมอง...ตอนมิสไม่อยู่..

สัปดาห์นี้มิสติงลางานเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่ฮาวาย ซึ่งปกติมิสติงก้อจะพักผ่อนแบบนี้ปีละหนึ่งหรือสองครั้ง..ครั้งละประมาณสองอาทิตย์ และโดยทั่วไปก้อไม่มีอะไร แกก้อสั่งงานยุ่นกับ Jessica ให้ช่วยกันรับผิดชอบ feed back นักเรียนแทน..และช่วยกันดูแลศูนย์...

ก่อนไป..มิสก้อมักจะให้้เบอร์โทรศัพท์ที่เราจะสามารถติดต่อแกได้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน...เช่นให้เบอร์มือถือลูกสาวแกเพื่อเราจะโทรหาเวลาฉุกเฉิน แต่ครั้งนี้มิสให้แต่เบอร์ผู้จัดการที่ดูแล building ไม่ได้ให้เบอร์ลูกสาว แต่ที่ผ่านมาทุกครั้งก้อไม่เคยมีปัญหาอะไรที่เราต้องติดต่อมิสติง...ส่วนใหญ่ยุ่นกับ Jessica ก้อจัดการได้

แต่ครั้งนี้สิ..ดันเกิดเหตุ... อ้อ..ลืมไปต้องเล่าก่อนว่า building ที่เราเช่าเนี่ย มีสามชั้น รวม basement ก้อเป็นสี่ชั้น คุมองกับ church ของฟิลิปปินส์อยู่ชั้น basement ทางเข้าออกของ basement จะใช้บันไดแยกจากชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม คือเป็นบันไดส่วนตัว ว่ากันง่ายๆ...และส่วนใหญ่พวกเราผู้ช่วยและ church จะเข้าออกโดยทางนี้ ทุกคนจะมีกุญแจที่จะไขลงมา basement

อีกทางก้อคือ elevator หรือลิฟท์ มีสองตัว ทั้งสองตัวใช้ขึ้นชั้นหนึ่งถึงสามได้ แต่มีตัวเดียวเท่านั้นที่ใช้ลง basement และจะใช้ได้ก้อต่อเมื่อมิสติงปลดล๊อคชั้นล่าง และคุมองเท่านั้นที่จะใช้ lift ลงด้านล่างได้ church จะใช้ไม่ได้ ถ้ามิสไม่เปิดลิฟท์ด้านล่าง แต่ข้างบนตึกก้อใช้ได้ตามปกติ..คือ lock แค่ basement เท่านั้น

เหตุเกิดเนื่องจากเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา มีขโมยพยายาม broke in เข้ามาตรงประตูบันไดที่ใช้ลงมาที่ basement และมันก้องัดแงะจนที่ไขกุญแจเสีย...คือไอ้ตัวที่ไขเนี่ยมัน up-side down เลย

วันอังคาร ยุ่นไปทำงานปกติ ยุ่นเป็นคนแรกที่ต้องไปเปิดศูนย์...ยุ่นก้อมีกุญแจเปิดเข้าทางบันได..และมิสก้อให้กุญแจปลดล๊อคที่ lift ด้วย...แต่ยุ่นต้องไปปลดรหัสกันขโมยก่อนโดยลงทางบันได...เพราะหากลง lift เลย กันขโมยจะดังเมื่อ lift เปิด และเราก้าวออกมา และเมื่อกันขโมยดัง..ตำรวจก้อจะมา และเมื่อตำรวจมา และไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจะถูก charge 1,000 เหรียญ ค่าเสียเวลา..ของตำรวจที่นี่ เพราะฉะนั้น อันนี้ serious...

.แต่วันนี้ยุ่นไม่สามารถลงทางบันไดได้ เพราะไขกุญแจไม่ได้ ยุ่นก้อเลยตัดสินใจลงทาง lift เป็นไงเป็นกัน กันขโมยดังก้อต้องให้มันดัง....และแล้ว..กันขโมยก้อดังจริงๆ.. ก้อได้แต่รีบวิ่งไปกดรหัส..และตอนดึกวันนั้น มิสติงโทรมาหายุ่น ยุ่นก้อบอกเหตุให้แกรู้ ว่าประตูมีปัญหา และเราทำแบบนี้ และเราได้โทรแจ้ง Valerie ผู้จัดการว่าประตูมีปัญหา และเค้าบอกเค้าจะให้คนมาซ่อมประตูวันรุ่งขึ้น คือวันพุธ...คิดว่าน่าจะโอเค..

ยุ่นก้อวางใจคิดว่าวันพฤหัสคงเรียบร้อย..เพราะยุ่นรับผิดชอบเปิดศูนย์ทุกวันไง..พอพฤหัส..สอบ Calculus วันสุดท้ายเสร็จเร็ว ก้อเดินไปที่ศูนย์ถึงประมาณ 2:40 pm ก้อปรากฎว่าไอ้ประตูเจ้าปัญหายังไม่ได้ซ่อม ยุ่นก้อเฮ้อ..เราต้องลงทาง lift อีกแล้ว... กันขโมยต้องดังอีก..แต่ไม่รู้ทำไง..ก้อไปกด lift ..ปรากฎ วันนี้ lift ก้อไม่ทำงาน ไม่มีไฟ...ไม่มีใครสามารถใช้ lift ได้เลย หรือว่า เกิดอะไรขึ้น เจ้าของเค้า lock lift ตัวนี้เหรอ??

งานเข้าละสิ...แล้วเราจะลงไปที่คุมองไงเนี่ย......ก้อโทรหา Valerie อีก ปรากฎคุณเธอไม่รับสายให้ฝากข้อความ ที่นี่เนี่ย...แบบเวลาเราโทรศัพท์หาคนที่นี่นะ....ทางมือถือนะ..จะไม่มีการรับสาย....เรามักจะไม่ได้คุยกับเจ้าของเครื่องณ.เวลาที่โทรไป... ส่วนใหญ่เราจะต้องฝากข้อความ พอเค้าได้รับสักพัก เค้าค่อยโทรกลับ.... เพราะที่นี่คนรับสายก้อเสียสตางค์ จึงไม่ค่อยมีคนรับ ส่วนใหญ่จึงเป็นการฝากข้อความ มันก้อเสียสตางค์เหมือนกันแต่ในราคาที่ถูกกว่า...เรียกว่าทีแรกที่มาที่นี่แบบหงุดหงิดสุดๆ ปรับใจปรับตัวอยู่ระยะหนึ่งเลย แต่พอเจออีก ก้อหงุดหงิดอีก..

เสร็จยุ่นก้อโทรไปสองรอบ คุณเธอก้อไม่รับ..ไอ้เราก้อทำไงเนี่ย เดี๋ยวนักเรียนจะมาแล้ว...แล้วเนี่ยลงไปที่ศูนย์ไม่ได้ เราคงต้องติดต่อมิส ปรากฎครั้งนี้มิสไม่ได้ให้เบอร์ที่ติดต่อแกไว้ แต่ยุ่นรู้ว่าลูกสาวคนเล็กของมิสอยูที่บ้านมิส ยุ่นเลยโทรหาเค้าที่บ้าน เล่าหตุการณ์ที่เกิดให้ฟังและบอกว่า ยุ่นต้องการให้มิสติงรับรู้เรื่องนี้และติดต่อกลับมาหายุ่น ว่ายุ่นสามารถทำอะไร ยังไงได้..

ลูกสาวเค้าก้อรีบจัดการโทรไปที่ฮาวาย..มิสติงก้อโทรกลับภายในไม่ถึงห้านาที..แกบอกให้ยุ่นขึ้นไปขอความช่วยเหลือข้างบนตึก.. office บริษัทไหนก้อได้....ให้เค้าช่วยติดต่อ Valerie ให้ได้ ยุ่นก้อทำตามแกบอก..แต่พวกนั้นเค้าบอกเค้าช่วยไม่ได้ เราต้องติดต่อ Valerie เอง..ยุ่นก้อบอกแกว่ายุ่นเองก้อติดต่อแล้วนะ แต่เค้าไม่รับสาย.. แกก้อบอกให้ยุ่นเดินไปอีกตึกหนึ่ง..เดินไปสองห้องนะ..เป็นเหมือนที่ๆเวลามีอะไรก้อไปติดต่อได้...ยุ่นก้อไปหา เค้าก้อบอกเค้าช่วยอะไรไม่ได้ เราต้องติดต่อ valerie คนเดียวเท่านั้น..

คือที่นี่ใน buildingที่เราเช่า จะไม่มีสำนักงานของ building นะ ทุกห้องทุกชั้นปล่อยให้เค้าเช่าหมด..ผู้จัดการกับพนักงานไปอยู่อีกที่หนึ่ง ยุ่นก้อไม่รู้ว่าทีไ่หน เราติดต่อเค้าได้ทางโทรศัพท์ทางเดียวเท่านั้นเวลามีปัญหา...........โครตประหยัดค่าใช้จ่ายเลย อะไรกันนักกันหนา..

เสร็จมิสติงก้อโทรมาบอกว่า ลูกสาวคนเล็กเค้าติดต่อ Valerie ให้ได้แล้วเค้าบอกให้เรารอ เดี๋ยวจะส่งช่างมาซ่อมประตูทันทีเลย....เค้าบอก battery ของ Valerie ใกล้หมด...เค้าไม่สะดวกคุยกับเรา...ยุ่นก้อรอ..รอ..รอ จนรู้สึกมันไม่ใช่ ก้อโทรหา Valerie อีกครั้ง..ได้คุยกับเค้าๆก้อบอกให้รอ... และกำลังจะบอกเบอร์ไอ้ช่างเนี่ย battery เธอก้อหมดแบบหมดจริงๆเลย...คราวนี้ เป็นอันจบการติดต่อ...

ที่เล่ามาถึงตอนนี้ก้อประมาณสามโมงยี่สิบแล้วหละ....นักเรียนก้อเริ่มทยอยมาทยอยมาเรื่อยๆ..เราก้อยิ่งเครียดเนอะ..คือไม่รู้ว่าเมื่อไรไอ้ช่างมันจะมา..ผู้ปกครองก้อเริ่มหงุดหงิดกัน บางคนขอมาพรุ่งนี้ เราก้อเลยให้เค้าลงชื่อไว้..

เสร็จ ยุ่นก้อทนไม่ไหวอีก..ก้อบอกเพื่อน assistant ว่า เราลองช่วยกันเปิดประตูอีกครั้งมั้ย?? ยุ่นก้อลองใหม่ ไขไม่ได้ Trammy ลอง ก้อไม่ work สุดท้ายให้ Sarah ลอง ไม่รู้ sarah ทำไง หมุนไงไม่รู้ มันได้ อยู่ดีๆเปิดออก..จึงทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี.. เราสามารถเข้าไปได้ตอนสี่โมงเย็น...แต่อย่างไรก้อตาม ตลอดเย็นนั้น ไม่มีใครมาซ่อมประตูหรือซ่อม lift เลย และไม่มีแม้แต่เงาของผู้จัดการที่ชื่อ Valerie มาดูความคืบหน้า...ความเรียบร้อย...หรือขอโทษเราหรือ...มาถามไถ่เราว่าเป็นอย่างไร...

ไม่น่าเชื่อว่า Valerie จะทำงานที่นี่ได้ ดูเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบเอาเลย.... เพราะเรื่องนี้มันเกิดตั้งแต่อังคาร และวันนี้พฤหัส..

ตอนดึกวันพฤหัส...ยุ่นก้อเล่าทุกสิ่งอย่างให้มิสติงฟัง มิสติงก้อเลยโทรหาเจ้าของตึก เจ้าของก้อขอโทษมิส และสัญญาว่าพรุ่งนี้คือวันศุกร์ตอนสามโมง แน่นอนเค้าจะส่งคนมาจัดการเปิดประตุให้เรา ไม่ต้องห่วง

วันศุกร์ยุ่นก้อมาปกติ ใช่เค้าซ่อมประตูให้เรียบร้อย แต่คราวนี้เค้าเปลี่ยน lock อันใหม่ กุญแจยุ่นก้อเข้าไม่ได้ แต่บังเอิญ lift ใช้งานได้ และเราก้อมีกุญแจ lift ยุ่นจึงลงไปได้..

เข้าไปในคุมองก้อเจอ Mary คนที่รับผิดชอบจัด worksheet เค้าอยู่ เค้าเล่าให้ฟังว่าเค้ามาตั้งแต่เก้าโมงเช้าวันนี้ ประตูและ lift ยังไม่ได้ซ่อม และเค้าโทรตาม Valerie และ force เลยว่าต้องส่งคนมาซ่อม... Valerie บอกเค้าติดต่อช่างแล้ว แต่ช่างไม่รับสาย เค้าไม่รู้ทำไง Mary บอก Mary ไม่สน แต่ต้องส่งคนมาซ่อมให้คุมองเพราะเด็กจะมาสามโมงและการบ้าน Mary ก้อยังจัดไม่เรียบร้อยดีเลย...คือวันศุกร์ทั้งหมดทั้งอังกฤษกับเลข Mary ยังไม่ได้จัดเลยอ่ะ...เด็ก 100กว่าคนอ่ะ..

และ Mary ก้อรอสามชั่วโมงหลังจากโทรบอก เค้าก้อตามช่างและมาซ่อมให้จนเสร็จตอนเที่ยง Mary ก้อเข้ามาได้ lift ก้อเรียบร้อย...ยุ่นก้อเลยไม่มีปัญหาตอนวันศุกร์บ่ายสามที่ไปถึง..

และนี่เพิ่งรู้จากมิสติงว่า Valerie เนี่ย ถูกเจ้าของตึกไล่ออกไปแล้ว เพราะขาดความรับผิดชอบ..ยุ่นว่าสมควรนะ..อะไรเนี่ยเป็นผู้จัดการดูแลตึกเช่า ปล่อยให้โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่องาน battery หมด... ซ้ำร้ายปล่อยให้เรื่องประตูซึ่งมันเกิดตั้งแต่อังคารเนี่ย เรื้อรังมาถึงวันศุกร์ มันตั้งหลายวันเลยอ่ะ...ยุ่นว่าหากทำงานแบบนี้ สร้างความไม่สะดวกให้ผู้เช่าแบบนี้ ก้อสมควรถูกไล่ออกนะ...นอกจากนี้ต้องบอกว่าเธอร้ายจริงๆ เพราะเธอโทรทางไกลเข้าเบอร์ลูกสาวมิสติงที่ฮาวาย.. ทะเลาะกับมิสติงหลังจากที่เธอถูกไล่ออก ตอนสิบโมงครึ่งของวันศุกร์.....สุดยอดจริงๆ...คนๆนี้...

Sunday, October 31, 2010

สังคมมนุษย์...เหมือนกันทุกที่ในโลกนี้..

พูดถึงความรู้สึกของมนุษย์เนี่ย..เวลาเราเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง เช่นเราอยู่เมืองไทยเราก้อรู้สึกมีหลายเรื่องที่เราไม่ชอบ อยู่แล้วอึดอัด..รำคาญจิตใจ..ไม่สบายใจ ไม่ได้ดังใจ...โดยเฉพาะเรื่องการเมืองของบ้านเรา...ซึ่งมันก้อเลยทำให้บ้านเมืองเราพัฒนาไปไม่ถึงไหนสะที..เพราะเรามัวแต่ทะเลาะกัน..ไม่ได้มีความรักชาติอย่างแท้จริง..รวมไปถึงระบบการศึกษา สาธารณะสุข..ขนส่งมวลชน และอื่นๆอีกมากมาย...

แต่จริงๆแล้ว ยุ่นว่าอากาศที่อบอุ่นของเรา..หรือที่จะเรียกให้หรูก้อคือภูมิอากาศที่ดีของเรา...และภูมิประเทศที่ดีของเรา ไม่มีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด...หรือพวกภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง....อาหารการกินที่ถูกและมากมายของเรา .. ค่าแรงที่ไม่สูงมาก..ทำให้พวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสะดวกสบายในระดับหนึ่งเลยแหละ...เมื่อเทียบกับพวกประเทศที่อยู่ในแถบอากาศหนาวเย็น...ชีวิตพวกเค้าลำบากกว่าเราเยอะ...หลายเท่าตัว และเค้าก้อมีความอดทนสูงมาก..เลย...

แต่..ก้ออย่างว่าใกล้เกลือกินด่าง เราก้อยังรู้สึกว่าเมืองไทยไม่ค่อยดีเท่าไร..ต่างชาติ..อเมริกา..ญี่ปุ่น จีน..แคนาดา หรือพวกยุโรปเค้าดีกว่าเรา..

ซึ่งแต่ก่อนยุ่นก้อมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน..แต่หลังจากที่ได้มาสัมผัสชีวิตของพวก North America ซึ่งก้อคือ Canada กับอเมริกา เค้าจะมีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคลึงกันมาก...ก้อน่าจะสรุปได้ว่า...สังคมมนุษย์..มันก้อเหมือนกันทุกที่แหละ..มีดีมีเสียปะปนกันไป..เพียงแต่เวลาเราไปเที่ยวหรืออยู่แป๊บๆ เราไม่รู้หรอก...แต่พอได้อยู่สักระยะนึง...เรารู้มากขึ้น...มันก้อเหมือนๆกัน เพียงแต่เราคงต้องเลือกว่า เราชอบที่จะอยู่ในสังคมแบบไหนมากกว่า....ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียเอาเอง...

อย่างทีแรกมาแวนคูเวอร์ก้อรู้สึก..มาตรฐานชีวิตของคนที่นี่สูงกว่าบ้านเรา..อาหารการกินสะอาด..รัฐบาลควบคุมดูแลมากกว่า...อากาศก้อบริสุทธิ์กว่าบ้านเรา..ชีวิตสบายๆ ไม่เคร่งเครียด...ดูๆก้อเป็นที่ๆน่าอยู่เหมือนกัน...

แต่พอได้อยู่ไปนานๆ...เวลาเราเรียนหนังสือ..ครูที่สอนเรา ที่เป็น Canadian เค้าก้อบ่นว่ารัฐบาลให้ฟังเหมือนกัน...ตอนนี้เค้า lay off ครูออกมากมาย ตัดงบเรื่องการศึกษา ครูจบมาไม่มีงานทำเพียบ..หรืออย่างไอ้ Olympic ปีที่แล้วที่แวนคูเวอร์เป็นเจ้าภาพ ก้อแบบเอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้จ่ายมากมาย และก้อกู้เงินมาด้วย ตอนนี้เนี่ยพวกเราแต่ละคนเป็นหนี้คนละเท่านั้นเท่านี้นะ...เค้าก้อบ่นๆกัน...

หรืออย่างแถว China town โดยเฉพาะตรง Hasting street เนี่ย เป็นดงพวก homeless เลย ซึ่งก้อคือขอทานบ้านเรานั่นเอง....แบบสกปรกและดูแย่มากๆเลยในแวนคูเวอร์ ยุ่นว่าเป็นภาพที่ยุ่นเกลียดและกลัวมากเลย..ซึ่งรัฐบาลก้อแก้ไขอะไรไม่ได้ และขอโทษเงินภาษีที่เราจ่ายให้เค้า เค้าก้อมาดูแลพวก homeless ด้วย..ซึ่งส่วนใหญ่ก้อเป็นฝรั่งนะ..เอเชียไม่มี homeless นะ...เพราะคนเอเชียจะขยันทำมาหากิน... homeless เนี่ย..เค้าก้อคิดว่ารัฐบาลเลี้ยง ก้อไม่เห็นหางานหาการทำเลย..ซึ่งยุ่นไม่เห็นด้วยกับระบบคิดแบบนี้นะ...

หรือล่าสุด..โรงเรียนยีน..เด็กฝรั่งนะ เกรด 10 ถูกต่างโรงเรียนเด็กจีน..รุมทำร้ายให้คุกเข่าขอโทษเพราะไปว่าเด็กจีนตอนเล่นเกมส์ว่าเล่นเกมส์ได้ห่วยอะไรประมาณนี้ ไอ้เด็กจีนคนนี้โกรธมาก..เลยมาทำร้ายถึงโรงเรียน เล่นเอาไอ้เด็กฝรั่งคนนี้มือหักเลย...และเด็กฝรั่งก้อไม่กล้าบอกว่าใครทำร้าย เพราะกลัวว่าครั้งหน้าไอ้เด็กจีนกับพวกมันเอาตายเลย...เด็กในโรงเรียนหลายคนก้อรู้แต่ไม่กล้าปริปากบอก...นี่ก้อคือมาเฟียชัดๆ..

และอีกอย่างที่ยุ่นยังทำใจไม่ได้ก้อคือ..ที่นี่แบบเวลาเราไปหาหมอเนี่ย ฟรีหมดเลยนะ..แต่ซื้อยาเราต้องเสียเงินเอง ขึ้นกับว่าเรามีรายได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าน้อย รัฐก้อช่วย แต่มากเราก้อต้องควักเงินจ่ายเอง..อันนี้ยุ่นรับได้

แต่ที่รับไม่ได้คือ..เวลาไม่สบายหนักๆต้องเข้าโรงพยาบาล แบบมันตามคิวอ่ะ..ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราท้องจะคลอดลูกใช่มะ..แบบใกล้วันแล้ว...บางทีปวดท้องมากแต่ยังไม่มีวี่แววจะคลอด เค้าจะให้กลับบ้านก่อน..แบบต้องรอจนเหมือนกับหัวลูกเราจะโผล่ออกมาจริงๆนะ..เราถึงจะได้เข้าไปทำคลอด..แบบคิวยาวเป็นกิโลเลยอ่ะ...มีเพื่อนคนไทยคนนึงเค้าคลอดที่นี่เค้าบอก..มันเป็นอย่างนั้นเลย..เค้าไม่ให้อยู่โรงพยาบาล เค้าให้กลับบ้านก่อน จนถึงเวลาจริงๆค่อยมา..แล้วก้อคลอดเสร็จสองวันก้อต้องออกจากโรงพยาบาลนะ..เพราะมีคิวอื่นรออยู่...โรงพยาบาลไม่มีเตียงว่าง หรือที่ว่าง....นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชนก้อไม่มีอีกด้วย

หรืออย่างสามีมิสติง เค้าจะผ่าตัดมือเค้า..เนื่องจากแกมีเส้นสายลูกสาวเป็นหมอ...คิดจะผ่าก้อนัดหมอได้ผ่าอาทิตย์หน้าเลย แต่ถ้าอย่างคนทั่วไป ไม่รู้จักใครมิสบอกหกเดือนยังไม่รู้จะได้ผ่ามั้ยเลย...ซึ่งอันนี้..ยุ่นไม่ชอบอ่ะ..ทำใจไม่ได้...จริงอยู่ทุกคนเท่าเทียมกัน...แต่ก้ออีกแหละ..มันไม่จริง...ความยุติธรรมหายากจริงๆ..ยุ่นยอมจ่ายสตางค์แล้วหาหมอบ้านเรานะ...ถ้าให้เราต้องรอแบบไม่รู้วันเวลา รับไม่ได้...

อึม เข้าโรงพยาบาลที่นี่เราก้อไม่ต้องจ่ายสตางค์นะ..เพียงแต่เราต้องมีใจที่อดทนรอคอยเท่านั้น..เหมือนเวลาดูหนังฝรั่ง..แล้วเห็นเค้าเป็นคิวรอกัน..ก้อคือเหตุผลแบบนี้เลย...ตอนนี้นะ เข้าใจลึกซึ้งเลย..

อ้อ..อีกอย่าง family doctor แบบทุกครอบครัวต้องมี family doctor ไง ซึ่งครอบครัวเราก้อโทรศัพท์หา..แต่เค้าไม่รับอ่ะ เค้าบอกเต็ม..เต็ม..เซ็งมากเลย จนถึงวันนี้ครอบครัวเราก้อยังไม่มี family doctor เราก้อกินยาไอ้ที่เราเอามาจากเมืองไทยนั่นแหละ..ก้อไม่รู้สวัสดิการด้านรักษาพยาบาลเราจะทำไปทำไม..ยังไม่เคยได้ใช้เลย..สองปีที่ผ่านมา ก้อไม่ได้มีประโยชน์กับครอบครัวเราเท่าไรนัก..แต่มันเป็นกฏนะ..เราต้องทำ..ไอ้ที่ทำเนี่ย ก้อต้องจ่ายสตางค์นะค่ะ...มีมีอะไรได้มาโดยไม่ใช้เงินอย่างแน่นอน...สำหรับ North America....

และพอได้ฟังเรื่องนี้เรื่องโน้นมากเข้า..เช่น พวกคนจีนเนี่ย..อึม จีนแผ่นดินใหญ่นะ..ที่มาแวนคูเวอร์ส่วนใหญ่จะค่อนข้างรวย..สามีก้อจะส่งภรรยาและลูกมาที่แวนคูเวอร์...ซื้อบ้านมากกว่าหนึ่งหลัง..หลังนึงก้ออยู่เอง หลังสองหลังสามก้อซื้อไว้เก็งกำไร..จึงทำให้ราคาบ้านในแวนคูเวอร์สูงเอาสูงเอา..จนตอนนี้..รับไม่ได้หลังนึงเป็นล้านเหรียญ..คือสามสิบล้านบาท...ทั้งที่แต่ก่อนสองแสนกว่าเหรียญ..หรือแม้กระทั่งฝั่ง east ซึ่งราคาบ้านแต่ก่อนไม่สูงมาก..เดี๋ยวนี้ราคาก้อเหยียบเจ็ดถึงแปดแสนเหรียญเหมือนกัน..

ซึ่งตรงนี้รัฐบาลไม่ควบคุมเพราะชอบไง..แบบมีคนเอาเงินมาลงทุนในประเทศเค้าก้อชอบสิ...รัฐก้อสามารถเก็บภาษีนั่นภาษีนี่ได้เพิ่ม...แต่เค้าไม่ได้นึกถึงว่าประชาชนที่อยู่จริงๆเนี่ย จะซื้อบ้านซื้อช่องกันยังไง..ทอมบอกไม่มีทางเลยที่เด็กรุ่นใหม่หลังจากนี้จะซื้อบ้านเองได้..ราคามันแพงมั่กๆ..หรือแม้แต่ apartment ก้อยังหนักหนาสาหัสเลย...ยุ่นมองว่าราคาบ้านกับรายได้ประชากรที่หาได้มันไม่สัมพันธ์กัน...มันเป็นแค่คนกลุ่มเดียวที่เข้ามาซื้อและปั่นราคาบ้าน...แต่รัฐบาลก้อไม่สนใจที่จะแก้ปัญหา...อย่างจริงจัง..

เฮ้อ..พอได้ยินได้ฟังมากๆเข้า..ยุ่นก้อคิดว่า เฮ้อ..มันก้อเหมือนกันทุกที่เลย...รัฐบาล..ก้อไม่ได้สนใจประชาชนจริงๆ...เพียงแต่ว่าที่นี่เค้ามีการวางรากฐานมาอย่างเป็นระบบระเบียบมากกว่าเรา..และกฎเกณฑ์เค้าก้อหนักกว่าเรา..แบบทำผิดก้อปรับหนัก...คนก้ออยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ไง..และก้อมีระบบควบคุมในระดับหนึ่ง...การคอรัปชั่นก้ออาจน้อยกว่าเรา...รึปล่าวไม่รู้ !?!

แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่นหวั่นมากคือ..พวกคนจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเยอะมากๆ...และพวกคนจีนเนี่ย..ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด..ทั้งโกง ทั้งไม่ค่อยมีระเบียบ ทั้งเห็นแก่ตัวสุดๆ...และเป็นชุมชนที่ใหญ่มาก...และคุมเศรษฐกิจของที่นี่... พี่อ้อม..เรียกคนจีนพวกนี้ว่าจีนที่ยังไม่พัฒนา..ซึ่งนับวันก้อมีมากขึ้นมากขึ้นในแคนาดา..ซึ่งทำให้ยุ่นเองช่วงหลังเนี่ย...รู้สึกว่าเราไม่ใช่คนจีนแบบเค้า เราเป็นคนจีนที่อยู่ในเมืองไทย Thai Chinese ซึ่งพี่อ้อมบอกเราคือจีนที่พัฒนาแล้ว 55555 เห็นด้วยค่ะ...^^

และนี่ก้อคืออีกมุมหนึ่งในแวนคูเวอร์...ที่ยุ่นค้นพบหลังจากที่อยู่มาเกือบสองปีแล้ว...ยุ่นว่านะ..ยังไงยุ่นก้ออยากกลับไปตายที่เมืองไทยดีกว่า.. ถึงใครจะว่าแวนคูเวอร์เป็นเมืองที่น่าอยู่เมืองหนึ่งในโลก...ก้อสู้บ้านเราไม่ได้...ที่ได้อยู่กับพ่อแม่พี่น้อง..เพื่อนพ้องกันพร้อมหน้า...นั่นคือสิ่งที่ยุ่นพอใจ แค่นั้นแหละ...

เหมือนเราอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตสวยงาม....หรูหรา..มีระบบรักษาความปลอดภัยสูง..อาหารการกินอย่างดี...แต่ถ้าในบ้านหลังนั้น..แต่ละที่ แต่ละมุมในบ้าน...มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา...บ้านใหญ่หรูหลังนั้น.. ก้อเป็นบ้านธรรมดาๆหลังหนึ่งที่ไม่ได้มีความน่าอยู่อะไรมากมายในความรู้สึกของยุ่น...

Wednesday, October 20, 2010

เก็บตก 2

พอดีเพิ่งเขียนเกี่ยวกับคุมอง ก้อให้นึกถึงอีกเรื่องนึงที่อยากจะเขียนมาหลายครั้งแล้ว แต่มีอันลืมเป็นประจำ..


อันนี้ก้อเป็นสิ่งดีๆที่ได้จากมิสติงเค้าเหมือนกัน..ก้อคือแบบฝึกหัด คุมองชุด F151 ซึ่งเป็นชุดที่เด็กทั่วโลกน่าจะมีปัญหาเวลาเจอชุดนี้

สำหรับบ้านเรา ทางคุมองก้อแนะว่าให้เวลาเด็ก..และเด็กก้อจะคิดออกในที่สุด..เช่น

.......+ 5 = 9

X=

เด็กดูสักพักเด็กก้อจะรู้ว่าคำตอบคือ 4 หรือถ้าเป็นคูณ เช่น 8x.......=56

X=

สักพักเด็กก้อพอจะคิดได้ว่า 7 แต่ถ้าเริ่มยากเช่น 3x..........= 1

X=

เด็กจะเริ่มชะงักงัน อะไรคูณกับ 3 แล้วได้หนึ่ง มันไม่มี...หรือถ้ายิ่งทำไปถึงท้ายๆสามสี่แผ่นหลังของชุดนี้ เด็กจะใช้เวลาในการระลึกชาตินานมากๆ...

ซึ่งเราก้อต้องช่วย guide เด็ก...แต่ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี..

ทีแรก..มาที่ศูนย์มิสเวลาเด็กอยู่ในชุดนี้ เค้าก้อจะแจกกระดาษให้เด็กหนึ่งใบ และบอกเธอไปดูนะ..แล้วทำตาม แสดงวิธีทำด้วย...พูดแค่นี้อ่ะ..เด็กมันก้อไม่ get ........ sheet ที่ให้ก้อประมาณนี้:

Addition :

.......+3 = 8 --------- > 8-3= 5

9+.....= 12 ----------- > 12-9 = 3

Subtraction :

......-4= 10 -------------> 10-4 = 6

9-.... = 2 ---------------> 9-7 = 2


Multiplication :

.......x5 = 20 -----------> 20 หาร 5 = 4

4x......= 28 --------------> 28 หาร 4 = 7

Division :

.......หาร 7 = 3 -----------> 7x3 = 21

30 หาร ......= 5 -----------> 30 หาร 5 = 6

จริงๆยาวกว่านี้ เพราะในแต่ละ section คือ บวก ลบ คูณ หาร เค้าจะมีตัวอย่างประมาณหกตัวอย่าง แต่ยุ่นว่าไม่ต้องเยอะ สองตัวอย่างต่อหนึ่ง section ก้อพอ ถ้าเด็กเข้าใจเค้าก้อทำได้..อันนี้มิสติงเค้าบอกเค้าคิดค้นวิธีนี้เอง และมันก้อดีมาก...ยุ่นเองหลังจากหัดใช้แล้ว ก้อเห็นด้วยกับมิสติงเค้านะ..

แต่เด็กเอาแผ่นนี้ไป ก้อไม่รู้ว่ามิสให้ทำไม เด็กก้อไปเติมตัวเลขในช่องว่างแล้วมาส่งแก..บางคนเอาไปมอง จ้องอยู่ตั้งนาน..ก้อไม่รู้เรื่อง เดินกลับมาหาแกอีกครั้ง 55555

ยุ่นก้อเลยลองเอาแผ่นนี้มาดู..แล้วก้อลองปรับใช้ดู..อึม..ใช้ด้ายเลย...หากเด็กเข้าใจว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร เด็กจะสามารถทำ F151 ได้สบายๆประมาณ 7 แผ่นแรกเลย แต่รู้สึก สามแผ่นสุดท้ายมันจะเป็นแบบถอดสองชั้น...เช่น

2x.......+10 =16 อันนี้ยุ่นว่าเราน่าทำเพิ่ม..เป็น

...........+ 10 =16 --------> addition

2 x.......= 6 ---------> multiplication ข้อนี้ต้องถอดสองชั้น...

ยุ่นเลยคิดว่า sheet แผ่นนี้ของมิสติงนะ work ดี..เพราะบางทีเด็กบางคนก้อนึกภาพไม่ออกจริงๆ...เราควรมีเครื่องมือช่วย และอันนี้ก้อไม่เลวนะ...

อันนี้ก้อเป็น idea ดีๆที่ได้ระหว่างทำงานที่นี่ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ สามารถนำมาปรับใช้ในศูนย์ได้ หรือหากเพื่อนๆมีวิธีไหนที่ work กว่านี้ ก้ออยากให้ลอง share ความคิดเห็นกัน..

และก้อขอแถมท้ายด้วยเรื่องภาษาอังกฤษ วันละประโยค แบบตอนแรกคือแรกจริงๆ วันแรกวันที่สองประมาณนั้น..ที่ทำงานที่ศูนย์ มิสเค้าเรียกให้ไปจัด sheet ไอ้เราก้อลืมฟังว่าเค้าพูดว่าอะไร คือรู้ใจความแต่จำประโยคที่เค้าพูดไม่ได้ แบบบางทีแกก้อ version mandarin บางทีก้ออังกฤษ เสร็จถึงตอนเราต้องพูดว่า เรากำลังจัด sheet อ้าว..แล้วจะพูดไงเนี่ย..เค้าพูดอะไรนะ.. ทีแรกก้อแบบมั่วเลย prepare... the worksheet แบบเอาตามภาษาเรา รู้ว่าเค้าต้อง...งงกัน...คือเราพูดเองยังรู้สึกเลยว่าไม่ใช่..ทะแม่งๆไงไม่รู้..

มิสแกก้อพูด pour sheet ธรรมดา แต่พวกผู้ช่วยวัยรุ่นเค้าพูด grab the sheet.... แล้วตูจะรู้มั้ยเนี่ย..

หรืออีกเรื่อง....เด็กมาที่ศูนย์ก่อนทำ classwork ต้องแสตมป์เวลาก่อนและหลังทำงาน.. แต่พวกครูผู้ช่วยเค้าพูดกันว่า stick the time เราก้อพูดตามเค้า ทีแรกยุ่นก้อพูด stamp the time แต่ไม่มีใครพูดไง..เราก้อพูดตามเค้า ปรากฎวันก่อน มิสไม่รู้ถามยุ่นเรื่องอะไร ยุ่นก้อบอก I told him to stick the time but he forgot. แกก้อบอกอะไร stick the time เค้าเรียก stamp the time.... 55555 วัยรุ่นใช้ stick....มิสติงใช้ stamp.... ในศูนย์เดียวกันแท้ๆ...นี่ไง..แล้วเราจะไม่..งง ได้ไง... ไงก้อ..เข้าเมืองตาหลิ่วก้อหลิ่วตาตามก้อแล้วกัน...^^

เก็บตก

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์กลางเดือน เพราะฉะนั้น ยุ่นต้องทำ report ด้วยและทำงานในศูนย์ไปด้วย ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ไม่ชอบที่สุดของการทำงานคุมอง..

ตอน นี้ที่แคนาดา เค้าเปลี่ยนเป็นระบบ paperless หมดเลย คือทุกศูนย์ต้องส่งเรื่องเข้าบริษัทโดยผ่านระบบคอมหมด..ที่บ้านเราก้อมีแล้ว แต่ยุ่นยังไม่ได้ทำเลย ก้อเลยได้มาฝึกทำที่นี่ก่อน 5555

ก้อทำมาหลายเดือนแล้วหละ..ไม่ยาก.. ทีแรกมิสติงเค้าคิดว่ายุ่นใช้คอมไม่เป็น เค้าก้อถามก่อนเลยว่า สุวรรณี เธอเล่นคอมได้มั้ย?? สงสัยหน้าเราไม่ค่อยทันสมัย..

ยุ่นก้อบอกพอได้..ดูแกโล่งอกไงไม่รู้...จากนั้น แกก้อสอนเราว่าทำไง..แต่ก้อมี Jessica ซึ่งเป็นมือ key ข้อมูลเลย เร็วมาก..ถ้าเยอะๆ เร่งๆ..ต้องให้ Jessica

เมื่อ วานก้อวันศุกร์ เด็กก้อเยอะมาก..ก้อคือต้อง key มากมาย โดยหน้าที่หลัก ยุ่นต้องทำก่อน..ถ้าไม่ทัน Jessica ก้อมาช่วยได้ และเมื่อวานก้อคือไม่ทันจริงๆ..เพราะขณะที่ key เนี่ย ยุ่น focus ไม่ได้เลย เพราะมิสก้อเรียกให้ทำนั่นทำนี่ตลอด

อีกทั้งผู้ปกครองใหม่ก้อ มา..เราก้อต้องให้เด็กทำ test นักเรียนใหม่มา เราก้อต้องอธิบายว่าเด็กต้องทำอย่างไร คุยกับพ่อแม่เด็กอีกว่าดูแลลูกยังไงที่บ้าน ตรวจการบ้านไง..

ยังไม่ พอ..มีเด็กพวกระดับ H ขึ้นไป ที่ทำไม่ได้ มิสก้อบอกไปหาสุวรรณี พวกเด็กผู้ช่วย..ซึ่งส่วนใหญ่ก้อเรียนคุมองมาทั้งน้าน..บางคนตอนนี้อยู่ O ด้วย..ก้อไม่สามารถช่วยเด็กได้ Alexander ก้อมาบอก สุวรรณี เด็กคนนี้คนนั้นเค้าต้องการให้ยูช่วย...

เรียกว่าเมื่อวาน..หัวฟู.. มากเลย...งานตัวเองเนี่ยกองเต็มโต๊ะเลย และยังต้องเปิดสมุดนักเรียนใหม่อีก..คนละสองเล่ม นักเรียนใหม่ก้อมากันห้าคน ก้อสิบเล่ม..ทำไงก้อไม่เสร็จสักที.....กดดันเหมือนกันนะเนี่ย..

ยุ่น เริ่มเข้าใจที่ฝรั่งชอบลงใน ad ตอนรับสมัครงานว่าคุณต้องทำงานได้แบบ multitask.... ที่นี่เค้าใช้งานคุ้ม..แต่ยุ่นดูไอ้พวกเด็กนักเรียนผู้ช่วยก้อไม่มีอะไรนะ.. เค้าก้อแค่ตรวจงานเท่านั้น...เฮ้อ..

แต่สรุปว่า..สุดท้าย Jessica เข้ามาช่วย key คอม และยุ่นก้อเลยได้เคลียร์งานต่างๆที่ยังทำไม่เสร็จสักที..ที่นี่ต้องทำ ทุกอย่างเสร็จในวันที่เรามาทำงาน..เราไม่สามารถมาทำวันอื่นได้.. อึม..หรือพูดอีกทีก้อคือมานะมาได้..แต่เค้าไม่จ่าย สตางค์..

พอเสร็จตอนกลับบ้านขึ้นรถ มิสติงแกก้อคุยกับยุ่นว่า เฮ้อ..เหนื่อยจัง..อยากเลิกทำแล้ว...ไอ้เราก้อคิด เหนื่อยไงเนี่ย นั่งอยู่ที่โต๊ะเฉยๆ..ไม่น่าเหนื่อยเลย สอนเด็กก้อไม่ได้สอน..งานแกสบายมากเลย.. ก้อนั่งแล้วก้อคุยกับผู้ปกครองบ้าง คุยกับเด็กตอน feed back แล้วก้อขีดเส้นหน้าสมุด assign งานอ่ะ..แกทำแค่นั้นจริงๆ...

"เนี่ย เธอรู้มั้ย..คนที่จะซื้อที่ผ่านมา ในที่สุดก้อไม่ซื้อ...แล้วก้อมาต่อราคาอีก แต่ฉันไม่ให้..และนี่อีกคนที่สนใจ..ก้อหายเงียบไปเลย..เค้าบอกจะโทรมาจะโทร มาก้อไม่โทร. ฉันสังหรณ์ว่าเค้าไม่เอาแล้วหละ..เพราะที่บริษัทคุมองโทรไป เค้าก้อไม่รับสาย แล้วก้อไม่โทรกลับด้วย....เฮ้อ..ไม่รู้ฉันจะขายได้มั้ย..แล้วเธอหละ สุวรรณี เธอไม่สนใจจริงๆเหรอ ??.

กลับมาที่เราอีกแล้ว..ยุ่นก้อคิดนะ สนก้อสนนะ..แต่ราคามันสูงเกินไป..เอามาสงสัยจะนอนไม่หลับ สี่แสนเหรียญ ไม่รู้จะต่อยังไง..สองแสนสำหรับเราก้อยังสูงเลย..สำหรับการทำศูนย์แบบนี้.. สำหรับยุ่นถ้าทำศูนย์ด้วยราคานี้ มันคือธุรกิจอย่างเดียวเลย...เราคงจะทำแบบใจรักไม่ค่อยได้ คือแบบ..อยากทำศูนย์ในลักษณะ ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ถ้าสี่แสนเหรียญ เราคงเน้นเด็กเข้ามาเยอะๆ คุณภาพเอาไว้ก่อน...

ยุ่นก้อต้องตอบเลี่ยงๆว่าเรายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่..แกก้อเลยเงียบไป..

และ แกก้อยังพูดอีกว่ามีอีกศูนย์หนึ่งนะที่ Edmonton เค้าขายให้ผู้ช่วยเค้า 700,000 เหรียญเด็ก 600 กว่าคน..มันต้องราคาประมาณนี้แหละ หัวละ 1000 เหรียญ...ฉันคิดไม่แพงหรอก..ยุ่นก้อคิด ทำไมผู้ช่วยรวยจังวะ..ซื้อได้ไงเนี่ย 21 ล้านบาทไทย..แต่..เค้าคงพิจารณาเรียบร้อยแล้ว..

แล้วเมื่อวานแกก้อเพิ่งเล่าให้ฟังเพิ่มอีกว่าเพื่อนลูกสาวแกคนที่ทีแรกสนใจ เค้าขอต่อราคาเหลือครึ่งหนึ่งคือสองแสนเหรียญ แต่มิสไม่ตกลง เค้าเลยบอกเค้าจะเปิดศูนย์ใหม่เอง...สร้างเอง..เฮ้อ..หรือว่าฉันให้เค้าเลยเนี่ย..ต่อลงมาตั้งครึ่งนึง...

ยุ่นก้อไม่พูดอะไร.. no comment...

แต่ไง..สำหรับ ศูนย์มิส..ราคานี้ ยุ่นว่าขายไม่ง่ายอย่างแน่นอน..สังเกตุมีคนมาดูสี่ห้ารายแล้ว ก้อเงียบหายทุกรายไป...ยุ่นว่านะ หลังจากมาดูงานที่ศูนย์...คุยกับคุมอง รวมทั้งได้ฟังราคาของมิส...ทุกคนก้อคงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง.. เป็นธรรมดา.. และยิ่งไม่ใช่คนที่เคยทำคุมอง...จะมองไม่ออกว่าธุรกิจนี้เป็นอย่างไร...แต่ก้ออีกแหละ..ต่อให้มองออก...การลงทุนด้วยจำนวนเงินขนาดนี้..ก้อไม่หมูเหมือนกัน..

Wednesday, October 13, 2010

Volunteer ภาคสอง

หลังจากที่ได้ไปเข้าเรียน job search program ก้อได้เกิดความคิดอยากทำงาน volunteer job เพราะเหมือนเป็น culture ของคนที่นี่ และเป็นใบเบิกทางสู่การได้งานในอนาคตด้วย..

ยุ่นก้อมาหาใน web site ..บังเอิญเจอหน่วยงานหนึ่งชื่อ Boys and Girls Clubs of Greater Vancouver เค้าก้อต้องการคนช่วยดูแลเด็กทำการบ้านตอนเย็น

หน่วยงานนี้ก้อเป็น non profit organization ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดาเหมือนกัน และหากเรา volunteer แล้วเค้าถูกใจเรา ก้อมีโอกาสรับเราเข้าทำงาน..ในนั้นเค้าลงว่าอย่างนั้น

อึม..ไม่เลว..น่าลองดูสักครั้ง..

ยุ่นก้อเลยเขียน e-mail ไปบอกเค้าว่าเรามีความสนใจที่จะทำงาน volunteer ชิ้นนี้นะ..เค้าก้อตอบมาว่าขอบคุณ และบอกให้เราส่ง resumeให้เค้า และเค้าจะค่อยนัดสัมภาษณ์

ปรากฎตอนนัดสัมภาษณ์เนี่ย ตอนเค้าโทรมายุ่นไม่อยู่บ้าน ยุ่นโทรไปเค้ายังไม่มาต้อง leave message ไว้ตลอด..ก้อเป็นแบบนี้ประมาณ 3-4 รอบ จนในที่สุด ได้มีโอกาสคุยกัน..และเค้าก้อนัดสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

คนที่สัมภาษณ์ ชื่อ Emily Fraser เป็นฝรั่ง อัธยาศัย (ไม่รู้สะกดถูกมั้ย) ดีทีเดียว..เค้าก้อสัมภาษณ์ว่าทำไมอยากทำงานนี้ มีความสนใจอะไรอย่างไร คิดว่าถ้าเจอเด็กที่มีปัญหาจะแก้ปัญหาอย่างไร..ยุ่นก้อตอบไปตามที่เราคิด..คือแบบไม่ได้เตรียมคำพูดมา ตอบสดเลย แบบมันเป็น volunteer อ่ะ ได้ก้อได้ ไม่ได้ก้อไม่เป็นไร ทำให้เราไม่กดดัน และยุ่นว่าเราก้อคงตอบได้เป็นธรรมชาติของตัวเรามากที่สุด..แบบไม่ไ้ด้ท่องมาไง..5555

เค้าก้อคุยอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้น เค้าขอ reference พอดีเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว เป็น Canadian หมดเลย คนแรกก้อ Ian ครูสอนอังกฤษ คนที่สองก้อ John ครูสอนเลข คนที่สามก้อมิสติง เจ้านายเราเอง..ยุ่นก้อได้ขออนุญาตทั้งสามคนเรียบร้อยแล้ว..

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของการทำงาน volunteer ที่นี่คือ Criminal Record Check ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ดูแลเด็ก..ในประเทศนี้ต้องมีอันนี้ สำคัญมากๆ..เค้าก้อถามว่ายุ่นโอเคมั้ย..ยุ่นก้อบอกโอเค..

จากนั้นเค้าก้อกรอกชื่อเราในจดหมายที่เค้าเตรียมมา..และเราต้องถือใบนี้พร้อมหลักฐานที่แสดงตัวเรา ไปยังสถานีตำรวจเพื่อทำ criminal record check ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์...นานจัง....รู้สึกทำงานช้าเหมือนกันนะเนี่ย..

และวันนี้ 13 ตุลา ยุ่นก้อเพิ่งว่าง ก้อเลยไปสถานีตำรวจแต่เช้า เพราะหลายคนเตือนว่าอาจต้อง line up ถึงสองชั่วโมง..

ปรากฎเราก้อเตรียมเอกสารครบตาม Emily บอกแล้วนะ..มีจดหมายที่เค้าให้ บัตรแสดงว่าเป็นตัวเราสองบัตร ตัวจริงนะ..แล้วก้อเงิน 25 เหรียญ

ปรากฎ..ทางตำรวจต้องการอีกอันก้อคือ..หลักฐานที่แสดงว่าเราอยู่ที่บ้านเลขที่ๆเราแจ้งจริงๆ..ยุ่นก้องง..ไม่รู้ว่าต้องมีแบบนี้ เพราะ PR card กับ Care Card ของยุ่นไม่มีที่อยู่ไง..เค้า้ก้อบอกเอาจดหมายอะไรก้อได้ที่มีการส่งมาที่บ้านมาแสดง..

ไ้อ้เราก้อไม่ได้เอาไปเลย..ก้อไม่รู้ว่าต้องใช้แบบนี้....ส่วนพวกเพื่อนที่ไปทำ ก้อไม่มีใครเตือนเรื่องนี้ เพราะเค้ามี driver licence หรือเค้าเป็น citizen แล้ว เค้าก้อมีบัตรประชาชนไง..ก้อไม่จำเป็นใช่มะ..แต่เรายังไม่มี และไม่มี driver licence อีก..

ตำรวจคนที่ทำเค้าก้อบอก..เอางี้ คุณเดินบัญชีกับธนาคารอะไร ยุ่นก้อบอก Scotia อึม งั้นคุณไปที่สาขาตรงแถวนี้นะ..และบอกเค้าว่าคุณต้องการ print บัญชีเพื่อ prove ว่าคุณอยู่ที่ address นี้จริง..เค้าจะทำให้..

ยุ่นก้อ..เอาวะ..ไหนๆก้อมาแล้ว..ก้อเดินออกมาหา scotia bank ปรากฎหาไม่เจอ..ก้อถามคนที่เค้าเดินมาเดินไป. คนหนึ่งก้อบอกทางนี้ เดินไปก้อไม่เจอ ถามอีกคนก้ออีกทาง..ก้อไม่เจออีก..เฮ้อ..เหมือนในหนังไงไม่รู้..แบบเวลาจะทำอะไร แล้วมันติดมันขัดไปหมด..

ก้อวิ่งหาอยู่สักสิบนาทีได้..เสร็จ ตาก้อมองไปไกลๆอีกฝั่ง อ้าว..นั่นมัน logo bank scotia นี่ ตัว S เฮ้อ..เจอแล้ว.. ยุ่นก้อเข้าไปแจ้งความจำนง แต่เราไม่ได้เป็นลูกค้าสาขานี้นะ..เสร็จพนักงานมันก้อแบบหน้าตาบอกบุญไม่รับนะ..ทีแรกมันก้องงๆ อะไรเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเราอยู่บ้านตัวเอง..

ก้อเลยบอกเค้าว่าเราไม่รู้ว่ามันต้องใช้ เลยไม่ได้เตรียมมา..แต่อยากขอเอกสารตรงนี้ เพื่อยืนยัน..พนักงานก้อบอก..เค้าอาจต้องคิดสตางค์ค่า print เอกสารให้เรานะ..บอกแล้วที่นี่ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด..

เสร็จยุ่นก้อหน้าเสียนะ..อะไรเนี่ย..เราเป็นลูกค้าเดือดร้อนมา แทนที่จะช่วย กลับฉวยโอกาสเลย แต่คิดในใจนะ ไม่ได้พูดออกมา กลัวเดี๋ยวมันยิ่งไม่ทำให้..

เสร็จ เค้าคงเห็นหน้าเราไม่พอใจ เค้าก้อเดินไปคุยกับผู้จัดการสาขา ผู้จัดการเค้าก้อบอกไม่เป็นไร อึม ขอหลักฐานแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของบัญชีก้อแล้วกัน..เสร็จไอ้พนักงานคนนี้มันก้อกำชับด้วยนะว่า มันทำให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ..ครั้งหน้าไม่ได้..ไอ้เราก้อคิดในใจอีก..ฉันก้อไม่ได้อยากจะมาอีกหรอก..นี่มันจำเป็นจริงๆ..ไม่อยากงอหรอก..ชักเคือง..

เสร็จเค้าก้อทำให้แบบเสียไม่ได้..เราก้อขอบคุณตามระเบียบ แต่ผลคือไอ้บัญชีที่มีชื่อยุ่นเนี่ย ที่อยู่มันกลายเป็นที่อยู่ของ scotia สาขาที่เราเปิดบัญชี ไม่ใช่ที่อยู่ของยุ่น..

เหมือนในหนังอีกแล้ว..อะไรกันหนักหนาเนี่ย..เซ็งสุดๆเลย..

ยุ่นก้อเดินกลับไปที่สถานีตำรวจ..และไอ้ตรงบริเวณ china town เนี่ย ยุ่นก้อไม่อยากเดินเลย เพราะพวก homeless เพียบ แต่ตอนนี้ ไม่กลัวแล้ว..เกิดอารมณ์เซ็งมากกว่า..

ก้อเดินกลับมาที่ counter เอาให้ตำรวจคนเก่า เค้าก้อดีใจบอก..โอเค..แต่ยุ่นก้อบอกว่ามันยังคงใช้ไม่ได้ เพราะที่อยู่มันเป็นของ bank ตำรวจก้องง บอก..แล้วคุณไม่รู้เหรอ..ยุ่นบอก..ไม่รู้ เพราะเอกสารเราที่เค้าส่งมาที่บ้านก้อถูกต้อง แต่ไม่เข้าใจระบบคอม..ของเค้า ตำรวจบอกทำไมไม่ให้พนักงานเค้าแก้ไข ยุ่นก้อตอบเลี่ยงว่า เค้าบอกต้องแก้ไขที่สาขาที่เราเปิดบัญชี ซึ่งยุ่นคิดว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้น..

เสร็จตำรวจก้อบอก..เค้าทำเรื่องให้ไม่ไ้ด้..ต้องมาใหม่อีกครั้ง..และครั้งหน้าก่อนมาควรอ่านรายละเอียดใน web site ก่อนมา จะได้ไม่เสียเที่ยว..เฮ้อ..ไอ้เราก้อคิดว่า Emily เค้าบอกรายละเอียดทั้งหมด..ก้อน่าจะครบถ้วน เราสะเพร่าเอง..เราควรจะ double check ด้วย..

เฮ้อ..ไม่อยากเชื่อเลย..เรื่องดูง่าย ทำไมมันไม่จบสักที..ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มาใหม่ คืออาทิตย์นี้เรื่องนี้ต้องจบ..

กลับมาบ้าน...เหมือนถูกแกล้ง เชื่อมะ..ปกติ..ซองจดหมายที่มีชื่อยุ่น ชื่อฮ่ง..ฮ่งเค้าจะเก็บเป็นตั้งๆ..แต่พอดีเมื่อสองวันก่อนมีเพื่อนมานั่งที่บ้าน ฮ่งก้อ clear ทิ้งหมด..ปรากฎไม่มีเหลือเลย..ไอ้เราก้อเข้าไปค้นหาตามกล่อง..ที่ฮ่งเก็บอยู่..ปรากฎมีเหมือนกัน แต่เป็นที่อยู่ที่อยู่ห้องเก่า 304 ไม่ใช่ 123

ยุ่นก้อนึกออก อึมเรามีจดหมายจาก Vancouver School Board ที่แจ้งเรื่องผลการสอบของเรา..ก้อเลยไปดู ปรากฎที่อยู่พิมพ์ผิด คือมันต้อง west 45 แต่เค้าดันพิมพ์เป็น east 45

ไม่อยากเชื่อเลย..เหมือนถูกแกล้งไงไม่รู้..ยุ่นก้อเลยยิ่งรู้สึกว่ายุ่นต้องเอาชนะมันให้ได้..ก้อเลยตัดสินใจว่ารีบกินข้าวเที่ยงแล้วก้อก่อนไปโรงเรียน เราจะแวะที่ Scotia Bank สาขาใกล้บ้านบอกเค้า..ให้จัดการแก้ไขให้เรา...ให้มันรู้ไปว่างานนี้..เราจะทำไม่ได้จริงๆเหรอ..

ก้อเลยเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับบอกเค้า..เค้าก้อน่ารักมาก รีบดูให้ แต่ปรากฎว่ามันแก้ไขแล้ว แต่เค้าำ้ไม่เข้าใจว่าทำไมที่อยู่ที่เราได้ถึงเป็นแบบนั้น..แต่เค้าก้อพิมพ์ใบที่เป็นที่อยู่ปัจจุบัน และ stamp ตรายางให้ว่าปัจจุบันที่สุด...คือวันนี้ 13 ตุลา..

และเค้าก้อขอโทษยุ่นว่าทำให้ยุ่นไม่สะดวก..ยุ่นก้อเลยรู้สึกอารมณ์ข้างในที่ขุ่นๆ ก้อเลยดีขึ้นเลย..เพราะพนักงานเค้ามีน้ำใจ และช่วยเหลืออย่างจริงใจ..

สรุป..ก้อจบลงด้วยดี..พรุ่งนี้จะไปอีกครั้ง..และหลังจากนี้ ก้อต้องรอทางตำรวจส่งcriminal record check มา ยุ่นก้อส่งให้ทาง Boys and Girls ก้อจะได้เข้าไปทำงาน volunteer ตามที่ตั้งใจไว้...ทีแรกคิดว่าทุกอย่างจะง่ายๆราบเรียบ..แต่ก้อต้องมีการผจญภัยอีกตามเคย... ^^

Tuesday, October 12, 2010

เบื้องหลังยีน Graduate...กว่าจะได้..





เนื่องจากปีนี้ยีนเกรด 12 และจะ graduate ตอน June 2011 ก้อเลยมีไอ้โน้น ไอ้นี่ให้ต้องทำมากมายพอควร..

ล่าสุด ก้อมาอีกแล้ว ต้องไปถ่ายรูป แต่มันไม่ใช่แค่นั้น คือเค้าต้องใส่สูทถ่ายรูป..ใส่สูทในงานเลี้ยง...ก้อเรียกว่าต้องใส่สูทประมาณ 4-5 รอบก่อนจบนะ...ยีนก้อบอกว่า ยีนบอกแม่แล้วตอนกลับไทยปีที่แล้วว่าให้ตัดสูท ตัดสูท แม่ก้อไม่สนใจ

ยุ่นก้อเลยบอกว่า วันหลังต้องเน้น..กำชับนะ ถ้าพูดลอยๆ แม่จะไม่ได้สนใจ เพราะแม่ก้อเป็นพวกสมาธิสั้นเหมือนกัน..^^

แต่ก้อช่างเถอะ..ย้อนเวลากลับก้อไม่ได้ ตอนนี้ก้อคือต้องหาซื้อสูท เราก้อไปปรึกษาพี่ประเวศ พี่ประเวศก้อบอกเอาของลุงไปใส่ก่อนก้อได้ คือพี่เค้าตัวเล็ก...คิดว่ายีนน่าจะใส่ได้ ส่วนพี่ Earth ตัวใหญ่กว่ายีนมาก..ตัวใหญ่กว่าพ่อยีนด้วยอ่ะ..

แต่ปัญหาคือกางเกง..ทีแรกฮ่งก้อบอก..เอากางเกงที่ได้มาจาก Mc ที่ไปทำงาน ใส่ก้อแล้วกัน..ไอ้เราก้อ..ไงดี ลูกจบทั้งที วัยรุ่นเค้าก้ออยากดูหล่อ..นิดนึง..ปรากฎจะให้เอาไอ้โน้นมาชนไอ้นี่ ยีนก้อเลยดู ไม่ค่อย happy เท่าไร

ยุ่นก้อเลยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหาซื้อกันก่อน ลองไปดูกันว่าราคามันเป็นอย่างไร..พี่ประเวศก้อให้ idea ว่า ถ้าไปซื้อที่ Zeller ก้อดูของ Arrow เสื้อก้ออยู่ 80เหรียญ กางเกงก้อประมาณ 70 เหรียญ แล้วก้อลุงมีบัตรลด 10% วันจันทร์แรกของเดือน ...วัน senior เอาของลุงไปใช้ ก้อน่าจะเหลือประมาณ 130 กว่าๆ แต่รวมภาษีก้อประมาณ 150 เหรียญ...

ตกเป็นเงินไทยก้อประมาณ 4500-5000 บาท ลุงบอกก้อราคาไม่แพงมาก..อยู่ที่นี่จะซื้ออะไร สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ใจร้อนก้อไม่ได้ ต้องเช็คข้อมูล และทำ research ก่อน..

ปรากฎ...วันรุ่งขึ้น เราสองคนพ่อแม่ก้อไปดูที่ Zeller เพราะยีนเรียน...เสร็จ พอเข้าไปดู... Arrow ที่พี่ประเวศบอก เสื้อสูทตัวใหญ่มั่กๆ..มีสีดำแค่สองตัว..กางเกงไม่ต้องพูดถึง ใหญ่สุดๆ ไม่มี size ยีน..

เราสองคนก้อเลยเดินไปที่ The ฺBay ห้างหรูหน่อย..อยู้ข้างๆ Zeller แต่คนละกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเทียบบ้านเราก้อพวก Central ประมาณนั้น...ก้อมีสูทมากมายหลายยี่ห้อ...ดูดีมีชาติตระกูลเลยแหละ แต่ราคาเนี่ยสิ..มันก้อแบบมีชาติตระกูลมาก...ขั้นต่ำก้อ 350 เหรียญ ไม่รวมกางเกง กางเกงก้ออีก ประมาณ 100 กว่าเหรียญ

ไม่ไหว ไม่ไหว..ชุดละ 15,000 บาท ทำใจไม่ได้..วัยรุ่นใส่แพงขนาดนี้..

ก้อไปดูที่เค้า Clearance... ก้อแบบดีใจมากเลย เพราะเค้าขายทั้งชุด.. เสื้อสูทกับกางเกง รวมแล้ว 150 เหรียญ ก้อโอเค วันรุ่งขึ้นเราก้อเรียกยีนไปดูกันแล้วก้อลองกัน...ปรากฎ เสื้อเนี่ย พอใส่ได้ แต่ก้อไม่ใช่ size ยีน เพราะยีนไหล่เล็ก....กางเกงเนี่ย..ยิ่งหนัก...คือถึงจะรูดซิปปิดนะ ใส่ขึ้นมาที่เอว ก้อหล่นไปกองที่พื้นเลย ตัวใหญ่มาก เอวเนี่ย 38 -40 มั้ง ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมถึงมา clearance ขนาดฮ่งยังใส่ไม่ได้เลย...

ก้อเศร้ากัน...ไปตามระเบียบ..

ยุ่นเลยบอกยีนว่า..ไงอาทิตย์นี้เราต้องไป Richmond เราก้อไปดูกันที่ Richmond Center เพราะ size asia ที่ Richmond น่าจะมี...ก้อเข้าไปร้านแรก เด็กที่มา take care ก้อหยิบสูตรของเด็กมา Boys' ปรากฎยีนใส่แล้วดูตลกๆไงไม่รู้...ผ้าที่เค้าเอามาตัดก้อแบบดูไม่ปราณีต...แต่ราคาก้อไม่แพงนะ สมกับคุณภาพ คือเสื้อสูท รวมกางเกง ก้อประมาณ 100 เหรียญ แต่ใส่ขึ้นมาแล้วแปลกๆไงไม่รู้..

เราสองคนพ่อแม่ ไม่ approve... ยีนบอก ทำไมอ่ะ ไม่ต้องซื้อแพงหรอก..ซื้อๆไปเหอะ...ยีนใส่ไงก้อได้ ไม่ต้องหรูมากหรอก..แต่พ่อกับแม่บอก มันไม่ใช่ คือสูท มันไม่ใช่แบบนี้..ไม่ใช่ว่าถูก เราก้อจะเอา..แต่เราต้องดูว่ามันเหมาะสมกับราคาด้วย... พ่อแม่..ก้อเรื่องมากเหมือนกัน...

เสร็จก้อเดินกันอีกหลายร้าน..ส่วนใหญ่ยีนจะใส่ไม่ได้ เพราะไหล่เล็ก..แล้วก้อที่นี่เค้าขายสูทพร้อมกางเกง เสื้อพอใส่ได้ แต่กางเกงใส่ไม่ได้ตลอด..

และราคาส่วนมากก้อประมาณ 200 เหรียญ up

ก้อเดินกันนานพอควร..จนเริ่มเซ็งกันทั้งสามคน...ก้อเลยไปนั่งพัก กินอะไรรองท้องนิดหน่อย เสร็จก้อเจอร้านนึงชื่อร้าน " Tip Top Tailor" ยุ่นก้อบอก เฮ้ย... tailor น่าลองดู..แล้วรู้สึกมี promotion ด้วย

ก้อเดินเข้าไป ร้านใหญ่นะ ดูดีเลยแหละ..แบบสูททั้งร้าน...ไอ้เราก้ออ่านป้าย Promotion ไม่ละเอียด..เห็นเขียนราคาชุดละ 299.99 ก้อเลย เดินออกดีกว่า ...ส่วนฮ่งออกไปคนแรกเลย..

แต่ไอ้คนที่ไม่ยอมออกคือคุณยีน..เค้าก้อเห็น..ป้ายราคา 149.99 เค้าก้อเรียก แม่มาดูเร็ว..อันนี้น่าจะ promotion ยุ่นก้ออ่านใหม่ มันเขียนว่า ซื้อสูทราคา 149.99-299.99 ได้แถมเสื้อ shirt กับ tie โดยชิ้นนึงราคาต้องไม่เกิน 45 เหรียญ แต่หากเราเลือก shirt กับ tie เกิน 45 เราก้อจ่ายส่วนเกิน แบบเหมือนเค้าแถมของให้ 90 เหรียญ...

promotion ที่นี่ก้อต้องอ่านดีๆนะ...มันต้องตีความ..

เสร็จยุ่นก้อเรียกพนักงานบอกเค้าว่าเราสนใจ...พนักงานเค้าก้อมา take care โชคดีมากเลยที่เจอคนนี้ แบบเค้าน่ารักมาก และมีความรู้ และแนะนำค่อนข้างดี...เค้าก้อวัดตัวยีนเลยนะ...แล้วเค้าก้อบอกยีนตัวเล็ก จะหา size ลำบาก..แต่เค้าจะพยายาม..

เค้าก้อหยิบสูทดำตัวแรกมาให้ ยีนใส่พอดีเปี๊ยะเลย แบบใส่แล้ว ใช่เลย...หล่อดีเหมือนกัน ลูกเรา...^^

เสร็จ เค้าก้อหยิบมาให้ลองอีกสองตัว..โดยเค้าบอกความแตกต่างคือ size เดียวกันแต่มันจะมี short medium and long คือต่างตรงความยาวแขนและตัวเสื้อ..เพราะคนแต่ละคนก้อมีความยาวแขนไม่เหมือนกัน บางทีลำตัวได้ แต่แขนลอย หรือแขนยาวไป..ก้อต้องปรับเปลี่ยนตาม size ของลูกค้า..

เสร็จเค้าก้อให้เลือกว่าเอาตัวไหน..ยีนบอกเอาสีดำ เพราะเราต้องใช้สีดำ...ก้อปรากฎ เค้าก้อไปหยิบกางเกงมาให้ลอง..พร้อมทั้งวัดคอ..เพื่อหา shirt ให้ ซึ่งเราต้องการสีขาว...

เค้าก้อไปหาใน stock เลย เพราะไม่มี size นี้ เค้าบอก size ยีนมีน้อย..เค้า stock น้อย.. ปรากฎเค้าหยิบขึ้นมาตัวแรกเป็น size 14 1/2 คือที่ต้องการเลย เหลือตัวสุดท้าย..

คราวนี้ก้อให้ลองกางเกง ปรากฎยีนใส่ไม่ได้ เพราะแคบไป...เอวยีน 32 แต่กางเกงตัวนั้น 30 ยัดไม่ลง..เค้าเลยบอกเสียใจด้วยนะ..แต่เค้าจะหาให้ใหม่ แต่ไอ้ตัวที่เราเลือก ราคา 149.99 แบบราคาก้อดี เสื้อสูทก้อใส่แล้วดูดี..เฮ้อ..แต่ปัญหาคือกางเกงอีกแล้ว..

เค้าก้อหยิบอีกตัว ปรากฎ พ่อกับแม่ก้อมีลุ้นว่าจะใส่ได้มั้ย ..ปรากฎเสื้อก้อใส่ได้ ใหญ่กว่าเดิมนิดนึง กางเกงก้อพอดีเลย..แต่ขายาว ซึ่งเค้าตัดให้ ค่าตัดขาก้อ 7 เหรียญ...และสูทตัวนี้เป็นสีดำแบบมี stripes ซึ่งจะดูทันสมัยกว่าตัวแรก..พนักงานบอก..เป็นของ young guy...

ชุดนี้เลยลงตัว รวมทั้ง shirt ขาวก้อใส่ได้พอดิบพอดี จากนั้นก้อเลือก tie ก้อเปลี่ยนมาเปลี่ยนไปหลายเส้น...ก้อไม่รู้ว่าพนักงานหยิบราคาเท่าไร..เพราะเค้าก้อดูแต่สีเนอะ.. ว่า matching มั้ย...แต่ถ้าเป็นเราเลือกเราจะดูสีด้วย แล้วก้อ second check โดยดูราคาด้วย...อันนี้สำคัญ...

เสร็จก้อเรียบร้อย..ก่อนปิดการขายเค้าก้อมีแนะนำเทคนิคการตัดเย็บพิเศษของร้านเค้า คือการต่อผ้า ตรงกางเกง มันจะเป็นทรงนั้นตลอดเลย...ไอ้รอยที่กางเกงผู้ชายเวลาเรารีดแล้วเราต้องทำให้มันเป็นรอย แล้วเอาเตารีดทับ เค้าบอกร้านเค้ามีเทคนิคที่เราไม่ต้องใช้เตารีดทับแบบนั้น ซักเสร็จ มันก้อจะเป็นรอยแบบนั้นเลย..ตลอดกาล รู้สึกราคาค่าเทคนิค 8 เหรียญ

คุณยีนก้อบอกเค้าเลยว่าโอเค..เค้าต้องการแบบนั้น...แต่พ่อกับแม่ยังคิดกันไม่เสร็จ..แต่ก้อไม่ได้พูดอะไร เพราะเดี๋ยวจะทำให้ลูกเสียหน้า...

เสร็จถึงตอนสำคัญ จ่ายสตางค์...เค้ายิง barcode แต่ละรายการ ยุ่นเนี่ยก้อจ้อง..จอคอมแบบตาไม่กะพริบเลยอ่ะ..ลุ้นว่าเสื้อ shirt กับ tie เนี่ยมันเท่าไร ปรากฎ เสื้อ shirt 44.99....... tie ก้อ 45 พอดีเลย..

แบบทีแรกที่ยุ่นหยิบก้อแบบมี 19 เหรียญบ้าง 25 เหรียญบ้าง..มีราคาถึง 60 กว่า 70 เหรียญนะ..แต่เราก้อไม่รู้ว่าพนักงานหยิบราคาเท่าไร..แต่ตอนนี้ โล่งอก..เฮ้อ..ไม่เกิน..

รวมสนนราคาทั้งสิ้นก้อ 240 เหรียญ อันนี้คือรวมภาษี 12% ด้วยนะ...ก้อประมาณ 7000 กว่าบาทบ้านเรา แต่อันนี้รับได้ สูทดูดี..แล้วก้อของที่ได้มาก้อค่อนข้างโอเค....ก้อเรียกว่าดูดีมีชาติตระกูลพอควร...

เฮ้อ...กว่าจะหาได้...ราคานี้ก้อต้องยอมแหละ..เพื่อลูก....อ่ะนะ.. ครั้งหนึ่งในชีวิตลูก..เค้าจบเค้าก้ออยากหล่อเหมือนกัน..แต่ยังไม่จบดีนะ..เพราะยังต้องหาซื้อรองเท้าหนังอีก...ถึงจะจบบริบูรณ์....

ยังไง..ถ้ายีนประกอบร่างเสร็จเรียบร้อย..จะเอารุปยีนมาลงเป็นที่ระลึก...จะได้รู้ว่า..กว่าจะได้มา..ชุดนี้...

Friday, October 8, 2010

Calculus 12

ช่วงนี้เนื่องจากกลับไปเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นก้อคงต้องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ไปเรียนมา...^^

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการกลับมาเรียนไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือ Calculus ก้อคือ...ยุ่นเห็นภาพนะว่าจะเรียนวิชานี้วิชาโน้นไปเพื่อทำอะไร ผิดกับตอนเรียนที่เป็นเด็กๆ จำได้ว่า บางวิชาตอนอ่านหนังสือ ยากแสนยาก โครตเบื่อเลย เรียนไปทำไมเนี่ย..จะได้ใช้ตอนไหนเนี่ย...อะไรประมาณนี้..

ซึ่งไม่แปลก เพราะไอ้เด็กผู้ชายสองคนที่นั่งข้างๆ..Nick กับ Leon เค้าก้อบอกไม่รู้ทำไมต้องเรียนยากขนาดนี้ จะไ้ด้ใช้เมื่อไร ทำให้นึกภาพเราสมัยก่อน..

ด้วยเรายังเด็ก..ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน มีแต่เรียน เรียน เรียน เราจึงไม่รู้ว่าเรียนบางวิชาไปเพื่ออะไร...แล้วก้อเรียนทำไมเนี่ยมากมายหลายวิชา ทำไมไม่เรียนแต่อะไรที่เราชอบ...

แต่วันนี้หลังจากทำงานมาหลายด้าน..ทั้งด้านเภสัช...(อันนี้รู้ว่าเรียนเคมีกับชีวะ ได้ใช้ sure) อึม..ด้านโรงงานผลิตเครื่องสำอางค์ของครอบครัวตัวเอง และการมาเป็นครูคุมอง...ทำให้ตอนเรียนสองวิชานี้เนี่ย...มันเข้าใจว่าเรียนแล้วได้นำมาใช้อย่างไร..

แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ่นว่าการเรียนหนังสือให้เราแน่ๆก้อคือ..การ organize หรือ manage ตัวเราอย่างไร วางแผนการเรียนหนังสืออย่างไร...และฝึกความอดทนเวลาที่เราเจออุปสรรค และแน่นอน..ฝึกให้เราสามารถ focus อะไรได้นานๆ...

เหล่านี้มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำงาน เพราะมันเป็นทักษะอันเดียวกัน...ซึ่งเราคงไม่ใช่อยู่ดีๆมีสิ่งเหล่านี้ได้ มันคงต้องมาจากการฝึกฝนและสะสม...

แต่..วันนี้ที่จะเล่าก้อคือ พอได้เรียน Calculus เนี่ย ทำให้ยุ่นเข้าใจบทเรียนคุมองอย่างกระจ่างอย่างที่บอกคือ ตอนเรียน limit ก้อทำให้รู้ว่า N 131- N170 ที่แท้เค้าจะบอกอะไรเด็ก..คือพูดจริงๆ แต่ก่อนไม่รู้ ก้อทำตามตัวอย่างไป...แค่ทำให้ได้ ทำให้เสร็จ ก้อลากเลือดแล้ว.. แต่ตอนนี้ทำแบบเข้าใจ มันสนุกมากเลย..แล้วก้อไม่ได้ยากอย่างที่คิด...

พอเสร็จก้อเรียนเรื่อง Differentiation กับการประยุกต์ใช้ ทำให้เข้าใจ L41-L110 แล้วก้อ N 171-N200 แล้วก้อ O 1-O 6 แบบเข้าใจ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ด้วย จำได้ตอนทำ L ชุดที่บอก ยุ่นก้อคิดนะทำไมคุมองต้องให้ทำเยอะขนาดนี้เนี่ย แล้วมันทำไปทำไม..ทำนะทำได้ แต่ไม่เข้าใจหลักการไง..คิดว่าเด็กก้อคงคิดเหมือนกัน..

แต่พอเรามาเรียนการประยุกต์ใช้ เราจึงเข้าใจว่าไอ้ที่คุมองให้ทำ มันคือแค่พื้นฐานที่คุณต้องแม่น..แต่เราไม่เข้าใจไงว่าใช้อย่างไร เพราะคุมองเค้าไม่เน้นโจทย์...

การนำไปใช้เช่น หากเรามีกระดาษแผ่นนึง และเราจะทำเป็นกล่องให้มีปริมาตรมากที่สุด เราต้องทำกล่องมี dimension เท่าไร..ซึ่งอยู่ที่ L90b ตรงที่ Let's try it! แต่คุมองให้ข้อเดียวไง มันเลยไม่ปิ๊ง...

แต่ที่ยุ่นเรียน เราสามารถนำไปใช้ในธุรกิจ หรือในโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่น การจะทำกระป๋องกระป๋องนึง ให้มีปริมาตรแค่นี้ โดยพื้นที่บนและล่างของกระป๋องเนี่ย ราคาต่อตารางเมตรราคานึง พื้นที่รอบกระป๋องราคาต่อตารางเมตรอีกราคานึง...ทำไงให้ต้นทุนการผลิตของเราต่ำที่สุด...

หรืออย่างจะทำประตูหน้าต่างเนี่ย...ให้ได้พื้นที่ตามที่เราต้องการ..โดยใช้ไม้มาทำเป็นขอบประตูหรือขอบหน้าต่างน้อยที่สุดเนี่ย ใช้ไม้เท่าไร..

หรือชาวสวนก้อได้ ปลูกต้นไม้ในสวน 50 ต้น ต้นนึงให้ผลผลิต 800 ผล ต้องปลูกเพิ่มกี่ต้นที่จะทำให้ได้ผลผลิตมากที่สุด... ถ้าไอ้ต้นที่เพิ่มเนี่ย จะมีผลที่ร่วง ต้นละ 10ผล อะไรทำนองนี้...

และนี่คือการประยุกต์ใช้ มันใช้ได้แทบจะทุกธุรกิจ...แต่ยุ่นว่าต้องเป็นแบบโรงงานอะไรประมาณนี้..

พอยุ่นเรียนจบเรื่องนี้...get เลย สุดยอดจริงๆคนคิด calculus เนี่ย เก่งจริงๆ..และเลยเข้าใจว่า อึม..วิศวะเนี่ยเค้าทำงานอะไร...ทำไม เค้าถึงบอกเราสามารถประหยัดต้นทุนได้...หรืออย่าง Acturial ที่ฮ่งอยากให้ยีนเรียน ทำไมต้องเก่ง Calculus.....และเวลาที่เราเรียนอะไรแบบเข้าใจเนี่ย..วิชานั้นถึงมันจะยาก แต่มันก้อสนุกนะ..

นอกจากนี้ ยังทำให้ยุ่นคิดถึงโรงงานพ่อกับแม่..ว่าหากกลับไปเมืองไทย และมีโอกาส จะเอาไอ้วิชานี้เนี่ย เค้าไปช่วยพ่อกับแม่ลดต้นทุนการผลิตบางอัน...ถ้าสามารถทำได้...จริงๆ..หากเราได้ทำงานก่อนมาเรียนอะไรที่ลึกลงไป..จะทำให้เราเห็นภาพว่าเราจะเรียนวิชาเหล่านี้ไปเพื่ออะไร...และนี่ก้อคงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของสิ่งที่ฝรั่งชอบบอก....ไปหาตัวเองก่อน..แล้วค่อยกลับมาเรียน

ยุ่นว่านะ It does work!!!!

และอยากบอกว่า Calculus เป็นวิชาที่ยากจริงๆ..แต่ในขณะเดียวกัน ก้อสนุก และน่าสนใจไม่น้อยเลย...

Saturday, October 2, 2010

การเขียน paragraph 2

สำหรับการเขียน paragraph หรือ essay ที่นี่ เค้าจะมีหลักหรือโครงสร้างประมาณนี้ ซึ่งเวลาครูตรวจจะดูว่าเรามีโครงสร้างเหล่านี้ครบมั้ย และยิ่งเป็น essay เนี่ย เห็นเค้าบอกว่าเค้าจะอ่านแค่ introduction ของเรา ถ้าไม่เข้าท่า เค้าก้อแทบจะไม่อ่านต่อเลย...

เพราะเด็กที่สอบ provincial 12 สอบทั่วประเทศ เขียน essay คนละสามเรื่อง คิดเล่นๆว่าสอบ 5000 คนก้อหมื่นห้าพันเรื่อง...ถ้าค่อยๆอ่านทุกบรรทัด คงตรวจไม่เสร็จเป็นแน่แท้...ฉะนั้น ทอมก้อพูดมีเหตุผล...

 การเขียน paragraph ในแต่ละเรื่องราวที่ยุ่นเล่าใน supporting sentences จะต้องมีการเชื่อมด้วย Coherence ที่เหมาะสม ทำให้ paragraph ที่เราเขียนเนี่ย อ่านแล้วไหลลื่น มีตัวเชื่อมต่อเวลาเราจะเล่าประเด็นต่อไป..

การเขียน paragraph มีหลายแบบเช่น description ไม่แน่ใจว่าใช่คำนี้มั้ย แบบเหมือนเล่ารายละเอียด...หรืออาจเป็นแบบเปรียบเทียบ comparison/contrast หรืออาจเป็น cause/effect ขึ้นกับว่าเราอยากเขียน style ไหน...แต่เวลาเรียนครูจะบอกเลยว่าครั้งนี้เขียนแนวนี้ ครั้งนี้เขียนแนวนั้น แต่ถ้าไม่ได้บอกก้อ free style...

นอกจากนี้ จุดสำคัญของการเขียน essay คือไม่ต้องพรรณนามากเกิน เอาให้ตรงประเด็น ใช้คำศัพท์ง่ายๆให้ผู้อ่านเข้าใจเรา ไม่ต้องไปสรรหา big word มา...คือพูดง่ายๆเราคิดไงก้อเขียนแบบนั้น แต่ให้ถูกหลัก grammar อีกทั้งในหนึ่ง paragraph ไม่ควรเขียนมากกว่า 10 ประโยค 10เนี่ยเค้าถือว่าเยอะนะ..ครูบางคนบอกหกหรือเจ็ดประโยคก้อพอแล้ว...ไม่ต้องยาว แต่ขอให้ตรงประเด็น...

ยุ่นว่าอันนี้เนี่ย..ทีแรกยุ่นทำไม่ได้นะ..เพราะไอ้เราก้อจะบรรยายอยู่นั่นแหละ กลัวเค้าไม่เข้าใจ ตอนหลังเริ่มรู้แล้วว่า เราเขียนแบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง...เลยต้องตัดประโยคที่ไม่จำเป็นออกให้หมด...5555 เพราะทีแรกคิดว่ายาวแปลว่าดี...แต่จริงๆคือเพ้อเจ้อ...

การเขียนเพียงแค่ introduction paragraph ของ Essay  มีการเขียนถึง  6  วิธีที่แตกต่างกันดังนี้ :

1. Begin with a broad , general statement of your topic and narrow it down to your thesis statement. เหมือนกับเล่าเรื่องทั่วๆไป แล้วให้มาจบลงประเด็นที่เราจะกล่าวใน essay ของเรา

2. Start with an idea or situation that is the opposite of the one you will develop. แบบเหมือนประเด็นเราจะบอกการไปหาหมอฟันเราไม่ชอบ แต่เราจะเกริ่นก่อนด้วยคนอื่นๆเค้าชอบไปหาหมอฟันเพราะอะไร แต่มาจบที่ประเด็นเราว่าเราไม่ชอบ...

3. Explain the important of your topic to the reader. ก้อแบบตรงๆคือเล่าเลยว่าประเด็นที่เราจะพูดเนี่ยสำคัญอย่างไร

4. Use an incident or brief story. ยกเรื่องหรือเหตุการณ์ที่มันเกี่ยวโยงกับประเด็นที่เราจะพูด...

5. Ask one or more questions. ถามคำถาม เช่น what is love? How do we know that we are really in love? .bra...bra...bra...แล้วก้อเข้าประเด็นเรื่องความรักในทัศนคติของเราสำคัญอย่างไร...

6. Use a quotation. แบบไปยืมคำพูดของชาวบ้านมาเกริ่นนำ intro ของเรา ซึ่งเราต้องบอกว่าเราเอามาจากไหนด้วย..เช่น เรากำลังจะเขียนว่าประสบการณ์ที่เราเรียนรู้จากครอบครัวเรา..เราก้ออาจ quote ด้วยสุภาษิตไทยที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น อะไรประมาณนี้ แล้วก้อโยงให้เข้าประเด็นที่เรากำลังจะกล่าว

และครูที่นี่เนี่ย เก่งจริงๆ สมมติเค้าให้ทำอะไรก้อตามนะ..แล้วคุณไป copy ของชาวบ้านมา หรือเอามาจาก internet นะ เค้าจะรู้เลย..แล้วขอโทษ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น ให้ตกทันที ถือว่าทุจริต....อันนี้ serious มากๆ.. เพราะฉะนั้น ไม่เหมือนโรงเรียนบ้านเรา ครูสั่งรายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ นักเรียนก้อ print จากคอมเลย บางทีก้อเป็นสิบๆหน้า ทำรูปเล่มสวยหรู..เขียนว่ารายงานโดย..สุวรรณี ประมาณนี้ แต่จริงๆสุวรรณีเอาของเค้ามาใช่มะ...แต่ที่นี่ไม่ได้ คุณเปิดได้..ศึกษาได้ แต่คุณต้องสรุปเป็นความคิดเห็นของคุณ คำพูดของคุณ และต้องมีเหตุมีผลประกอบด้วย...จึงจะเรียกว่าผลิตโดยคุณจริงๆ...

ที่้เล่ามาทั้งหมดเนี่ย เรื่องราวในการเขียน writing อ่านแล้วอาจไม่เข้าใจเท่าไร ยังไง ยุ่นจะค่อยๆยกตัวอย่างประกอบและอธิบายเป็นเรื่องๆไป...คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กไทยที่อยากจะเขียน paragraph นะ แต่ก้ออีกแหละ มันไม่ง่าย เพราะไม่มีใคร correct ให้เนอะ...เฮ้อ..อยากให้ครูบ้านเรา สอนเด็กเขียน essay ได้จังเลย..ยุ่นว่าครูไทยเราที่สอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียน ก้อยังไม่สามารถเขียนได้เลย..เพราะเราไม่มีการเรียนการสอนแบบนี้ในโรงเรียน..ยุ่นว่าเราน่าจะจ้างครูฝรั่งที่เก่งๆเนี่ย มา train ครูเราให้พอเขียนได้ เข้าใจในหลักการ และสอนเด็กๆของเราได้แล้ว....เราน่าจะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่เน้นแต่ grammar มาเป็นการอ่านทำความเข้าใจ และเขียน present ความคิดเราให้ผู้อื่นเข้าใจเราได้แล้ว...เพราะเราเก่ง grammar แต่เราใช้งานอะไรไม่ได้เลย...เฮ้อ..

Wednesday, September 29, 2010

การเขียน paragraph 1

ยุ่นได้เรียน writing ครั้งแรกกับ Jennifer เค้าก้อสอนค่อนข้างดีนะ..ทำให้ยุ่นรู้ว่าโครงสร้างของมันเป็นยังไง..และเค้าจะมีตัวอย่างของ writing ดีๆมาให้เราดู..ศึกษาและลองทำดู..

ครูคนที่สองที่เรียนด้วยคือ Ruth อึม..สอนทุกอย่างตามหนังสือ..อ่านและศึกษาเอง..แล้วเขียนส่่ง ครูก้อตรวจและแก้ไขให้เรา และก้อให้คะแนนเลย..ไม่มีเทคนิคอะไรที่พิเศษ..เขียนไปตามสไตล์ของใครของมัน

คนที่ประทับใจที่สุดก้อคือ Tom เค้าเป็นคนที่สอน writing แบบเป็นเรื่องง่ายๆ และมี pattern ที่ดี มี map เพื่อช่วยร่างความคิดและจัดลำดับความคิดเราก่อน..จากนั้นก้อค่อยๆนำเสนอออกมาในรูปแบบที่เป็น structure ของ essay...และก้อมีการสอนเทคนิคการเขียน ว่าจะเขียนแบบใช้เทคนิค simile (เปรียบเทียบที่ใช้ like หรือ as ) หรือเขียนแบบใช้คำซ้ำ เน้นสิ่งที่เราเล่า ซึ่งเรียก parallelism หรือจะใช้ การเสียดสีก้อได้ ซึ่งเค้าเรียก irony

ฉะนั้น..การเขียน writing ที่ยุ่นจะเล่าต่อไปนี้ หรือที่เรียกว่า Writing Academic English จะเป็นบทสรุปที่รวมเอาสิ่งที่เรียนรู้จากครูทั้งสามคนมาผสมกัน เป็นวิธีการของยุ่นเอง...

เริ่มต้น..การเขียน writing เราควรเขียน paragraph ก่อน..แต่ถ้าจะย้อนกลับลงไปจริงๆ..ต้องเริ่มจาก grammar ที่ถูกต้องก่อน... ( ซึ่ง Jennifer จะเริ่มสอนที่ grammar ก่อน..)

ในหนึ่ง paragraph ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆคือ Topic Sentence , Supporting Sentences และ Concluding Sentence

ซึ่งทอมเค้าจะให้เราร่างใน map ก่อนว่าเรามี idea สามเรื่องในการเขียนเรื่องนี้อย่างไร จากนั้นค่อยแตกรายละเอียดในแต่ละไอเดีย ซึ่งควรมีตัวอย่างสองหรือสามตัวอย่างในหนึ่งไอเดีย...เสร็จก้อสรุป paragraph ของเรา แล้วค่อยมาแต่ง topic ใน introduction แล้วค่อยตั้งชื่อเรื่อง.. ยกตัวอย่างเช่น :

เค้าให้หัวข้อมา " A visit to a dentist "

เราก้อต้องคิดว่าเราอยากเขียนในแง่ไหน..ดีหรือไม่ดียังไง..ก้อ bring up 3 ideas..

ideas 1. tired - แล้วก้อคิดเรื่องราวที่แสดงความเหนื่อยในการไปหาหมอฟัน

-When a dentist gives treatment to my teeth, I have to open my mouth wide like the front door of a bus. This makes my jaws stuck and unmovable for a while. Also one hours of treatment seems like twenty tedious hours for me.

2. uncomfortable

-Lying on a dental chair is like sitting on an electric execution chair. The noise of all dental equipment is as horrible as the sound of machine in a slaughterhouse. Wondering which appliances will be put into my mouth makes me nervous all the time.

3. unhappy

-I had a very bad experience of visiting a new dentist five years ago when 23-year-old novice pulled one of my left decayed molars out. Then I was not able to talk or open my mouth for three weeks.

เสร็จ เราก้อสรุปว่า Without doubt, if it is not neccessary, I will avoid visiting a dentist entirely.
แล้วก้อมาแต่ง introduction หรือ topic โดยต้องเอาสาม idea บรรจุลงในหนึ่งประโยค
The three best reasons for not visiting a dentist are getting tired, feeling uncomfortable and being unhappy while having some dental-care.

ส่วนการตั้งชื่อเรื่องก้อดูจาก สรุป...เอา phrase หรือวลีเด็ดในสรุปมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง...ยุ่นเลือก..
"Avoid Visiting a Dentist"

จากนั้นก้อเอาทุกอย่างที่เราร่างมาประกอบร่าง...เป็นอันเรียบร้อย :

The three best reasons for not visiting a dentist are getting tired, feeling uncomfortable and being unhappy while having some dental-care. When a dentist gives treatment to my teeth, I have to open my mouth wide like the front door of a bus. This makes my jaws stuck and unmovable for a while. One hours of treatment seems like twenty tedious hours for me. Also  lying on a dental chair is like sitting on an electric execution chair. The noise of all dental equipment is as horrible as the sound of machine in a slaughterhouse. Wondering which appliances will be put into my mouth makes me nervous all the time. Furthermore, I had a very bad experience of visiting a new dentist five years ago when 23-year-old novice pulled one of my left decayed molars out. Then I was not able to talk or open my mouth for three weeks. Without doubt, if it is not necessary, I will avoid visiting a dentist entirely.

เป็นอันเรียบร้อยสำหรับการเขียน paragraph แบบถูกหลักการและมีโครงสร้างที่ถูกต้อง...ส่วน essay ก้อคือการเอา paragraph 5 อันมาต่อกัน...ก้อใช้หลักการประมาณนี้เหมือนกัน...เรียกว่าทอมทำให้ยุ่นรู้สึกว่าการเขียน essay ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด..และเราต้องคง structure นี้ไว้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นที่เราจะสื่อให้เค้าฟัง...


Note :  ยุ่นได้มา up-dated ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการเขียน paragraph -essay รวมทั้งการเขียน essay ..หากท่านใดสนใจลอง click ไปอ่านได้ที่ เทคนิคการเขียน paragraph ในเดือน April 2013 นะค่ะ...