Thursday, December 31, 2009

Case study : การให้นักเรียนทำคุมองสองระดับ

จากการที่ได้ทำงานที่คุมองศูนย์นี้ ซึ่ง instructor มีวิธีการให้การบ้านนักเรียนแตกต่างจากที่ยุ่นได้เคยเห็นมา...ทำให้ยุ่นเกิดความสงสัย สนใจและอยากรู้ว่าผลที่ออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไร?

ตอนที่อยู่เมืองไทยการทำคุมองของบ้านเรา จะมีลักษณะเด่นอย่างนึงก้อคือ พวกเรา instructor จะมีการ share case กัน discuss กัน ศึกษาร่วมกัน...ทำให้เราได้เห็นแนวคิดของเพื่อนร่วมอาชีพ ในการแก้ปัญหาหลากหลายกันไป และหากเราดูว่าแบบไหนเหมาะจะนำไปปรับใช้กับศูนย์เรา เราก้อลองนำไปใช้กันดู...

แต่ที่นี่ยุ่นคิดว่าอาจเนื่องจากความไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง เช่นค่าใช้จ่ายต่างๆในการจอดรถเวลามาประชุม ความไม่สะดวกของการมาประชุมร่วมกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงทำให้ที่นี่ไม่ค่อยมีการ share case กันเหมือนบ้านเรา...น่าจะเป็นแบบต่างคนต่างทำมากกว่า...

ของไทยเราถ้าเด็กโตมาเรียน ในที่นี่หมายถึงเด็กประถม 5 ขึ้นไป หลังสอบ DT เราก้อจะคุยกับเด็ก ให้เค้าทำการบ้านมากหน่อย..โดยดูจากการทำงานของเด็ก ว่าเค้าน่าจะมีสมาธิในการทำงานที่ดีประมาณกี่นาที เช่นบางคนทำ 2A ชุดละ 5 นาที สามารถทำในห้องประมาณได้ประมาณ 10ชุด เราก้อจะให้งานเด็ก 2A และ A ไปทั้งระดับ และให้เค้าแบ่งงานทำในหนึ่งสัปดาห์ โดยนั่งทำงานให้ได้วันละประมาณ 40-50 นาที

พอขึ้นระดับใหม่การทำงานต่อวันจะยังเท่าเดิม เพียงแต่เด็กจะทำได้วันละน้อยชุดลง เนื่องจากความยากของแบบฝึกหัด แต่เด็กจะถูกฝึกสมาธิ จากการทำแบบฝึกหัดง่ายๆ และค่อยๆยากขึ้น ยากขึ้นแบบไม่รู้ตัว แต่เป้าหมายคือเราต้องการฝึกสมาธิก่อน ให้เด็กมีสมาธิที่ดีก่อนที่จะให้เด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากมากขึ้นตามลำดับ...

นี่คือสิ่งที่ยุ่นวิเคราะห์จากการที่เราให้งานเด็กทำที่บ้านเรา...และก้อค่อนข้างได้ผลดี เพราะระดับที่เด็กทำจะเป็น just right level และสมาธิก้อค่อยๆปรับให้นิ่งขึ้น ดีขึ้น..และเราจะสามารถพาเด็กขึ้นในระดับสูงๆได้ค่อนข้างมาก

แต่ที่ศูนย์นี้ คิดว่าน่าจะทำเพียงศูนย์เดียวที่แคนาดา instructor จะให้งานเด็กโตหลังสอบ DT พร้อมกันสองระดับ เพราะต้องการให้เด็กไล่ทันเลขที่โรงเรียน เพราะถ้าหากค่อยๆทำไป เด็กจะลาออกเพราะเหมือนเรียนแต่บวกๆลบๆ ไม่สามารถนำไปใช้ที่โรงเรียนได้

ทีแรกที่มาถึง ยุ่นก้อรู้สึกแปลกดี น่าสนใจ เพราะวิธีนี้หากได้ผล ก้อจะเป็นการช่วยเด็กให้ไล่ทันคณิตศาสตร์ที่โรงเรียน ก้อไม่เลว แต่ก้ออยากรู้ว่าผลเป็นอย่างไร จึงคอยสังเกตุและศึกษาผลของวิธีนี้...จากนักเรียนที่ทำแบบฝึกหัดสองระดับในศูนย์..

ตอนให้งานเด็กก้อรู้สึกว่ามันจะเป็น just right level มั้ย?? จากการสังเกตุ ในช่วงแรกๆ หากเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยมีปัญหาคณิต จะโอเค คือพอจะเรียนไปได้ หากเป็นนักเรียนที่มีปัญหามากๆจะไม่โอเค คือจะทำแบบทุลักทุเลพอควร แต่ instructor ก้อมีแนวคิดในการให้นักเรียนทำแบบนี้...เพราะเชื่อว่าจะทำให้เรียนได้เร็ว และขึ้นระดับสูงได้เร็วกว่าปกติ..

ยกตัวอย่าง นักเรียน grade 5 หลังสอบ DT P4 อาจสอบเวลาเกินที่กำหนด เช่นอาจทำ 50-60 นาที ไม่เป็นไร เค้าจะดูว่าเด็กทำข้อสอบข้างในเป็นอย่างไร (ที่นี่จะให้เด็กสอบต่ำกว่าชั้นเรียนหนึ่งระดับเช่น grade 4 สอบ P3 ) หากทำบวกลบไม่ดี แน่ๆต้องเริ่ม 2A และถ้าทำสูตรคูณไม่ได้ ก้อให้ C ควบไปเลย ก้อคือให้ทำ 2A วันละ 10แผ่น บวกกับระดับ C ทำ 4-3-3 หกวัน แล้วก้อจะวิ่งคู่ไปสองระดับแบบนี้เรื่อยๆ บางคนก้ออาจเป็น A กับ D 101 หรือ D 151 หรืออาจเป็น A กับ E ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นกับผลการสอบของนักเรียนแต่ละคน..

จากการสังเกตุ เช่น มีนักเรียน grade 9 คนนึง ทำ G 81 กับ H 21คู่กัน ปัญหาที่พบคือเมื่อเด็กทำ H 21 นั้นเด็กยังไม่ได้เรียนเรื่องสมการใน G151 เลย เด็กไม่มีความเข้าใจในเรื่องสมการตั้งแต่พื้นฐาน พอมาทำ H21 ซึ่งเป็นการแก้สมการแบบประยุกต์ การ guide นักเรียนจึงทำได้ยากมาก... บางครั้งก้อต้องบอกเลยว่าย้ายข้างเปลี่ยนเครื่องหมาย โดยไม่ได้อธิบายรายละเอียดมาก เพราะนั่นเหมือนเราสอนเค้าทั้งหมด เด็กจะค่อนข้างสับสนในการทำชุดนี้ในช่วงแรก แต่จากการทำซ้ำมาซ้ำไป เด็กก้อสามารถผ่านได้ ..แต่ยุ่นไม่แน่ใจว่าเด็กมีความเข้าใจเรื่องสมการมากน้อยแค่ไหน..

อีกกรณีหนึ่งเด็กเรียน J81 กับ K81 พร้อมกัน ตอนเด็กทำ K81 เด็กต้องมีความรู้เรื่อง Discriminant ใน J121 ก่อน แต่เนื่องจากยังไม่ถึง ไม่ได้ทำ จึงทำให้เค้าไม่เข้าใจ K81 เท่าไรนัก ก้อต้องอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด เพราะเด็กไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย ซึ่งมันเป็นการกระโดดข้ามบทเรียน และทำให้เค้าไม่ได้มีการเรียนรู้แบบฝึกหัดด้วยตัวเอง เพราะเราต้องสอนเค้าในเรื่องนี้ เพื่อให้นำไปใช้ใน K81 และการจะย้อนความจำเด็ก โดยให้ดูแบบฝึกหัด และคิดเอง ก้อไม่สามารถทำได้ เพราะเด็กยังไม่เรียน...เรื่องนี้เลย...

อีกกรณีหนึ่ง เด็กเรียน E 121 กับ F 21 (ไม่แน่ใจว่าชุดนี้หรือไม่ ที่เป็นการคูณหารเศษส่วนสามถึงสี่พจน์) เด็กทำ E เป็นเรื่องบวกลบเศษส่วน เด็กยังไม่ได้เรียนการคูณหารเศษส่วนใน E141-171 ทำให้เค้างงไม่รุ้ว่าจะทำ F21 อย่างไร...เมื่อเค้าไปถามมิส เค้าก้อแก้ปัญหาโดยเขียนแสดงวิธีทำให้ดู และบอกว่าเด็กน่าจะทำได้เพราะเรียนที่โรงเรียนแล้ว ให้ลองทำดู ซึ่งเด็กก้อดูตัวอย่างที่มิสทำ ก้อยังทำไม่ไ้ด้...ยุ่นก้อแก้ปัญหาโดยต้องอธิบาย หลักการของการคูณหารเศษส่วนให้นักเรียนฟัง เพื่อเค้าจะได้ทำ F21ได้ ซึ่งก้อเช่นกันทำให้เด็กขาดการเรียนรู้เรื่องคูณหารเศษส่วนด้วยตัวเอง

อีกกรณีหนึ่งเด็กอยู่ grade 4 หรือ 5 แต่มีปัญหาคณิตศาสตร์มาก เด็กทำ A 121-151 ช่วงลบ กับ C 71-81 Aเด็กทำชุดนึงก้อเกือบชั่วโมง ดู A ช่วงบวกก้อทำค่อนข้างนานเช่นกันมากกว่า 30 นาทีในชุดที่ยากเช่นกัน การทำ C 71-81 ถึงจะทำแค่วันละ 4-3-3 แต่เด็กนั่งทำแบบทรมานมาก ทำสามแผ่นชั่วโมงนึงยังไม่เสร็จ...เด็กมีปัญหาร้องไห้ทุกวัน ไม่อยากเรียน...เกลียดเลขมาก ต้องทะเลาะกับแม่ทุกครั้งที่มาเีรียนคุมอง จากการบอกของแม่เด็ก...

คิดถึงนักเรียนของเรา ขนาดครูยุ่นให้ทำระดับเดียว บางระดับเช่น C 71-91.. D 101-121 .. F 91-121 และอีกหลายๆชุดที่เด็ดๆ เด็กไทยเรายังร้องไห้กระจองอแง และอยากลาออกเหมือนกัน...อันนี้ทำสองระดับ อาการก้อแบบสาหัสมากๆเลย...คิดว่าพ่อกับแม่คงปวดหัวมากๆไม่แพ้พ่อแม่นักเรียนของเราเหมือนกัน...

หรือบางทีก้อมีแปลกๆเช่น เด็กทำ D สองเล่ม หมายความว่าเล่มแรกวิ่งไล่เล่มสอง คือเล่มแรกเริ่มที่ 2A จนมาถึง D เล่มสองเริ่ม C จนมาถึง D และมาจ๊ะเอ๋กัน ถ้าการให้งานเป็น D ต้นๆ ก้อยังพอทำเนา แต่เห็นนักเรียนหลายๆคน ได้การบ้านวันนึงต้องทำ D 101 วันละ 5 แผ่น บวกกับ D 111 วันละ สี่ สาม สาม ให้รู้สึกเศร้าแทนเด็ก เพราะระดับ D ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานมาก และเด็กลาออกมากที่สุดในโลก สำหรับยุ่นการให้งานแบบนี้ โหดสุดๆเลย...แต่ก้อนั่นแหละ...เค้าอาจจะฝึกความอดทนของเด็ก...

อย่างไรก้อตาม ก้อมีเด็กอีกมากมายในศูนย์ที่เรียนสองระดับ และขึ้นไปในระดับ G H I ได้ แต่เด็กที่นี่พอเรียนประมาณระดับ G H I ก้อจะลาออก ไม่อยากเรียนต่อ J เหมือนบ้านเรา ก้อไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่การให้การบ้านก้อไม่มาก บางคนทำวันละ 2 แผ่นเอง ทำสัปดาห์ละ 5 วัน คือเค้าไม่ได้เรียนเร่งทำแบบบ้านเรา คือเรียนไปเรื่อยๆ...ถ้าถึงระดับสูง... และจากการที่ยุ่นได้ศึกษา Math 10 11 และ 12 ที่นี่ ก้อไม่แตกต่างจากบ้านเรา ความยากก้อใกล้เคียงกัน ซึ่งหากนักเรียนได้เรียนคุมองในระดับ J K L M น่าจะยิ่งเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนเลข high school ที่โรงเรียน

สำหรับยุ่นก้อไม่แน่ใจว่าการให้งานสองระดับนั้นดีหรือไม่อย่างไร แต่จากการสังเกตุและวิเคราะห์ ก้อยังคงติดใจเรื่อง just right level ของเด็ก อาจเนื่องจากเราไม่มีประสบการณ์ในการให้งานแบบนี้มาก่อน ทำให้ยุ่นเองยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก....รวมทั้งไม่มีความชำนาญในการให้ และยังคิดวิธีที่ดีในการแก้ปัญหาเวลานักเรียนมีปัญหาไม่ได้...อีกทั้งผลที่ออกมาก้อยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

หากถามว่าถูกหรือผิด คงตอบค่อนข้างยาก หากคุณโทรุ คุมองอยู่ ยุ่นก้อว่าอยากจะลองถามแกว่ามีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นจากประสบการณ์ของยุ่นเอง...คงต้องดูผลของเด็กที่เรียน ความยากง่ายที่เด็กรู้สึก..สมาธิ....ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง...ความเข้าใจในบทเรียน และการนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร

หากถามยุ่นนาทีนี้....ยุ่นก้อยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการให้งานสองระดับกับนักเรียน และคิดว่าควรมีการทำ case study ก่อนที่จะนำไปใช้ ดูข้อดีข้อเีสียที่เกิดขึ้น และ instructor ต้องมีความรู้และความเข้าใจแบบฝึกหัดคุมองอย่างลึกซึ้งและแม่นยำ...ทีเดียว

Friday, December 25, 2009

South Hill's Math 12 teacher: John Tan

คอร์สนี้ยุ่นจะเรียนแตกต่างจากที่ผ่านมา ที่ผ่านมาจะเรียนแต่ภาษาอังกฤษ แต่course นี้อยากลองเรียนเลขดู ก้อสอบ Math 10 และ 11 ผ่านเรียบร้อย ก้อลงทะเบียนเรียน math 12 ได้เลย สำหรับ Math 12 ทาง Vancouver School Board กำหนดว่านักเรียนทุกคนต้องเรียน แต่จะเรียนกับครู หรือเรียนเองโดยเรียนทาง on line ก้อได้ เพื่อนหลายคนก้อเลือกเรียนทาง on line แต่ยุ่นอยากลองเรียนกับครูดู เพื่อว่าจะได้รู้ศัพท์ทางคณิตศาสตร์บ้าง....เวลา guide นักเรียนคุมองจะได้เข้าใจกัน และเผื่อสามารถช่วยยีนใน math 12 ที่เค้าเรียนด้วย...

Math 12 ตอนที่ไปลงทะเีบียนคอร์สที่จะเรียนเต็ม คือมีนักเรียนลงทะเบียนครบ 30 คนเค้าจะปิดไม่รับเพิ่ม...ยุ่นก้อขอทาง office ลงชื่อเป็น waiting list ปรากฏเป็นคนแรก เค้ายังแซวเลยว่า สงสัยได้เรียนแน่ๆเลย เพราะเป็นคนแรกที่อยุ่ใน waiting list....เค้าบอกวันที่เปิดเรียนให้ไปที่ห้องเรียนแล้วถามครูเลขเลย ว่าเค้าจะให้เรียนมั้ย ถ้าเค้าให้เค้าจะมีใบอนุญาต ให้นำใบนั้นมาลงทะเบียนที่ office

วันที่เปิดเรียนก้อไปรอที่ห้องเรียนก่อนเวลา ครูเลขที่สอนเป็นผู้ชายชาวจีน อายุน่าจะประมาณ 60 ปี หน้าตาท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเลย..เพื่อนที่รู้จักจาก course เดิมชื่อ Vivian บอกให้ไปคุยกับครูเลย ยุ่นก้อไม่รู้เรื่อง เดินไปหาครู บอกว่าเราอยากเรียน ครูบอกกลับไปนั่งเดี๋ยวจะบอกกฎกติกามารยาทให้ฟัง...

ยุ่่นก้อกลับไปที่โต๊ะ พอถึงเวลาคือ 12.40 น ครูก้อเริ่มพูดถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ เช่นการมาเรียนต้องตรงเวลา เค้าจะเริ่มสอนตั้งแต่ 12.40 เค้าไม่ชอบคนมาสาย เค้าไม่ชอบพูดซ้ำซากในเรือ่งที่พูดแล้ว...ระหว่างที่พูดก้อมีนักเรียนทยอยเดินเข้ามา เค้าก้อจะดุนักเรียน และบอกว่ายืนตรงนั้นไม่ต้องเข้ามา นักเรียนบางคนก้อหายไปเลย...ยิ่งกว่านั้นยังขู่อีกว่าการที่เรียนกับเค้าเนี่ยข้อสอบของเค้าจะยาก และเค้าจะสอนไม่เหมือนคนอื่น ทุกคนต้องทำตามเค้า เค้าเป็นคนคุมกฏ ถ้าไม่พอใจก้อมาบอกเค้าจะย้ายให้ไปเรียนที่ Main Street อีกสาขานึง ( คือสาขา South Hill มี John คนเดียวที่สอน Math 12 และ Calculus ) ให้มาบอกเลย เค้าจะจัดการให้...
และการมาเรียนทุกชั่วโมงก้อไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะเค้าไม่มีคะแนน attendance ให้ บางคนมาเรียนครบ แต่ไม่ตั้งใจ ไม่สนใจได้ 10% ไม่ยุติธรรม สำหรับเค้าคือคะแนนมาจากการสอบสดๆอย่างเีดียว พอเรียนจบแต่ละบทจะมีการสอบ รายละเอียดอย่างที่ให้ไว้ทั้งหมด...

ตอนฟังเค้าพูดตอนแรกก้อคิดในใจ จะเรียนดีมั้ยเนี่ย ดูเครียดๆยังไงไม่รู้ แต่ Vivian ก้อบอกลองเรียนดูสุวรรณี มันท้าทายดีเจอครูแบบนี้ ก้อเลยไปลงทะเบียน 20 เหรียญ ...ตัดสินใจลองดูก้อได้ ไม่เสียหาย..

ก้อไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิด แบบ John ด่านักเรียนเก่งมาก เสียงดังมาก และก้อสอนเร็วมากๆ บางทีฟังเค้าพูดแบบสมองยังไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดและกลั่นกรองเลย...เค้าก้อต่อเรื่องใหม่ เรื่องใหม่ คือเนื่องจากยุ่นฟังเป็นภาษาอังกฤษ บางครั้งก้อต้องแปลงเป็นภาษาไทยและทำความเข้าใจก่อน เวลาเรียนเสร็จ ก้อจะปวดหัวเล็กๆ เบรอๆ งงๆ ไงไม่รู้....

บทแรกที่สอนก้อเกี่ยวกับการ transformation ของกราฟ ก้อสนุกดี แต่สอนเร็วมาก สามครั้งๆละ 40 นาทีจบ เตรียมสอบ...เรื่องที่สอง Log ก้อเหมือนกันสอนเร็วสุดๆ และขอโทษข้อสอบที่ออก ยากมากๆ แบบเวลาเค้าสอนจะธรรมดามาก แบบ basic มากๆ แต่ข้อสอบทำแล้วจะรู้เลยว่าคุณต้องเข้าใจจริงๆ เพราะข้อสอบเค้าต้องคิดทุกข้อ...ไม่ใช่อ่านปั๊บวงคำตอบได้เลย..

ข้อสอบ John มีทั้ง multiple choice กับแสดงวิธีทำ มีข้อนึงคำตอบคือ y> และเท่ากับ 1/2 และ y<เท่ากับ -1/2 ยุ่นก้อตอบว่า y เป็นจำนวนจริงทั้งหมดยกเว้น ตั้งแต่ -1/2 ถึง 1/2 ซึ่งคำตอบเหมือนกัน ถ้าคิดดีๆแต่เค้าไม่ให้ เค้าบอกต้องตอบแบบเค้าเท่านั้น...ยุ่นก้อโอเค ไม่เป็นไร เราเพียงแค่อยากรู้เหตุผล...

ยุ่นเองก้อพอจะทำข้อสอบเค้าได้ สอบสองเรื่องแรกก้อได้รอง top สองครั้ง ครั้งที่สามเป็นเรื่องตรีโกณก้อสอนนานหน่อย แต่ก้อเร็วอยู่ดี...เด็กในห้องหลายคนไม่กล้าถามครู เวลาำไม่เข้าใจ เค้าก้อมาถามยุ่น ...อาจเพราะยุ่นชอบถามครู เค้าจะมีเวลาให้ถามก่อนสอบสองครั้ง และคำถามที่เราถามก้อจะเป็นอะไรที่ยากนิดหน่อย...เค้าก้อแสดงให้ดูบนกระดาน บางทีถ้ามีนักเรียนถามเรื่องที่ยุ่นเคยถาม John ก้อบอกให้มาถามสุวรรณี พวกเด็กผู้หญิงที่นั่งรอบๆยุ่น ก้อจะชอบมาถามยุ่น เพราะเวลาถาม John ทุกคนจะโดนด่า ยุ่นก้อมีครั้งนึงเดินไปถาม เค้าไม่ขึ้นกระดาน เค้าเขียนในกระดาษ และจะดุเราด้วย คือเค้าไม่สนใจในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ แต่เค้าจะให้เราสนใจในสิ่งที่เค้าจะสอน ถ้าตอบไม่ได้ เค้าจะดุเสียงดัง ขนาดยุ่นยังใจฝ่อเลย...และรู้สึกว่า ฉันไม่น่าถามเลย...ช่างมันก้อได้นิดเดียว...เรื่องเดียวเอง...

เพื่อนที่นั่งข้างซ้ายเป็นคนจีน ก้อเก่งเหมือนกันเค้าจะไม่ถามเลย เค้าบอกเค้าไม่ชอบครูด่าแบบนี้ ใครจะกล้า Vivian อยู่ข้างขวาก้อไม่ถาม มีอะไรก้อสุวรรณีเธอถาม เราก้อเลยต้องช่วยถามให้ เพราะเราก้อสงสัยเหมือนกัน คิดถึงเด็กๆที่เลขไม่แข็งแรง ไม่ชอบเลข เจอครูแบบนี้ ก้อใจเสีย ฝ่อไปเลยแหละ...ไอ้ที่ไม่เข้าใจ ยังไงก้อคงยากที่จะเข้าใจ เพราะมีความกลัวมาบดบัง

ครั้งที่สามสอบตรีโกณคะแนนเก็บสูงมาก 30%ของทั้งหมด ครั้งนี้นักเรียนสอบตกกันเยอะ ข้อสอบยากเหมือนเดิม แบบต้องคิดทุกข้อ นักเรียนหลายคนพอสอบตรีโกณก้อ drop ไปเลย นอกจากนี้ที่นี่เราต้องฝึกการใช้เครื่องคิดเลข คือวาดกราฟต่างๆ หาจุดตัดอะไรประมาณนี้ ก้อเป็นปัญหาใหญ่ของยุ่นในตอนแรก เพราะใช้เครื่องไม่เป็น ไม่ได้เรียน Math 11 ซึ่งครูก้อจะพูดเสมอว่าไม่ใช่หน้าที่ของเค้าที่จะสอน ให้ไปขวนขวายหาทางเอง...เครื่องคิดเลขก้อแพง เครื่องนึงเกือบ 180 เหรียญ ตอนแรกกะจะซื้อใหม่เลย แต่โชคดีน้อง Earth ลูกชายพี่ประเวศให้ยืมใช้และสอนยุ่นคร่าวๆว่าใช้ยังไง..ไอ้เรามันก้อแบบ low tech มากเลย...แต่ก้อพยายาม ฝึกใช้ในที่สุดก้อทำได้...

ตรีโกณสอบครั้งนี้โชคดียุ่นได้คะแนน top 61 เต็ม 63 คะแนนส่วนใหญ่ออกมาไม่ดี เพื่อนคนจีนข้างซ้ายปกติเค้าจะได้คะแนนเท่าๆกับยุ่น ครั้งนี้เค้าก้อได้ 46 จาก 63 เค้าบอกยากมาก..ยุ่นบอกใช่ยุ่นเองก้อรู้สึกว่ายากเหมือนกัน..แต่อาจเพราะเรามีพื้นจากการทำคุมองด้วย และต้อง apply ใช้กฎต่างๆ และยุ่นก้อชอบตรีโกณด้วย ก้อเลยพอทำได้ John เค้าพอใจมาก ถึงกับมาชวนยุ่นให้เรียน calculus กับเค้าในคอร์สหน้า..ยุ่นก้อบอกคิดว่าจะเรียนแน่ๆ แต่อาจจะอีกสองสามคอร์สหน้า...

พูดถึงว่า John สอนดีมั้ย ยุ่นว่าเค้าเป็นคนมีเทคนิคการสอนที่ดี ทำเรื่องยากให้ง่าย เข้าใจง่าย เพียงแต่เค้าสอนเร็วมาก พูดเร็วและชอบด่านักเรียน ทำให้นักเรียนกลัวเค้า ไม่ค่อยกล้าถาม แต่เวลาอารมณ์ดีๆก้อจะคุยเล่น ตลกดีเหมือนกัน.....แต่ต้องอารมณ์ดีนะ...บรรยากาศก้อจะดีหน่อย

มีครั้งนึง Vivian บอกเค้า work hard มากเลย ทำไมคะแนนถึงออกมาไม่ดี Johnบอกการ work hard ไม่ได้หมายว่ายูจะได้คะแนนดี มันต้องดูว่าระหว่างหูสองใบของยูนะมีอะไรอยู่ ถ้าไม่มีอะไรก้อไม่มีประโยชน์ ด่าแรงมากเลย สงสาร Vivian มากเลย..

John จะชอบว่า Vivian เธอก้อแบบอายุมากแล้วเหมือนกันประมาณ 50 กว่านะ...เวลาพูดหรือถามอะไรดูจะไม่ถูกใจ John ไงไม่รู้ มีครั้งนึงสอบเสร็จแค่เธอเปรยว่าข้อสอบยากจัง John ก้อบอกให้หุบปาก อย่าพูดมาก สอบเสร็จออกจากห้องไปได้เลย..โหดมากเลย...ยุ่นเนี่ยฟังแล้วสงสาร Vivian มาก คิดในใจทำไมต้องตอบเค้าขนาดนั้นเนี่ย...พูดดีๆก้อได้..

แต่ Vivian ก้อน่ารักมากๆ ช่วงก่อนปิดคริสมาส เธอชวนยุ่นไปทานข้าวด้วย ยุ่นก้อเคยปฎิเสธไปครั้งนึง ครั้งที่สองก้อเลยเกรงใจไปด้วยกัน กะไปนั่งกินกาแฟอย่างเดียว Vivian บอกไม่ได้ต้องสั่งอาหารด้วยเค้าให้กาแฟฟรี good deal สั่งกาแฟอย่างเดียวไม่คุ้ม ไอ้เราก้ออิ่มมากเพราะกินข้าวมาอย่างอิ่ม เพราะช่วงเย็นต้องไปทำงานที่คุมอง เค้าบอกเดี๋ยวเค้าเลี้ยง เราบอกไม่เป็นไร แต่เธอก้อไม่ยอมเลี้ยงยุ่นมื้อนั้น ก้อไม่มากมาย 3 เหรียญกว่า แต่แบบเกรงใจเค้าไง...ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก...และที่นี่ค่าใช้จ่ายต่างๆมันก้อสูง..

เค้าก้อเล่าเรื่องราวชีวิตเค้าในแวนคุเวอร์ให้ฟัง ว่าเค้ามาอยู่ที่นี่จะยี่สิบปีแล้ว..ลำบากมาก เค้าเป็นคนมาเลเซีย แต่งงานแบบคลุมถุงชนตั้งแต่ 20ปีที่แล้ว...ไม่เคยรู้จักกับสามีของเค้ามาก่อน มาอยู่กับครอบครัวเค้าเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันมากมาย อึดอัดและลำบากมาก แต่ก้อต้องอดทน ไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยเป็นสิบปี ทำงานเป็นแม่บ้าน ไม่รุ้เรื่องอะไรเลย เพิ่งออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อสิบปีหลังนี้ และมีเพื่อนที่มาจากฮ่องกงสอนอะไรเค้ามากมาย เค้าก้อเลยเล่นหุ้นเป็น และตอนนี้ก้อซื้อบ้านแล้วก้อขายไปเรื่อยๆ ก้อได้กำไรจากการขายบ้านนี่แหละ..เค้าไม่เคยได้เงินจากสามีเค้า เค้าหาเงินของเค้าเอง ตอนนี้ก้อมีปัญหากับสามีเค้าด้วย..

ฟังแล้วก้อยิ่งสงสารเค้า แต่ดูภายนอกจะดูไม่ออก เพราะเธอจะเป็นหญิง active พูดเร็ว ทำอะไรก้อเร็วๆ แบบดูลนลน บุคคลิกจะไม่ค่อยดี เพราะพูดเร็ว แต่สนิทด้วยจะรู้สึกว่าจริงๆเค้าก้อดีมีน้ำใจ...ในหลายๆเรื่อง

ก่อนจากกันวันนั้นเธอก้อบอกว่านี่สุวรรณี เดี๋ยวฉันจะเอาของขวัญไปให้ John จริงๆเตรียมมาจะให้ก่อนเรียน แต่ลืมหยิบออกมาจากรถ เดี๋ยวจะไปหยิบแล้วเอาให้เค้า John เนี่ยเค้าน่าสงสารนะ ภรรยาเค้าเพิ่งเสียเนื่องจากเป็นมะเร็ง ลูกสาวสองคนจบก้อยังไม่มีงานทำ เค้าก้อคงเครียด น่าสงสาร ถึงเค้าจะ treat ฉันไม่ดี แต่ฉันก้อไม่สนใจ ฉันก้อจะดีตอบ ...คริสมาสนี้เค้าจะได้มีความรู้สึกดีๆ คงไม่มีนักเรียนคนไหนให้ของขวัญเค้าแน่ๆเลย เค้าดุมาก (สำหรับที่นี่เค้าจะใช้คำว่า mean แปลว่าไม่ดีมากๆ)...ฉันเตรียมมาให้เค้ากล่องใหญ่เบ่อเร่อเลย surprise เค้า เค้าจะได้ดีใจ..

ฟัง Vivian แล้วให้รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่น่ารัก คิดดี ทำดี ทั้งๆที่ครูก้อพูดกับเธอไม่ดีจริงๆ....คนเราเนี่ย...แตกต่างกันมากเลย หวังใจว่าปีหน้า 2010 เปิดเรียนหลังคริสมาส John คงจะพูดกับ Vivian ดีขึ้นบ้างนะ... เรียนอีกหนึ่งเดือน คงมีอะไรดีๆบ้างนะ...เช่นด่านักเรียนน้อยลง....






เทศกาลคริสมาส

ช่วงนี้เป็นช่วงคริสมาส เนื่องจากคนที่นี่จะนับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นคริสมาสเป็นเทศกาลที่สำคัญมากๆของเค้าเลย...

ถ้าเป็นโรงเรียนก้อจะหยุดประมาณ16 วัน ไปเปิดอีกทีหลังปีใหม่เลย...มิสติงก้อจะปิดคริสมาสเหมือนโรงเรียนทุกประการ..จะมีก้อแต่ฮ่งที่ทำงาน London Drug ไม่ไ้ด้หยุดมากมายเหมือนยุ่นกับยีน เค้าได้หยุดแค่วันที่ 25 ธันวา วันคริสมาสเท่านั้น ที่นี่วันที่ 24 ธันวาก้อจะปิดร้านกันเร็ว หกโมงก้อปิดหมดทุกที่ และวันรุ่งขึ้น 25 ก้อจะเงียบทั้งเมือง ไม่มีห้างไหนเปิดเลย.. .ทุกคนจะฉลองคริสมาสกับครอบครัวของเค้า...กันที่บ้าน

และวันรุ่งขึ้น 26 ธันวาก้อเป็น Boxing Day ห้างจะลดกระหน่ำสุดๆในรอบปี คิวของคนที่จะซื้อของจะยาวมากๆๆๆ ไปรอกันแต่เช้ามืดเลย สำหรับบางห้างเช่นพวกเครื่องไฟฟ้า.. ก้อเป็นอะไรที่แปลกและตลกดี เพราะเราไม่เคยเจอแบบนี้ที่บ้านเรา..

ปีที่แล้วครอบครัวเราก้อมีไปเข้าแถวเหมือนกัน ซื้อรองเท้าผ้าใบให้สองคนพ่อลูก กว่าจะได้ซื้อ...คือไงดี..วันหนึ่งจะซื้อได้ไม่น่าเกินสองร้าน เพราะรอเข้าแถวก้อนานพอควร กว่าจะเลือกของ กว่าจะซื้อเพราะก้อต้องเข้าแถวจ่ายตังส์ยาวเหมือนกัน...เรียกว่าซื้ออย่างเดียวก้อเหนื่อยแล้ว...5555

แต่สิ่งที่ยุ่นชอบและประทับใจช่วงคริสมาสก้อคือที่โบสถ์จะมีงานช่วงก่อนวันคริสมาส แบบแสดงละครเพลง 3 วัน และปีที่แล้วป้า Lenora ก้อเชิญครอบครัวเราไปที่โบสถ์ที่ครอบครัวป้าไปประจำ ปีนี้ป้าเชิญล่วงหน้าตั้งแต่เดือน พฤศจิกาเลย...บอกว่าต้องไปให้ได้นะ..

อีกคนหนึ่งที่เชิญยุ่นไปงานที่โบสถ์ก้อคือมิสติง เค้าพูดกับยุ่นประมาณเดือนพฤศจิเหมือนกัน....ก้อยิ้มและรับปากแก..เพราะฮ่งบอกถ้าไม่สนิทเค้าจะไม่เชิญ ก้อกลัวว่าถ้าเราปฎิเสธมันจะเป็นการเสียมารยาท...

ปีที่แล้วไปโบสถ์ของป้า ชอบมากๆเลย เป็นละครเพลงที่นักแสดงก้อจะเป็น volunteer มาทำงานร่วมกัน คือโบสถ์ป้าจะเป็นภาคภาษาอังกฤษ แสดงและร้องเพลง มี orchestra ด้วย เพราะมากๆ และฉากก้อสวย คนแสดงก้อแต่งตัวสวยงาม เล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวพระเยซูก่อนที่พระเยซูจะเกิด...สนุกมาก ยีน ยุ่นและฮ่งค่อนข้างชอบ..และประทับใจมาก

ปีนี้ก้อไปที่โบสถ์ของมิสติงด้วย แต่ยุ่นไปกับ Dorris และ Nikki ไม่ได้ไปกับฮ่งกับยีน เพราะโบสถ์นี้เค้าเล่นเป็นภาษาจีนแมนดาริน และครอบครัวเราก้อมียุ่นคนเดียวที่ฟังจีนได้ โบสถ์นี้ก้อสวยงามมากเช่นกัน แต่ที่นี่ไ่ม่มี orchestra คนดูกันเพียบ เต็มทุกที่นั่ง ละครที่เล่นก้อจะเป็นชีวิตของคนเรานี่แหละ ว่าช่วงที่มีความสุข สมหวังจะไม่ได้คิดถึงพระเจ้า แต่พอมีความทุกข์ เศร้า และมาหาพระเจ้า พระเจ้าก้อจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ และพบทางเดินที่ถูกต้อง...ซึ่งเค้าจะแสดงเป็นละครเพลง และมีการร้องเพลงสดจากผู้เล่นเป็นทั้งเพลงจีนและฝรั่ง..คนเล่นจะมีตั้งแต่เด็กเล้กๆ ไปถึงคนแก่เลย น่าจะมากกว่า ห้าสิบคนนะ ก้อเตรียมงานล่วงหน้าสิบเดือน เรียกว่าตั้งใจทำงานกันมาก เพราะละครสนุก มีมุกตลกสอดแทรกตลอด และที่สำคัญเพลงเพราะมาก...ชอบ...ทั้งเพลงจีนและเพลงฝรั่ง..

ปีนี้โบสถ์ป้าก้อเป็นเรื่องราวที่เกิดในแวนคูเวอร์เมื่อปี 1948 คือ ห้าสิบปีที่แล้ว concept เหมือนกันคือเมื่อมนุษย์พบความทุกข์ ให้นึกถึงพระเจ้า สวดมนต์ภาวนาและพระเจ้าจะช่วยได้ ขอให้มีจิตศรัทธาและเชื่อในพระเจ้า...คนแสดงก้อมากมาย จะเหมือนเป็นยุค 60 ยังไงอย่างนั้น...ก้อยิ่งใหญ่อลังการมากเลย...แบบปีนี้ยุ่นจะชอบน้อยกว่าปีที่แล้ว...แต่ก้อไม่เลวเหมือนกัน....

โบสถ์ของศาสนาคริสต์ที่นี่ จะเป็นเหมือน community เล็กๆของเค้าที่สำคัญเลย มีการช่วยเหลือชุมชนอย่างชัดเจน เช่นหญิงที่มีปัญหา เด็กที่มีปัญหา ครอบบครัวต่างๆที่มีปัญหา หรือไม่มีปัญหาก้อมี เค้าจะมีโปรแกรมต่างๆให้คนมารวมตัวกัน ทำงานร่วมกัน...เค้าจะมีการจัดชั่วโมงให้ความรู้ สอนงาน เป็นรูปแบบที่ชัดเจน ไม่ใช่มาโบสถ์เพื่อสวดมนต์ ล้างบาป หรือร้องเพลงเท่านั้น...และมีการช่วยเหลือชุมชนในรุปของมูลนิธิช่วยเหลืออย่างชัดเจน...

ป้า Lenora กับลุง Ed มิสติงกับสามี ก้อจะช่วยเหลืองานในโบสถ์ของเค้า..งานพวกนี้ที่ทำจะเป็น volunteer job เค้าทำโดยสมัครใจและมีความสุขในการทำมากๆเลย...ป้ากับลุง และมิสติงเคยพูดกับยุ่นว่า พวกเค้าอยากทำงานพวกนี้ ถ้าหลังจากที่ retire ก้อจะเข้าไปช่วยงานที่โบสถ์มากขึ้น...ให้รู้สึกว่าพวกเค้ามีการให้อย่างจริงๆ ไม่ได้หวังผล...และมีจิตใจที่ดี..นี่ก้อคงเป็นส่วนนึงที่ทำให้สังคมของเค้าน่าอยู่..

เหล่านี้ก้อเป็นสิ่งดีๆที่ครอบครัวเราได้รับ...จากเพื่อนใหม่ที่นี่...

Thursday, December 24, 2009

งานในแวนคูเวอร์ ภาคพิเศษต่อ

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ความรู้สึกหลายๆอย่างของยุ่นเองเปลี่ยนไป..ยุ่นเองก้อไม่รู้เหมือนกันว่ามิสติงเค้าจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าก้อคงไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน...

นับแต่ที่มิสติงบอกยุ่นว่าไม่ให้สอนเด็กอีก ยุ่นก้อนั่งประจำที่โต๊ะ ไม่เคลื่อนย้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น...ส่วนใหญ่ก้อทำงานเอกสาร assign งานนักเรียนล่วงหน้าสามสี่อาทิตย์ แบบที่มิสเค้าต้องการ ปกติอยู่ไทยจะดูเป็นรายสัปดาห์ ไม่เคย assign ล่วงหน้านานๆ และวิธีการ assign ก้อแตกต่างกัน แต่ยุ่นต้องปรับใช้ของเค้า...

งานที่ขาดไม่ได้ก้อคือเดินไปหยิบ worksheet เปลี่ยนงานให้เด็ก จัดเพิ่ม...ถ้าว่างก้อเดินไปเอางานที่นักเรียนส่งมาช่วยตรวจ แต่จะเตือนตนตลอดว่าอย่าเดินไปดูนักเรียนเด็ดขาด...ก้อรู้สึกว่าไม่เหนื่อย สบายๆ แต่ค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะสิ่งที่ยุ่นชอบในการทำคุมองคือการแก้ปัญหาเด็ก การguide เด็ก และการได้เห็นรอยยิ้มของการทำได้ของพวกเด็กๆ...

เมื่อวันอังคารสุดท้ายก่อนปิดคริสมาส คริสตี้ผู้ช่วยที่ดูแล junior ไม่มา มิสติงก้อบอกสุวรรณีวันนี้เธอทำแทน ยุ่นก้อลงทำแทน...พอได้ทำในตำแหน่งนี้ ..ให้เห็นใจคริสตี้มากๆ คือเด็กเล็กค่อนข้างมาก แต่มีคริสตี้ดูแลคนเดียว....ถ้าเด็กมาพร้อมกันไม่เกินห้าคนก้อพอรับมือไหว แต่ถ้ามาทีเดียว 7-8 คน หนักเอาการ และยิ่งเจอเด็กบางคนซ่าส์จนหยดสุดท้าย...บางทีมาพร้อมกันอีก จะปวดhead มากๆเลย..

วันนั้นจำได้ตอนแรกเด็กทยอยมาก้อไม่มีปัญหา คือเด็กเล็กส่วนใหญ่เรียนสองวิชา และครูก้อต้องดูทั้งสองวิชา...พอเด็กมาถึงก้อต้องเปลี่ยนการบ้านให้เค้า...เย็บการบ้านใหม่ใส่วันที่ให้...( Mary จะไม่เย็บให้ แค่เอา sheet วางใน folder) จากนั้นก้อลงบันทึกการบ้านอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งหมด...แต่ก่อนหน้ายุ่นก้อจะจัดให้เด็กทำ cw ไป เราก้อ clear งานไป..พอเด็กทำ cw เสร็จยุ่นก้อต้องตรวจให้ด้วย...ถ้ามากันสามคนก้อยังทัน แต่ประมาณสี่โมงกว่าเด็กเล็กมากันเีพียบ 7-8 คน นั่งยังไม่มีที่นั่งเลย..ตอนคริสตี้ทำ ส่วนใหญ่ยุ่นจะเดินมาช่วยเค้า รับไปเปิดโต๊ะใหม่อีกสามคน...แต่นี่ไม่มีใครเดินมาช่วยเลย...ก้อได้แต่บอก...a second please...

และวันนั้นก้อมีนักเรียนที่มีปัญหาคือ Damian กับ Gabiel สองคนพี่น้อง จริงๆคนที่มีปัญหาคือพี่ชาย Damianมากกว่า เดิมการบ้านพี่น้องคู่นี้จะไม่ทำกันเลย หกวันทำวันเดียว การบ้านสองคนพี่น้องปนกันยุ่งไปหมด คือพ่อกับแม่ไม่รู้ว่าลูกทำชุดไหน อย่างไร ดูแลยังไง ก้อต้องแก้ปัญหาโดยเขียนชื่อนักเรียนทุกชุด วันที่ทุกเล่ม อย่างละเอียดและเย็บจัดเรียงอย่างเรียบร้อย แยกให้เรียบร้อย...ซึ่งยุ่นเป็นคนต้องทำงานนี้ทุกครั้งที่นักเรียนมาเรียน มิสติงจะให้ยุ่นดูแลเด็กคู่นี้..

หลังจากนั้นก้อดีขึ้น Gabiel ทำครบทั้งเลขกับอังกฤษ แต่ Damian จะต้องมีเหลือวันหรือสองวันทั้งสองวิชาเสมอ ซึ่งก้อต้องมานั่งทำกันให้เสร็จในห้องเรียนรวม cw ด้วย ก้อเรียกว่าไม่ใช่น้อยสำหรับเด็กเล็ก บางครั้งนั่งทำกันเป็นชั่วโมงยังไม่เสร็จเลย...

วันนี้ Damian ก้อเหลือมาอีกหนึ่งวันสองวิชา ไม่รู้จะเหลือทำไม..

Damian : Suwannee, are you Ms. Ting's sister?
Suwannee: No, I'm not.
Damian : Really? I think you are her sister.
Suwannee: Please do your work. Don't talk. I'll speak with you after you finish your work. And Damian, could you
please do your homework everyday?
Damian: It's not my fault. It's my parents' fault. You have to tell them to tell me to do everyday.
Suwannee: You knew everything. Please.

และยุ่นก้อยิ้ม... Damian เป็นเด็กฉลาดรู้ทุกเรื่อง...แต่แบบซ่าส์ไง...และวันนั้นช่วงที่สองคนพี่น้องมาเด็กก้อเยอะมาก ยุ่นเลยบอก Jessica ให้ช่วยดูสักสองคน เพราะยุ่นไม่ไหวจริงๆ.. Jessica ก้อเลยช่วยทำให้ค่อยยังชั่ว...และวันนั้นก้อเป้นวันที่ยุ่นทำงานพลาดอีกครั้ง...คือการบ้านเด็กคนอื่นจะไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเราเย็บและเขียนวันที่ก้อเสร็จ แต่สองคนนี้ยุ่นต้องเขียนชื่อทุกเล่ม และวันนั้นคือวันสุดท้ายก่อนคริสมาส เด็กรับการบ้านสามสัปดาห์ ก้อประมาณยี่สิบเล่มต่อวิชา สองคนพี่น้องก้อแปดสิบเล่ม ต้องเขียนชื่อทุกเล่ม แต่ก้อทำเสร็จ เก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อย..

และวันนั้น Damian กับ Gabiel ทำงานเสร็จเร็วกว่าทุกครั้ง...เค้าก้อนั่งรอคุณพ่อมารับในห้องเรียน แต่เค้าส่งเสียงดัง ยุ่นก้อเตือนว่าอย่าส่งเสียงดัง ไม่งั้นจะลงโทษ เค้าก้อคงคิดว่ายุ่นใจดี ก้อไม่เชื่อ แต่พอครั้งที่สามยุ่นก้อจุงมือ Damian แยกไปที่ห้องที่ผู้ปกครองนั่งรอรับลูก...แต่น้องชายอยุ่ในห้องเรียน Damian จ๋อยเลย ไม่คิดว่าเราเอาจริง เค้าขอร้องยุ่น แต่ยุ่นบอกไม่ได้ ยูต้องรอในนั้น..แล้วเราก้อเดินมาทำงาน

ห้านาทีผ่านไป Damain เดินมาหายุ่นและบอก..เค้าขอนั่งรอในห้องเรียน และจะไม่ส่งเสียงจริงๆ ลืมบอกไปเค้าอายุเจ็ดขวบประมาณนี้เรียน grade1 หน้าเนี่ยเศร้า..ยุ่นก้อสงสารและบอกได้ แต่ถ้าเสียงดังครั้งนี้จะไม่ได้จริงๆนะ..เค้าก้อรับปาก จากนั้นนั่งรอคุณพ่ออย่างเรียบร้อยไม่กล้าส่งเสียง..

หลังจากนั้นอีกสามวัน วันศุกร์ มีผู้ปกครองนำการบ้านมาที่ศูนย์และบอกว่าเราจัดงานให้ผิด..ยุ่นก้อดู จริงด้วย เราใส่การบ้านของ Damian ภาษาอังกฤษให้เด็กคนนี้ คือใส่กระเป๋าผิด สลับกระเป๋า วันนั้นสงสัยเบรอ... ก้อรีบไปเปลี่ยนให้เค้า เสร็จมิสติงก้อบอกว่าสุวรรณี เธอไปบอกคริสตี้ (ซึ่งปกติไม่มาวันศุกร์ แต่วันนี้มาแทน Sarah) ว่าการจัดการบ้านผิดเนี่ย serious นะ อย่าให้เกิดผิดพลาดอีก ยุ่นก้อบอกว่าไม่ใช่ความผิดของคริสตี้ เป็นความผิดยุ่นเอง เพราะวันนั้นเราทำหน้าที่แทน สงสัยจะใส่กระเป๋าผิด เพราะเขียนชื่อเย็บเล่มเลยผิดพลาด มิสติงก้อบอก ไม่ต้องแก้ตัว คือเธอทำผิดใช่มั้ย..ยุ่นก้อบอกใช่ เราทำผิดจริง ขอโทษค่ะ ครั้งหน้าจะระวังมากขึ้น...มิสติงเค้าก้อเงียบไม่ว่าอะไรยุ่น..คือถ้ายุ่นทำผิด ยุ่นจะรับและไม่เถียงอะไรเลย...

พอตอนเลิกศูนย์ ยุ่นก้อขอโทษมิสติงอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกแย่ที่ทำให้เค้าวุ่นวาย เค้าต้องเมลงานไปให้ Damian ด้วย...เค้าก้อบอกไม่เป็นไร ยังไงเค้าก้อต้องเมลงานให้เด็กอีกคนอยู่แล้ว ก้อไม่ได้วุ่นวายอะไรมาก...

และพอตอนกลับบ้าน เค้าก้อมาส่งยุ่นเหมือนทุกครั้ง ก่อนลงรถเค้าก้อพูดกับยุ่นว่า สุวรรณี Merry Christmas แล้วก้อมีของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ยูนะ...ยุ่นก้อแบบอึ้ง..แต่ก้อรู้สึกดีมากเลย...ก้อขอบคุณมิสติงเค้า...

ยุ่นก้อมาคิดว่ามิสติงเค้าเองก้ออาจจะรุ้สึกผิดเหมือนกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..แต่เค้าเป็นผู้ใหญ่ อีกอย่างเค้าก้อคงเอ็นดูยุ่นในระดับหนึ่ง เพราะทั้งศูนย์เค้าให้ของขวัญยุ่นคนเดียว ก้อคิดว่ายังไง เรื่องที่ไม่ดีมันก้อผ่านไปแล้ว..การทำงานก้อต้องมีกระทบกระทั่งกัน..ให้ถือเป็นบทเรียน และพยายามให้ความผิดพลาดเกิดน้อยที่สุด ตั้งใจทำงานของเราให้ดีที่สุด...และมีความสุขกับงานที่เราทำดีกว่า...

งานในแวนคูเวอร์ ภาคพิเศษ

ทุกๆวันพฤหัส จะมีนักเรียนใหม่มาสมัครเรียน และจะมีการประชุมผู้ปกครองใหม่ ในห้องเรียนก้อมีการสอนปกติ ยุ่นก้อทำงานปกติ แต่วันนี้จะเป็นวันที่ยุ่งนิดหน่อย เพราะยุ่นต้องพานักเรียนใหม่ไปสอบ DT

ขั้นตอนก้อไม่มีอะไรมาก ก้อหยิบข้อสอบให้เด็ก พร้อมดินสอ พาไปที่โต๊ะ และบอกเด็กว่าเค้าต้องทำอะไรบ้าง เช่นเขียนชื่อ เกรด อายุ และตอกเวลาอย่างไร แล้วก้อให้เด็กทำ หลังจากนั้นเราก้อไปทำงานอื่น พอเด็กสอบเสร็จ เค้าก้อเอาข้อสอบมาส่ง แต่ก่อนก้อไม่รู้ ยุ่นก้อตรวจข้อสอบเอง แต่ช่วงหลังไม่ไหวเลยส่งให้ครูผู้ช่วยคนอื่นช่วยตรวจ....เพราะบางครั้งเด็กมาสอบ 20 คน เรียกว่าไม่ทันเลย ที่เล่ามานี่คือยุ่นต้องดูแลการสอบทั้งเลขและอังกฤษ

ปัญหาที่ไม่ทันก้อคือบางทีเด็กเล็กมาเราก้อต้องนั่งสอบกับเด็ก ทั้งเลขทั้งอังกฤษ บางทีก้อเครียดเหมือนกัน แบบไม่มีใครช่วยเลย มิสติงก้อเห็นว่าเรากำลังสอบเด็กอยู่ แต่ก้อเรียก สุวรรณี สุวรรณี ตลอด....ช่วงหลังทำงานแล้วให้เกิดรุ้สึกว่า ทำไมมิสติงไม่ฝึกผู้ช่วยคนอื่นบ้างเลย...งานที่ให้ยุ่นทำ ยุ่นคิดว่าคนอื่นก้อสามารถทำได้ แต่ทำไมเรียกแต่เรา...แต่คิดในแง่ดีคือแกไว้ใจเรามาก...ก้อทำให้บางครั้งความรู้สึกดีขึ้นบ้าง..

และวันนั้นก้อมาถึง วันพฤหัสที่ 26 ก้อมีเด็กนักเรียนใหม่มาสอบประมาณ 6 คน บางคนสอบวิชาเดียว บางคนสองวิชา ขณะเดียวกันเด็กในศูนย์ก้อยังเหลืออีกมากมาย แต่มิสติงเค้าบอกเค้าต้อง PO แล้ว ให้ยุ่นดูเด็กที่เหลือด้วย...ยุ่นก้อดูเด็กไป พอเด็กสอบเสร้จก้อส่งให้ครูผู้ช่วย ครูตรวจเสร็จ ก้อส่งข้อสอบให้มิส ครั้งนี้คือยุ่นไม่ได้เห็นข้อสอบที่สอบเสร็จเลย ปกติจะต้องมีผ่านตาบ้างและลงบันทึกว่าวันนี้นักเรียนใหม่กี่คน มาสอบกี่วิชาอะไรประมาณนี้ แต่วันนี้ไม่เห็น เนื่องจากยุ่นต้อง feed back เด็กนักเรียนที่ยังอยู่ในห้อง

มีนักเรียนใหม่คนนึงชื่อ Jason เกรด 9 เค้าก้อมากับน้องชาย ก้อสอบแต่อังกฤษ เสร็จพ่อก้อฟัง PO นิดหน่อยแล้วกลับก่อน บอกพรุ่งนี้จะพาลูกทั้งสองคนมาสอบเลขอีก...

วันรุ่งขึ้นวันศุกร์ เป็นวันที่เด็กมากเรียนเยอะมาก....ยุ่นก้อช่วยงานปกติ... Jasonกับน้องชายก้อมาสอบเลขตามที่บอกไว้...และคุณพ่ออยู่คุยกับมิสติงถึงปิดศูนย์...ช่วงนั้นมิสก้อให้ยุ่นเขียนรายชื่อนักเรียนใหม่ ว่ามีใครมาสอบบ้าง สอบกี่วิชา ซึ่งก้อรวมทั้ง Jason ที่สอบเลขและอังกฤษ แต่ก้อยังไม่รู้ว่าเค้าเรียนเลขและอังกฤษทั้งสองวิชามั้ย ต้องรอมิสบอกอีกที...เพราะเค้าเป็นคนคุยกับผู้ปกครองทุกคน..และจะบอกยุ่นอีกทีว่าใครเรียนกี่วิชา และยุ่นก้อจะสรุปให้เค้าว่าอาทิตย์นี้มีนักเรียนใหม่มาเรียนกี่คน

พอคุยกับพ่อเด็กเสร็จเค้าก้อส่ง Application พร้อมกับข้อสอบเลขของ Jason กับน้องชายให้ยุ่น และบอกว่าให้เตรียมงานให้เด็กสองคนนี้ เด็กเป็นนักเรียนวันศุกร์นะ แต่จะมาเริ่มเรียนอังคารหน้า...ก้อคือวันอังคารที่ 1 ธันวา ยุ่นก้อรับเรื่องไว้ และจัดการตามปกติ

เด็กที่มาเรียนส่วนใหญ่ถ้าเป็นเด็กโตมิสติงจะให้ทำงานสองระดับควบไปเลย...ซึ่งก้อถือว่าเป็น case study ที่สำคัญอีกอันหนึ่ง...ซึ่งไว้จะเล่าต่อไป...ยุ่นก้อเปิดแฟ้มเด็กสองคนนี้ ในวิชาคณิต แต่ละคนจะมี folder สองเล่ม รวมเป็นสี่เล่ม

วันอังคารยุ่นก้อเตรียมเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย...Jasonมาเรียนก้อสอนปกติ Jason กับน้องชายก้ออยู่ในศูนย์นานมาก ประมาณเกือบสองชั่วโมงเพราะพ่อเค้าส่งแล้วก้อไปทำธุระ...พอคุณพ่อมารับก้อจะปิดศูนย์แล้ว ยุ่นก้อมีหน้าที่ต้องไปคุยกับคุณพ่อว่าดูแลลูกอย่างไร สำหรับวันนี้เป็นรายที่สี่ที่ต้องคุย...ก้ออธิบายรายละเอียด และบอกคุณพ่อว่าJasonมีปัญหาเรื่องสมาธิ ขณะทำงานจะเหม่อลอย และชอบคุยกับน้องชายมาก ขนาดแยกน้องชายไปแล้ว พี่ยังตามไปยุ่งอีก แต่ตัวน้องชายเค้าโอเค สมาธิจะดีกว่า...คุณพ่อก้อรู้สึกดี ขอบคุณยุ่นและรู้สึกว่าเราสนใจใส่ใจลูกเค้า เสร็จเค้าก้อถามว่าแล้วภาษาัอังกฤษหละ ลูกเค้าเป็นไง???

ยุ่นก้องงเลย งานนี้ เพราะไม่รุ้ว่าเค้าเรียนภาษาอังกฤษ ก้อเดินมาหามิสติงถามว่า Jasonเรียนอังกฤษด้วยเหรอ
มิสติง ใช่ สุวรรณี เธอจำไม่ได้เหรอ เธอเป็นคนหยิบข้อสอบให้เค้าสอบเองนะ
ยุ่น ใช่ค่ะ แต่หลังจากนั้นก้อไม่เห็นข้อสอบเค้าอีกเลย ไม่รู้ไปไหน แต่คิดว่าผู้ช่วยตรวจเสร็จแล้วเอาให้มิสติงเลย
มิสติง แต่ฉันก้อเอาให้เธอแล้ว ฉันเอาทุกอย่างให้เธอหมดแล้วไง
ยุ่น แต่ไม่มีอังกฤษ
มิสติง (เสียงเริ่มดังขึ้น แบบไม่ค่อยพอใจ) งั้นเธอไปให้ครูอังกฤษเค้าจัดให้สิ ไปบอก Monica


ยุ่นก้อเดินไปบอก Monica Monica ก้องง แล้วจะจัดยังไง ไม่รุ้ผล เสร็จยุ่นก้อเดินมาบอกมิสติงอีก เค้าก้อโกรธ และบอกว่าก้อจัด A1 ไปก้อแล้วกันวันละ 10 แผ่น ไปให้ Monica จัด ยุ่นก้อเดินไป กำลังพูดกับ Monica ยังไม่จบประโยค มิสติงก้อเดินไล่หลังมาและบอกว่า สุวรรณี เธอนั่นแหละ เธอหละรีบไปจัดให้เด็กเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้พวกเราต้องขายหน้ามากกว่านี้..ไปสิ ไปเดี๋ยวนี้เลย...แบบเค้าตวาดยุ่นราวกับเราเป็นเด็กรับใช้...แต่ตอนนั้น...ยุ่นไม่โกรธนะ คือความรู้สึกตอนนั้นงงมากกว่าว่า ข้อสอบมันหายไปไหน หายไปได้ไง หัวสมองกำลังคิดแต่เรื่องนี้อย่างเดียว แล้วก้อแบบใครบอกให้ทำอะไรก้อทำไป เรียกว่าขาดสติเลยแหละ...

พอเสร็จก้อรีบไปจัดแล้วก้อเดินไปหาคุณพ่อ Jason พร้อมขอโทษและบอกว่าต้องรบกวนให้ทำอังกฤษที่บ้านนะค่ะ คุณพ่อดีมาก บอกไม่เป็นไรครับ แล้วเค้าก้อกลับบ้านกัน...

ตอนทีเกิดเหตุการณ์คือไม่มีใครเหลือในศูนย์แล้ว ก้อมีมิสติง ยุ่นแล้วก้อ Monica เสร็จมิสติงก้อดุยุ่นว่าสุวรรณีฉันว่าโต๊ะเธอเนี่ยรกมากเลยนะ เธอควรจัดโต๊ะใหม่ได้แล้ว ฉันว่าเธอคงเผลอทิ้งข้อสอบเค้าไปแน่เลย...เนี่ย อันนี้อะไรเนี่ย ไม่เอาก้อทิ้ง โต๊ะเธอของมากมาย เธอก้อหาไม่เจอสิ...รกขนาดนี้...

ยุ่นก้อเริ่มรู้สึกแย่ โต๊ะยุ่นของมากจริง แต่เราจัดเป็นหมวดหมู่ เพราะฉะนั้นยุ่นจะรู้ว่าอะไรอยู่ไหน คือในลิ้นชักก้อเก็บของไม่ได้ เพราะมันเป็นของส่วนกลางหมด และที่วางบนโต๊ะก้อเป็นของนักเรียนใหม่ทั้งนั้น...ก้อไม่รุ้จะพูดยังไง ก้อได้แต่บอกเค้าว่าเราไม่เห็นข้อสอบนั้นจริงๆ แล้วเราจะทิ้งได้ไง...แกก้อบอกช่างมันเถอะ ครั้งนี้มันผิดพลาดผ่านไปแล้วช่างมัน ไม่ต้องไปหาข้อสอบแล้ว... แต่ต้องไม่มีครั้งหน้าอีก.. ต้องแก้ไขให้ดีขึ้น....และครั้งหน้าไม่ว่าข้อสอบจะหายไปไหน เธอต้องเป็นคนหามาให้ได้ มันเป็นความรับผิดชอบของเธอ..

นาทีนั้น ยุ่นฟังแกพูดแล้วสะอึกเลย...ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก แบบน้อยใจสุดๆเลย เพราะเรารู้สึกว่าเราทำดีที่สุด และจริงๆตอนจ้างเราก้อบอกว่าแค่เลข แต่ตอนนี้มีอังกฤษให้รับผิดชอบด้วย..อย่างไรก้อตาม..ยุ่นไม่เห็น และยุ่นก้อยอมรับว่าเราลืมจริงๆ...ซึ่งแกก้อบอกว่าเราลืมได้ไง เพราะเราเป็นคนเอาข้อสอบให้เด็กสอบ ยุ่นก้อยังเถียงเค้าอีก ว่าแต่เราไม่รู้ว่าเค้าเรียนอังกฤษด้วย เพราะเราไม่เห็นข้อสอบ..และมิสก้อไม่ได้พูดถึง เพราะตัวน้องชาย Jason ก้อเรียนเลขวิชาเดียว...แกก้อบอกก้อดูที่กระดาษที่จดรายชื่อไง...ซึ่งแกก้อลืมไปอีกว่าแกเอากลับบ้านไป เพื่อโทรตามนักเรียนใหม่ที่ยังไม่มา และกระดาษใบนั้นก้ออยู่กับมิสติง ไม่ได้อยู่กับยุ่น..คือเหตุการณืทุกอย่าง มันช่างบังเอิญดีแท้...

แต่ยังไงมันก้อเกิดแล้ว..ทำไงได้. พอตอนกลับบ้านแกก้อพูดกับยุ่นว่า ไม่ต้องกังวลหรอกสุวรรณี การทิ้งข้อสอบหรือ sheet เด็กนะเป็นเรื่องที่เกิดได้ แต่ฉันก้อไม่เคยทิ้งนะ...แต่ยังไงก้อตาม ไม่เป็นไร หลังจากนี้ เธอต้องระวังมากขึ้นนะ เค้าก้อยังยืนยันว่ายุ่นทิ้งข้อสอบ...

ความรู้สึกตอนนั้นก้อยังแย่อยู่ดี เพราะยุ่นไม่เห็นข้อสอบนั้นจริงๆ...คือไม่ผ่านตาเลย...และยุ่นก้อยืนกรานกับเค้าอีกว่าเราไม่ได้ทิ้ง..เราไม่ได้ทิ้งจริงๆ..

เรื่องนี้ก้อค้างอยู่ในหัวใจตลอดเวลา...และคืนนั้นก้อรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจ คิดถึงคำพูดหลายๆประโยคแรงๆที่แกว่าเรา ก้อยิ่งเสียใจ ก้อโทรไปคุยกับเพื่อนที่ชื่อ Dorris Doris น่ารักมาก ให้กำลังใจและบอกว่าเค้าก้อเคยอยุ่ตรงนี้มาก่อน เหมือนกับยุ่นเลย ทำทุกอย่างคนเดียวและทำได้เดือนเดียวก้อไปขอเปลี่ยนหน้าที่ ขอตรวจงานอย่างเดียว มันเครียดมาก กลับบ้านร้องไห้ทุกวันเลยช่วงนั้น และยังมีความกลัวตลอดเลยที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่นี้อีก ยุ่นก้อบอกว่ายุ่นทำได้นะหน้าที่นี้นะ แต่พอดีงานนี้เราไม่ผิด Dorris บอกเค้าเข้าใจเพราะถ้าทำคนเดียวหลายๆอย่างก้อต้องมีโอกาสผิดพลาดได้...แต่เค้าก้อบอกให้อดทน และลองคุยกับมิสติงตรงๆว่า งานมากไป บางทีเราทำไม่ทัน หรือจะให้ลูกสาวเค้า Nikki มาช่วยยุ่นก้อได้เช่น หยิบ Sheet หรือทำอะไรที่ไม่สำคัญมาก ไม่ต้องทุกอย่างให้แต่ยุ่นทำคนเดียว...ยุ่นก้อคิดว่าอึม..อาจเป็นเพราะเราไม่เคยบอกเค้า เราน่าจะลองคุยดู...เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น

วันพฤหัสก้อเลยตัดสินใจลองคุยกับมิสติงว่า บางครั้งเนี่ยงานที่ทำบางทียังไม่เสร็จ มิสติงให้ไปทำงานอื่นอีก รู้สึกไม่ดี และก้อเครียดด้วย...แกหยุดเลย หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด...แต่แกก้อโอเคและบอกว่าแกจะคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง วันนั้นแกไม่กล้าเรียกชื่อสุวรรณี ก้อให้รุ้สึกอึดอัดเหมือนกัน ซึ่งแกก้อคงอึดอัด แกก้อเลยหลุดมาว่าไม่รู้จะทำยังไง แกทำงานแบบนี้มา21 ปี ตามองสมุดนักเรียน แล้วปากก้อเรียกผู้ช่วยไปทำโน่นทำนี่ โดยที่ไม่เคยมองผู้ช่วย แต่วันนี้ต้องมองยุ่นทุกครั้งว่าว่างมั้ย มันไม่ถนัดเลย...ยุ่นก้อบอก.ก้อเรียกได้เหมือนเดิม..ไม่ใช่เรียกไม่ได้ แล้วก้อยิ้มนิดๆ แกก้อดีขึ้น หลังจากนั้นก้อเรียกเราปกติ..

วันศุกร์ Jason ก้อมาเรียนครั้งที่สอง ยุ่นก้อทำโน่นทำนี่ของเราไปเรื่อยๆ บังเอิญมองเห็นที่โต๊ะเค้ามี folder อังกฤษ ก้อเลยเดินไปดู เจอข้อสอบอยู่ในนั้น และการบ้านที่ครุอังกฤษคือ Lisa ซึ่งปกติมาศุกร์แต่วันนั้น Lisa มาแทน ได้เตรียมให้เด็กเรียบร้อยแล้วคือให้เด็กเรียน A2 ยุ่นก้อแบบดีใจมาก เพราะมันเหมือนกับเป็นการยืนยันว่าเราไม่ได้ทิ้งของซี้ซั้วนะ..และก้อเดินไปถาม Lisa ซึ่งเธอก้อบอกว่าวันนั้นมิสติงบอกว่าเด็กจะมาเรียนวันอังคารให้ lisa เตรียมงานเลย และเธอก้อเตรียมไว้เรียบร้อยและบอกมิสติงไว้แล้ว...

ก้อคือว่ามิสติงแกลืมเอง......และงานนี้..สุวรรณีโดนด่าฟรีแบบว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย...เศร้า..และเริ่มเข้าใจชีวิตลูกจ้าง.....มากขึ้น

แต่ตอนนั้นก้อรู้สึกดีใจนะ ที่เราไม่ได้ทิ้งเอกสารพร่ำเพรื่อ ก้อเดินไปหามิสติงและบอกเค้าว่าเราเจอ folder เด็กแล้ว lisa เตรียมไว้ให้ แต่งานเป็น A2 แต่ที่มิสติงให้เป็น A1 มิสติงก้อหยุดนะ..เค้าเปิดสมุดเห็น DT เค้าก้อหยิบขึ้นเก็บในกระเป๋าเค้า แต่เค้าไม่ขอโทษยุ่นแม้แต่คำเดียว...แต่ยุ่นก้อรู้สึกดีมากเพราะเพียงอยากให้เค้ารู้ว่ายุ่นไม่ได้ทิ้งข้อสอบเด็ก ยุ่นไม่ได้ทำแบบนั้น...และก้อรุ้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้น..เหมือนสิ่งที่ค้างคามันหมดไป...

พอเสร็จก้อสังเกตุว่าอารมณ์แกจะเปลี่ยนไป..แกไม่ค่อยพอใจ...และวันนั้นบังเอิญมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง grade 9 น่าจะได้ ไม่เอาการบ้านมา แกก้อให้ทำ 10 แผ่นในห้อง G41 ยุ่นก้อไปหยิบให้ แต่คือในห้องเหลือมิส ยุ่น Lisa และเด็ก..ที่นี่พอเจ็ดโมง ผู้ช่วยจะกลับบ้านหมด ตรวเวลามากๆ....ยุ่นก้อรีบไปตรวจงานที่เด็กทำ เด็กทำ G41 สี่แผ่น ผิดเกือบหมด แบบถูกแค่ห้าหกข้อ..ยุ่นก้อเอาให้มิสติงดู และพูดแบบปกติว่า เด็กทำผิดเยอะมากเลย สงสัยไม่เข้าใจ. I think he didn't understand.....ก้อพูดเหมือนทุกครั้ง...แต่ครั้งนี้ งานเข้า...จังเบ่อเร่อ

แค่นั้นเลย เป็นเรื่อง แกตวาดยุ่นอย่างแรงและบอกว่า สุวรรณีทำไมเธอชอบพูดคำว่าไม่เข้าใจ พูดไม่ได้นะคำนี้ เธอไปหยิบ folder ของเค้ามา ฉันจะให้เธอดูอะไร เราก้อเดินไป เค้าก้อว่าเราให้ Lisa ฟังเป็นภาษาจีน ก้อแบบได้ยินนะ แต่ไม่สนใจ พอยุ่นเดินกลับมาพร้อม folder เด็ก Lisa คงเห็นท่าไม่ดีเลยกลับบ้านก่อน...จากนั้นมิสติงก้อดุยุ่นเสีัยงดังมาก บอกว่าอย่าพูดคำว่าไม่เข้าใจ ไม่ใช่เค้าไม่เข้าใจแต่เป็นเพราะเค้าขี้เกียจ เค้าไม่ทำการบ้าน เค้าลอกงาน จึงทำไม่ได้ นั่นคือปัญหาที่แท้จริง...เธอต้องรู้ก่อนว่าปัญหาเค้าคืออะไร..ไม่ใช่พูดว่าเด้กไม่เข้าใจ เธอพูดบ่อยมากๆ... ถ้าเธอพูดว่าไม่เข้าใจ เธอรุ้มั้ย พ่อแม่เด็กในศูนย์นี้พอเค้าได้ยิน เค้าจะคิดว่าเด็กเรียนคุมองไม่ดี ไม่เข้าใจ เราไม่สอน พูดแบบนี้ไม่ได้ ศูนย์เราจะแย่.. ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากเธออีก

นอกจากนี้ก้อกำชับว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ยุ่นไม่ต้องสอนเด็กอีก ถ้าเด็กมีปัญหาให้มาหามิสติงเท่านั้น เพราะยุ่นสอนแบบใจดีเกินไป เด็กจะช่วยตัวเองไม่ได้ เธอดูฉันสิ สอนเด็กแล้วเด็กไม่ค่อยมาถามเลย..ต้องดุ..และต้องฝึกให้เค้าคิดและทำเอง..ไม่ใช่เราจะช่วยเค้าตลอด แต่ก่อนที่นี่ไม่มีเธอ เด็กก้อเรียนรู้เองได้ ทุกคนทำได้ของเค้าเอง ไม่ค่อยถามด้วย เธอจะทำให้พวกเค้าไม่คิดและชอบถาม.

...ที่ไทยนะอาจเป็นแบบนั้นแต่ที่นี่ไม่ได้ เด็กที่ไทยกับที่นี่แตกต่างกัน... ฉันนะไม่เข้าใจคุมองที่นี่จริงๆ..คิดได้ไงจัด trip ไปดู instructor ที่เมืองไทย...เด็กก้อไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมก้อไม่เหมือนกัน ดูไปจะนำมาใช้ได้เหรอ...ฉันนะไม่ไปแน่ๆ และก้อไม่เห็นด้วย และก้อมี instructor ที่นี่หลายคนที่ไม่พอใจ..ในเรื่องนี้ และคุมองยังบอกให้พวกเรา North America ทำตามประเทศไทยอีก...

อ้าว เรื่องยาวเลย...และวันนั้นคือวันอังคารที่เค้าว่ายุ่นมากๆ ก้อเรียกว่าแรงกว่าวันก่อนที่บอกว่ายุ่นทิ้งข้อสอบเสียอีก ตอนแรกก้อโกรธนะ รุ้สึกเลยว่าหน้าเนี่ยร้อนผ่าวๆ เลือดสูบฉีดแรง หัวใจเต้นแรงขึ้น มือสั่นและเหงื่อออกมาก เสร็จก้อนึกถึงคำที่พี่สุวรรณาสอนว่า ไม่พูดในสิ่งที่คิด และคิดในสิ่งที่จะพูด...และวันนั้นยุ่นไม่พูดอะไรเลย..นั่งฟังอย่างเดียว ไม่เถียง พูดแต่ yes แล้วก้อคิดต่อว่าเค้าคงโกรธเราที่เอาเรื่องเดิมมาพูด ไม่ยอมจบ และเหมือนไปตอกย้ำว่าเค้าผิด....และช่วงนี้เค้าก้อคงจะเครียดหลายเรื่อง นักเรียนออกมากมาย ความรู้สึกนี้ที่จริงเราก้อเคยเป็น....สักพักยุ่นรู้สึกตัวเองว่าดีขึ้น...ควบคุมตัวเองได้ ไม่โกรธ หัวใจเริ่มเต้นปกติ หน้าก้อไม่ค่อยร้อนเท่าไรแล้ว...รู้สึกว่าดีมากที่เราควบคุมตัวเองได้ ไม่เหมือนวันก่อน งง ขาดสติ และสุดท้ายโกรธ และอีกสักพักก้อรู้สึกมิสติงเค้าจะดีขึ้น...และก้อพูดกับเราดีขึ้น..จากนั้นก้อกลับบ้าน..

Wednesday, December 23, 2009

งานในแวนคุเวอร์ ภาคสี่

เนื่องจากมิสติงเค้าให้ค่าแรงยุ่นเริ่มต้นที่ชั่วโมงละ 15 เหรียญ เราก้อรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาที่เค้ามีกับเรา ฉะนั้นเค้าให้มาเริ่มงานสามครึ่ง บางทียุ่นก้อมาสามโมงสิบห้า สามโมงยี่สิบ แต่จะลงเวลาเริ่มงานที่สามโมงครึ่งถึงทุ่มทุกครั้ง เพราะเกรงใจเค้า...แต่การเข้ามาก่อนก้อทำให้เราได้ clear งานต่างๆไปได้ส่วนหนึ่ง...ซึ่งทำให้ยุ่นเองก้อทำงานได้สบายขึ้นและมิสติงก้อน่าจะพอใจ

พอทำไปสักสองเดือนเค้าก้อบอกว่าสุวรรณี หลังจากนี้เธอเขียนค่าจ้างเนี่ยทุกวันที่มาทำงานเนี่ย 60 เหรียญต่อวันเลยนะ...คือไ่ม่ต้องเขียนสามชั่วโมงครึ่งคูณ 15 ก้อ 45 ใช่มะ เค้าบอกให้เป็น 60 เลย คือเค้าคงเห็นเราขยันและมาเร็วแต่ลงเวลาน้อยกว่าความเป็นจริง ตั้งแต่เค้าขึ้นให้ ยุ่นก้อเลยมาทำงานตั้งแต่บ่ายสามโมง เพราะจะได้ไม่รู้สึกว่าเราเอาเปรียบเค้า...พอมาถึงที่ศูนย์ก้อจะยกเก้าอี้ทั้งหมดลง (แต่ก่อนมาสามโมงครึ่ง มิสติงเค้ามาก่อนเค้าจะเป็นคนทำ) แล้วก้อเก็บกวาดเช็ดโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วก้อนั่ง clear งานต่างๆไปเรื่อยๆ.....บางครั้งทำเสร็จเร็ว ก้อจะหยิบแฟ้มนักเรียนขึ้นมาศึกษา

พูดถึงความมีน้ำใจเค้าก้อมีน้ำใจกับยุ่นมาก...ไปส่งยุ่นที่บ้านทุกวันหลังเลิกงาน...ช่วงแรกที่ทำงานกับเค้า (ก่อนกลับไทย) รู้สึกดีมาก...และทุกครั้งที่ทำงานจะคิดเสมอว่าเหมือนเป็นศูนย์ของเรา แบบเราเองเราอยากได้ลูกน้องแบบไหน ก้อจะพยายามทำงานให้ดีที่สุด..ในแบบฉบับของเรา...เป็นลูกน้องที่ดีเท่าที่จะทำได้..

พอกลับจากไทยมาครั้งนี้ เค้าก้อขึ้นค่าแรงให้เป็น 17 เหรียญต่อชั่วโมง...ก้อรู้สึกดีนะ...แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเนื่องจากไม่ได้ทำงานมาสองเดือน ทำให้ยุ่นเฉื่อยลง หรือว่าเพราะแกเหนื่อยช่วงที่ยุ่นไม่อยู่ แบบแกเรียกใช้ตลอดเวลาแบบไม่หยุดเลย...จนกระทั่งหลังเลิกงานรุ้สึกเหนื่อยมาก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

ทีแรกก้อคิดสงสัยเพิ่งกลับมา ยังปรับตัวไม่ได้ ต้องปรับอีกสักแป๊บ แต่ปรากฏมิสติงเรียกใช้แบบนี้ทุกวันที่ทำงาน เรียกว่าทำกันจนหัวหมุนเลยแหละ....แต่ยุ่นก้อพยายามนะ ไม่บ่น ไม่พูด พยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เค้าบอกให้เราทำ...คือก้อยังคิดว่าไหวนะ ไหว..สู้ดูสักตั้ง...ให้มันรู้ไปว่าทำไม่ได้..

แต่การที่ยุ่นทำคนเดียวเรื่อยๆมันก้อยิ่งเป็นการเคยชิน ทำให้มิสติงยิ่งชอบเรียกใช้เรา เพราะเห็นว่าเราทำได้ ส่งงานให้เท่าไร ก้อทำได้..แต่การทำงานยิ่งทำมาก ก้อมีโอกาสผิดพลาดได้...และนี่ก้อคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันพฤหัสที่ 26 พฤศจิกายน 2009 ที่จะต้องเป็นบทเรียนสำหรับตัวเรา ในการเป็นลูกน้องแบบไหน และถ้าเป็นเจ้านาย เราควรเป็นแบบไหน..

งานในแวนคูเวอร์ ภาคสาม

ก่อนอื่นคงต้องเล่าถึงบรรยากาศของศูนย์คุมองของมิสติง...คือการจัดที่นั่งจะเหมือนเป็นเกาะ แต่ไม่มีครูผู้ช่วยนั่งที่โต๊ะ...โต๊ะหนึ่งจะสามารถนั่งได้ 6 คน...ก้อมีทั้งหมด 18 โต๊ะ junior มีสองโต๊ะ แต่ใช้จริงหนึ่งโต๊ะ...ด้านหน้าทางเข้า พอเข้าประตูมาด้านขวาเป็นโต๊ะมิสติง ด้านซ้ายจะเป็นที่วางแฟ้มเด็ก และติดกับที่วางแฟ้มจะเป็นโต๊ะครูที่ตรวจงาน...ส่วนยุ่นก้อจะนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะมิส แต่หันหน้าไปทางนักเรียน ของมิสจะหันหน้าไปยังที่แฟ้มเด็ก อยู่ตรงทางเข้าประตูเลย...

เวลาเด็กมา..ก้อเหมือนบ้านเรา หาแฟ้มตัวเอง...ถ้าไม่เจอก้อมาหามิส คือเค้าจะคุยด้วย ก้ออาจเนื่องจากมีปัญหาเช่นการบ้านไม่ครบ ไม่แก้งาน สอบ AT รับใบ certificate ไม่ได้ชำระค่าเล่าเรียน หรือครั้งที่แล้วไม่ได้มา...เป็นต้น...เด็กก้อต้องมาเข้าแถวต่อแบบถ้ามีนักเรียนที่กำลังต่อแถว feed back เด็กก้อจะ line up...

จากนั้นพอได้แฟ้มก้อจะไปที่โต๊ะ แฟ้มเค้าจะไม่เหมือนเรา ของเราเป็นพลาสติก ของเค้าก้อหยิบแค่สมุด record book ออกมาจากแฟ้มกระดาษ เค้าเรียก record book ว่า folder แรกๆมาเรียกผิดเรียกถูกอยู่ตั้งนาน คือ folder เราคือทั้งแฟ้มพลาสติก ของที่นี่ก้อคือ record book นั่นเอง...

ใน folder หรือ record book ซึ่งหลังจากนี้จะเรียก folder จะมีงานเก่าที่ส่งอาทิตย์ที่แล้วอยู่ด้านหลัง งานใหม่อยู่ด้านหน้าสมุด..เด็กก้อจะต้องจัดงานเอง เค้าจะเขียนแต่วันที่ให้ เช่นถ้าทำสิบแผ่นก้อมีวันที่ทุกชุด เด็กก้อไป staple เอง...แต่ถ้าใครได้งานวันละ 5 แผ่น เค้าจะเขียนวันที่สองวันไว้แผ่นแรก เช่น 18/19 เด็กก้อต้องแยกแล้วเย็บเอง หรือสามวันเช่น 18/ 19 / 20 เด็กก้อแยกสี่ สาม สาม เย็บเองเหมือนกัน..การบ้านที่ส่งถ้าเป็นเด็กที่โตและรุ้เรื่อง ก้อลงบันทึกเอง แต่ถ้าเล็กหรือยังไม่เข้าใจ ก้อส่งให้ครุผู้ช่วยเค้าทำได้..ซึ่งงานสอนการบันทึกการบ้านก้อเป็นหน้าที่ของยุ่นอีกเช่นกัน...

และหลังจากนั้นเด็กก้อจะเขียนชื่อ แล้วเดินไปตอกเวลา แล้วทำ classwork แล้วตอกเวลาเสร็จ แล้วส่งครู แล้วรอเรียกชื่อ แก้งานจนเสร็จ ก้อพบมิสติง...

จากที่เล่านี่ถ้าเด็กทุกๆคนสามารถ process ตัวเองได้ ก้อจะไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากเค้าไม่มีครูที่คอยดูนักเรียน ยังไงดีละ แบบครุผู้ช่วยก้อแบบ mark อย่างเดียว จึงไม่มีครุที่จะมองดูว่าเด็กมีปัญหาหรือไม่ เด็กเป็นอย่างไร คนที่ทำหน้าที่นี้ในอดีตก้อมีแต่มิสติงคนเดียว ซึ่งเค้าก้อจะต้อง feed back ที่โต๊ะ คุยกับผู้ปกครองด้วย เค้าไม่เคยลุกจากโต๊ะของเค้าเลย...นอกจากนานๆที แบบเด็กเสียงดังมากๆอะไรประมาณนี้เค้าถึงลุก...ซึ่งจุดนี้ ยุ่นก้อคิดว่าถ้าเราทำได้ เราก้ออยากช่วยเหลือเค้า โดยช่วยสอดส่องดูแลนักเรียนที่มีปัญหาและช่วยแก้ไขให้....

ปัญหาที่มักจะพบก้อคือเด็กลอกการบ้าน...โดยเฉพาะเด็กโต อันนี้ยุ่นก้อเคยเจอที่ศูนย์ตัวเอง....คิดว่าเป็นปัญหาที่ทุกศูนย์มีโอกาสเจอ....ตอนที่เราให้เด็กตรวจงานเอง เช่นตรวจ cw เด็กที่ทำไม่ได้ และไม่อยากมาหาเราเพราะรู้สึกเสียเวลาบ้าง อายบ้าง กลัวบ้าง ก้อทำการลอกงาน...คือเอา answer book ลอกคำตอบซะเลย ง่ายดี...แต่เนื่องจากเรามีรัตน์กับยุ้ยและครุผู้ช่วยอีกหลายคนช่วยกันสอดส่องดูแล สังเกตุ จึงจับได้และแก้ปัญหาทันที..

แต่ของมิสติงไม่มีใครช่วยดู นอกจากเค้าคนเดียว เพราะฉะนั้นก้อเป็นการยากที่จะจับได้ เด็กหลายคนเรียนจบระดับ แล้วทำการสอบ จึงรู้ว่าเค้าลอก เพราะเค้าทำข้อสอบไม่ได้เลย...แบบคนละเรื่องกับที่คุมองสอนเลย...

แต่ที่ยุ่นเจอคือแค่เรายืนดูเค้าทำข้อสองข้อ ก้อรู้แล้วว่าเด็กคนนี้ลอกงานที่บ้าน เพราะบางครั้งฉบับที่กำลังทำ มันต่อเนื่องกับการบ้าน...ก้อจะแจ้งมิสติงทุกครั้งที่เจอ...และยุ่นก้อมักจะพูดว่าเด็กอาจไม่เข้าใจตัวอย่าง maybe they don't understand.... the example....ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่ามิสติงไม่ชอบประโยคนี้ เพราะเค้าไม่เคยว่ายุ่น...จนกระทั้งวันนั้น...

เวลาที่บอกมิสติงว่าเด็กลอกงาน เค้าก้อจะเรียกเด็กมา และก้อบอกว่าทำไมลอกงาน อย่าลอก จากนั้นก้อย้อนเด็กไปยาวเลย...ยกตัวอย่างเด็กผู้หญิงคนนึงเค้าอยู่ G 171 ก้อคือการแก้สมการ แต่ยุ่นรู้ว่าเค้าไม่เข้าใจตั้งแต่ G 21เลย เพราะเค้าทำผิดหมด ก้อบอกมิสเค้าก้อย้อนไปที่ G 21 เสร็จพอเด็กทำถึง H 20 เค้าก้อให้เด็กสอบ G เด็กทำข้อสอบไม่ได้เลย แบบคนละเรื่องกับที่คุมองสอนเลย...มิสติงก้อให้เด็กคนนั้นมานั่งแก้กับเค้าที่โต๊ะ...เด็กทำไม่ได้เลย..เค้าไม่รู้จะสอนยังไง จุดไหน....เค้าเลยเรียกสุวรรณีเธอเปลี่ยน sheet ให้เด็กนะ เอาตั้งแต่ G21เลยทำใหม่หมด...อึม..กรณีนี้ปัญหาเนี่ย ไม่ใช่อยู่ที่การย้อนเท่านั้น เด็กดูตัวอย่างไม่เข้าใจ เนื่องจากเด็กที่นี่ไม่ได้ฝึกดูตัวอย่างเลย...ไม่มีคนแนะในการดูเลย ทำให้เด็กแก้ปัญหาโดยการลอก...อันนี้ยุ่นวิเคราะห์เอง อาจถูกหรือผิดก้อเป็นไปได้ เพราะไม่ได้เป็นคนเดียว เป็นมากมายหลายคน โดยเฉพาะพวกเด็กโตที่รู้เรื่อง

วันนั้นก้อหยิบ G21 ให้เด็กคนนั้นและพูดกับเค้าว่า อย่าลอกงานนะ คุณเสียตังส์มาเรียน ถ้าคุณลอกคุณก้อไม่ได้อะไรเลย..คุณจ่ายตังส์เดือนนึง 90 เหรียญ มันไม่ถูกนะ...ถ้าไม่เข้าใจให้มาถามมิสติงเค้า รักษาผลประโยชน์ของเราไว้สิ เราจ่ายตังส์เรามีสิทธิที่จะถามเค้าได้...และนี่เค้าก้อย้อนคุณตั้งหลายรอบแล้ว G เนี่ยเรียนมาเกือบปีแล้ว ยังไม่ไปไหนเลย...อย่าลอกนะ...ไม่มีประโยชน์ แบบยุ่นก้อคันปาก ต้องเตือนเด็ก....เพราะมันทนไม่ได้...

มีเด็กหลายคนที่บางทีเดินดูแล้วเค้าติด เช่น 1-1/4 แบบตอนที่ทำเนี่ยอยู่ F แต่เรื่องนี้เค้าเคยเจอใน E มาแล้ว พอเค้ามาถามเราก้อเดินไปหยิบ E101 แล้วให้เค้าดูเอง บอกว่าเหมือนกันเลย เธอเคยทำ ลองดูนะ...จากนั้นก้อไม่ยุ่ง ปรากฎเด็กทำได้ วันนั้นก้อมีอีกคน ทำ H 171 โจทย์ปัญหาของสมการเชิงเส้น...ก้อหยิบแบบฝึกหัดชุด H 161 เปิดหน้าที่เกี่ยวข้องให้เค้าดู เด็กก้อ get เอง แล้วพอติดอีกก้อหยิบ H41 ให้เค้าดู เด็กก้อทำได้ เด็กเดินมาขอบคุณตอนจะกลับบ้านและบอกว่าบางทีโจทย์ข้อนึงต้องใช้หลายๆเรื่องที่เรียนมารวมกัน ...ยุ่นก้อยิ้มและบอกเค้าว่า " Yes,it is. So you have to think and apply all your skills. It's very important!"

Tuesday, December 22, 2009

งานในแวนคูเวอร์ ภาค 2

ตอนที่ไปหามิสติงจำได้ว่าเป็นช่วงประมาณต้นธันวา 2008 ช่วงนั้นยุ่นเรียนหนังสือที่ South Hill ช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงกว่า เพราะฉะนั้นกว่าจะเรียนเสร็จ กว่าจะมาทำงานได้ก้อจะหกโมงแล้ว เด็กที่มาเรียนก้อซาแล้ว จึงบอกมิสติงว่าเราน่าจะเริ่มงานเดือนมกรา 2009 สัปดาห์สุดท้าย เพราะเรียนจบคอร์สแล้ว...มิสติงก้อเห็นด้วย..

ยังจำความรุ้สึกวันแรกที่ไปทำงานได้เลย..รู้สึกตื่นเต้น และมีความสุขมากเลย และวันนั้นพอได้ทำงานก้อมีความรู้สึกดี เพราะยุ่นหยุดงานคุมองมาประมาณหกเดือนแล้ว ก้อให้คิดถึงเหมือนกันเนอะ ทำมาตั้งเจ็ดปี อยุ่ดีๆก้อไม่ได้ทำเลย..มันก้อเหงาๆอยู่

การทำงานเป็นผู้ช่วยครูที่นี่ ให้ความรู้สึกดีอย่างหนึ่งคือเราได้ทำงานที่เรารัก ได้ guide นักเรียน ได้เห็นพัฒนาการของเด็กๆ เห้นรอยยิ้มของความมั่นใจ และความสุขของการสามารถทำอะไรที่ยากๆได้ด้วยตัวเอง และไม่รุ้สึกเครียดเหมือนตอนอยู่ไทย เพราะเราไม่มีความกังวลในเรื่องเด็กเข้าเด็กออก..ไม่เครียดเรื่องการต้องหาครูผู้ช่วย หรือบางทีก้อเจอผู้ปกครองเด็ดๆ ที่ไทยต้องแก้ปัญหามากมาย...แต่ที่นี่ ยุ่นเพียงทำหน้าที่ในส่วนที่เรารับผิดชอบให้ดีที่สุด เพราะเราไม่ใช่เจ้าของศูนย์แล้ว...ฉะนั้น ก้อมีความสุขไปอีกแบบ..

แต่การเป็นลูกน้องก้อไม่ใช่หมายความว่าหากเราทำหน้าที่ของเราดีที่สุด ในแบบฉบับของเราแล้ว...เราจะไม่มีปัญหา...และนี่ก้อคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ยุ่นได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นมาก..

การทำคุมองนั้นขึ้นกับ instructor จะบริหารศูนย์ตัวเองอย่างไร เพราะฉะนั้นสิบคนก้อสิบแบบ แต่หลักการก้อคือฝึกให้เด็กมีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง...ฟังดูดีมาก แต่ไม่ใช่จะสามารถทำกันได้ง่ายๆ...

ที่แคนาดาเนื่องจากค่าแรงแพง...คือค่าแรงขั้นต่ำก้อ 8 เหรียญต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นนักเรียนก้อ 6 เหรียญต่อชั่วโมง...แต่ที่นี่เท่าที่ดูมิสติงน่าจะให้ 8 เหรียญเริ่มต้นหมดทุกคน...เค้าไม่มีผู้ช่วยที่เป็นประจำ จะมีแต่ part time ทั้งหมด และเป็นนักเรียนคุมองระดับสุงที่มาทำ มียุ่นกับ Dorris แม่ของเด็กนักเรียนที่ศูนย์ที่เป็นผู้ใหญ่มาทำ อ้อ...มี Mary อีกคน แต่เธอจะมาจัด sheet ในวันเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น ไม่ได้อยู่ช่วงศูนย์เปิด...เด็กนักเรียนก้อเก้าคนน่าจะได้ สลับสับเปลี่ยนกันมา หน้าที่หลักก้อคือ Marking จะมีแต่ Christy ที่ทำ Junior วันอังคาร พฤหัส และ Sarah ทำ junior วันศุกร์...

ครูอังกฤษสามวันสามคน อังคาร ชื่อ Monica เป็น guide บริษัท tour ....พฤหัส Erika เป็นผู้ช่วยหมอฟัน ตอนนี้กำลังเรียนต่อเพื่อจะเลื่อนขั้นของผู้ช่วยหมอฟันอีกขั้นและจะได้ค่าแรงมากขึ้น อีกคนวันศุกร์ Lisa เป็นครูในโรงเรียนประถม สอนเกี่ยวกับงานฝีมืออะไรประมาณนี้...

สำหรับยุ่นก้อนั่งที่โต๊ะข้างมิสติง...คล้ายจะเป็นผู้ช่วยจริงๆ หมายความว่าต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง ลงได้ทุกตำแหน่งที่ขาด...แต่งานหลักคือ หยิบ sheet ให้กับนักเรียนเวลาเค้าเปลี่ยนการบ้าน...
หยิบ answer book แต่ละระดับให้เด็ก เพื่อตรวจงานที่บ้าน
ลงบันทึก report B แต่ที่นี่เค้าเรียก statement ทุกๆกลางเดือน....ใช้เวลาทำหนึ่งอาทิตย์ทำในชั่วโมงที่เปิดศูนย์เลย...
พานักเรียนใหม่ไปสอบ..ทั้งวิชาเลขและอังกฤษ
คุยกับผู้ปกครองใหม่ถึงการดูแลนักเรียนที่บ้าน..
สอนนักเรียนใหม่เกี่ยวกับ flow ในห้องเรียน
เปิดสมุด record book นักเรียนใหม่ทุกคนและ assignงานให้เด็กนักเรียนใหม่...
ลงบันทึกผลการสอบ AT ของเด็กทุกสัปดาห์...
ทำแฟ้มเด็กใหม่โดยพิมพ์ชื่อและเปิดแฟ้มให้...
ถ้าผู้ช่วยจุดไหนขาดต้องลงช่วยเช่น marking , junior
guide นักเรียนระดับสูงตั้งแต่ I ขึ้นไป เพราะระดับ H ลงไป มิสติงเค้าจะ guide เอง....( กฎนี้เกิดหลังเหตุการณ์....)
เวลาที่ว่างก้อทำ...เอกสารที่เตรียมการประชุมผู้ปกครอง PO ครั้งแรก...

มานั่ง list งานที่ทำก้อดูว่ามาก แต่ยุ่นก้อทำได้ เพราะเนื่องจากเป็นคนทำงานไว...แต่ก้อจะมีบางครั้งที่ทำไม่ทัน เนื่องจากมิสติงจะเรียกแต่เราคนเดียว...ก้อจะมีหลุดบ้างเป็นบางครั้ง เช่น สมมติกำลังสอน flow นักเรียนใหม่อยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการอธิบาย บางทีกำลังพูดประโยคที่สอง แกก้อเรียกให้ไปหยิบ sheet และทำอะไรต่ออีกสองเรื่อง จะหลุดนักเรียนใหม่ที่กำลังสอน flow ไปเลย บางทีนั่งกำลังจะทำงานต่อไป นึกออกเดินไปหาเด็ก...แล้วก้อขอโทษเค้า..ก้อมีหลายครั้งอยู่..

Sunday, December 20, 2009

งานในแวนคูเวอร์ ภาค 1

จะพูดไปก้อถือว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างโชคดี ฮ่งมาหกเดือนก้อได้งานทำ และเป็นงานที่อยู่ใน field เดียวกับที่เรียนมาจากไทย คือได้เป็น Pharmacist Assistant ที่ London Drug

เพราะจากการได้ยินได้ฟังจากคนไทย...หรือคนจีน...หรือชาติอื่นๆ การหางานที่แคนาดาเป็นเรื่องยากมาก งานในที่นี่หมายถึงงานที่ดีเหมือนกับประเทศที่เราเคยอยู่ ส่วนใหญ่มาแรกๆ immigrant มักจะได้งาน labor กัน บางคนเป็นหมอที่ประเทศตัวเอง มานี่ก้อเป็นคนขับ taxi บางคนเป็นผู้จัดการบริษัทฝรั่ง บางคนเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ประเทศตัวเอง มาที่นี่ต้องไปทำงานยกของ บางคนก้อกลายเป็นช่าง และมีมากมายที่ยังหางานไม่ได้...

สิ่งสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการหางานที่ดีก้อคือเรื่องภาษาอังกฤษ เพราะพวกเรายังไม่สามารถสื่อสารได้คล่องแคล่วเหมือนภาษาแม่ พวก immigrant จึงต้องการเวลาในการปรับตัว และเรียนรู้ในเรื่องของภาษาโดยเฉพาะการพูดสื่อสาร...ซึ่งส่วนใหญ่ก้อต้องไปเรียนกัน บ้างก้อไปเรียน high school พบจบก้อไปต่อสาขาที่ตัวเองสนใจ คือพูดง่ายๆส่วนใหญ่ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษและผ่าน Eng 12 จึงสามารถไปเรียนสาขาวิชาชีพได้...

พี่ๆเพื่อนๆแทบทุกคนที่มาจึงบอกว่าฮ่งค่อนข้างโชคดี ที่มาแล้วยังไม่ได้เรียนอะไรพวกนี้ ก้อได้งานทำ และเป็นงานที่ค่อนข้างโอเคคือได้บริษัทที่มีชื่อเสียงของที่นี่...เพราะยากมากๆที่จะได้งานในสาขาเดิมและได้ง่ายเร็วอีกต่างหาก...

ส่วนยุ่นก้อมาหลังฮ่งเกือบปี ช่วงแรกฮ่งก้อบอกไม่ต้องทำงานก้อได้...และให้ยุ่นไปเรียนหนังสือเล่นๆ เพลินๆ แต่พอยุ่นมาได้สักสองเดือน ทุกอย่างเข้าที่ ก้อเริ่มเบื่อ ทีแรกจะไปเรียนแบบฮ่งคือเรียนการหางานทำ เขียน resume การเตรียมตัวสมัครงานอะไรพวกนี้ ซึ่งรัฐบาลจะมีหน่วยงาน train new immigrant...แล้วก้อจะหางานแบบฮ่ง ฮ่งบอกอย่าเลย มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ให้ลองโทรไปที่ศูนย์คุมองที่เราเคยไป visit เมื่อหกเดือนก่อน...เผื่อเค้าอาจรับยุ่นเลย...ถ้าเค้าไม่รับที่นี่เค้าก้อบอกตรงๆอยู่แล้ว..

ก้อเลยลองดู...และนั่นก้อคือจุดเริ่มต้นของการไ้ด้เริ่มทำงานที่นี่ ไปถึงมิสติงเจ้าของศูนย์ก้อไม่ได้สัมภาษณ์อะไรมากเลย รับยุ่นเลยและยังเสนอค่าจ้างรายชั่วโมงในอัตราที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ เพราะถ้าเราไปหางานเอง ก้อต้องเริ่มที่ชั่วโมงละ 8 เหรียญเหมือนกันหมด....ทำงานสัปดาห์ละสามวัน อังคาร พฤหัส และศุกร์ บ่ายสามถึงทุ่ม...ก้อเรียกว่าเป็นคนโชคดีอีกคนนึงเช่นกัน เพราะมาแวนคูเวอร์แค่สี่เดือนก้อได้งานทำ...ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษก้อยังไม่แข็งแรงเลย...

Tuesday, December 15, 2009

ได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง...

มาอยู่ที่นี่...ชีวิตก้อค่อนข้างว่างและมีเวลามากกว่าตอนอยู่ไทย...ถึงแม้ว่ายุ่นต้องทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเอง เพราะเราไม่สามารถจ้าง maid ที่นี่ได้ แต่เนื่องจากการทำความสะอาดบ้านก้ออาทิตย์ละครั้ง ซักเสื้อ จ่ายกับข้าวก้ออาทิตย์ละครั้ง..และเนื่องจากยุ่นเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างไว จึงทำให้มีเวลาเหลือเฟือ ก้อเลยได้กลับไปเรียนหนังสือ จริงๆที่เรียนเพราะตั้งใจจะไปฝึกพูดภาษาอังกฤษ ฮ่งก้อเลือกให้ยุ่นไปเรียนที่ Vancouver School Board ซึ่งก้อมีหลักสูตรเหมือนเด็ก High school ที่นี่ ก้อเลยทำให้ได้เรียนหลายๆวิชาคล้ายกับยีน ลูกชายของเราเลย...นอกจากนี้ยังได้เห็นความแตกต่างในการสอนของที่นี่กับบ้านเรา..

วิชาแรกที่เรียนก้อคือ Eng 10 ครูที่สอนเป็นฝรั่ง Canadian ชื่อ Bob เค้าจะเน้น reading มาก ในหนังสือที่เค้าให้เรียนจะมีเรื่องราวต่างๆหลากหลาย สนุกและน่าสนใจ Bob จะสอนแบบไม่ค่อยสอน หรือถ้าจะ test vocab ก้อจะบอกว่าในบทนี้ ให้คิดเองว่าศัพท์คำไหนที่น่าจะสำคัญและคนที่นี่ใช้บ่อย อึม เราต้องอ่านเรื่องเอง เดาเองว่าศัพท์คำไหนน่าจะเข้าตากรรมการ ไม่เข้าใจประโยคไหนก้อโน๊ตมาถามเค้า...ในห้องเรียน Bob มักจะจัดกลุ่มให้ discuss กัน แล้วก้อไม่มีการสรุป เพราะฉะนั้น จึงทำให้ไม่ค่อยเข้าใจประเด็นที่เค้าสอน และก้อมีหลายเรื่องที่นักเรียนรวมทั้งยุ่นด้วยสับสนมาก แต่ก้อได้เรียนรู้วิธีการสอนและวิธีคิดที่แตกต่างจากบ้านเรา..และท้ายสุดเ้ค้าก้อเน้นเรื่องการเขียน writing แต่เค้าก้อไม่ได้สอนอีก..เค้าให้เราลองเขียนกัน แล้วก้อเรียกไปแก้ไขเป็นรายบุคคล...

จากที่เรียน Eng 10 ทำให้ยุ่นคิดว่าเราต้องฝึก writing ดีกว่าเพราะเราไม่มี idea ในเรื่องนี้เลย...ก้อเลยลงวิชา writing เป็น course ที่สอง ครั้งนี้โชคดีมากๆเลยเจอ Jennifer ก้อเป็นฝรั่งอีกเหมือนกัน เธอสอนดีมากๆ จะอธิบายให้เราเข้าใจโครงสร้างของการเขียน writing และสอนการใช้ grammar ในการเขียนอย่างถูกต้อง การใช้เครื่องหมายต่างๆ และมีตัวอย่างให้เราศึกษา วิเคราะห์ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการเขียน writing ทั้งตัวอย่างที่ดี และไม่ดี ทำให้มีความเข้าใจในการเขียน writing มากขึ้นมาก และในคอร์สนี้ นักเรียนก้อได้ฝึกเขียน writing พอสมควร แต่อย่างไรก้อตาม Jennifer ก้อเน้นการอ่าน reading เพื่อทำข้อสอบ TOEFL จึงสรุปจากการเรียนที่นี่บวกกับประสบการณ์ในการทำคุมอง Reading เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก และจะนำไปสู่การ writing ที่ดีด้วย...

หลังจากนั้นก้อหยุดเรียนยาวและได้กลับไทย พอได้กลับมาแวนคูเวอร์อีกครั้ง ก้อตัดสินใจกลับไปเรียนอีก ครั้งนี้ก้อเรียน Communication 11 ก้อฝรั่งสอนอีก ชื่อ Ruth เป็นครูผู้หญิงวัยรุ่นนิดนึง แต่ Ruthจะเตรียมการสอนมาอย่างดี อย่าง vocab เนี่ยชอบมากเลย เค้าจะให้ทำ crossword โดยให้นักเรียนพยายามหาศัพท์จากคำแปลภาษาอังกฤษที่ให้มา ลองเดาดู ....จากนั้นก้อจะมีการให้ทำแบบฝึกหัดเพื่อให้เราเข้าใจวิธีการใช้ vocab เหล่านี้ และช่วยให้เราจำศัพท์ได้ง่ายด้วย แล้วจึงสอบเรา เป็นเทคนิคที่น่าเอามาใช้กับนักเรียนไทยมากเลย..

การเรียนกับ Ruth จะได้ทุก skill ไม่ว่าจะเป็น reading ซึ่งเธอจะสอบสัปดาห์ละครั้งและหาบทความที่น่าสนใจมาให้อ่านและ discuss เป็นกลุ่มเหมือนกัน แต่เธอจะสรุปทุกครั้ง จึงทำให้ได้ idea และเข้าใจในเนื้อเรื่องที่เราอ่านมากขึ้น นอกจากนี้ Ruth ก้อยังสอน writing ด้วย และเน้นมากๆเลย เอาตั้งแต่พื้นฐานเลยเริ่มตั้งแต่ paragraph ไป essay แล้วก้อไปถึง business letters ก้อเรียกว่าค่อนข้างครบเครื่องเลย...เรียนกับ Ruth เธอก้อไม่ค่อยสอนเช่นกัน เลยคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นลักษณะอ่านทำความเข้าใจเองก่อน จากนั้นมีคำถามก้อมาถามได้ เค้าก้อจะไขข้อข้องใจให้...ซึ่งก้อดี ทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่เข้าใจจุดไหน และทำความเข้าใจตรงนั้นเลย...แต่ในห้องส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนที่มาเรียน เรียกว่า 98%เลย จะบ่นว่า Ruth ไม่ได้สอนอะไรเลย ให้อ่านเอง ไม่ชอบเลย...ไม่รุ้เรื่อง ไม่รุ้จะถามอะไร อึม..บางครั้งก้อเข้าใจนะ แบบเราก้อคิดว่าที่เราเข้าใจจากที่เราเรียนบ้านเรานะถูก แต่พอตอนนำไปใช้ มันผิดหมดเลย...คือคนละเรื่องแบบของที่นี่...เพราะฉะนั้น...ก้อไม่รู้ว่าหากครูอธิบายบ้างอย่าง Jennifer และก้อมีให้เราคิดเอง ศึกษาเองบ้าง ก้อน่าจะดีไม่น้อยเลย...

อย่างไรก้อตาม การเรียนกับ Ruth ทำให้ยุ่นรู้สึกว่าภาษาอังกฤษของเรามีการพัฒนาขึ้น และอีกอย่างที่สังเกตุได้คือที่นี่เค้าชอบสอบมาก สอบแทบทุกวัน เรียนกับ Ruth 50 ครั้ง สอบ 38 ครั้ง เรียกว่าสอนเสร็จสอบเลย...และมีการประเมินผลที่ชัดเจนมาก...เรียกว่า Ruth เนี่ยเป็นคนที่มีระบบระเบียบมากๆเลย...

จากการที่ได้กลับมาเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง...ทำให้ยุ่นรู้ว่าภาษาอังกฤษที่เราเรียนมานั้น..เราสอนผิดหลายเรื่อง เช่น tense ต่างๆ การใช้เครื่องหมายต่างๆ ( ใช้ไม่เป็นเลย) pronounciation และวิธีการสอนที่แตกต่าง ที่นี่เค้าเน้นการอ่านมากๆ เพื่อนำไปสู่การเขียนที่ดี แต่สังเกตุบ้านเรา เราไม่เคยฝึกเด็กอ่านภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ง่ายๆ โดยเริ่มจากเรื่องสั้นๆก่อน แล้วจึงค่อยยาวขึ้น เราไม่ไ้ด้ฝึกเด็กอ่านเลย แต่เรามีข้อสอบที่เป็นบทความที่ยากมาก...ทำให้เด็กมีปัญหาเวลาสอบเข้ามหาลัย หรือสอบ TOEFL และอื่นๆอีกมากมาย...ซึ่งเด็กก้อแก้ปัญหาโดยการไปเรียนกวดวิชา และนั่นก้อคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า....

ถ้าหากมีโอกาสได้กลับไปที่บ้านเราอีก ยุ่นจะนำสิ่งดีๆที่ได้จากที่นี่ นำไปปรับและประยุกต์ใช้กับเด็กไทย....ให้ได้มากที่สุด...

Sunday, December 13, 2009

Dec13, 2009 วันนี้หิมะตก...

จะพูดไปก้อไม่ใช่ครั้งแรกที่ำได้เห็นหิมะตกในแวนคูเวอร์ เพียงแต่ปีนี้เพิ่งตกเป็นเรื่องเป็นราวก้อวันนี้ เมื่อสองวันก่อนก้อตกเหมือนกัน แต่ตกนิดนึง แต่วั็นนี้ตกแบบขาวโพลนไปทั้งเมือง ทุกคนในแวนคูเวอร์ก้อหวังใจว่าหิมะน่าจะตกไม่มาก อย่าให้เหมือนปีที่แล้วเลย เพราะเวลาที่หิมะเต็มเมือง...มันไม่ใช่เรื่องสนุก...หรือมีความสุขเหมือนเราดูรุปเมืองที่เต็มไปด้วยหิมะ...

ปีที่แล้ว...ยังจำได้ หิมะเต็มเมืองและสูงมาก...เวลาเดินเนี่ย รองเท้าบูทจะเป็นเหมือนพิมพ์บนหิมะเลย...และจะเห็นพิมพ์รองเท้ามากมาย...ตามทางเดิน เวลาหิมะตกวันแรกจะเดินไม่ค่อยลำบากมาก แต่...ถ้าหิมะมันไม่ละลายและหนาขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้จะเดินลำบากเพราะจะลื่นมาก....คนที่เป็นเจ้าของบ้านที่หน้าบ้านมีหิมะ ต้องรับผิดชอบมากวาดหิมะหน้าบ้านตัวเอง..ต้องโรยเกลือด้วย เค้าเรียก ice salt ปีที่แล้วที่มาไม่เห็นเค้าขาย แต่ปีนี้เห็น safe way เอามาขายแต่เนิ่นๆ....ที่ต้องโรยเกลือก้อเพื่อกันลื่น...ปกติไม่มีหิมะเวลาเดินก้อค่อนข้างแย่อยู่แล้ว เพราะความหนาของเสื้อ overcoat ที่เราใส่ มันก้อหนักนะ ก้อเมื่อยไหล่เมื่อยตัวไปหมด ไหนจะรองเท้า boots ก้อหนัก บางครั้งก้อต้องถือของอีก เพราะฉะนั้นก้อเดินช้าและเทอะทะไปหมด แต่พอมีหิมะเข้ามาร่วมด้วย ก้อต้องระวังในการเดินมากขึ้น เรียกว่าจะเดินช้าลงโดยอัตโนมัติ...แบบช้ามากๆ.. และก้อต้องต่อสู้กับความหนาวเย็นที่อยู่รอบๆตัวเราด้วย...

...อีกอย่างเวลาหิมะตกรถเมล์จะมาช้ามากๆ เพราะถนนเต็มไปด้วยหิมะ เค้าก้อจะขับช้าไม่เร็ว มันก้อลื่นมากเหมือนกัน... คนที่ใช้บริการรถเมล์จะรอนาน และแต่ละป้ายคนจะขึ้นเยอะมาก....เรียกว่าเวลาขึ้นรถทีก้ออัดกันเป็นปลากระป๋องเลย...เพราะทุกคนก้ออยากขึ้นรถ และคนขับก้อใจดี พยายามบอกทุกคนให้ขยับ เพื่อให้มีที่ว่างสามารถพาผู้โดยสารไปให้ได้มากที่สุด..

อันนั้นคือสำหรับคนไม่มีรถส่วนตัวใช้...แต่สำหรับคนที่มีรถนั้น...ก้อลำบากไม่แพ้กัน... มีวันนึงมองผ่านหน้าต่างออกไป มีรถคันนึงไปไม่ได้ ติดหิมะ คนขับรถผู้หญิงนะก้อไม่รู้จะทำอย่างไร ก้อนั่งอยู่ในรถเลย พอดีีมีผู้ชายเดินผ่านมา ก้อช่วยนะ แกไปหาเหล็กที่คล้ายๆจอบมาแล้วแกก้อช่วยตักหิมะที่ถนนออกให้เป็นที่ว่าง ช่วยเข็นรถและทำให้รถคันนั้นไปได้ เสร็จแกยังยืนอยู่แถวนั้นและช่วยรถที่ติดอีกสองสามคันแน๊ะ......ยุ่นมองเห็นแล้วก้อคิดในใจว่า...ถ้าเป็นเรา เราจะช่วยมั้ย? เราจะยอมทนหนาว ตักหิมะ ช่วยเค้ามั้ย?? และตอนที่คิดเนี่ยก้อคิดว่าไม่นะ แต่จริงๆก้อไม่รู้เหมือนกัน...แต่นับถือผู้ชายคนนั้นจริงๆ เค้าเป็นคนดีมีน้ำใจมากๆเลย...ถ้าในโลกเรามีคนแบบนี้มากๆ โลกใบนี้ก้อคงน่าอยู่ขึ้นมากเลย....

การที่หิมะตกหนักๆแบบปีที่แล้ว ทำให้คนแวนคุเวอร์แย่ไปเลยเพราะไม่มีหิมะตกหนักมา 40 ปีแล้ว เค้าจึงไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร รัฐบาลก้อไม่มีรถที่มาตักหิมะนะ หรือมีก้อน้อยคัน และเค้าก้อคงงงไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก้อเหมือนประชาชนแหละ เจอครั้งแรกก้องงไปตามๆกัน... สำหรับเมืองที่หิมะตกมากๆเช่นแถบ Edmonton Toronto Quebec พวกนั้นพอหิมะตกปั๊บรถตักหิมะก้อออกมาทำงาน แต่ที่นี่ไม่มี ตกหนักไปเกือบสิบวัน รถค่อยโผล่ออกมา....ก้อเรียกว่าประชาชนต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเอง...ไปก่อน...

เหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ชาวแวนคูเวอร์ เกลียดและกลัวหิมะมากๆ แต่ปีนี้สังเกตุว่ามีการเตรียมพร้อมทุกครอบครัว ตั้งแต่เปลี่ยนล้อรถเป็นแบบล้อที่ขับในหิมะได้ เตรียม ice salt และคิดว่ารัฐบาลน่าจะเตรียมรถกวาดหิมะอย่างเพียงพอแน่นอน....อย่างไรก้อตาม..แม้ว่าชาวแวนคูเวอร์จะเตรียมรับมือกับหิมะอย่างดีในปีนี้ พวกเค้า์ก้อไม่อยากให้หิมะตกหนักเหมือนปีที่แล้วอยู่ดี....

Saturday, December 12, 2009

ชีวิตจริงในแวนคูเวอร์ ...ของเพื่อนที่รู้จัก...

เวลาที่เราได้ยินคำว่า Vancouver Canada เราคนไทยก้อนึกภาพแบบบ้านเมืองที่มีแต่ฝรั่ง ผมทอง ผมบรอนซ์เนอะ...แต่ที่นี่แวนคูเวอร์ เหมือนเป็น ฮองคูเวอร์ เพราะคนจีนเยอะมาก มีทั้งมาจากฮ่องกง ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ก้อมีพวกแขกอินเีดีย แขกขาว ฟิลิปปินส์ก้อมากมาย เวียดนามก้อเยอะ ยังมีญี่ปุ่นอีก และเดี๋ยวนี้เค้าว่าคนเกาหลีก้อมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่บ้านเราคนไทย ค่อนข้างน้อย มะค่อยเจอเลย...เรียกว่าเป็น Multinational City อย่างแท้จริง...

เวลาออกไปข้างนอก ไปห้าง ซื้อของ เดินเล่น เราจะไม่ค่อยรู้สึกแตกต่างเพราะหน้าตาเราก้อแบบเอเชีย และที่นี่คนเอเชียครองเมือง ไม่ใช่ฝรั่ง Canadianครองเมือง เพราะฉะนั้นรู้สึกกลมกลืน เพียงแต่เค้าคุยกันเป็นภาษาอังกฤษกับจีนส่วนใหญ่...เคยมีครั้งนึงเร็วๆนี้เอง เดินผ่าน Oakridge Mall จะไปเรียนหนังสือ ปรากฎมีผู้หญิงท่าทางดีสองคนเดินตามยุ่นมา แบบไล่พยายามให้ทัน แล้วสะกิดถามว่า Can you speak Korean? เราก้อบอก No, I can't. I'm from Thailand. เค้าก้อโค้งขอโทษ...ก้อไม่รู้ว่าถ้าเราเป็นเกาหลีเค้าจะทำอะไรต่อ...ทุกวันนี้ก้อยังสงสัยอยู่...

เวลาที่ไปเรียนที่ South Hill เพื่อนร่วมห้องก้อจะเป็นประชาชนชาวจีนแดงส่วนใหญ่ พวกนี้บ้างก้อ immigrate เข้ามานานแล้ว แต่ทำงานในชุมชนจีน จึงไม่ได้ฝึกพุดอังกฤษ บางคนก้อยังพูดไม่ค่อยได้ บ้างก้ออึม...มาเรียนเพื่อจะไปเรียนต่อ...สายอาชีพ แต่ทุกคนต้องจบ high school ที่นี่เป็นขั้นต่ำ คือเค้าจะสนใจ Eng 12 เป็นสำคัญ บ้างก้อเหมือนยุ่นเนี่ย..คือว่างงาน ไม่มีงานทำ ก้อมาเรียนเพื่อจะไปเรียนต่อ บ้างก้อมาเรียนฆ่าเวลา และบ้างก้อมาเรียนเพื่อเอาไปช่วยสอนลูกที่มาอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ เจอสองถึงสามแม่แล้วมาเรียนเพื่อเอาไปสอนลูก เวลาลูกไม่เข้าใจเลขที่โรงเรียน...ก้อเรียกว่ามีหลากหลายวัตถุประสงค์

แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ยุ่นคิดว่ามาเรียนให้จบ high school แล้วก้อไปต่อ college หรือถ้าพวกวัยรุ่นก้อต่อ university....และวิชาแรกที่ยุ่นลงเรียนก้อคือ Eng 10 และใน class นั้น ทำให้ยุ่นได้มีโอกาสรู้จักและสนิทสนมกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่นั่งด้านขวามือยุ่น...และเราก้อได้ช่วยเหลือกัน และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงทุกวันนี้...แม้ว่าเราจะได้เรียนด้วยกันแค่สี่ห้าเดือน...

เธอชื่อ Iku เป็นคนญี่ปุ่น ไม่ได้ถามอายุนะ แต่เดาอายุน่าจะประมาณ 30 กว่าๆ ที่นี่การถามอายุเป็นการเสียมารยาท ยุ่นจึงไม่กล้าเปิดคำถามนี้แม้จะสนิท... Ikuมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ปีนี้เป็นปีที่เก้าแล้ว มาอยู่คนเดียว....สุดยอด อยู่ได้ไง...คิดในใจเพราะยุ่นไม่แน่ใจว่ายุ่นจะอยู่คนเดียวในบ้านเมืองที่เราไม่เกิดได้มั้ย??? มาครั้งแรกแบบเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนทุนอะไรประมาณนั้น มาแล้วชอบมาก ก้อประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว. ... มาก้อไม่ได้ทำอะไร เที่ยวแล้วก้อเรียนนิดหน่อย รู้สึกสนุกและชอบ Vancouver มาก กลับไปก้อพยายามที่จะต้องมาให้ได้ ก้อศึกษาว่าจะมาได้ไง ตอนนั้น Iku เพิ่งเรียนจบไม่นาน และทำงานเป็นเหมือนติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษที่ญี่ปุ่น...เออ..ลืมถามเมือง..ว่าเมืองอะไร...ไว้คงต้องถาม เธอบอกเครียดมากๆเลย..เพราะเวลาสอนเด็กที่โน้นแบบติวเตอร์ต้องรับผิดชอยมากๆ ถ้าเด็กสอบเข้าโรงเรียนดีๆไม่ได้ ผลงานก้อไม่ดี ต้องพยายามผลักดันให้เด็กสอบเข้าโรงเรียนดังๆให้ได้ Iku เครียดจนผมร่วงเยอะมาก เธอเล่าให้ฟัง แววตาหวนระลึกถึงภาพเก่าๆในอดีต...ตาดูเศร้าๆ

หลังจากได้มาอยู่แวนคูเวอร์หนึ่งปีก้อติดใจ กลับญี่ปุ่นก้อไม่อยากทำแล้วไอ้งานติวต้งติวเตอร์ ก้ออยากมาอยู่ที่นี่ ก้อศึกษาข้อมูลพบว่า ถ้าหากมาเป็น Nanny ที่นี่สองปีหรือ 365x2 วัน ก้อจะมีสิทธิที่จะ apply เป็น PR ที่แคนาดา ก้อเลยตัดสินใจสมัครเป็นnanny และบินมาที่แคนาดาเมื่อแปดเก้าปีที่แล้ว...

Iku ก้ออยู่กับครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนแคนาดาที่นี่ มีลูกสองคนเล็กๆให้ดูแล...เธอเล่าว่าเป็นชีวิตที่ทนทุกข์ทรมานมาก....ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 8 เหรียญ ทำงานเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น...วันละแปดชั่วโมง...เครียดมากเพราะคนญี่ปุ่นผู้หญิงเนี่ยเป็นคนละเอียดมาก ตรวจฝุ่นในบ้านแบบเอามือกรีดไปตามจุดที่ต้องการตรวจสอบว่าสะอาดมั้ย....พื้นห้องต้องกวาดถูแบบไม่มีฝุ่นเลย...ยุ่นก้อถามว่าแล้วกินอยู่ยังไง เธอก้อบอกว่ากินอยู่กับเค้า คือเค้าจะให้ Iku อยู่ห้องข้างล่างซึ่งที่นี่จะเรียก basement และคิดค่าเช่าด้วยนะ ค่าอาหารก้อคิดด้วยนะ สรุปเดือนๆหนึ่งได้เงินเดือนมา จ่ายค่าเช่ากับค่าอาหาร ก้อเรียกว่าเกือบพอดีพอดีเลย ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย....ยุ่นก้อบอกแล้วทำไมไม่ย้ายไปทำกับคนอื่น เธอก้อเล่าว่าถ้าย้ายก้อกลัวเจ้านายคนนี้จะไม่เขียนให้เธอว่าเธอได้ทำงานอยุ่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว...และก้อเหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ ก้อไม่รุ้เจ้านายใหม่เป็นไง ก้ออดทนจนครบสองปี นอนร้องไห้ทุกวันเลย...ไม่กล้าเขียนไปเล่าให้พ่อกับแม่ที่ญี่ปุ่นฟังด้วย เพราะเป็นคนที่ตัดสินใจมาเอง เค้าห้ามก้อไม่ฟัง ก้อไม่อยากทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ ก้อเลยอดทนจนครบสองปี แล้วเจ้านายเค้าก้อ sign ในเอกสารว่า Iku ทำหน้าที่ Nanny ครบสองปี แล้วก้อ apply PR .....ฟังเรื่องของ Iku แล้ว ไอ้เรื่องที่เราทำความสะอาดห้องคืนป้า Rayเนี่ยเป็นเรื่องจิ๊บๆไปเลย...ก้อให้รู้สึกว่า Iku เนี่ยดูจากภายนอกเหมือนเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ข้างใน Iku เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวมากๆเลย...ทำให้ยุ่นเองรู้สึกชอบเธอ และรู้สึกว่าเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเธอ...

และหลังจากนั้น Iku ก้อ free ก้อออกหางานทำ ก้อทำอีกสองหรือสามที่ ไม่ดีก้อออก จนในที่สุดได้บริษัทล่าสุดดีมาก เป็นของคนญี่ปุ่น เธอชอบงานนี้ เจ้านายก้อเป็นชาวญี่ปุ่นและดีกับเธอ เธอต้องไปต้อนรับแขกของเจ้านาย ไปทานข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้ เป็นงานที่ไม่เครียดและค่อนข้างสบาย...รายได้ก้อโอเคแต่ไม่สูงมาก....แต่ไม่นาน บริษัทนี้ก้อปิดกิจการลง...เนื่องจากปัญหาเรื่องเงินทุน เธอเลยถูก lay-off Ikuเล่าว่าเนี่ย สุวรรณีเชือ่มะ ถ้าไม่ถูก lay off ก้อยังไม่รู้เลยว่าจริงๆรัฐบาลแคนาดาเค้ามีนโยบายช่วยเหลือคนที่ตกงานโดยบริษัทปิดตัวลง เพื่อนๆก้อบอกให้ใช้สิทธิ เธอจึงใช้สิทธิของการถูก lay off โดยระหว่างที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ รัฐบาลก้อช่วยค่าใช้จ่าย Iku เดือนหนึ่งก้อประมาณ 8-900 เหรียญ ตกสัปดาห์ละ 200 กว่าเหรียญ เป็นเวลาเกือบห้าสิบสัปดาห์ แต่กฎเกณฑ์ใหม่รู้สึกจะเปลี่ยนเป็นห้าสิบสองสัปดาห์แล้ว... เลยทำให้ Iku ได้มาเรียนที่ South Hill ตอนนี้เลยคิดว่าจะต้องเรียนจบ high school แล้วจะไปเรียนต่อ Librarian assistant เพื่อจะได้มีรายได้ที่ดีขึ้น..ช่วงที่เธอเรียนเธอไม่ได้ทำงานนะ เพราะมีเงินก้อนนี้ที่ช่วยเหลือเธออยู่...

แต่พอหลังจากนั้นที่เราคุยกันอีกสามเดือน เธอก้อเล่าให้ฟังอีกว่า สุวรรณีตอนนนี้ Iku จะหมดระยะเวลาที่รัฐให้เงินแล้ว ตอนนี้คงต้องหางานทำแล้ว...จากนั้นไม่นานเธอก้อได้งานทำใน Aquarium ......แต่ก้อตกชั่วโมงละ 8 เหรียญ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย บางทีเธอก้อไปสอบที่มหาลัยที่เธอเลือกจะเรียน Librarian Assistant คือถ้าสอบผ่านในคะแนนที่ดีก้อสามารถขอทุนรัฐบาลเรียนฟรีได้ ซึ่งเธอต้องการเช่นนั้น เพราะค่าเล่าเรียนก้อค่อนข้างสูง....เรียกว่าเธอเป็นหญิงอึดมาก...แต่เธอสอบสองถึงสามครั้งก้อยังไม่ผ่าน เพราะที่นี่ภาษาอังกฤษโหดมาก...ไม่สามารถผ่านกันง่ายๆ..

และเราก้อไม่ได้เจอกันนานพอควร ก้อน่าจะประมาณ 6 เดือนได้ แล้วเธอก้อโทรศัพท์มาหาให้ยุ่นช่วยติว math 11 ให้หน่อยเพราะถ้าเธอผ่านตัวนี้ เธอก้อ graduate ที่ south Hill แล้ว ยุ่นก้อยินดีช่วยเหลืออยู่แร้ว...ในที่สุดเธอก้อผ่านฉลุย และ graduate เรียบร้อบแล้ว...แต่เธอเล่า plan ใหม่ของเธอก้อคือเธอจะกลับญี่ปุ่นไปสามเดือนก่อน ตอนนี้ขณะที่กำลังพิมพ์เรื่องเธออยู่ เธอคงอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว...และเธอก้อคิดว่าเธอจะไปอยู่ที่ Toronto เพราะเผื่อว่าเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางแล้วเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ยุ่นก้อถามว่าไปคนเดียวเหรอ เธอบอกใช่ เธอกะจะไปเริ่มต้นใหม่ที่โน้น เธอรุ้สึกว่าเธออยุ่แวนคูเวอร์เนี่ยไม่โอเค ชีวิตเธอตกต่ำลงเรื่อยๆ หางานดีๆก้อไม่ได้...ซึ่งยุ่นก้อได้แต่เตือนเธอว่า คิดดีๆนะ เพราะที่โน้น Iku ไม่มีเพื่อนเลยและอากาศก้อหนาวมากๆเลย เพื่อนหลายคนที่ยุ่นรู้จักที่นี่เค้าก้อย้ายมาจาก Toronto เพราะทนความหนาวเย็นไม่ได้...เธอบอกเธอรู้ว่านี่คือโจทย์ที่ยากสำหรับเธอ เธอคงต้องใช้เวลาคิดพิจารณาอีกสักระยะหนึ่ง...และคำตอบจะเป็นอย่างไร...อีกสามเดือนข้างหน้า...ยุ่นก้อคงรู้ ว่า Ikuจะกลับมาแวนคูเวอร์ หรือไปอยู่โตรอนโตหรือว่าไม่กลับมาแคนาดาอีกเลย....แต่เลือกที่จะอยู่ที่ญี่ปุ่นบ้านเกิดของเธอเอง....

และนี่ก้อคือ Iku ซัง ที่ยุ่นได้มีโอกาสรู้จักกับเธอที่แวนคูเวอร์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีโอกาสพานพบมาเจอกัน ยุ่นเป็นคนไทย Ikuเป็นคนญี่ปุ่น แต่เรามาเจอกันที่แคนาดา....คงเพราะเราสองคนคงเคยทำอะไรร่วมกันมาชาติที่แล้ว จึงทำให้เราต้องได้มารู้จักและได้เป็นเพื่อนกันอีก......ยุ่นคิดนะ...

ชีวิตจริงในแวนคูเวอร์ ตอนสอง

หลังจากได้งานแล้ว จำได้ตอนนั้นเดือนพฤศจิกา..ก้อบังเอิญว่าตอนแรกที่มาอยู่เนี่ยก้ออยู่ชั้นสามของ apartment Four Wings มันก้อดีนะ แต่เป็น one bed room ซึ่งสามคนพ่อแม่ลุกก้อนอนกันไม่ลงตัว ก้อมีสองคนนอนเตียง ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นต้องเป็นยุ่น อีกคนก้อเป็นยีน เพราะคุณพ่อก้อเสียสละออกไปนอนในห้องนั่งเล่น และนอนกับ couch ก้อคือโซฟา แต่ที่นี่เรียก couch ซึ่งก้อทำให้มีปัญหาเรื่องปวดหลัง...นอนหลับไม่สนิท จึงทำให้ครอบครัวเราต้องมีการขยับขยาย...

ที่นี่การหาห้อง two bedroom ก้อเป็นอะไรที่หายาก ส่วนใหญ่ห้องที่ว่างจะเป็น one bedroom อีกอย่างราคาก้อเป้นตัวแปรที่สำคัญ เนื่องจากเราต้องการอยู่บริเวณนี้เพื่อให้ลูกได้เรียน Eric Hamber เพราะฉะนั้นค่าเช่าแถบนี้ก้อจะค่อนข้างสูง...บังเอิญวันนั้นหน้าต่างที่ห้องเสียปิดไม่ได้ เราก้อไปตามลุงผู้จัดการ ลุง Ed มาดู ฮ่งก้อบอกว่าสนใจหาห้อง two bedroom หลังจากนั้นไม่นาน ป้า Ray ภรรยาลุงก้อมาเคาะห้องบอกว่ามีห้อง 2 bedroom ว่างสนใจมั้ย ไปดูก่อนได้ เราก้อสนใจและในที่สุดก้อตกลงย้ายลงมาอยุ่ข้างล่างชั้นหนึ่ง...ซึ่งจริงๆก้อไม่ค่อยจะโอเคเท่าไร คือชั้นสามจะใหม่กว่าชั้นหนึ่ง.. แต่เนื่องจาก 2 bedroom หายาก เราจึงตัดสินใจเอาก้อเอา...

เวลาที่เราจะคืนห้องเค้า เราก้อต้องทำความสะอาดห้องคืนเค้า ถ้าไม่เช่นนั้นเค้าจะ charge เราก้อประมาณ 70-80 เหรียญ ซึ่งเราก้อไม่อยากเสียอันนี้ ฉะนั้นเราก้อทำความสะอาดกัน ฮ่งก้อรับผิดชอบห้องน้ำ ยีนก้อช่วยดูดฝุ่น ยุ่นก้อรับผิดชอบห้องครัว...ก้อทำสะอาดแบบของเรา แต่ไม่ใช่แบบของป้า พอแกมาตรวจก้อไม่ผ่าน แกก้อบอกวันจันทร์เนี่ย u ว่างมั้ย หมายถึงยุ่นเพราะฮ่งทำงาน ยีนเรียน ก้อเหลือเราคนเดียว ก้อบอกว่าง งั้นเรามาช่วยกันทำความสะอาดใหม่ เดี๋ยวไอจะเอาเครื่องมือและน้ำยาต่างๆมา แล้วเรามาช่วยกัน ให้มาหาที่ห้องเก่า (ตอนนั้นก้อไปอยู่ห้องใหม่แล้ว) ตอนเช้าสิบโมง...เสร็จวันจันทร์ยุ่นก้อไปสิบโมงตรงเป๊ะ ปรากฎป้าทำตั้งนานแล้ว ป้าอยู่ที่ครัว แกกำลังขัดไอ้เตากะทะไฟฟ้า ที่มีสี่หัวนะ คือตอนคืนห้องมันก้อดำใช่มะ เราก้อคิดว่าสีเดิมคือดำ แต่ป้าแกขัดซะเงางามเลย มันเปลี่ยนเป็นสีเงิน เงาใหม่สวยเลย...มีสี่หัวแกเหลือให้เราขัดสองหัว เราก้อขัด..โอ้โฮ...มันไม่หมูเลย ขัดเท่าไรก้อไม่เงา ออกแรงขัดมาขัดไป สองอันเนี่ยเกือบชั่วโมง ขณะที่ขัดก้อโกรธนะ เราก้อเพิ่งมาอยู่ ไม่ได้เป็นคนทำสกปรก ทำไมเราต้องมาขัดเนี่ย...เซ็งมากเลย...เมื่อยก้อเมื่อย เกิดมาไม่เคยทำเลย...เสร็จก้อเหลือบมองของป้า..อึม..แต่ป้าก้อแก่แล้ว ทำไมแกยังขัดได้ซะเงางามขนาดนี้ เอานะ ขัดไป จะได้เรียนรู้การทำความสะอาดฝาเตาไฟฟ้า...คิดแบบนี้ก้อเลยไม่ทุกข์ทำไปเรื่อยๆจนมันเงางาม...แต่ยังไม่จบ ป้าเล่นรื้อตู้อบข้างล่างออกมาหมดเลย ถอดทั้งตู้เลย แกบอกต้องขัดหมด ตอนนั้นอยากร้องไห้ เกิดมาไม่เคยทำเลย คิดถึงแม่มากๆเลย ถ้าแม่รู้แม่คงไม่สบายใจที่เราต้องมาทำงานแบบนี้ เชื่อมะ...ต้องเอาตัวมุดเข้าไปในตู้ ขัดทุกซอกทุกมุม แล้วไอ้ที่ป้าแกะออกมาเป็นชิ้นๆ ก้อต้องขัดเป็นซี่ซี่เลย เรียกว่าขัดจนแขนขวาปวดเมื่อยมาก...แต่ก้อต้องอดทน...ป้าก้อบอกว่ายูเนี่ยเป็นคนที่สอนง่าย เรียนรู้ง่าย good cleaner ป้าเข้าใจหยอดคำชมนะ หยอดเยอะเลย...แต่ป้าเห็นเราขัด คงจะเงอะๆงะๆ ...แกก้อถามนะ อยู่เมืองไทยไม่เคยทำเหรอ ยุ่นก้อบอก ไม่เคย ไม่ได้ใช้เตาแบบนี้ด้วย...ก้อคงคิดไอ้นี้..บ้านเมืองใช้เตาแบบไหนเนี่ย เตาถ่านรึปล่าว !?!

เสร็จก้อประมาณเที่ยง ลองนึกภาพขัดแบบนั้นนะไปไปมามาโดยใช้มือขวาขัดนะ สองชั่วโมงก้อรู้สึกเดี้ยงเนอะ...ป้าบอกให้เบรคชั่วโมงนึง เดี๋ยวบ่ายโมงมาเจอกัน...อะไรนะ!!!! ยังไม่เสร็จเหรอ..ป้าบอกห้องน้ำยังไม่ค่อยสะอาด เดี๋ยวบ่ายมาทำอีก พระเจ้า แกไม่รู้เหรอว่าเราเกลียดการล้างห้องน้ำที่สุด อันนี้เป็นงานที่ไม่ชอบสุดๆ แต่ก้อต้องมาตามนัด

บ่ายโมงยุ่นก้อมาตรงเป๊ะเหมือนเดิม ปรากฏป้าอยู่ก่อนอีกแล้ว แกบอกแกล้างห้องน้ำเสร็จหมดแล้ว ให้เราแค่ถูพื้นห้องน้ำให้แกได้มั้ย เราก้อดีใจมากบอกได้เลย ถูสามสี่รอบเลย อย่างสะอาด จากนั้นก้อกลับไปในครัวอีก ขัดตู้เย็นทั้งตู้ แล้วขยับออกมา มุดตัวเข้าไปถู ปีนขึ้นไปถู ขัดบนตู้เย็นด้วย ไม่ให้มีคราบน้ำมันเลย...กว่าจะจบก้อใกล้สามโมงครึ่งแล้ว ปรากฎป้าก้อเปลี่ยนหลอดไฟ แกก้อแกะหลอดไฟที่เป็นโคมระย้าออกมาโดยปีน ladder ขึ้นไป เสร็จยุ่นก้อเห็นหน้าแกเหนื่อยๆ ก้อสงสารแก ถามป้าว่า ป้าทำความสะอาดไฟยังไง สอนหน่อยเดี๋ยวทำให้ แกก้อบอกหมุนแบบนี้แกะออกมาแล้วก้อล้าง เสร้จเช็ดแห้ง แล้วหมุนกลับเข้าไป...ก้อบอกแกว่าเราทำได้ เดี๋ยวทำให้ แกลงมาจาก ladder แล้วนั่งพักก้อแล้วกัน แกก้อลงมา จากนั้นเราก้อโซโลเอง...ไม่นานก้อเรียบร้อย....

อันนี้ก้อคือชีวิตจริงที่ไม่ได้คาดคิดว่าเราจะเจอและจะต้องทำ แต่มันก้อคือชีวิตจริง...แต่สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นคือตั้งแต่วันนั้นป้าจำสุวรรณีได้ แรกๆไปอยู่สองเดือนแรก แกจำเราไม่ได้ ฮ่งเคยแนะนำแล้ว...เวลาไปซักเสื้อมีปัญหาเรื่องเครื่องซักผ้าบอกแก แกก้อจะรู้สึกหงุดหงิด พูดแบบดุๆเรายังไงไม่รู้ เวลามีอะไรบอกแกก้อรู้สึกจะดุๆตลอด และก้อจำเราไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ทำความสะอาดกับป้า ผลดีโดยตรงคือประหยัดเงิน 70 เหรียญ ป้าบอกป้าไม่คิดแม้แต่เหรียญเดียว ผลทางอ้อมคือป้าจำสุวรรณีได้ และเอ็นดูเป็นพิเศษด้วย...เวลามีอะไรเรียกหรือบอกแก เดี๋ยวนี้ป้ากับลุงจะมาในทันทีที่เรียก นอกจากนี้ยังชวนเราไปโบสถ์ เป็นแขกของลุงกับป้า ไปฟังคอนเสิร์ทบ้าง ไปดูละครบ้าง เรียกว่าเปลี่ยนไปเลยแหละ...เวลาเจอเนี่ยป้าจะทัก Hi Honey.....หรือบางทีไม่เจอนานๆแกก้อจะเข้ามากอดเลยแหละ...ก้อเรียกว่า...ในสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี แต่มันก้อมีอะไรดีๆเกิดขึ้นเหมือนกัน....นิ

Friday, December 11, 2009

ชีวิตจริงในแวนคุเวอร์ ตอนที่ 1

ก้ออย่างที่เล่าตอนแรกว่า สามอาทิตย์แรกที่มาอยู่นั้น เรารู้ไงว่ายังไงเราก้อต้องกลับไทย ไม่ได้อยู่ถาวรตอนนี้ ฉะนั้นความรู้สึกตอนนั้นคือ มีความสุขกับเวลาอันจำกัดที่ต้องอยู่กับยีนกับฮ่งที่แวนคุเวอร์ ใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า และรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมากๆ..

แต่หลังจากที่บินไปอยู่จริงเมื่อเดือนกันยายน 2008 อันนี้แหละของจริง คิดอยากกลับไทยก้อไม่ใช่จะกลับได้แล้วนะ มีอะไรก้อต้องอดทน...เริ่มแรกไปถึงก้อยังสนุกอยู่ ช่วงเดือนแรก แบบปรับระบบสมดุลในชีวิตใหม่ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแปลกใหม่ ช่วงแรกก้อสนุกดี วันจันทร์ถึงศุกร์ก้ออยู่บ้าน ไปซื้อของก้อไปแถวบ้าน ไม่มีอะไรมาก เสาร์อาทิตย์ ฮ่งก้อจะพาไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่ ไป Down town , Cambie , China town , Metrotown , Richmond ไปเที่ยวหาด...เดินเล่น shopping ช่วงแรกก้อดีนะ ...แต่พอซะพัก เริ่มเบื่่อ...คือของก้อแพงเนอะ ส่วนใหญ่ก้อเดินดู ไม่ค่อยได้ซื้อ ก้อเริ่มไม่หนุกเท่าไร...อีกอย่างก้อไม่ได้เป็นคนชอบ shoppingอะไรมากมาย...ก้อเริ่มอยากทำอะไรอย่างอื่น ฮ่งก้อแนะให้ไปเรียนหนังสือก่อน...ก้อเลยได้เิ่ริ่มเรียนที่ South Hill เป็นสาขานึงของ Vancouver School Board

ก่อนเรียนกอ้อต้องสอบเลขกับอังกฤษ ก้อเรียกว่าพอจะมีพื้นฐานบ้าง คะแนนออกมาก้อไม่น่าเกลียด เค้าก้อมีครูมาให้คำปรึกษาวางแผนร่วมกับเราว่าเราจะเรียนอะไร อย่างไร...จากนั้นก้อลงเรียนอังกฤษเป็นวิชาแรก ซึ่งผลสอบเค้าให้เราเริ่มที่ Eng 10 ซึ่งถือว่าใช้ได้ เพราะส่วนใหญ่จะเริ่มกันที่ foundation ไอ้ที่ว่า Eng10 ก้อคืออังกฤษของมอสี่นะ ถ้าเทียบกับบ้านเรา แต่คือมันเทียบกันไม่ได้ เพราะไม่เหมือนกันเลย...ที่นี่เรียนแบบอ่านอังกฤษเยอะมาก...และเรื่องที่เค้าให้เราอ่านก้อหลากหลายดี ทำให้เรามีมุมมองต่างๆมากขึ้น...เรียกว่าสนุกและมีแง่คิด วิธีการสอนก้อต่างจากของเรา คือให้เราแสดงความคิดเห็น แบ่งกลุ่มถกกัน แล้วครูก้อจะมาสรุปอีกครั้งนึง...เน้นการแสดงความคิดเห็น...และที่เน้นมากๆคือ writing เป็นอะไรที่ต้อง writing ได้ ต้องแสดงความคิดเห็นของคุณผ่านตัวหนังสือให้เค้าเข้าใจคุณภายใต้ structure เดียวกัน เพิ่งได้รู้ว่า writing เค้าเขียนแบบนี้ อ๋อ..มันมีวิธีการเขียน มีหลักมีการ ไม่ได้มั่วนะ ไม่ใช่อยากจะพูดจะเขียนอะไรก้อเขียนได้...กีดีนะ แม้จะเรียน Eng 10 ซึ่งอาจจะดูเหมือนเราจบมหาลัยบ้านเรามาแล้ว แต่ภาษาัอังกฤษเราใช้การไม่ได้จริงๆ ก้อได้อะไรมากมายจากการเรียน Eng 10 ครั้งแรกนี้นะ...

หลังจากเรียนไประยะนึงก้อรุ้สึกอยากทำงาน..รู้สึกชีวิตเราน่าจะทำอะไรมากกว่านี้ ฮ่งก้อเลยบอกลองโทรไปที่ศูนย์คุมองที่ตรง Fraser ที่เราเคยไปเยี่ยมสิ...เราก้อบอกจะดีเหรอ เกรงใจเค้า คือตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะทำคุมองไง...
ฮ่ง: รู้มั้ยว่าที่นี่หางานยากมากเลยยุ่น...ไม่ใช่ยุ่นคิดอยากจะได้งาน ก้อได้นะ..
ยุ่น: อยากลองแบบฮ่งที่ไปเรียนว่าเราต้องเริ่มยังไง เขียน resume ไง สัมภาษณ์ไง น่าลองดู
ฮ่ง: อย่าเลย เสียเวลา รับรองยุ่นต้องทนไม่ได้อีก ลองโทรไปดูก้อแล้วกัน
ยุ่น: รู้ได้ไงว่าทำไม่ได้....ชักเคือง...
ฮ่ง: ลองโทรไปหาเค้าก่อน ที่นี่เค้าไม่เหมือนบ้านเรา เค้าไม่เกรงใจ ถ้าเค้าไม่อยากได้เค้าจะบอกตรงๆ แต่ที่นี่คือเราต้องนัดก่อน
ยุ่น: อึม ก้อได้...

จากนั้นก้อลองโทรไป...พอโทรไปคุยกับเค้า เค้าก้อจำเราได้ และเค้าบอกให้ไปวันนั้นเลย ยังจำได้วันนั้นเป็นวันศุกร์ เราก้อบอกเราจะไปวันจันทร์ เค้าบอกจันทร์ไม่เปิด ให้มาวันนี้เลย...ฌราก้อบอกกว่าจะเลิกเรียนก้อห้าโมงกว่าน่าจะถึงศูนย์ห้าโมงสี่สิบห้า เค้าบอกได้มาเลย..

จำได้วันนั้นก้อเป็นอีกวันที่รุ้สึกดีใจ เลิกเรียนยุ่นก้อเดินไป ห้านาทีก้อถึงแล้ว..เข้าไป..ก้อเห็นนักเรียนเต็มไปหมด ตื่นตาตื่นใจและทำให้ระลึกถึงศูนย์เราเอง...พอเค้าคุยกับเราไม่นาน เค้าก้อบอกมาทำเลยมะ เราบอกเราเรียนเลิกเย็น มาถึงที่นี่ก้อเกือบหกโมง เค้าก้อบอกจบ course เมื่อไร ยุ่นบอกขอเริ่มปลายเดือนมกรา 2009 ได้มั้ย เพราะเรียนจบเรียบร้้อย ก้อเป้นอันตกลง พร้อมเค้าก้อจ้างเราในอัตราที่สูงกว่าคนที่เริ่มงานที่นี่ คือให้ยุ่นชั่วโมงละ 15 เหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มกันที่ 8 เหรียญ เพราะฉะนั้น..ก้อเป็นอันว่าตกลงกันตามนี้...

ซึ่งเรื่องราวที่เล่านี้ ถ้าเป็นคนที่มาแวนคูเวอร์แรกๆ ไม่ว่าไทย จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม...ชาติไหนก้อตาม ทุกคนจะบอกว่าโชคดีมากที่ได้งานค่อนข้างเร็ว เพราะภาษาอังกฤษก้อยังไม่แข็งแรง และยังได้ค่าจ้างชั่วโมงค่อนข้างสูง......ก้อคิดว่าอาจเป็นอานิสงส์จากการที่เราได้ตั้งใจทำคุมองที่ไทยมา และเราก้อมีประสบการณ์กับการทำศูนย์มาระดับนึง...

.....รุ้สึกดี ที่ได้มีโอกาสสอนเด็กไทย..

มาอยู่ที่นี่ ก้อเรียกว่ามีความสุขใจ...แต่ไม่ค่อยสบายกายเท่าไร เนื่องจากตอนอยู่ที่ไทย..ก้อตื่นเช้ากว่าอยู่ที่แวนคูเวอร์นะ อึม..ใช่ ตื่นตีห้าครึ่ง แล้วก้อต้องไปส่งลูกที่โยธินทุกวัน เออ..ตอนนี้นึกออกแล้ว...ไม่ค่อยสุขเท่าไร แล้วก้อสงสารลูกมากๆเลย ลูกต้องไปโรงเรียนแต่เช้า กินข้าวเช้าที่โยธิน...เพราะหลีกเลี่ยงเวลาที่รถติดช่วง rush hour....

งั้นที่นี่ สบายกว่า ยุ่นจะตื่นเจ็ดโมงทุกวัน ตื่นก่อนสองคนพ่อลูก ขึ้นมาเตรียมอาหารกลางวัน lunch box คุณยีนก้อจะชอบสไตล์ฝรั่ง western คุณฮ่งก้อสไตล์บ้านเรา oriental ก้อเรียกว่าพยายามทำให้ถูกใจคนกิน....พอทำข้าวกล่องเสร็จ ก้อตามด้วยเตรียมอาหารเช้าให้สองคนพ่อลูก รวมทั้งตัวเองด้วย...อยู่ที่นี่ข้อดีคือยีนตื่นสายได้ เค้าตื่นเจ็ดครึ่งอาบน้ำกินข้าวครึ่งชั่วโมง เดินไปโรงเรียน 15-20 นาทีก้อถึงแล้ว เรียกว่าได้ออกกำลังกายทุกวัน...ส่วนฮ่งก้อตื่นประมาณแปดโมง ทำโน่นทำนี่เสร็จออกจากบ้านเก้าโมง...นั่ง Canada line แล้วต่อรถเมล์ ถึงที่ทำงานก้อใกล้ๆ 10 โมง ก้อสบายๆ...

จากนั้น...เราก้ออาบน้ำ...เก็บกวาดบ้านบ้างบางวัน อึม..มีเวลาก้อนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ แล้วไม่นานก้อต้องเตรียมอาหารกลางวันให้ตัวเอง แล้วก้อไปเรียนหนังสือ ถ้าเป็นอังคาร พฤหัส ศุกร์ หลังเรียนเสร็จก้อเดินไปทำงานที่ศูนย์คุมอง ห้านาทีก้อถึง สะดวก สบาย...ตอนกลับมิสติงเค้าก้อมาส่งเราทุกครั้ง เนื่องจากเป็นทางผ่านกลับบ้านเค้า ก้อเรียกว่าค่อนข้างโชคดี...

สำหรับตอนนี้ก้อมีงานเข้า...ก้อหมายอย่างนั้นจริงๆ คือมีพี่คนไทยที่อยู่ที่นี่ ให้ยุ่นช่วยดูแลลูกเค้าในเรื่องคณิตศาสตร์ หรือพูดกันภาษาชาวบ้านคือติวเลขให้น้องเค้า...น้อง GeGe อยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ตอนนี้ก้อเกรด 6 วันนั้นมาหาด้วยอาการแบบเศร้าๆ ตกเลข ได้ 40 เต็ม 100 ไม่มั่นใจในตัวเอง...

ไอ้เราก้อเคยแต่สอนคุมอง ก้อไม่เคยสอนเลขใครนอกจากแนะลูกชาย เพราะคุณยีนไม่ค่อยยอมให้สอน เค้าบอกฟังแม่ไม่ค่อยเข้าใจ...แต่ก้อบอกพี่เค้าจะลองดู สอนน้อง GeGe ทุกวันพุธ ครั้งละสองชั่วโมง นี่ก้อเรียนไปสามครั้งแล้ว ครั้งแรกสอนเสร็จก้อบอก GeGe ว่า น้ายุ่นตั้งไว้ที่ Aนะ... GeGe กับคุณแม่บอกค่อยๆก้อได้ค่ะ คือ B หนูก้อพอใจแล้ว ....แต่หลังจากเรียนไปสองครั้ง โรงเรียนสอบ GeGe ได้ B ปรากฏครั้งล่าสุดมาเรียนบอกจะเอา A มาฝาก แล้ว GeGe ก้อเอามาฝากน้ายุ่นจริงๆ...ถาม GeGe ว่าครุที่โรงเรียนชมมั้ย เค้าบอกไม่ได้ชมค่ะ แต่เค้า surprise ค่ะ เพราะ GeGe ไม่เคยได้คะแนนเลขดีเลย fail ตลอด แต่ครั้งนี้ได้ 89%......และ GeGe จะพยายามตั้งใจค่ะ จะพยายามทำให้ได้ A ค่ะ....ยุ่นรู้สึกดีใจมากเลยที่ทำให้ GeGe มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เค้ารู้สึกภูมิใจในตัวเองและคิดว่าเค้าทำได้ แต่เค้าต้องขยันด้วย กลับบ้านเค้าทบทวนอีกครั้ง พยายามฝึกทำแบบฝึกหัดด้วย..อันนี้เนี่ยรู้สึกดีใจมากกว่าการที่ GeGe ได้เลขเกรด A อีก การได้เลขคะแนนดีนะมันเป็นผลทางอ้อม แต่สิ่งที่ดีก้อคือเราได้ทำให้เด็กคนหนึ่งเค้ารู้ว่าเค้าสามารถจะทำอะไรที่ยากๆได้.....หรือที่เคยทำไม่ได้...เค้าก้อทำได้ ถ้าเค้าพยายาม.....ต้องบอกว่า น่ารากกก....กกกก มากๆเลยค่ะ... น้ายุ่นก้อภูมิใจในตัว GeGe ค่ะ..

และตอนนี้ก้อมาเรียนเพิ่มอีกคนค่ะ คือพี่ ฺฺB Bee เกรด 8 มาทุกวันเสาร์ค่ะ สองชั่วโมงเหมือนกัน..เพิ่งสอนไปครั้งเดียว ก้อรู้สึกดีนะ การที่เราได้ดูเด็กส่วนตัว ทำให้เราเห็นเค้าชัดขึ้น และรุ้ว่าเค้ามีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน และก้อได้เอาวิชาที่ได้จากคุมองมาประยุกต์ใช้กับเด็กสองคนนี้...รู้สึกดีมากเลย...ที่เราสามารถเอาความรู้ของเรามาช่วยเด็กๆได้....และ..ก้อรุ้สึกดีมากเวลาที่ได้สอนเด็กๆและได้เห็นแววตาที่ฉายความสุข, ความเชื่อมั่นและภูมิใจในตัวเอง....

ก้อคงต้องขอบคุณคุณแม่ B Bee กับ GeGe นะค่ะ ที่ให้โอกาสและไว้วางใจให้ยุ่นได้ทำงานนี้.....

Thursday, December 10, 2009

Winter 2009

ปีที่แล้วที่ยุ่นเพิ่งจะมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ ก้อประมาณเดือนกันยายน 2008 ช่วงนั้นก้อเป็นช่วง Fall และหลังจากนั้นไม่นาน ก้อเข้า winter และก้อเป็น winter ที่น่าประทับใจมาก เพราะหิมะตกหนักในแวนคูเวอร์ แบบว่าไม่เคยตกแบบนี้มาเป็นเวลา 40ปีแล้ว เรียกว่าต้อนรับการมาอยู่แวนคูเวอร์ของเรา อย่างไรก้อตาม ปีที่แล้ว ยุ่นก้อยังไม่ได้ทำงาน ก้อมีแค่เรียนหนังสือ และส่วนใหญ่ก้อไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปนานๆ วันที่หิมะตกหนักๆก้อรุ้สึกจะไม่ได้ไปเรียน..อึม ปีที่แล้ว...ก้อรู้สึกหนาวนะ แต่ไม่หนาวและ่ทรมานมากเท่ากับปีนี้ หรือเราอาจจำความรู้สึกหนาวของปีที่แล้วไม่ค่อยได้แล้ว....

สำหรับ winter ปีนี้ 2009 ก้อเริ่มหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกา จริงๆตุลาก้อหนาวแล้ว...แต่หนาวแบบยะเยือก ฝนตกทุกวัน ลมพัดแรง เวลาเดินในถนนเนี่ย สั่นเลย แต่ช่วงสองสามอาทิตย์นี้ไม่มีฝนเลย บางวันมองออกไปนอกหน้าต่าง...อึม.. ดีจังวันนี้ sunny day แต่ที่ไหนได้ หนาวกว่าวันที่ฝนตกซะอีก....ช่วงนี้อุณหภูมิติดลบทุกวันเลย -2ถึง -6 เรียกว่าเวลาเดินอยู่ข้างนอกเหมือนอยู่ในตู้เย็นช่อง freeze เลย หนาวสุดๆ หนาวอย่าบอกใครเลย....สมัยก่อนตอนอยู่ไทยยุ่นชอบหน้าหนาวเนอะ..รู้สึกมันเย็นๆ ได้เอาเสื้อหนาวเท่ห์ๆออกมาใส่ แต่มาอยู่ที่นี่ หนาวของจริง... เสื้อผ้าก้อใส่อย่างหนาตราช้าง..ไหล่เหล่ยเงี้ยแทบทรุด....และก้ออยากจะบอกว่าเป็นฤดูที่เกลียดมากถึงมากที่สุดเลย...

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ยุ่นก้อว่าเราใส่เสื้อหนาวหนาเต็มที่แล้วนะ สามชั้นบวกกับ overcoat อีกชั้น ปรากฏเอาไม่อยู่ นั่งเรียนเลขในห้องเรียนงี้ ตัวสั่นตลอด ไม่ได้ถอดออกแม้แต่ชั้นเดียว ปรากฎเพื่อนคนจีนที่นั่งข้างๆก้อเกิดอาการเดียวกัน...สั่นกันทั้งคู่... แล้วตอนเย็นไปทำงานที่คุมอง รู้สึกว่าทำไมวันนี้ศูนย์ึถึงหนาวจัง heater เสียมั้ย ให้เพื่อนดูให้ เค้าบอกปรับไม่ได้ ปรากฏมารู้ตอนหลังว่ามันเสีย...แต่พวกเค้าทั้งนักเรียนกับครูผู้ช่วยเค้าบอกเค้าไม่หนาวมาก แต่เราสิ หนาวมากเลย พอกลับมาบ้าน คืนนั้น ไข้ขึ้น เจ็บคอมาก ทำให้นึกถึงคำฝรั่งเวลาไม่สบายว่า "catch a cold" หรือว่ามันก้อคือแบบนี้นี่เอง....

ที่ไม่ชอบความหนาวเพราะหนาวเนี่ย...มันทรมานมากๆเลย...เวลาเดินใช่มะ ช่วงตัวเราก้อมีอะไรปกคลุม แต่หน้าเราหูเราไม่มีอะไรเลย จมูกเนี่ยเย็นมาก เย็นจนหายใจไม่ออก เวลาหายใจเข้าจะแสบจมูกมาก และน้ำมูกใสๆจะไหลออกมาตลอด รำคาญก้อรำคาญ เย็นก้อเย็น แสบก้อแสบ แสบจนเจ็บเลย... หูเนี่ยเย็นมาก แต่ก่อนเห็นเค้าใส่หมวกกัน ไอ้เราคิดว่าใส่เอาเท่ห์ จริงๆคือไม่ช่าย....เค้าใส่เอาอุ่น และทุกวันนี้ ยุ่นก้อต้องใส่หมวกทุกวัน...เพราะถ้าไม่ใส่ เกรงว่าหูหลุดอาจไม่รู้ตัวก้อได้ 55555 บางวันหมวกยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย....มืออีกหละ ตัวดีเลย เพราะเราต้องถือของด้วย ถ้าไม่ใส่ถุงมือนะ เรียกว่าแข็งเลยแหละ ทีแรกจะเย็น ไม่รู้สึก จนสุดท้ายมือแข็งและปวดมาก.ปวดลงไปถึงกระดูกเลย....เข้าใจคำว่าหนาวตายแล้ว มันคงทรมานมากๆเลย.....เรียกว่าถุงมือเนี่ยต้องใส่ บางทีใส่ยังไม่อยู่เลยต้องเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค๊ทอีก พวกเราสังเกตุมั้ยว่า เสื้อหนาวของฝรั่งมักมีกระเป๋าสองข้างให้มือซุก ก้อเพราะแบบนี้แหละ เวลาจะซื้อเสื้อหนาวมาใช้ที่เมืองนอก....ขอแนะนำให้ซื้อเสื้อหนาวที่มีกระเป๋าสองข้างให้เก็บมือได้ด้วยนะ......

และเราก้อต้องขึ้นรถเมล์ใช่มั้ย เวลายืนรอรถเมล์เนี่ย ลมก้อพัดแรง ไอ้ที่หนาวอยู่แล้วก้อหนักลงไปอีก หน้าหนาวเนี่ยรุ้สึกรถเมล์จะมาช้ากว่าปกตินะ...น่าเบื่อมาก....และถ้าบางทีนะกำลังข้ามถนนแล้วรถเมล์มา ยุ่นก้อจะวิ่งสุดชีวิตเพื่อให้ทันรถเมล์คันนั้น จะได้ไม่ต้องยืนหนาวรอรถคันต่อไป เชื่อมะ เวลาวิ่งช่วงหน้าหนาวนะ เหนื่อยมาก วันนั้นวิ่งดักรถเมล์ หายใจไม่ทันเลย ถึงขั้นหายใจไม่ออกเลยแหละ พอขึ้นรถรู้สึกเหมือนเราจะแย่คือนึกภาพตัวเองคงหน้าซีด หน้าเนี่ยเย็น แข็ง จมูกรู้สึกเหมือนไม่ทำงาน และเหมือนจะล้มลงไปไงไม่รู้ ต้องรีบหายใจเข้าเยอะๆ เพราะรู้สึกขาดออกซิเจน...

และนี่ก้อคือบางส่วนของการผจญกับความหนาวเย็นในแวนคูเวอร์ช่วง winter ซึ่งทำให้ยุ่นเริ่มเข้าใจว่าทำไมฝรั่งที่นี่ถึงไม่ชอบ winter และไม่ชอบให้มีหิมะตกเลย...เพราะหิมะ....นอกจากนำพาความหนาวมาแล้ว ยังทำให้การดำเนินชีวิตลำบากกว่าเดิมมาก ไม่ได้เย็นสบาย เป็นภาพสวยงามเหมือนอย่างที่เราเห็น มันมีภาพเบื้องหลัง....หิมะ....ซึ่งไม่สนุกเลย...

Tuesday, December 8, 2009

รถเมล์ในแวนคูเวอร์

มาอยู่ที่นี่ ก้อไม่มีรถใช้เหมือนอยุ่กรุงเทพบ้านเรา อันแรกคือเราเป็น PR ที่นี่ ก้อไม่สามารถที่จะเอาใบขับขี่สากลที่ทำมาแล้วมาใช้ขับได้ เพราะเราเหมือนเป็น citizen ของเค้า ก้อต้องไปสอบใบขับขี่ แต่เนื่องจากฮ่งเองมาถึงก้อมุ่งเน้นหางาน ไม่ได้สนใจที่จะสอบใบขับขี่ อีกทั้งที่นี่ระบบขนส่งมวลชนเค้าก้อเจ๋งกว่าบ้านเราเยอะ และหากมีรถ ก้อมีค่าใช้จ่ายมากมายตามมา เรือ่งประกันเอย ค่าที่จอดรถรายเดือนเอย ไปข้างนอกก้อต้องเสียค่าจอดรถเอย ทำให้ครอบครัวเราไม่ได้ซื้อรถกันสักที และยิ่งล่าสุดนี้ก้อคือมี Canada Line ก้อเหมือน BTS บ้านเรา ทำให้แทบไม่ได้คิดถึงเรือ่งรถอีกเลย..

การขึ้นรถเมล์ที่นี่ ถ้าเราต้องเดินทางทุกวัน การซื้อตั๋วเดือนจะคุ้มกว่า ก้อจะมีนะว่าคุณจะซื้อแบบ 1 , 2 หรือ 3 Zone ขึ้นกับว่าคุณต้องเดินทางไกลมากน้อยแค่ไหน ถ้าที่ทำงานกับบ้านอยู่ไม่ไกลมากก้อ one zone ต่อเดือนก้อตกใบละ 73 เหรียญ อันนี้คุณใช้ได้หมด ไม่ว่าขึ้นรถเมล์ Sea ฺBus, Canada line หรือ Sky Train ทุกอย่างคือ all in one ดีมากๆเลย คุ้มมาก...และถ้าวันธรรมดาหลังหกโมงครึ่งเราสามารถใช้ตั๋วนี้วิ่งข้าม 2 zone ได้ เช่นถ้าเราอยากไป Richmond และอีกอย่างคือวันเสาร์ อาทิตย์ ทั้งวัน ใช้ข้าม zone ได้ไม่เสียเงินเพิ่ม แต่ถ้าวันธรรมดา ข้าม zone ก่อนหกครึ่งตอนเย็นต้องเสียเงินเพิ่มรู้สึก เหรียญกว่า และวันอาทิตย์คนที่ถือตั๋วเดือนสามารถพาคนไปใช้บริการรถเมล์ เรืออะไรพวกนี้ได้ฟรีสองคน...คือหนึ่งใบแถมให้ฟรีอีกสามคนในวันอาทิตย์และยังข้าม zone ได้ด้วย...

แต่ถ้าเราไม่ได้เดินทางมากมาย เราก้อซื้อเป็น fair saver ก้อได้ เล่มนึงก้อสิบใบตกเล่มละ 19 เหรียญ ถ้าไม่ซื้อขึ้นรถเมล์หยอดเหรียญก้อได้ ครั้งละ 2.5 เหรียญ แต่ถ้าซื้อก้อประหยัดขึ้นมาใบละ 0.6 เหรียญ ก้อเห็นส่วนใหญ่ก้อซื้อกันนะ...เวลาใช้บัตรนี้หรือหยอดเหรียญจะเหมือนกัน คือเครื่องหน้ารถจะตอกเวลา บัตรหนึ่งใบมีเวลา 90 นาที ถ้าเราไปไหนมาไหนเกิน 90นาที เราต้องขึ้นใบใหม่หรือหยอดเงินซื้อใบใหม่ ซึ่งตั๋วเดือนจะไม่มีเรื่องกำหนดเวลา เพราะฉะนั้น การเดินทางไปไหนมาไหน ที่นี่เค้าจึงคำนวณเรือ่งเวลาเป็นสำคัญ...ตั๋วนี้ก้อเหมือนตั๋วเดือนใช้ได้ทั้งรถเมล์ Sea bus , Canada line , Sky train เนื่องจากรัฐบาลเป็นคนดูแลควบคุมเรือ่งนี้หมด...

การที่รัฐบาลดูแลเรื่องนี้ ขอโทษนะค่ะการบริการไม่เหมือนบ้านเรานะ...ดีสุดๆเลย...อย่างการขึ้นรถเมล์เนี่ย...คนขับส่วนใหญ่จะดีมากๆ เค้าจะรับผู้โดยสารทุกป้ายที่มีผู้โดยสารรอ แม้คนเดียวก้อจอด การจอดจะเทียบกับ footpath เลย เรียกว่าขาของผู้โดยสารไม่เหยียบพื้นถนน...นอกจากนี้ ถ้ามีคนแก่ขึ้นเค้าจะรอจนคนแก่นั่งจึงออกรถ หรือถ้าจะออกรถ บางคนก้อจะบอกให้เรา hold on please เวลาหน้าหนาว....หิมะเต็มถนน หรือหน้าฝนถนนลื่น คนขับจะพูดแทบทุกป้ายว่า Watch your step ให้เราระวัง เค้าจะไม่ออกรถกระโชกโฮกฮาก คือคนลงคนขึ้นเรียบร้อยรถถึงออก...นอกจากนี้ สมมติบางครั้งเวลาของตั๋วเราเกิน 90นาทีนิดหน่อย ถ้าเป็นเด็ก หรือคนแก่ บางทีเค้าก้ออนุโลมให้ มีอยู่ครั้งนึงเจอคนขับ strick มาก มีเด็กหญิงวัยรุ่นคนนึง เค้าก้อขอคนขับว่าเวลาเค้าเกินนิดเดียวเค้าขอใช้ใบนี้ได้มะ คนขับบอกว่าคุณก้อคิดเองก้อแล้วกันว่าควรเปิดใบใหม่มั้ย ถ้าคุณจะขึ้นนะ ไอก้อให้ขึ้นแต่คิดเองนะ เด็กคนนั้นไม่กล้าขึ้น เดินลงรถไป แล้วก้อเห็นเปิดใบใหม่ และรอรถคันใหม่...

แบบถ้าบางครั้งเป็นความผิดของรถ เช่นรถเค้ามาผิดเวลา บางทีก้อมีนานๆทีเช่นมาสายไปสิบหรือสืบห้า เคยมีบางทีสามสิบนาที แบบคนขับเค้าจะปิดเครื่องเลยนะ คือให้ผู้โดยสารขึ้นฟรีเพราะถือเป็นความผิดของเค้า เค้ารับผิดชอบ มีอยู่ครั้งนึง เราต้องนั่งรถเมล์สองต่อ ปรากฎคันแรกสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้บัตรที่เราใช้หมดเวลา และเราต้องขึ้นอีกคัน พอขึ้นอีกคันเราก้อบอกคนขับว่าเมือ่กี้นะ สาย 3 เนี่ยช้าไปสามสิบนาที เราขอใช้บัตรใบนี้ได้มั้ย คนขับบอกว่าได้ค่ะ แล้วคุณต้องไปต่อ Canada line อีกมั้ย ถ้าต้องไอจะออกบัตรใบใหม่ให้ยู คือออกใบใหม่หมายความว่าเราสามารถใช้ได้อีก เก้าสิบนาที แต่เราบอกเค้าว่าเราไม่ได้ใช้ เราถึงจุดหมายแล้ว เค้าก้อตะโกนบอกผู้โดยสารคนอื่นว่าหากใครมีปัญหาที่นั่งสายสามแล้วเวลาบัตรหมดให้มาบอก เค้าจะออกบัตรใหม่ให้...

นี่ก้อคือระบบขนส่งมวลชนของแวนคูเวอร์ แคนาดาหละ...อยากให้บ้านเรามีอะไรดีๆแบบนี้บ้าง!

สามอาทิตย์ที่ยังไม่ใช่ของจริง

ทีแรกตอนที่มาส่งลูกที่แวนคูเวอร์ ก้อตั้งใจจะอยู่แค่สองอาทิตย์ แต่ทำไปทำมาไม่ลงตัว เพราะฮ่งต้องไป train ยีนต้องไปสอบที ่Vancouver School Board เพื่อดูว่าจะต้องเรียนที่นี่อย่างไร ทำไปทำมาเลยต้องเลือ่นตั๋วเครื่องบิน อยู่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์

ช่วงสามอาทิตย์ที่มาอยู่แบบไม่ใช่ของจริง ที่บอกว่าไม่ใช่ของจริงเพราะมันเพียงชั่วคราว ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกว่าแบบนี้เราชอบแน่เลย เราอยู่ได้สบายๆ ตื่นเช้ามาก้อเตรียมข้าวกล่องหรือ lunch box ให้สองคนพ่อลูก เสร็จก้อเตรียมอาหารเช้า ...จากนั้นก้อทำความสะอาดบ้าน ซึ่งก้อแป๊บเดียว ดูดฝุ่นอาทิตย์ละครั้ง ซักเสื้อก้ออาทิตย์ละครั้ง จ่ายกับข้าวก้ออาทิตย์ละครั้ง มีอะไรอีก ก้อหมดแล้ว เฮ้อ...สบายมาก ไม่มีปัญหา ก้อตกลงกับฮ่งว่าจะมาอยู่

ฮ่งก้อเงียบ ไม่พุดอะไรเลย แบบยุ่นก้อเป้นคนใจร้อน คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว และมองว่าคงไม่มีอะไร ที่สำคัญคือห่วงเรื่องสุขภาพของสองหนุ่ม ฮ่งไม่พูดเรือ่งการที่จะให้ยุ่นมาอยู่ อาจเพราะเค้าคงเจออะไรที่ลำบากมากๆ และคงไม่อยากให้เราลำบาก หรืออาจคิดว่าเราไม่น่าจะทนได้ เพราะยุ่นเนี่ยเป็นคนที่มี threshold ของความอดทนต่ำมาก.... 55555

แต่ในที่สุด ก่อนวันที่ต้องบินกลับไทย ฮ่งคงรู้สึกว่ายุ่นต้องมาอยู่หรือไงก้อไม่รุ้ แต่ยุ่นก้อบอกว่าอย่างไรก้อตาม ครอบครัวเราคงแยกกันอยู่แบบนี้นานๆไม่ได้ เพราะยุ่นอยุ่ไทยคนเดียวก้ออาจสบายกายจริงแต่ไม่สบายใจ ยังไงก้อตาม เราก้อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก้อลุยด้วยกันก้อแล้วกัน....ครอบครัวมาก่อน และจากการคำนวณรายได้ของฮ่งตอนนั้น บวกกับเงินที่รัฐบาลช่วยเหลือเรา ครอบครัวเราก้อน่าจะพออยู่ได้...เอานะ....ลองดูสักตั้ง...

และนั่นก้อคือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจว่า ยุ่นต้องไปสมทบที่แวนคุเวอร์ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว...ซึ่งเรื่องราวหลังจากนั้น มันไม่ได้ง่ายเหมือนสามอาทิตย์แรก...เพราะมันคือการอยู่จริง...

ความรู้สึก...ครั้งแรก

ยังจำได้ว่า วันที่ยุ่นต้องมาส่งลูกที่แวนคูเวอร์ ตอนนั้นเมษาปี 2008 มาช่วงวันที่ 6 ที่จำได้แม่นเพราะเมื่อวานฮ่งโทรกลับมาไทยบอกว่าได้งานที่ London Drug แล้วนะ ความรู้สึกช่วงนั้น รู้สึกมีความสุขมากๆ ฮ่งได้งานแล้ว ลูกก้อกำลังจะไปเรียน แต่ในใจลึกๆก้อมีความกังวลอยู่ตลอดว่า สองคนพ่อลูกจะกินจะอยู่ยังไง โดยเฉพาะเรื่องกิน ยุ่นจะกังวลมาก....

พอตอนที่เครื่องบินลงที่แวนคูเวอร์ และเรารู้แล้วว่าเราสองคนแม่ลูกจะได้เจอฮ่งที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบ 6 เดือน เราสองคนก้อตื่นเต้นดีใจกันมาก พอเข็นกระเป๋าออกมา ภาพทีเห็นคือฮ่งยืนรอเราอยู่ตรงทางออก เห็นครั้งแรกตกใจมาก เพราะฮ่งผอมมากๆๆๆๆ จากคนที่ดูอุดมสมบูรณ์ อวบๆ กลายเป็นชายหน้าตอบ ผอมลงไปมาก ตัวงี้ลีบลงไปเยอะเลย แต่หน้าเค้าก้อดูสดชื่น ผิวขาวขึ้น และยิ้มกว้างมาก คงดีใจที่ได้เจอยุ่นกับยีน เราก้อเข้าไปกอดและรู้สึกว่า ฮ่งผอมไปมากเลย อยู่ที่นี่คงลำบากมากๆเลย น่าสงสาร...

นาทีนั้น...รู้สึกว่าเราคงต้องทำอะไรบางอย่าง กลับไทยครั้งนี้คงต้องรีบดำเนินการขายศูนย์คุมอง แล้วก้อบินมาอยู่กับสองคนพ่อลูก...ไม่งั้น..อยู่ไทย ยุ่นคงเป็นห่วงเรือ่งอาหารการกิน และสุขภาพของหนุ่มสองวัย ใจตรงกันนี้แน่นอน...

Friday, December 4, 2009

Maple บอกฤดู...



พอเห็นต้นไม้ ก้อให้รู้ว่า Spring is coming !!!


apartment ที่เราสามคนพ่อแม่็ลูกอยู่ ตรงบริเวณโต๊ะกินข้าวจะมีหน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งทำให้เรามองเห็นสภาพบรรยากาศรอบๆบ้านเรา เราจะมองเห็นชีวิตของคนแวนคูเวอร์ผ่านหน้าต่างบานนี้ และที่สำคัญก้อคือมองออกไปจะเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งตรงหน้าต่างอย่างชัดเจน ซึ่งต้นไม้ต้นนี้จะเป็นตัวบอกเราว่าตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูอะไรแล้ว...

เรากลับมาจากไทยปลายสิงหา ตอนนั้นต้นไม้ต้นนี้ยังมัใบเขียวเต็มต้นเลย แน่นอนก้อคือช่วง summer หลังจากนั้นไม่นานเข้าเดือนกันยา ใบก้อเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นส้ม เป็นแดง แล้วใบก้อเริ่มร่วงไป ร่วงไป ร่วงไป พอมองต้นไม้ที่ใบเริ่มร่วงและมองปฏิทิน ก้อตรงกันเลย...ตอนนี้ก้อเข้าเดือนตุลา พฤศจิกา ฤดูใบไม้ร่วง และอีกไม่นาน ทั้งต้นก้อไม่เหลือใบเลยแม้แต่ใบเดียว อากาศเริ่มหนาวลง หนาวลง ฉะนั้นตอนนี้ก้อคือ winter กำลังมาเยือน....เราอีกแล้ว...

ขณะที่กำลังเล่าก้อ winter แหละ...ไม่มีใบแม้แต่ใบเดียว คิดถึงปีที่แล้ว...ในช่วงเวลาเดียวกันนี้...อีกไม่นานก้อจะมีหิมะโปรยปรายลงมา และต้นไม้ต้นนี้ก้อจะเต็มไปด้วยปุยขาวของหิมะ ก้อดูสวยไปอีกแบบ....และก้ออีกไม่นานใบอ่อนก้อเริ่มงอกออกมา นั่นก้อคือฤดูโปรดของยุ่นเลยแหละ..."ฤดูใบไม้ผลิ" spring เป็นฤดูที่สดใส sunny day อากาศก้อดี ไม่ร้อนไป ไม่หนาวไป ฝนก้อไม่ค่อยตกเท่าไร และเราก้อสามารถ...แต่งตัวได้สวยงาม...ไม่เทอะทะ ตัวหนักเพราะเสื้อ overcoat

และนี่ก้อคือต้นไม้บอกฤดูที่บ้านเราไว้ดูบอกเวลา...บอกฤดู....ว่าครอบครัวเราได้อยู่ในแวนคูเวอร์มากี่ฤดูแล้ว.....